
ลุงยกทรงคุยกับสมเด็จวัดสามพระยา(เรื่องพระคำข้าวมหาลาภ
(ยกทรงเล่าเรื่องให้ฟัง)
“เรื่อง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยานี่ก็ หลังจากหลวงพ่อกลับไปแล้ว ยกทรงก็นำอาหารไปถวายสมเด็จเป็นประจำ วันที่จะเป่าปลุกเสกวันที่ 29 ธ.ค. 33 ยกทรงก่อนจะเดินทางไป ท่านก็บอกว่า “
นี่ พระสมเด็จมหาลาภคำข้าวของวัดท่าซุงน่ะ ไม่ใช่พระธรรมดานะ
” ก็เรียนถามเป็นพระอะไรครับที่ไม่ใช่ธรรมดา “
ท่านบอกที่อื่น ๆ ส่วนมากพระล่างปลุกเสกกัน แต่ที่วัดท่าซุงนี่มีพระล่าง คือ หลวงพ่อปลุกเสก เข้าใจไหม
” เอ…ไม่รู้ครับ “
พระ ล่างก็หมายถึงหลวงพ่อหลวงปู่ปลุกเสก กัน ท่านอธิบายให้ฟัง พระบนก็หมายความว่า ท่านก็หยุด แทนที่ท่านจะอธิบายต่อ ท่านก็คว้าหมากเอาปูนใส่ แล้วท่านก็ฉัน โอ๊ย ลีลาน่ารักอ่อนช้อย แล้วก็ท่านยืนยันเลยว่าพระมหาลาภคำข้าวรุ่นนี้น่ะ ท่านบอกว่าคงจะไม่ถึงตลอดปี 34 จะหมด เหตุผลก็คือ ท่านบอกว่าอย่างนี้
ฉัน จะเล่าให้ฟัง ฉันสร้างตัวอาคารที่อาคารพระปริยัติน่ะ 90 เมตรที่วัดน่ะ เป็นสิบ ๆ ล้านนะ ค่าแรงทั้งหมดน่ะ 6 ล้านบาท แล้ววัดปากน้ำนะเขาเลยถวายค่าแรง 6 ล้านบาท แล้วท่านก็บอกว่าเขามีเงินมาให้ 6 ล้านบาท เพราะวัดปากน้ำนี่เขามีของดีอย่างหนึ่งคือ ของไม่แห้ง
” ผมถามว่าอะไรครับ ของไม่แห้ง ว่าแล้วคว้าหมากต่อ “
ท่านบอกว่า สด ไง ล่ะ เจ้าอาวาสเขาชื่อสด ตอนเป็น ๆ ก็สดชื่น พระที่วัดไม่ต้องบิณฑบาต เงินทองไหลมาเทมา เพราะบารมีกรรมฐานธรรมกาย และที่ท่านตายไปแล้วก็ยังสดชื่น พระที่วัดไม่ต้องบิณฑบาต เงินทองไหลมาเทมา เวลาเทศกาลงานกฐินก็มีคนจองล่วงหน้า แล้วท่านก็เลยสรุปว่า เนี่ย เพราะท่านมีดีอย่างหนึ่งคือ ไม่แห้ง รุ่นที่รับพระสมณศักดิ์ ราคาเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ว่า… ท่านพูดแค่นั้นท่านก็หันหน้าเอาผ้าเช็ดปาก เอาน้ำบ้วนปากเสร็จแล้วนึกว่าท่านจะเล่าต่อ เปล่า ท่านเอาหมากมากินอีกคำ แล้วท่านก็เลยบอกว่า นี่คุณวีระ(ใหม่ ๆ เรียกยกทรง ตอนนี้ไม่เอาแล้วเรียกคุณวีระเสียแล้ว) คุณน่ะอย่าลืมนะไปวัดท่าซุง ตุนเข้าไปเถอะ แพงแล้วหายากแล้ว หนัก ๆ เดี๋ยวก็ว่า แล้ว หนัก ๆ แล้วท่านก็บอกว่า ต่อไปจะมีคุณค่ามาก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านบอกให้ตุนไว้ เพราะว่ามีข้างบนลงมาปลุกเสกด้วย ท่านบอกว่าท่านยืนยันอย่างนั้น ที่ท่านพูดเช่นนี้ได้ใครจะว่ายังไงก็ตามแต่ท่านบอกท่านยืนยันอย่างนี้
(หลวงพ่อ) ว่าเรื่อยไปเลย
” แล้วท่านก็คุยต่อ “
