กท พิเศษ เผยแผ่บารมีหลวงปู่

กท พิเศษ เผยแผ่บารมีหลวงปู่
พระอรหันต์โบราณและผ้าขาวผู้ทรงฤทธิ์ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 30 มิ.ย. 2559

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผม (อู๋) คิดมานานแล้วว่าจะเล่าไว้ดีหรือไม่ แต่ก็คิดว่าน่าจะถึงเวลาเล่าไว้ก่อนที่จะลืมเลือนไปเพราะเรื่องมันได้เกิดขึ้นมานานกว่า 20 ปีแล้ว ถ้าผมไม่เล่าไว้เรื่องนี้ก็จะไม่มีคนรู้และคนรุ่นหลังก็จะคิดว่าในปัจจุบันนี้คงไม่มีผู้ทรงฤทธิ์อภิญญาเหลืออยู่อีกแล้ว เรื่องเหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายจากคนหนุ่มเป็นคนแก่ จากคนผอมเป็นคนอ้วน ดำน้ำดำดิน เดินทะลุกำแพง ย่นระยะทาง ฯลฯ คงไม่มีใครทำได้ หลายคนก็คงคิดแบบนั้นเพราะเขาไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักคนที่เขาทำได้นั่นเอง ถ้าเราอยากเห็นและพบเจอสิ่งเหล่านี้เราก็ต้องอธิษฐานและค้นคว้าศึกษา แล้วก็ไปให้ถึงที่ตรงนั้น

ปู่ผ้าขาวแห่ง “เมืองแก้วเวหา”

หลวงปู่ผ้าขาวท่านนี้อายุประมาณ 50 ปี ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระอรหันต์โบราณแห่งเมืองแก้วเวหา เมืองแก้วเวหานี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์อภิญญาได้เนรมิตขึ้นมา เป็นเมืองพิเศษที่ลอยอยู่กลางอากาศ ถ้าไปจากประเทศไทยก็จะอยู่เลยป่าหิมพานต์ไปอีก แต่แม้ว่าเราจะไปจนถึงแถบนั้นได้เราก็ไม่มีทางที่จะได้พบเห็นเมืองแก้วแห่งนี้ เพราะเป็นเมืองที่พระอรหันต์โบราณท่านเนรมิตขึ้นมา เป็นภพซ้อนภพ ถ้าไม่มีบุญสัมพันธ์หรือท่านไม่อนุญาตก็ไม่มีทางพบเห็นหรือเข้าไปได้ เมืองแก้วเวหาแห่งนี้เป็นที่อยู่ของท่านพระอรหันต์โบราณประเภทอภิญญาปฏิสัมภิทาญาณนับร้อยๆ องค์ ท่านยังคงอยู่และเข้าสมาธินิโรธสมาบัติสงบนิ่งเพื่อรักษาธาตุขันธ์ รอเวลาที่ศาสนาจะเสื่อมจนถึงที่สุดแล้วท่านก็จะพากันออกมาเพื่อตั้งศาสนาขึ้นใหม่

หลวงปู่ผ้าขาวท่านนี้เมื่อเรียนจบวิชาจากเมืองแก้วเวหาแล้ว ท่านได้ไปตั้งวัดอยู่ที่จังหวัดสกลนคร ผมเกริ่นมาแค่นี้คนที่เป็นลูกศิษย์ของท่านก็จะทราบทันที แต่ปู่ท่านไม่อยากดังและอยากอยู่อย่างสงบทำงานเงียบๆ ไม่เป็นที่สนใจของผู้คนและสื่อต่างๆ ท่านจึงสั่งกำชับไม่ให้ลูกศิษย์ของท่านเล่าเรื่องต่างๆ ของวัดให้คนภายนอกทราบ ผมขอเรียกท่านผ้าขาวท่านนี้ว่า “ปู่” นะครับ ปู่ท่านมักจะใช้ศาลาใหญ่ของวัดเพื่อจัดประชุมงานทางโลกวิญญาณอยู่บ่อยๆ ศาลาแห่งนี้เป็นศาลาที่มีประตูเข้าออกได้ 3 ทาง ที่มุมหนึ่งของศาลาจะมีโต๊ะไม้ยาวสำหรับนั่งประชุมได้ 8-10 คน โดยส่วนที่ประชุมนี้จะมีม่านขนาดใหญ่กั้นระหว่างส่วนที่ใช้ประชุมและส่วนที่ไว้ตั้งพระพุทธรูปต่างๆ โดยมีประตูเล็กสำหรับเข้าออกในส่วนนี้เป็นการเฉพาะ

