ปู่โทน หลำแพร ลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่เทพโลกอุดร

ปู่โทน หลำแพร

ปู่โทน หลำแพร ลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่เทพโลกอุดร โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)

ท่านเป็นลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่เทพโลกอุดร และจัดทำจีวรผืนขนาดใหญ่ที่สั่งตัดเย็บพิเศษถวายให้แก่หลวงปู่ทุกปี ปู่โทนท่านเก่งคาถาอาคมหลายอย่าง รับดูดวงด้วยลูกแก้วครั้งละ 4 บาท ตอนที่ผมไปหาท่านนั้นท่านมีอายุ 115 ปีแล้ว (ปี 2543) ปู่โทนเล่าว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรเคยพาท่านไปเที่ยวที่ป่าหิมพานต์และยังได้เห็นต้นมัคนารีผลอีกด้วย โดยหลวงปู่ให้ปู่โทนเกาะหลังท่านแล้วพาเหาะไปป่าหิมพานต์ ปู่บอกว่าขณะที่เหาะนั้นหลวงปู่ใหญ่บอกให้ท่านหลับตา ท่านได้ยินแต่เสียงลมดังอื้อๆ ที่่หูตลอดเวลา

ผม (อู๋) รู้จักกับทหารบกผู้หนึ่งเล่าว่าได้ไปหาปู่โทนที่บ้าน ปู่โทนได้พูดขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าท่านครั้งแรกว่า “เมื่อวานนี้หลวงปู่ใหญ่ท่านมาบอกว่าจะมีคนมาถวายจีวรให้ท่าน (ซึ่งก็คือทหารท่านนั้น) มันถูกยิงแต่ปู่ช่วยเอาไว้” ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะเมื่อวานเขาถูกชายชู้ที่มากับภรรยายิงเข้าที่กลางหลังแต่ไม่เข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ผมจึงเชื่อว่าปู่โทนสามารถติดต่อกับหลวงปู่ใหญ่ได้จริง

ปู่โทนท่านมีม้าไม้ตัวเล็กๆ พร้อมแส้พกติดตัวอยู่ โดยเมื่อต้องการที่จะไปพบหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านก็จะเสกม้าไม้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศแล้วขึ้นขี่ไปที่ถ้ำวัวแดงเพื่อพบกับหลวงปู่เทพโลกอุดรได้อย่างรวดเร็ว

ครั้งหนึ่งผม (อู๋) ได้ดูเหล็กไหลของปู่โทนซึ่งมีสีเทาอ่อนขนาดใหญ่กว่านิ้วโป้งเล็กน้อย ที่แปลกกว่าเหล็กไหลอื่นก็ตรงที่นอกจากจะดูดเหล็กเหมือนเหล็กไหลทั่วไปได้แล้ว ยังสามารถดูดทองเหลือง อลูมิเนียมและโลหะอื่นๆ ได้ด้วย ผิวของเหล็กไหลก็ไม่แข็งเหมือนเหล็กแต่มีลักษณะหยุ่นๆ นิ่มเล็กน้อย เมื่อสัมผัสจะรู้สึกว่าเหมือนจับผิวหนังมนุษย์ คือผิวนิ่มๆ แต่เมื่อกดลงไปจะมีความรู้สึกแข็งข้างใน เหล็กไหลนี้มีรูปร่างเหมือนปลัดขิกขนาดยาวประมาณ 3 นิ้ว มีน้ำหนักเกินตัว

ปู่โทนบอกว่าเหล็กไหลนี้หลวงปู่เทพโลกอุดรให้ท่านมา แล้วท่านก็แสดงความมหัศจรรย์ให้ดู โดยท่านเอาเหรียญ 10 บาท วางลงบนพื้นโต๊ะไม้เก่าๆ แล้วท่านก็เอาเหล็กไหลนั้นสอดไปไว้ใต้โต๊ะ พอเหล็กไหลเลื่อนไปทางไหน เหรียญ 10 บาทก็วิ่งตามไปตรงนั้น คือเหล็กไหลนี้มีพลังแรงมากสามารถดูดเหรียญ 10 บาทผ่านความหนาของพื้นโต๊ะไม้หนาๆ ให้วิ่งไปวิ่งมาได้อย่างสบาย และเมื่อนำเหล็กไหลไปดูดที่มือจับของหน้าต่างซึ่งทำด้วยทองเหลืองก็สามารถดูดติดได้ทันที เอาไปดูดที่ขอบกระจกซึ่งทำด้วยอลูมิเนียมก็ดูดติดอีก แปลกจริงๆ

