
ดลวรรธน์ วิโรภาส
1 วัน ·
เมื่อผมได้พบกับท่านวังหน้า โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (หลวงตาอู๋)
ในราวๆ ปีพ.ศ. 2544 วันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่ก็ได้มีผู้ชายคนหนึ่งอายุราวๆ 35 ปี ผิวขาวรูปร่างท้วมนิดๆ เข้ามาติดต่องานกับผม เมื่อคุยกันไปได้สักพักผมก็มีความรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่น่าสนใจ ผมขอเรียกเขาว่า “สุรินทร์” (นามสมมุติ) ก็แล้วกัน คุณสุรินทร์เรียนจบปริญญาโทด้านการตลาดแต่ได้ลาออกมาเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งก็คืองานที่เขานำมาเสนอกับทางผมนั่นเอง แต่เมื่อคุยกันได้สักพักเขาก็ก้มหน้านิ่งเงียบไป
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พูดออกมาคำหนึ่งทำให้ผมตกใจมาก “…… (เขาพูดชื่อเดิมในอดีตชาติของผม) จำฉันไม่ได้หรือ ฉันวังหน้าไง”
ที่ผมสะดุ้งตกใจก็คือคำพูดคำแรกของเขา เขาเรียกชื่อในอดีตชาติของผมออกมา พูดออกมาเสียงดังฟังชัดไม่ผิดแน่ ชื่อเก่าในอดีตชาติของผมเป็นชื่อที่คนในสมัยนี้ไม่มีใครใช้กันแล้ว ซึ่งชื่อนี้ผมรู้มานานแล้วว่าผมเคยเกิดเป็นใคร สมัยใด แต่ผมไม่เคยเล่าหรือแพร่งพรายให้ใครรู้เลย แม้แต่เพื่อนที่ผมสนิทที่สุดผมก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง
แต่คุณสุรินทร์ซึ่งเป็นคนที่เพิ่งพบเจอกันเป็นครั้งแรก สามารถเรียกชื่อของผมออกมาได้อย่างถูกต้องชัดเจน เป็นใครจะไม่สะดุ้งเล่าครับ แถมยังบอกอีกว่าตัวเขาคือ “วังหน้า” ด้วย ซึ่งในอดีตนั้นผมก็มีความเกี่ยวข้องกับท่านวังหน้าจริงๆ ผมเลยเชื่ออย่างสนิทใจว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าผมนี้คือท่านวังหน้า เป็นเสด็จวังหน้า (บุญมา) ในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่แฝงร่างมาผ่านทางคุณสุรินทร์ ภายหลังจึงได้ทราบว่าคุณสุรินทร์เคยเกิดเป็นหลานท่านวังหน้ามาก่อน
เมื่อตั้งสติได้ก็คุยกันเพื่อถามสุขทุกข์ระหว่างกัน จับไม้จับมือกันด้วยความรู้สึกรักใคร่และคิดถึง เหมือนคนที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน แล้วน้ำตาของผมและของคุณสุรินทร์ก็ไหลออกมาอาบแก้ม สะอึกสะอื้นกันทั้ง 2 คน ดีแต่ว่าเราอยู่กันเพียงลำพังในห้องทำงานของผม เสด็จวังหน้าท่านบอกว่า “__(ชื่อเดิมของผม) เธอลงมาเกิดเป็นมนุษย์ชาตินี้เป็นชาติที่ 3 แล้วนะ” ท่านพูดเหมือนกับว่าผมขยันลงมาสร้างบารมีเหลือเกิน น่าชื่นชมมาก ส่วนท่านเสด็จวังหน้ายังไม่ลงมาเลย
ผมเลยตอบท่านไปว่า “ผมไม่ได้อยากลงมาเท่าไหร่หรอกครับ แต่โดนครูบาอาจารย์ (หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ) ท่านเกณฑ์ให้ลงมาเกิดเพื่อช่วยงานพระศาสนา ตอนนี้เบื่อโลกมนุษย์เหลือเกิน ไม่อยากจะอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
เสด็จวังหน้า “ฮ่าๆๆ เบื่อแล้วหรือ” ผมเลยตอบท่านไปว่า “ก็เสด็จวังหน้าไม่ยอมลงมาเกิดบ้างนี่ครับ ปล่อยให้ผมลงมาคนเดียว ไม่มีใครคอยช่วยเหลือผมบ้างเลย” ผมเริ่มอ้อนท่านเพราะรู้สึกรักท่านมาก อยู่ด้วยกันแล้วอบอุ่นใจ “ขอเสด็จวังหน้าได้โปรดมาคอยคุ้มครองให้ผมด้วยนะครับ”
เสด็จวังหน้า “โอ๊ย ฉันไม่ไปคุ้มครองเธอหรอก” ผมเลยถามท่านไปว่า “อ้าว ทำไมล่ะครับ ผมมาทำงานให้พระศาสนา บางครั้งก็อาจจะเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันได้นะครับ”
เสด็จวังหน้า “ก็เพราะเธอมีผู้คุ้มครองอยู่แล้วน่ะซิ” ซึ่งผมก็ทราบทันทีว่าท่านหมายถึงหลวงปู่เทพโลกอุดรนั่นเอง เพราะหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเป็นพระอาจารย์ของทั้งเสด็จวังหน้า ในหลวงรัชกาลที่ 1 และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั่นเอง ความจริงแล้วพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ลงมาถึงรัตนโกสินทร์ ต่างก็เคารพหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วยกันทั้งนั้น เรียกว่าหลวงปู่ท่านเป็นอาจารย์ของอาจารย์หรือเป็นบรมครูทางธรรมของพระอาจารย์ทั้งหลายนั่นเอง จึงไม่แปลกใจที่ลูกศิษย์หลานศิษย์ของพระอาจารย์เหล่านั้น จะเคารพในองค์หลวงปู่เทพโลกอุดรตามครูบาอาจารย์ของตัวเองด้วยเช่นกัน