คือ ว่าอย่างนี้ สมัยที่ฉันหนุ่ม ๆ นะบังเอิญไปที่วัดพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก เขาว่าพระพุทธชินราชที่พิษณุโลกนี่ นะ มีเทวดามาช่วยมาสร้าง ไอ้ฉันก็นั่งคิด ๆ เพราะตอนนั้นก็ยังหนุ่มอยู่ แหม… ไม่จริงแน่ แต่พอฉันไปวัดท่าซุง ไปที่วิหารแก้ว 100 เมตร พอไปเห็นองค์พระพุทธชินราช ฉันเลยต้องบอกว่าฉันเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเทวดามีจริง มาสร้างมาช่วย อย่างที่วัดท่าซุงนี่ไม่ใช่วัดธรรมดา เป็นวัดล่างวัดบน แล้วท่านก็บอกว่า เนี่ย ฉันจึงยอมเชื่อว่าวัดท่าซุงนี่ ถ้าไม่มีข้างบนมาช่วยนะ ไม่มีทาง ท่านบอกไม่มีทาง
(หลวงพ่อ) มี ทางมี แต่ไม่มีกุฏิ
“หลวงพ่อเถียงสมเด็จ ฯ เหรอ”
ไม่ใช่เถียงสมเด็จ เถียงยกทรง ทางน่ะมี เพราะไม่มีวิหารจะสร้าง ไม่มีเงินสร้างมีทางเยอะแยะ เดี๋ยวนี้สิไม่มีทาง
“เมื่อก่อนมีทางใช่ไหมครับ”
ใช่
“แล้วท่านก็เลยบอกว่าที่วัดท่าซุงน่ะ มีข้างบนเขามาช่วยเต็มที่ ทั้งพระทั้งเทวดา ฉันเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น วัดนี้นะต่อไปจะมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (ท่านแนะนโยบายว่า) การที่จะไปทำบุญกับหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง เราต้องมีเหลี่ยมกับท่านหน่อย เพราะพระองค์นี้ไม่เหมือนพระชาวบ้านชาวเมือง”
เหมือนยังไง คนละคน ไม่เหมือนกันหรอก สมเด็จผอมกว่าฉัน แล้วฉันต่ำกว่าสมเด็จ(หัวเราะ)
“องค์นั้นไม่มีหนี้ องค์นี้เป็นหนี้”
ไม่ก้อยฉันว่าเป็นหนี้ เป็นนะ เป็น
“เขาเรียกว่าเป็นหนี้เงียบ ๆ นะครับ”
ใช่ ๆๆ
“ฉะนั้น ท่านถึงยอมรับว่าเพราะข้างบนข้างล่างมาร่วมกัน งานจึงสำเร็จเรียบร้อย ท่านบอกว่าอย่างนี้ คือว่าถ้าจะไปเช่า จะไปทำบุญหรือจะไปเช่าพระมหาลาภคำข้าวกับหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงน่ะ ต้องละเอียดกว่าท่านหน่อย ท่านแนะผมว่าอย่างนี้แล้วท่านก็เรียกลูกศิษย์ผู้หญิงท่านหนึ่ง หนู ๆ ๆ เข้ามา ๆ ฝากเงินคุณวีระไป 50 บาท ไปเช่าพระผง แต่เวลาเข้าไปน่ะ ให้เข้าไปทีละ 10 บาท ได้องค์หนึ่ง แล้วก็ถอยออกมาแล้วไปต่อแถวที่เดิมอีกจะได้ 5 องค์ เพราะว่าเข้าไปทีเดียว 50 น่ะได้องค์เดียว
” พอพูดแล้วท่านก็หัวเราะ ท่านดีใจว่าเหลี่ยมดีกว่าวัดท่าซุง “
“ นี่ แหละครับ ความจริงไปคุยทุก ๆ วัน วันละเรื่อง ๆ นะ ที่พูดวันนี้ ก็เพราะว่าเกี่ยวโยงกับพระคำข้าวมหาลาภ พยายามนะ เก็บไว้ องค์ไหนที่รับกับมือหลวงพ่อ องค์นั้นนะเก็บให้ดี ให้ติดกับตัว จะเลี่ยมหรือว่าจะใส่กระเป๋าสตางค์ก็ได้ แยกต่างหาก เพราะว่าท่านไม่ได้แจกองค์เดียว ตอนนี้ยกทรงก็เผลอเถียง ไม่ได้เถียงนะ ค้าน แจกองค์เดียวครับขนาดแจกไปแจกมาที แรกก็มือแจกนะ หนัก ๆ เข้า ก็ต้องยื่น ๆๆๆ แถมสโลโมชั่น สงสัยจะเหนื่อยนะ เราบอกไม่ใช่ แจกองค์เดียวครับ ท่านก็ยังยืนยัน แต่ความจริงหลวงพ่อมีองค์ปฐมหรือองค์ปัจจุบัน ครับที่สงเคราะหลวงพ่ออยู่ เวลาแจกพระ ”