ท่านบอกผมว่าถ้าอยากได้จะขายให้ผมในราคา 2 หมื่นบาท แต่ผมมีเงินติดตัวไปเพียง 5 พันบาทเลยไม่ได้เหล็กไหลประหลาดก้อนนั้นมา พอกลับมาถึงบ้านแล้วกลับนึกเสียดายที่ไม่ได้เอาเหล็กไหลนั้นมา เพราะต่อให้ไปหาที่ไหนก็ยากที่จะหาเหล็กไหลแบบนั้นได้อีก และเชื่อว่าเหล็กไหลก้อนนี้จะเป็นเหล็กไหลประเภทมหาเมตตาเพราะดึงดูดทุกอย่างเข้ามาที่ตัว…ถ้าผมได้มาจริงๆ ตอนนี้ผมก็อาจจะมีเมีย 4 คน เหมือนกับปู่โทนก็เป็นได้

ก่อนจะกลับผมได้ถามท่านว่า “ปู่คิดว่าตอนนี้ในเมืองไทยมีพระองค์ไหนที่ถือว่ามีคุณธรรมและคุณวิเศษเก่งที่สุด” ปู่ตอบว่า “ปู่คิดว่าหลวงปู่สรวงที่บ้านละลมเก่งที่สุด ตอนนี้คงไม่มีใครจะเก่งไปกว่าท่านอีกแล้ว” หลังจากนั้นไม่นานผมจึงต้องดั้นด้นไปกราบหลวงปู่สรวงเป็นครั้งแรก….จริงตามที่ปู่บอกไว้ครับ

เรื่องเล่าของปู่โทนต่อไปนี้ ได้กล่าวสัมภาษณ์ให้แก่นักเขียนท่านหนึ่งคือคุณสิทธา เชตวัน

ปู่โทน หลำแพร เป็นชาวบ้านโพธิไทร อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อสมัยยังเป็นหนุ่มน้อยได้บวชเป็นสามเณรอยู่ ๓ พรรษา และอุปสมบทเป็นพระภิกษุต่ออีก ๒ พรรษา ขณะที่บวชเรียนอยู่นั้น ปู่โทนก็สนใจในวิชาวิปัสสนากรรมฐาน ได้เคยศึกษาและปฏิบัติ จากพระอาจารย์ผู้มีความรู้ทางด้านนี้หลายรูป ต่อมาแม้เมื่อได้ลาสิกขาออกมาครองเพศฆราวาสแล้ว ปู่โทนผู้นี้ก็ยังสนใจในวิชาวิปัสสนากรรมฐานอยู่ พยายามหาโอกาสออกแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญธรรม อยู่เสมอ ขณะที่ท่านมีอายุได้ประมาณ ๓๐ ปี ครั้งหนึ่งก็ได้ออกไปแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญ และในที่สุดก็ได้พบกับสถานที่ที่ต้องการแห่งหนึ่ง คือในถ้ำพระ ซึ่งอยู่หลังเขาช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

คืนหนึ่งขณะที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ พอจิตได้อารมณ์เป็นสมาธิแน่วนิ่งแล้วก็บังเกิดความประหลาดขึ้น โดยมีพระภิกษุรูปหนึ่งได้ปรากฏให้เห็นในนิมิต ตามคำบอกเล่าของปู่โทนบอกว่า พระภิกษุรูปนั้น มีลักษณะเหมือนคนโบราณ แต่ผิวพรรณผ่องใส มีสง่าราศีน่าเคารพนับถือ ดูจากรูปร่างภายนอกแล้วเห็นว่ายังหนุ่มแน่นแต่ศีรษะมีหงอกขาวโพลน ครั้นได้เห็นพระภิกษุรูปนั้น ปู่โทนก็เข้าใจว่าคงจะเป็นพระอาจารย์ทางวิปัสสนากรรมฐานผู้มีญาณวิเศษ สามารถถอดจิตมาสนทนากันได้ในนิมิต และการมาของท่านก็คงจะมาเพื่่อสนทนาธรรมหรือช่วยชี้แนะข้อธรรมกรรมฐานที่ท่านติดขัดอยู่ ปู่โทนจึงได้เรียกถามท่านไป (ในนิมิต) ว่า

