กสิณกลาง คือ อาโลกกสิณ นั้นดีอย่างไร ใครมักมีจิตใจฟุ้งซ่าน ถ้าเอากสิณเพ่งอยู่ในใจ นึกให้เห็นอยู่ในใจ ผูกใจไม่ให้วอกแวกไปได้โดยง่าย เหมือนที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมธีรราชมหามุนีท่านบอกว่า เหมือนกับเราเอาเชือกผูกล่ามลูกโคติดกับหลัก ลูกโควิ่งวนไปวนมาๆ เดี๋ยวก็เหนื่อย ก็นอนแหมะลงตรงนั้น จิตเราเหมือนลิง เพราะฉะนั้น กสิณนี่แหละผูกใจให้อยู่ในที่ที่เราต้องการให้ใจหยุดอยู่
เรื่องการเพ่งกสิณนี่ เขาปฏิบัติกันมานานแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาล แต่ว่าปฏิบัติแล้วทำไมถึงไม่เกิดประโยชน์สูงสุด คือมรรคผล นิพพาน เกิดประโยชน์แค่ว่าไปอุบัติในพรหมโลกเท่านั้น คือเป็นแต่สมถะเฉยๆ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะใจที่จะให้เป็นสมาธิไม่ถูกที่ตั้งกําเนิดธาตุธรรมเดิม อันเป็นที่ตั้งของกาย เวทนา จิต ธรรม ให้สามารถเข้าไปรู้-เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม สุดละเอียดไปถึงธรรมกาย ถึงนิพพาน ปฏิบัติทางจิตไม่ถูกมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางของจิตใจ เพราะฉะนั้น ถ้าใครคลำทางตรงนี้ถูก คือ ถ้ากำหนดใจให้เป็นสมาธิตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ก็ถูกทางสายกลาง ถูกมหาสติปัฏฐาน 4 โดยตรง ถึงนิพพาน
ทีนี้ ที่จะให้ได้ผลดีที่สุดก็กสิณนี่แหละ ผูกใจผู้ปฏิบัติได้ดีที่สุด จึงเหมาะกับจริตอัธยาศัยทุกอัธยาศัย ถ้าใครปฏิบัติภาวนาสมาธิด้วยวิธีเพ่งกสิณแล้ว มีอานุภาพให้ถึงจตุตถฌานได้โดยสะดวก นี้มีอานุภาพอย่างนี้ วิธีปฏิบัติสมาธิภาวนามีทั้ง 40 วิธี มีอานุภาพให้เข้าถึงฌานต่างๆได้ไม่เท่ากัน
ที่มีอานุภาพสูง ได้ผลสูง ก็กสิณนี้แหละ กสิณทั้งหมดนี่ก็มารวมที่กสิณกลาง คืออาโลกกสิณนั้นเอง เมื่อเป็นดวงใสสว่างตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมแล้ว ตรงนี้เป็นเคล็ดลับของวิชชาธรรมกายที่สำคัญประการหนึ่ง ก็คือว่า อาโลกกสิณเมื่อตั้งจิตถูกที่ คือรวมใจให้อยู่ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมแล้ว จะเห็นที่หมายเป็นจุดเล็กใสประมาณเท่าเมล็ดโพธิ์เมล็ดไทร ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมนี่แหละเป็นที่ตั้งของธาตุละเอียดของขันธ์5, อายตนะ12, ธาตุ18, อินทรีย์22, อริยสัจ4, ปฏิจจสมุปบาทธรรม12, ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆกันเข้าไปข้างในจนสุดละเอียด
ทีนี้ เมื่อเป็นที่ตั้งที่รวมของขันธ์5, อายตนะ12, ธาตุ18, ท่านคงทราบว่ามีธาตุรับ ธาตุกระทบ และธาตุรับรู้ คือวิญญาณต่างๆ ให้รับรู้ทางอายตนะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งธาตุรับรู้อยู่ตรงกลาง พอใจหยุดมารวมอยู่ตรงกลาง ก็มีอานุภาพสำคัญเกิดขึ้นให้ผลดียิ่งอีกประการหนึ่ง นั่นคือ ทิพพจักษุ ทิพพโสต เกิดขึ้นและเจริญขึ้นดีแท้ตั้งแต่เริ่มต้น เฉพาะตัวอาโลกกสิณเองนั้น ทำให้ทิพพจักษุ ทิพพโสต เกิดขึ้นอย่างเร็ว