(หลวงพ่อ) เวลาแจกหรือ 1. องค์ปฐม 2. องค์ปัจจุบัน 3. พระพุทธทีปังกร 4. พระพุทธกัสสป และ 5. พระปัจเจกพุทธเจ้าที่อยู่เวลานี้นะ
“อย่างนั้นก็ตรง ที่สมเด็จท่านพูดเป็นนัย ๆ ก็มาตรงกัน “
ตรงกันเพราะท่านรู้เรื่อง
“ แล้วการปลุกเสกคราวนี้จะมีอะไรที่พอจะเล่าให้ลูกหลานฟังบ้างไหมครับ เพราะต้องผิดปกติแน่ ”
มี ขาบวมทั้ง 2 ข้าง ขึ้นไปกุฏิขาบวมปูดเลย ไอ้ขาโต๊ะ เขาทำขยับขาไม่ได้ เขาทำเป็นชั้นมันต่ำ ขยับขาไม่ได้ ชาเด่ พอดีหมอคอยอยู่ หมอไปคอยอยู่ 2 วัน
“ นี่เป็นความอัศจรรย์ ”
ใช่ ๆๆๆๆ
“ บางครั้งมีเหตุการณ์ เกิดมีหมาหอน พอจะหอนก็หอนพร้อมกัน ตอนที่หลวงพ่อปลุกเสกน่ะ แล้วก็ไฟดับ หลวงพ่อลองเล่าดีกว่า ขาบวม ไม่เอาครับ ”
ไม่ใช่ขาบวม มันเป็นขามหาเศรษฐีน่ะ อ้าว แบบมันยืนไม่ไหว ขาบวมไง เออ ก้าวไม่ขึ้น หนัก ความจริง พระท่านมาเต็มที่ สมเด็จองค์ปฐมลอยเต็ม พระพุทธเจ้าล้อมเต็ม แต่ไม่เห็นของที่ปลุกเสกเลย แสงขึ้นนะ สว่างมาก ของที่ปลุกเสกน่ะมองไม่เห็น
“ ก็แสดงว่าองค์ปฐมเป็นประธาน ”
ทั้งหมด พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอริยะทั้งหมด พรหม เทวดาทั้งหลาย พอเสร็จแล้วฉันตั้งเวลาไว้ 1 ชั่วโมง พอถึงเวลา 50 นาที ท่านบอกเต็มแล้วลูก แต่ว่าเวลาที่นั่งปลุกน่ะ ตามปกติมีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรคุมฉัน และปลุกพระคำข้าว กับพระหางหมากนี่ องค์ปัจจุบันคุมฉันเอง เวลาท่านยืนคุมอยู่ท่านพุ่งแสงใจมา ที่กายฉันแสงสว่างเป็นลำนะ บอกให้นั่งเฉย ๆ 10 นาที อย่าคิดเห็นอะไรทั้งหมด ให้อยู่เฉย ๆ นะ พอหลังจาก 10 นาที บอกดูได้ ดูได้เห็นพระพุทธเจ้าพรึ่บ เต็มไปหมด พระอรหันต์เต็มไปหมด พอถึงคาถามหาลาภ ขึ้นเป็นแสงทองคำกระจากพรึ๊บเต็มบริเวณทั่วหมดไปถึงคนเลย ฉะนั้นวันนี้ท่านให้มาเก็บค่าครู(หัวเราะ)
“ แล้วเกี่ยวกับพระมหาลาภคำข้าวนี้ได้ข่าวแว่ว ๆ ว่าคราวนี้ทำไม่ทันได้แค่ล้านสามแสนกว่าๆ หรือครับ ”
ใช่ ๆ ๆ วันที่ 17 พ.ค. จะทำอีกประมาณสัก 2 ล้านเศษ ๆ เท่าที่เขาจะทำเสร็จนะ
“ งั้นแสดงว่ารุ่นนี้หนักกว่ารุ่นแรก ”
ทำ แล้วก็เท่า ๆ กันนะ แต่ความจริงท่านมาเหมือนกันแต่ทำหนักมาก เป็นพิเศษทีเดียว รุ่นนี้ถือว่าเป็นพิเศษทีเดียว ก็คงพิเศษ อย่างนี้ไปทุกรุ่น ก็ต้องถือว่ารุ่นเดียวกัน ไม่ใช่พระหลายรุ่น