“พระคุณเจ้าเป็นใคร”
พระภิกษุหนุ่มผู้มีสง่าราศีน่าศรัทธายิ่งรูปนั้น ก็ตอบให้ทราบว่า ท่านคือหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นพระธุดงค์อาศัยอยู่ตามป่าเขาลำเนาถ้ำเป็นวัตร ที่มานี่ก็เพื่อต้องการจะมาชี้แนะธรรมปฏิบัติบางอย่าง เพราะเห็นว่าอุบาสกโทนยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง ปู่โทนได้ทราบอย่างนั้นก็ปลื้มปิติยิ่งนัก ที่จะได้มีพระอาจารย์ผู้มีความรอบรู้มีคุณวิเศษเลิศล้ำ มาเมตตาชี้แนะข้อธรรมให้ ซึ่งบัดนั้นปู่โทนไม่ได้ทราบว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ว่านั้นเป็นใครมาจากไหน เพราะว่า ท่านไม่เคยได้พบเจอ หรือได้ยินได้ทราบกิตติศัพท์มาก่อนว่า ท่านผู้นี้อยู่ที่ไหนแต่ปู่โทนก็ยินดีที่จะน้อมรับคำแนะนำเรื่องการวิปัสสนาจากพระภิกษุผู้มาอย่างแปลกประหลาดรูปนี้

หลังจากนั้นหลวงปู่เทพโลกอุดรก็เมตตาชี้แนะวิธีทำกรรมฐานให้กับปู่โทนอธิบายจนปู่โทนเข้าใจดีแล้ว ก็หายวับไป ปู่โทนกลับคืนอารมณ์ปกติ แต่ก็ยังจำเหตุการณ์นั้นได้ติดตา และยังปลื้มปิติไม่หาย ปู่โทนได้คำแนะนำนั้นมาปฏิบัติจนเห็นผลในเวลาไม่นาน ครั้นบำเพ็ญธรรมกรรมฐานอยู่ที่นั่นพอสมควรแล้วปู่โทนก็กลับมายังบ้าน เพื่อประกอบสัมมาอาชีพเลี้ยงครอบครัวต่อไป แต่แม้ว่าปู่จะกลับมาอยู่บ้าน แต่ก็ไม่เลิกทำกรรมฐานเสียเลย ยังคงบำเพ็ญอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็น้อยกว่าเวลาไปบำเพ็ญในที่วิเวกตามป่าเขาลำเนาถ้ำเท่านั้นเอง

และหลังจากนั้นปู่โทนก็ได้หาโอกาสไปบำเพ็ญธรรมที่ถ้ำพระนั้นอีก และก็ได้พบพระอาจารย์ในนิมิต ที่ท่านรู้จักในนาม หลวงปู่เทพโลกอุดรมาคอยชี้แนะข้อธรรมะให้อีก และสอนในระดับสูงขึ้น ๆ ปู่โทนไปอยู่ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์ในนิมิคที่นั่นอยู่เป็นนานพอสมควร จนกระทั่งวันหนึ่ง พระอาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุดรก็ได้บอกให้กับศิษย์คือ ปู่โทนถอนจิตออกจากสมาธิแล้วลืมตาขึ้น บัดนั้นเอง ปู่โทน ศิษย์ผู้ที่เคยแต่ได้เห็นอาจารย์แต่เพียงในนิมิต ก็ได้เห็นพระอาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อจริงๆ

เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเพราะว่ารูปร่างลักษณะของพระอาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ศิษย์ปู่โทนได้เห็นด้วยตาเปล่าในขณะนั้นเหมือนกับที่ได้เห็นในนิมิตอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย เพราะเหตุนี้เอง ในเวลาต่อมาปู่โทนจึงเชื่อว่า หลวงปู่เทพโลกอุดรนั้นท่านยังไม่ได้มรณภาพ ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ท่านอยู่ในที่ของท่านและท่านไม่ค่อยจะปรากฏให้ใครได้เห็นง่าย ๆ คนที่จะได้เห็นท่านนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนา หรือเคยบุญเกี่ยวข้องกันมาแต่ชาติปางก่อน ตั้งแต่นั้นมาการเรียนการสอนจึงได้ดำเนินมาทั้งในนิมิต และภาพจริงๆ

วิชาความรู้ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรได้ถ่ายทอดให้กับศิษย์ ปู่โทน หลำแพร ในตอนนั้น นอกจากจะเป็นวิชาเกี่ยวกับการนั่งวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ท่านยังได้สอนในเรื่องเวทมนตร์คาถา เพราะท่านสามารถกำหนดจิตทราบได้ว่า ปู่โทนต้องการจะเด่นในทางทรงฤทธิ์เดชและนอกจากนั้นแล้วท่านยังได้สอนวิชาแพทย์แผนโบราณ การใช้ยาสมุนไพรต่าง ๆ ประกอบยาให้ด้วย