ทีนี้ เมื่อทิพพจักษุ ทิพพโสต ตั้งอยู่ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมอันเป็นที่ตั้งของกาย เวทนา จิต ธรรม ณ ภายใน เข้าไปจนสุดละเอียด ถึงธรรมกาย และสุดละเอียดถึงนิพพาน ตรงกลางของกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมนั้นเอง จึงเป็นมัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลางที่ให้ผลในการได้รู้ได้เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ถึงอายตนะนิพพาน ได้อย่างถูกต้องแน่นอนดีกว่าการเจริญภาวนาสมาธิโดยวิธีอื่นและการตั้งใจไว้ ณ ที่อื่น และก็ตรงกลางของกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของกายในกาย สุดกายหยาบ-กายละเอียดนี้เอง จึงเป็น”เอกายนมรรค” “ทางสายเอก” เป็นทางไปของพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้าทั้งหลาย นี่ รับกันไปหมดอย่างนี้
เพราะฉะนั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้พบว่า ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายก็อยู่ตรงนี้ อาโลกกสิณเป็นกสิณกลาง ยังให้ทิพพจักษุและทิพพโสตเกิดและเจริญขึ้น ท่านก็เลยให้นึกให้เห็นดวงแก้ว ซึ่งเป็นบริกรรมนิมิตเทียบเคียงกับดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย 1, และเป็นบริกรรมนิมิตด้วยอาโลกกสิณอีก 1,
เพราะอาโลกกสิณนี้ เมื่อเพ่งเมื่อดูแสงสว่างจำได้ติดตาแล้วเป็นอุคคหนิมิตแล้วนั้นแหละ จะเห็นเป็นดวงใส เพราะฉะนั้นท่านให้นึกให้เห็นดวงใสเลย เอาขั้นกลางหรือระดับกลางของอาโลกกสิณมาใช้เป็นเบื้องต้นของการปฏิบัติภาวนาวิชชาธรรมกายเลย เห็นไหม ความลึกซึ้งแม้เพียงธรรมะปฏิบัติเบื้องต้นอย่างเดียวของหลวงพ่อลึกซึ้งถึงเพียงนี้
เพราะฉะนั้น
คนไม่รู้ก็ว่าทำไมถึงไปนั่งเพ่งดูดวงแก้ว เขาไม่รู้ว่าดวงแก้วนี้เป็นส่วนที่เจริญมาจากอโลกกสิณในระดับอุคคหนิมิต ที่จะเจริญขึ้นไปเป็นปฏิภาคนิมิต และนี้เป็นกสิณกลางที่จะให้เกิดและเจริญทิพพจักษุ ทิพพโสต อันจะนำไปสู่สมันตจักษุ และพุทธจักษุ เมื่อปฏิบัติถึงธรรมกาย และถึงนิพพาน เห็นไหมล่ะลึกซึ้งอย่างนั้น.
สมันตจักษุตา คือ ตาโดยรอบ ตาเห็นรอบ ที่หยั่งรู้ธรรมทั้งปวง ได้แก่พระสัพพัญญุตญาณ
พุทธจักษุ คือ จักษุของพระพุทธเจ้า ได้แก่ ญาณที่หยั่งรู้อัธยาศัย อุปนิสัย และอินทรีย์ ที่ยิ่งหย่อนต่างๆของเวไนยสัตว์
เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี
ที่มา
ธรรมปฏิบัติเบื้องต้น
ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
ขอบคุณภาพประกอบธรรมะ