ผมยังไม่ยอมแพ้ “ถ้าอย่างนั้น ขอให้เสด็จวังหน้ามาเยี่ยมเยียนผมบ้างก็ยังดีครับ” ท่านก็ตอบกลับมาว่า “ก็ได้ ว่างๆ ฉันจะไปเยี่ยม_(ชื่อเดิมของผม) นะ”
หลังจากนั้นเพียงแค่ 2-3 วัน เสด็จวังหน้าท่านก็มาเยี่ยมผมจริงๆ ท่านมาหาผมในความฝัน โดยผมได้มีนิมิตฝันไปว่าเสด็จวังหน้าท่านมาหาที่บ้าน แล้วท่านก็พาผมไปดูอดีตสมัยที่ประเทศไทยเสียเอกราชให้แก่พม่าในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านพาผมไปดูกุฏิเรือนไม้เล็กๆ เก่าๆ หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ในดงป่าอันเงียบสงบเหมือนอยู่ในป่าช้า
แล้วท่านก็เล่าว่า “นี่คือเรือนกรรมฐานของฉัน” ผมทราบขึ้นมาทันทีเลยว่าคนในสมัยโบราณ โดยเฉพาะบุคคลสำคัญในระดับแม่ทัพนายกอง ทุกคนจะต้องฝึกเรียนกรรมฐานและคาถาอาคม ทุกคนจะเก่งได้จะต้องมีวิชาอาคมเพื่อให้อยู่คงกระพันชาตรี เอาตัวรอดในสมรภูมิการสู้รบชนิดตะลุมบอนได้ ซึ่งพื้นฐานของคาถาอาคมจะใช้ได้ผลดีก็ต้องผ่านการฝึกกรรมฐานมาอย่างดีแล้วเท่านั้น
แล้วท่านก็พาผมไปดูสถานที่รวมพล มีทั้งทหารและชาวบ้านที่รักชาติเข้ามารวมพลกันเพื่อวางแผนในวัดเก่าๆ แห่งหนึ่ง บรรยากาศในการรวมพลนั้นดูตึงเครียดเอาจริงเอาจังกันมากเพราะต้องคอยหลบไม่ให้พวกพม่าเห็น ท่านพาผมไปดูการรบพุ่งกับพม่า
ในการรบนั้นบางครั้งก็ถึงขั้นตะลุมบอนฟันกันไปมาทั้งคนทั้งม้าไม่รู้ใครเป็นใครชุลละมุนกันไปหมด ท่านพาผมไปดูอีกหลายอย่างจนผมเกิดความรู้สึกว่าพวกท่านทั้งหลายเหล่านี้ ต่างเป็นผู้มีพระคุณที่ได้ทำการกอบกู้ประเทศชาติจากการยึดครองของพม่า ท่านยอมเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตก็เพื่อให้พวกเราได้มีเอกราช ไม่ต้องตกเป็นทาสใคร มีผืนแผ่นดินได้อยู่อาศัยมาจนถึงทุกวันนี้…..กราบขอบพระคุณต่อท่านเสด็จวังหน้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) ทหารเอกของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเป็นพระอนุชาของในหลวงรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ด้วยเศียรเกล้า
งานพิธีหล่อรูปเหมือนหลวงปู่เทพโลกอุดรที่เขาตะเกียบ อ.หัวหิน จ.เพชรบุรี
ผมและเพื่อนๆ ได้ร่วมกันสร้างรูปหล่อของหลวงปู่เทพโลกอุดรองค์นี้โดยผมรับเป็นเจ้าภาพใหญ่สร้างท่าน ซึ่งรูปหล่อองค์นี้ได้ทำเลที่ตั้งที่ถือว่าดีมากที่สุดบนเขาตะเกียบ คือได้ตั้งท่านไว้บนเนินเขาเตี้ยๆ ที่อยู่ติดชายทะเลอ่าวไทยเลย เมื่ออยู่ในจุดนี้จะสามารถมองออกไปในทะเลได้กว้างสุดลูกหูลูกตา เพื่อให้องค์หลวงปู่ได้ปกปักษ์คุ้มครองในบริเวณแถบนี้
ในวันพิธีหล่อก็ปรากฏว่าเกิดลมพายุหมุนเข้ามาในพิธีจนฝุ่นฟุ้งกระจาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้โต๊ะพิธีและเต็นท์ต่างๆ เสียหาย ในวันนั้นผมได้นิมนต์หลวงป๋าวัดหลวงพ่อสดไปร่วมในพิธีด้วยในฐานะ “ประธานอุปถัมภ์” ของการหล่อรูปหลวงปู่ใหญ่ครั้งนี้
พอเริ่มพิธีหล่อหลวงป๋าท่านก็ทำหน้าประหลาดใจ หันมาพูดกับผมว่า “นี่อู๋ เสด็จวังหน้า (บุญมา) ท่านก็มาด้วย ท่านมาปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าในพิธี ท่านเสด็จมาพร้อมกับในหลวงรัชกาลที่ 1 (ท่านพ่อทองด้วง) พร้อมเหล่าเสนาอำมาตย์มากมาย เลยออกไปก็เป็นพวกเทวดาและเหล่าพญานาคได้มาร่วมในพิธีนี้กันอย่างมากมายเต็มท้องฟ้า” เสด็จวังหน้าท่านคงจะมาให้กำลังใจผมที่ได้ทำงานให้พระศาสนาและครูบาอาจารย์ของท่าน….