ซึ่งในเวลาต่อมาปู่โทนก็ได้ใช้วิชาความรู้เหล่านี้มาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้รอดพ้นจากการถูกทรมานด้วยโรคร้าย และนอกจากนั้นแล้ว ท่านยังได้เป็นผู้เชี่ยวชาญและแนะนำการวิปัสสนากรรมฐานให้แก่บุคคลทั่วไป ถือได้ว่า ท่านเป็นวิปัสสนาจารย์ที่เป็นฆราวาสผู้มีความรอบรู้คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่อยู่ศึกษาวิชาต่าง ๆ กับหลวงปู่เทพโลกอุดรนั่น ปู่โทนได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ ที่ท่านประทับใจมากอย่างหนึ่ง และผู้เขียนเห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเป็นยิ่งนัก แต่เมื่อนำมาเล่าแล้วท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแต่ท่าน ขอให้ใช้วิจารณญาณพิจารณาเอาเอง

เรื่องที่ว่านี้ก็คือเรื่องที่หลวงปู่เทพโลกอุดรได้พาศิษย์ คือ ปู่โทนไปท่องป่าหิมพานต์ หลังจากที่ปู่โทน ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกับอาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุดรจนมีความสามารถพอสมควรแล้ว วันหนึ่ง หลวงปู่เทพโลกอุดรได้บอกกับปู่โทน หลำแพร ผู้เป็นศิษย์ว่า

“อยากจะไปเที่ยวป่าหิมพานต์ไหม”

ปู่โทนได้ยินดังนั้นก็ให้ตกใจเล็กน้อย เพราะคิดว่าป่าหิมพานต์มีอยู่จริงหรือ เพราะเท่าที่ท่านทราบจากการศึกษาพระพุทธศาสนาก็พอจะทราบป่าหิมพานต์ที่ว่านี้ ก็คือป่าในเขตหนาว ซึ่งก็อยู่ในแถวเทือกเขาหิมาลัยโน่น แต่อย่างไรก็ตามท่านยังไม่เคยได้ยินได้ทราบว่ามีใครได้เคยไปเที่ยวป่าหิมพานต์นั้นมาก่อน จึงพากันคิดว่าป่าหิมพานต์เป็นเพียงแต่ฉลากสถานที่แห่งหนึ่งที่กล่าวถึงในพระเวสสันดรชาดก ซึ่งถือเป็นนิยายปรัมปรา หรือเทพนิยายทางตะวันออกก็ว่าได้ คิดไม่ถึงว่าจะมีอยู่จริง และสามารถที่จะไปเที่ยวได้ แต่อย่างไรปู่โทน ก็ศรัทธาและเชื่อมั่นในความเหนือธรรมดาของพระอาจารย์รูปนี้ ปู่จึงคิดว่าอาจารย์ไม่ได้พูดเล่นเป็นแน่ จึงตอบไปว่า

“อยากไปขอรับ”

ถึงแม้ว่าจะตอบรับไปแล้วแต่ปู่โทนก็ยังไม่วายสงสัยว่า อาจารย์จะพาตนไปที่นั่นได้อย่างไร ทั้งนี้ก็เพราะว่าตนยังคิดไม่ออกว่า เจ้าป่าหิมพานต์ที่ว่านั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ต้องไม่ใช่อยู่ใกล้ๆแน่ และที่สำคัญการเดินทางไปที่นั่น ต้องไม่มีการคมนาคมสะดวกสบายเหมือนกับเดินทางไปสู่ถิ่นเจริญอื่นๆ เป็นแน่แท้ เพราะว่าถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะมีใครต่อใครดั้นด้นเดินทางไปถึงมาแล้ว แล้วคงจะมีคนกลับมาเล่าให้ฟังกันบ้างแล้ว ปู่โทนจึงได้ถามหลวงปู่เทพโลกอุดรว่า

“จะไปที่นั่นกันอย่างไรหรือขอรับ”

หลวงปู่ตอบว่า “จะให้ปู่โทนขี่หลังท่านไป”

ปู่โทนก็ยังสงสัยอยู่ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จะให้ศิษย์ขี่หลังเหาะไปอย่างนั้นหรือ แต่ท่านเชื่อว่า อาจารย์ผู้เลิศด้วยฤทธิ์อภิญญา เหนือโลกท่านนี้จะต้องพาตนไปยังที่ป่าหิมพานต์นั้นได้อย่างแน่นอน จึงไม่ได้ซักไซร้ให้มากความ เมื่อตกลงกันเช่นนั้นแล้วหลวงปู่เทพโลกอุดร ก็ได้นัดแนะวันที่จะนำศิษย์เอกเดินทางไปชมป่าหิมพานต์ว่า จะไปกันในอีก ๗ วันข้างหน้า พร้อมกันนั้นท่านก็ได้กำชับศิษย์เอกว่า