เวลาท่านจัดประชุม ก็จะมีพระอรหันต์โบราณและเทพเทวาที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมกันครั้งละประมาณ 6-8 ท่าน เรื่องที่ท่านประชุมกันนั้นผมก็ไม่ทราบเพราะท่านไม่เคยบอกแล้วผมก็ไม่กล้าถามท่านด้วย แต่ทราบมาว่าปู่มักจะออกจากวัดในเวลาค่ำคืนเพื่อไปตามเก็บวิญญาณที่น่าสงสาร ตามป่าเขา ถ้ำ ลำธาร วิญญาณพวกนี้เป็นวิญญาณที่ถูกลืม ตกค้างไม่ได้ไปผุดไปเกิดอายุนานนับร้อยๆ ปี ปู่ท่านก็จะไปตามเก็บกลับมาไว้ที่วัดเพื่อนำมาอบรมฟังธรรมก่อนส่งให้ไปเกิดตามที่ต่างๆ วัดแห่งนี้จึงเป็นที่พักของเหล่าวิญญาณที่มีทั้งดีและร้ายสุดๆ คนที่ไปนอนค้างแรมในวัดแห่งนี้จึงมักจะถูกผีหลอกกันจนเป็นเรื่องปกติทั้งในเวลากลางวันและเวลากลางคืน

ปู่มักจะจัดการประชุมในเวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีสอง พวกลูกศิษย์ที่สนใจชอบสอดรู้สอดเห็นก็จะแอบเข้าไปในศาลาซึ่งพอจะมีที่นั่งได้ตรงบริเวนที่ตั้งของพระพุทธรูป ภายในศาลาจะปิดไฟและปิดประตูทั้งหมดภายในศาลาจึงมืดมิดแทบมองอะไรไม่เห็นเลย แต่ในความมืดมิดนั้นเมื่อเราปรับสายตาได้ก็ยังพอจะเห็นอะไรลางๆ ได้ ผู้ที่เป็นประธานในการประชุมก็คือปู่ ปู่ท่านจะแต่งตัวด้วยชุดขาวและมีผ้าคลุมตัวสีขาวคลุมลงมาถึงบริเวณน่อง ผ้าคลุมนั้นประดับประดาไปด้วยเพชรพลอยส่องแสงด้วยตัวเองออกมาเป็นประกายระยิบระยับ ศีรษะของปู่นั้นท่านจะสวมมงกุฏซึ่งมองดูคล้ายทำมาจากผ้าแล้วพันทับกันเหมือนที่กษัตริย์อินเดียโบราณนิยมสวมใส่ แต่ที่ยอดมงกุฏนั้นมีเพชรลูกใหญ่เท่ากับลูกมะนาวเห็นจะได้ส่องแสงออกมาได้ด้วยตัวเอง แสงนี้สว่างกว่าเพชรพลอยเม็ดอื่นๆ ที่ปู่สวมใส่

แสงจากเพชรลูกนี้แหละที่ทำให้ห้องอันมืดมิดมีแสงเรืองรองทำให้พอมองเห็นสิ่งต่างๆ ในความมืดได้ แล้วแสงนี้ก็ไม่ใช่ส่องแบบเรียบๆ แต่เหมือนแสงของดาวฤกษ์ที่ส่องแสงออกมาเป็นประกายระยิบระยับงดงามเหลือที่จะบรรยาย (ปู่ท่านแต่งตัวแบบนี้เฉพาะตอนประชุมเท่านั้น) ในที่ประชุมนั้นผมมองเห็นแต่ปู่องค์เดียวเพราะท่านแต่งชุดขาวเป็นประกาย ส่วนพระอรหันต์โบราณที่มาร่วมประชุมนั้นผมมองไม่เห็นท่านเพียงแต่เมื่อท่านเข้ามาประตูศาลาจะเปิดออกได้เอง และเราก็จะได้กลิ่นหอมตลบอบอวนไปทั้งศาลา เป็นกลิ่นที่หอมเย็นชื่นใจไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอมใดๆ ในโลก กลิ่นหอมนี้แหละที่เหมือนกับกลิ่นหอมที่ผมจำได้ดีเวลาที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านมาโปรด เป็นกลิ่นหอมแบบเดียวกันคือกลิ่นกายกลิ่นศีลกลิ่นธรรมของพระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา

พอจะเริ่มประชุม ผมก็เห็นเทวดาที่มาทำหน้าที่ดูแลการประชุมเข้าไปจับผ้าม่าน เทวดาท่านนี้แต่งตัวเหมือนเจ้าพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ คือแต่งตัวด้วยชุดขาวมีผ้าคลุมสีขาวบางๆ ที่มีประกายระยิบระยับ สวมหมวกสูงทรงแหลมเหมือนที่เราเคยเห็น แต่ทั้งตัวและชุดที่สวมใส่ของเทวดานั้นโปร่งแสง เทวดาองค์นี้ท่านไม่ได้ยืนแต่นั่งแบบคุกเข่าสองมือจับม่าน แล้วท่านก็พุ่งตัวเองเพื่อลากให้ผ้าม่านนั้นปิดบังพื้นที่การประชุม การพุ่งตัวของท่านก็ไม่ใช่การคลานแต่เหมือนท่านนั่งอยู่บนแผ่นเสก็ตบอร์ดไถลลื่นเหนือพื้นศาลาเอามือจับม่านปิดม่านไปอย่างรวดเร็ว พอม่านปิดไปถึงผนังอีกด้านหนึ่งแล้วตัวของเทวดาท่านกลับไม่หยุด ท่านกลับเอาตัวพุ่งชนทะลุผ่านเข้าไปในผนังกำแพงเลย ผมมองดูด้วยความตื่นเต้นเพราะไม่คิดว่าท่านเทวดาจะเล่นพุ่งใส่ชนผนังศาลาเข้าไปอย่างนั้น….

แอบดูหลวงปู่ผ้าขาวเหาะ

ที่วัดของปู่ ผม (อู๋) ได้รู้จักสนิทสนมกับอุปัฏฐากของปู่ท่านหนึ่ง ท่านผู้นี้เป็นผู้หญิงอายุประมาณ 45 ปี เมื่อว่างจากการงานท่านก็จะมาอยู่วัดเพื่อดูแลเรื่องอาหารการกินและของใช้ต่างๆ ของปู่ ท่านมักจะเล่าให้ผมฟังว่าเห็นปู่เหาะลอยลงมาจากท้องฟ้าบ่อยๆ บางครั้งปู่ก็เหาะลงมาอย่างรวดเร็วจึงทำให้เสื้อคลุมของปู่เกี่ยวเข้ากับยอดแหลมของหลังคาจนขาด ท่านจึงต้องคอยเย็บเสื้อคลุมของปู่ให้ดีดังเดิม ผมฟังแล้วก็เลยอยากเห็นปู่เหาะบ้าง คิดไปคิดมาก็คิดได้ว่าการจะเห็นปู่เหาะลงมาซึ่งมักเป็นเวลาก่อนรุ่งอรุณนั้น เวลามาของท่านไม่แน่นอน แล้วก็ไม่รู้ว่าปู่จะเหาะมาลงตรงไหน เอาอย่างนี้ดีกว่าเราไปดูตอนท่านจะเหาะขึ้นฟ้าน่าจะง่ายกว่า เพราะเรารู้ว่าเมื่อปู่ท่านประชุมเทวดาเสร็จแล้วส่วนใหญ่ท่านก็จะเหาะไปทำธุระต่อในที่อื่น