“ มานึกในใจ ทำไมราคาไม่เท่าไหร่ คนอื่นเขาออกเป็นร้อยเป็นพัน ”
เพราะ ท่านสั่งของท่านเอง องค์ปฐมนะ อย่างซุ้มประตูนี่ ซุ้มประตูทำใหม่นะราคาแสนห้าหมื่นเศษ แต่ว่ามีเจ้าภาพเขาให้เงินมาแสนบาทให้ทำ ๒ ซุ้ม ท่านเลยให้เขียนว่าบริจาค 5 หมื่นบาท 2 ซุ้มแล้วอีกแสนห้าเก็บแถวนี้
“ เรื่องพระนี่คือว่าพระคำข้าวก็ดีพระหางหมากก็ดี ผลน่ะ ตุลิตะ ตุลิตัง เร็ว ๆ ไว ไม่ต้องรอเนิ่นนาน ”
รุ่นนี้เร็วมาก
” ผมนึกในใจนี่ สงสัยจะสงเคราะห์ลูกหลานมากกว่า คนยากจน คนไม่จน คนอะไรก็ได้ทั้งนั้น “
ท่าน ตั้งใจสงเคราะห์ทั้งคนทั้งวัด วัดรับไปให้เขาทำบุญราคามากกว่า ช่วยสร้างวัดไงเล่า ทีนี้ชาวบ้านที่เอาไปก็สงเคราะห์ อย่างยกทรงเอามาใช่ไหม อย่างมากรุงเทพฯนี่ เอาใครเอาจากฉันก็ได้คนละร้อยบาท ลองคิดซิ 100 บาทนี่ไม่ได้แพงเลย ถ้าเขาจะเสีย 10 บาทที่วัดท่าซุง เขาเดินทางไปเดินทางมามันเกิน 100 บาทใช่ไหม
“ นึก ได้แล้ว คำสั่งของสมเด็จท่านสั่งว่าอย่างนี้ ว่าพระมหาลาภที่รับจากมือหลวงพ่อ ท่านสั่งว่าให้ติดตัว บอกว่าเวลาแจกท่านไม่ได้แจกองค์เดียวแล้วไม่ได้ขยายความเสียด้วยซิ เวลาแจกไม่ได้แจกองค์เดียว ทีแรกผมก็นึกเอ๊ะจริงนี่หลวงพ่อแจกเยอะนี่ทีละองค์ ๆๆๆเกือบจะพูดอย่างนั้นแล้ว พอดีท่านก็รู้ไวนะครับ เพราะข้างบนท่านมาช่วยแจกด้วย ท่านเลยสงเคราะห์กลัวจะโง่มากเกินไป ท่านรู้ใจจริง ๆ ”
เก่ง มาก ยกล้อเลย องค์นี้นะ เจโตปริยญาณก็ดี ทิพพโสตญาณก็ดี ทิพพจักขุญาณก็ดี ดีหมด เก่งมาก ท่านดีอย่างเดียว ดีหมดเท่ากัน ก็มาจากทิพพจักขุญาณ
“ พอ คุยถึงทิพพจักขุญาณ ท่านบอกว่าเมื่อสมัยก่อนนะ ฉันตั้งสำนักอบรมวิปัสสนา ท่านบอกฉันทำตามตำราเปี๊ยบเลย แล้วผมถามว่าได้ผลเป็นไงครับ ท่านบอก คุณวีระอย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ ฉันทำมาได้ผลขนาดหนักเลย เลยถามว่าขนาดหนักของหลวงปู่เป็นไงครับ ปรากฏว่าลูกศิษย์ทุกคนน่ะปลาบปลื้ม ปีติ หายไปหมดเลย คนโน้นก็ไม่ได้ คนนี้ก็ไม่ได้ ฉันเลยเลิกไปเลย แล้วท่านก็บอกว่า เออ หลักสูตรใหม่ของวัดท่าซุง มโนมยิทธิ อย่างนี้เขาเรียกว่าทันสมัย เออ อาจารย์ดี ลูกศิษย์ก็ติด ครูก็ได้ ศิษย์ก็ได้ อย่างฉันกางตำราไม่ได้เรื่องเลย ”
(หลวงพ่อ) ใช้ตำราเดียวกันแต่ว่าลีลาการใช้ต่างหาก อันดับแรกก็ขึ้นอานาปานุสสติเหมือนกัน ต้องใช้ ต้องภาวนาเหมือนกัน จับภาพพระพุทธรูปเหมือนกันแต่ลีลาการใช้ต่างกัน
“ แล้วท่านก็บอกนะครับ ที่ฉันสอนว่า พุทโธ ๆๆๆๆ ไม่มีใครเห็นสักคน เลยเลิกกันไปเลย ”
ฉันเองก็ล่อมานานแล้ว หลายรูปแบบ
(จาก “สนทนาที่สายลม” ธัมมวิโมกข์ เดือนกุมภาพันธ์ 2534 หน้า 45 – 49