“ในวันนั้น ให้แต่งกาย นุ่งขาว ห่มขาว และเมื่อเดินทางไปถึงป่าหิมพานต์แล้วก็ให้สำรวมกาย วาจา ใจ อย่างเคร่งครัด อย่าตื่นกลัวและห้ามซักถามใดๆ”

ในที่สุดกำหนดการเดินทางไปท่องดินแดนมหัศจรรย์ก็มาถึง วันนั้นปู่โทนแต่งกายด้วยชุดขาว ตามที่หลวงปู่เทพโลกอุดรสั่ง หลังจากนั้นก็นั่งสมาธิแผ่เมตตาไปทั่วสากลโลก ออกจากสมาธิแล้ว ก็ได้นั่งรอการมาของหลวงปู่เทพโลกอุดร แต่เพียงนึกถึงเท่านั้น หลวงปู่เทพโลกอุดรก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า มาถึงแล้วหลวงปู่เทพโลกอุดรก็ได้ซักซ้อมความเข้าใจกับศิษย์อีกครั้ง โดยถึงการปฏิบัติเมื่อเดินทางไปถึงป่าหิมพานต์ ครั้นซักซ้อมกันเข้าใจดี หลวงปู่ก็เอาผ้าสีดำผืนหนึ่งมาปิดตาลูกศิษย์เอกจากนั้นก็ให้เกาะหลังท่าน พาหายไปจากที่นั่นในขณะเดินทางอยู่นั้นปู่โทนจึงไม่ได้เห็นอะไรเลย เพราะมีผ้าปิดตาอยู่ แต่เมื่อพาไปถึงที่หมาย หลวงปู่ก็แก้ผ้าดำที่ปิดตาศิษย์อยู่ออก จากนั้นปู่โทนจึงได้เห็นอะไรต่อมิอะไรในดินแดนมหัศจรรย์แห่งหนึ่ง ต่อมาปู่ท่านได้นำมาเปิดเผยว่า

“เห็นต้นไม้ใหญ่ สูงมาก แผ่กิ่งก้านสาขาทึบร่มครึ้มคล้ายต้นมะม่วง ใบยาวคล้ายๆ ใบกล้วย ออกดอกออกช่อ ห้อยโตงเตงเป็นร่างผู้หญิงสาวสวยมาก สวยคล้ายนางฟ้า ดอกหนึ่งมีผู้หญิงสาวสองคนห้อยโตงเตงอยู่ด้วยกัน บางดอกก็เพิ่งเป็นตัวตน งอตัวคล้ายทารกงอตัวอยู่ในท้องแม่อย่างนั้นแหละ ท่านพระครู (หลวงปู่เทพโลกอุดร ) ไม่ได้บอกว่าเป็นต้นอะไร แต่ฉันก็รู้ได้ทันทีว่านี้คือต้นดอกนารีผลในป่าหิมพานต์ เวลานี้ได้มาถึงป่าหิมพานต์แล้วเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ฉัน (ปู่โทน) ตะลึงลานไปหมด เอามือขยี้ตาตัวเองว่าฝาดไปหรือเปล่า ก็ไม่ได้ตาฝาด หยิกเนื้อหยิกตัวเองดูก็เจ็บ ไม่ได้ฝันไปเลย

นารีผลแขวนโตงเตงดารดาษเต็มไปหมดทั้งต้น ส่งกลิ่นหอมตลบไปหมด หอมเหลือเกิน หอมอย่างเครื่องหอมที่ไม่มีในโลก ฉันเคลิบเคลิ้มงงงวย หัวใจยังงี้รู้สึกเหมือนจะลอยจากร่าง ใต้ต้น (นารีผล) โล่งเตียนสะอาดสะอ้าน คล้ายมีคนมากวาดไว้เรียบร้อย อากาศหนาวเย็นมาก รู้สึกว่าเป็นเขากว้างมาก มีภูเขาสูงๆ ล้อมรอบ ยอดเขามีหิมะปกคลุม นารีผลนั้นไม่เห็นพูดแต่รู้สึกว่ามีชีวิตจิตใจ สวยจริงๆ เคลิบเคลิ้มเกิดอารมณ์เสน่หารัญจวนใจจนรู้สึกใจหวิวๆ จะขาดรอนเสียให้ได้ตรงนั้น เลยต้องกลับ”

แชร์เลย

Comments

comments

Share: