ตามวัดต่างๆ โดยเฉพาะวัดที่สร้างมานานมักจะมีเปรตอยู่มากมาย พวกนี้ไปไหนไม่ได้เพราะต้องชดใช้กรรมโดยเกิดเป็นเปรต บางตัวอายุหลายร้อยปี เปรตพวกนี้ส่วนใหญ่ก็มีทั้งพระที่เป็นทั้งอดีตเจ้าอาวาส พระลูกวัด และฆราวาสที่มาอาสาทำงานให้วัด แต่เขาพวกนี้ไม่กลัวบาปแอบขโมยสมบัติของวัดไปใช้ส่วนตัว เอาไปขายบ้าง เอาไปให้ลูกหลานบ้าง บางคนก็มาสร้างเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นพระ เพราะคิดว่าพระท่านไม่รู้เรื่องของทางโลก ตามพวกเขาไม่ทัน และพระท่านมักชอบมองคนในแง่ดี คนพวกนี้จึงชอบมาหลอกลวงพระเป็นพิเศษ
คนพวกนี้ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเป็นบาป เพราะพระท่านก็คอยสอนคอนเตือนว่าการขโมยของวัดเป็นบาป เขารู้แต่เขาก็ทำเพราะคนพวกนี้มีความอยากได้อยากมีมากกว่ากลัวบาป ดูตามข่าวหนังสือพิมพ์ซิครับ พวกหัวขโมยนั้นต่างล้วนรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นการทำผิดกฎหมาย ถ้าถูกจับได้จะต้องติดคุกถูกลงโทษ แต่คนพวกนี้เขาก็ยังทำทั้งๆ ที่รู้ใช่ไหมครับ หลายคนชอบคิดว่าทำไมพระท่านไม่ไล่คนพวกนี้ออกไปจากวัด ผมว่าพระท่านก็ไล่ออกไปหลายคนแล้ว แต่คนพวกนี้เขาออกไปแล้วเขาก็แอบกลับเข้ามาอีก บางคนก็เป็นอันธพาลขู่ทำร้ายพระเสียอีก
ดังนั้นพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านจึงวางอุเบกขา…ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของสัตว์โลก มันอยากจะไปเป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ก็ต้องปล่อยมันไป เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่สามารถโปรดคนทุกคนได้ มันยังไม่ถึงเวลาสำหรับคนพวกนี้ ต้องปล่อยให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองไปก่อน เมื่อมีบารมีมากขึ้นเขาก็จะดีขึ้นมาเอง วัดกับเปรตจึงอยู่คู่กันมาเสมอ
ยกเว้นบางวัดจะมีเปรตอยู่น้อยหรือไม่มีเลย ทั้งนี้เพราะในวัดนั้นเกิดมีพระดีที่ท่านเก่งเรื่องสมาธิกรรมฐาน โดยเฉพาะกรรมฐานที่เกี่ยวเนื่องด้วยกสิณแสงสว่าง (อาโลกสิณ) อย่างเช่นวิชาธรรมกายที่วัดหลวงพ่อสดที่ใช้การเพ่งดวงแก้วและแสงสว่าง เพราะในการทำวิชาท่านมักจะขยายดวงกสิณให้ครอบคลุมพื้นที่วัดทั้งหมด เพื่อให้ส่วนละเอียดของวัดเกิดความบริสุทธิ์สว่างไสว พวกเปรตเมื่อเจอแสงสว่างจากอาโลกสิณนี้ก็จะแสบตาจนทนอยู่ไม่ได้ ต้องวิ่งจู๊ดหนีออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา เปรตพวกนี้เจอแสงจากกสิณแสงสว่างนี้ไม่กี่ทีก็เข็ดไม่กล้าเข้ามาอยู่ในวัดนั้นแล้ว…ของมันแพ้ทางกันครับ