คืนนั้นเวลาประมาณตีหนึ่ง ปู่ท่านก็จัดประชุมงานตามปกติ (การประชุมไม่ได้จัดทุกคืน) ผมก็รอให้ทุกคนเข้าไปในศาลาก่อน แต่ครั้งนี้ผมจะไม่เข้าไปในศาลาแล้ว ผมเดินไปอีกด้านหนึ่งของศาลาซึ่งจะสามารถมองเห็นประตูเล็กที่ปู่ท่านจะออกมาได้ ไปนั่งแอบหามุมหลบอยู่เงียบๆ คอยเวลาที่ปู่จะออกมา โดยคาดหวังว่าจะเห็นปู่เหาะลอยขึ้นไปในอากาศ ผมนั่งรอเวลาในความมืดประมาณ 45-60 นาที ก็เห็นประตูเปิด-ปิดได้เองนั่นก็หมายถึงว่าการประชุมได้เสร็จสิ้นแล้ว เทวดาที่ดูแลรักษาประตูได้ทำหน้าที่เปิดและปิดประตูให้แก่เหล่าพระอรหันต์โบราณและเทวดาต่างๆ ให้เดินทางกลับโดยออกทางประตูนี้

ทันใดนั้นผมก็เห็นปู่เดินออกมา ในส่วนร่างกายตอนบนของปู่ก็เหมือนปกติแต่ส่วนเท้าของท่านซิครับมันแปลกประหลาดมาก เพราะขาและเท้าของท่านมันหมุนเหมือนล้อรถยนต์หมุนเร็วจนเรามองไม่เห็นว่าตรงไหนเป็นเท้าซ้ายหรือเท้าขวา ดูไปก็เหมือนกับการ์ตูนเรื่อง Road Runner ที่เขาวาดเป็นตัวนกชอบวิ่งไปในที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว โดยเท้าของนกตัวนี้มันจะหมุนเร็วจี๋พันกันจนเหมือนเป็นล้อรถยนต์ เท้าของปู่ที่ผมเห็นในคืนนั้นก็เป็นแบบเดียวกัน ไม่รู้ว่าปู่ท่านใช้วิชาอะไรเพราะผมไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน แล้วเท้าของปู่ก็ลอยอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 6 นิ้ว ท่านไม่ได้เดินออกมาแต่เหมือนลอยออกมามากกว่า ท่านลอยออกมาด้วยความเร็วแล้วก็กำลังเพิ่มความเร็วเพื่อที่จะทะยานขึ้นไปในอากาศ เหมือนกับเครื่องบินที่กำลังเร่งความเร็วเพื่อจะทะยานขึ้นฟ้า (Take Off) อย่างไรอย่างนั้น

พอปู่เตรียมที่จะทะยานขึ้นไปท่านก็เหลือบมาเห็นผมที่แอบดูอยู่ตรงมุมเสา ปู่ก็เบรคเอี๊ยดเลย แต่ด้วยความเร็วที่ปู่พุ่งออกมาทำให้ปู่ต้องหมุนรอบตัวเองเพื่อลดความเร็วลง เหมือนกับนักเสก็ตที่วิ่งมาด้วยความเร็วแล้วต้องเบรคกระทันหัน ตัวนักเสก็ตก็จะหมุนติ้วเป็นเหมือนลูกข่าง ผมมองเห็นปู่หมุนตัวอยู่สามสี่รอบแล้วท่านก็หยุดลอยลงมาเอาเท้าแตะที่พื้นดิน ปู่หันมามองผมแล้วท่านก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าว…เธอมานั่งทำไมแถวนี้” ผมรู้ว่าปู่ทราบดีว่าผมมาแอบดูท่านเหาะ ผมก็รู้สึกอายเหมือนกัน แต่ก็ตอบท่านไปแบบเลี่ยงๆ ว่า “ผมจะเข้าไปในศาลา แต่ผมมาช้าเขาปิดประตูแล้วผมเลยไม่กล้าเปิดประตูเข้าไป เลยมานั่งอยู่แถวนี้ครับ” ผมตอบไปผมก็ยิ้มไป ปู่ท่านก็ยิ้มให้ผมอย่างรู้ทันแล้วท่านก็เดินลงบันไดหายไปในความมืด นี่อีกเพียงอึดใจเดียวถ้าท่านมองไม่เห็นผมท่านก็จะทะยานขึ้นฟ้าไปแล้ว….เรื่องที่ผมเล่ามานี้คงไม่มีใครนำมาเล่าไว้ เพราะลูกศิษย์ของท่านไม่มีใครยอมปริปากเล่าให้คนนอกฟังอย่างเด็ดขาด

สำหรับคำสอนของปู่นั้น ท่านจะเน้นสอนเรื่องการดูจิตและรู้ให้เท่าทันจิต ไม่ว่ากิเลสมันจะเข้ามาทางไหนของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราก็จะต้องรู้ให้ทัน เมื่อเราไปเจออะไรกิเลสมันจะเกิดขึ้น เราก็จะต้องรู้ให้ทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็น โลภ โกรธ หลง ก่อนที่มันจะปรุงแต่ง (สังขาร) จิตของเราให้เกิดความโลภ โกรธ หลง เราจะต้องดับมันให้ได้รู้เท่าทันมันให้ได้ ทำกระบวนการปรุงแต่ง (สังขาร) ให้มันช้าลง เมื่อทำบ่อยๆ เราก็จะรู้ทันและดับกิเลสนั้นได้เอง การดูจิตเราจะต้องดูตลอดเวลาทั้งขณะหลับและตื่น เมื่อเกิดความชำนาญจิตจะเป็นนายกายจะเป็นบ่าวอย่างแท้จริง จิตจะเป็นผู้ตื่นตลอดเวลา ความง่วงจะหายไป ไม่มีการนอนอีก (ปู่ท่านก็ไม่เคยนอนมานานแล้ว แต่ถ้าท่านรู้สึกเพลียท่านจะพักโดยการนั่งสมาธิไม่เกิน 15 นาที) ผุ้สำเร็จที่แท้จริงจึงเป็นผู้ที่ตื่นตลอดเวลาไม่มีวันหลับ แล้วจิตจะมีกำลังแก่กล้าจนสามารถแสดงฤทธิ์ได้ดั่งใจปรารถนา ปู่บอกการแสดงฤทธิ์นั้นไม่ต้องใช้คาถาอาคมอะไรเลย

เมื่อพระอรหันต์โบราณมาโปรด

เมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้ว คืนหนึ่งผม (อู๋) ได้มีนิมิตที่ประทับใจและตื้นตันใจที่สุดในชีวิต เป็นนิมิตที่ไม่เคยลืมเลยแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม ในนิมิตนั้นผมได้เดินทางไปในป่าแห่งหนึ่งที่มีต้นไม้สูงใหญ่มากมาย บรรยากาศในป่าแห่งนั้นสงบเงียบมาก ผมมองออกไปข้างหน้าก็เห็นพระองค์หนึ่งอยู่ห่างออกไปไกลลิบๆ เลย มองเห็นแต่จีวรสีกรักแล้วผมก็ต้องประหลาดใจเพราะท่านเดินมุ่งหน้ามาทางผม

แต่การเดินของท่านไม่เหมือนใครเลย เพราะท่านเดินแบบเหมือนจากจุดหนึ่งแล้วก็มาปรากฏในอีกจุดหนึ่ง มันไม่เหมือนกับการเดินแบบเร็วๆ ที่เราเคยดูในหนัง แต่ภาพการเดินของท่านมันไม่เห็นว่าท่านเดินต่อเนื่องติดต่อกัน มันเป็นการเดินแบบจากที่หนึ่งแล้วหายมาปรากฏในอีกที่หนึ่งเลย ผมคิดในใจว่าอ้อนี่เองท่านคงใช้วิชาใดวิชาหนึ่งที่เขาเรียกว่าการ “ย่นระยะทาง” เพียงอึดใจเดียวท่านก็เดินเกือบจะมาถึงตัวผมแล้ว

ผมกำหนดจิตดูก็ทราบว่า พระท่านนี้คือพระอรหันต์โบราณที่ยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล โดยท่านยังดำรงธาตุขันธ์อยู่ด้วยฌานสมาธิอิทธิบาท 4 และการเข้านิโรธสมาบัติแบบเดียวกับหลวงปู่พระอุปคุตที่สะดือทะเล ท่านยังต้องอยู่เพื่อรักษาพระศาสนา (ไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนอยากจะอยู่นาน) โดยเก็บตัวอยู่ในที่เล้นลับที่ห่างไกลหรือในมิติพิเศษที่ท่านสร้างขึ้นมา “เมืองแก้วเวหา”

การเดินของท่านนั้นเป็นการเดินแบบเท้าไม่ติดพื้น การก้าวย่างก็ไม่เหมือนกับที่พวกเราเดิน ท่านจะก้าวขาซ้ายไปข้างหน้าโดยที่ไม่ได้ยกขาขึ้น เป็นการก้าวขาไปตรงๆ ขณะที่ขาซ้ายจะดึงกลับมาขาขวาของท่านก็ยื่นสลับไปข้างหน้าโดยไม่ได้ยกขาขึ้นเช่นเดียวกัน ก้าวสลับไปสลับมาอย่างรวดเร็วจนมองเหมือนเครื่องจักรที่ชักไปชักมาสับไปสับมาเป็นจังหวะเข้าออกๆ อย่างรวดเร็ว ตัวท่านก็เหมือนเดินทะลุมิติคือมองเห็นว่าท่านอยู่ที่หนึ่งแล้วก็มาปรากฏขึ้นในอีกที่หนึ่ง แว๊บเดียวท่านก็มายืนอยู่ที่ตรงหน้าผมแล้ว หลวงปู่ท่านครองจีวรสีกรัก รอบๆ กายของท่านมีแสงรัศมีสีทองออกมาเรืองๆ มีผ้าจีวรห่มคลุมตั้งแต่ศีรษะลงมาคลุมตัวจนถึงเอวโผล่แต่ใบหน้าออกมา แสดงว่าท่านคงจะมาจากที่อยู่อันหนาวเย็นมากจนต้องใช้ผ้าคลุมทั้งตัวแบบนี้ ใบหน้าของท่านขาวซีด ตาโตลึก แก้มตอบ จมูกโด่ง ผม คิ้ว และหนวดเคราสีดำแซมขาวยาวเฟื้อยบ่งบอกว่าท่านมีอายุยืนยาวมาก ใบหน้ายาวไม่เหมือนคนอินเดียเลย ใบหน้าของท่านออกไปทางฝรั่งมากกว่าที่เรียกกันว่าชาวอารยัน รูปร่างผอมสูง น่าจะสูงประมาณ 185-190 ซม. ในใจผมคิดขึ้นมาว่าคนสมัยโบราณนี้ท่านตัวสูงจริงๆ ท่านผอมจนเห็นกระดูกที่แขน กระดูกของคนโบราณนั้นใหญ่มาก ในมือขวาของท่านถือไม้เท้าสีดำยาวสูงจนมาถึงหน้าอก

ท่านมายืนอยู่ที่ตรงหน้าผม ใบหน้าของท่านนิ่งมากแต่แฝงไว้ด้วยความเมตตา ท่านยืนนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่ผมทราบขึ้นมาด้วยตัวเองว่าท่านมาหาครั้งนี้เพื่อมาโปรดผมโดยเฉพาะ ผมรีบก้มตัวเพื่อเข้าไปกราบเท้าท่าน มองเห็นว่าท่านเดินเท้าเปล่าไม่ได้สวมรองเท้า เมื่อได้กราบเท้าท่านแล้วผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา นับเป็นนิมิตฝันที่ผมประทับใจที่สุดเพราะไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้ผมจะได้ มีโอกาสกราบแทบเท้าพระอรหันต์อภิญญา ที่เป็นพระอรหันต์โบราณครั้งสมัยพุทธกาลอายุนับพันปีที่ยังมีกายเนื้อแบบนี้ ท่านคงจะมาให้กำลังใจเพื่อให้ผมได้สร้างบารมี ทาน ศีล ภาวนา ให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป

แชร์เลย

Comments

comments

Share: