การทำวิชชารบนั้น ทำอย่างไร?

ถาม
การทำวิชชารบนั้น ทำอย่างไร?

ตอบ
การทำวิชชารบจะต้องเข้าใจหลักของวิชชาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มมี ดวงปฐมมรรคจนเข้าถึงกายธรรม และเข้าถึงมรรคผลขั้นสูงสุด รู้วิธีเดินอริยสัจจ์ เข้าใจการเดินวิชชาผ่านสมถะ และทำได้โดยตลอดทั้ง เดินวิปัสสนา 5 หมวดให้เป็น หัดทำนิโรธให้ชำนาญ เพราะ การทำนิโรธ (ดับหยาบไปหาละเอียด) เป็นหลักที่สำคัญที่สุดในการทำ วิชชารบ รู้หลักการคำนวณ รู้จักจักรวาล ภพ ทั้งภพน้อย ภพใหญ่ รู้จักบารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ รู้จักการพิสดารกาย พิสดารธาตุธรรม การปรุงกาย การปรุงธาตุธรรม รู้จักของจริงของปลอมในธาตุธรรม รู้จักวิธีทำให้เกิดและทำให้ดับ รู้จักการซ่อนกาย ซ่อนธาตุธรรม และข้อสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องมีไหวพริบจับเหลี่ยมได้รอบตัว มิฉะนั้นแล้วก็มักจะพลาดพลั้งได้โดยง่าย เผลอไม่ได้ต้องมีสติอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ถ้ามีอยู่ในผู้ใดก็นับว่าทำวิชชารบได้ถูกต้อง แต่ถ้าหากไม่ทำให้เป็น ไม่รู้จักทุกอย่าง ก็เรียกว่าทำตามเขาไปเท่านั้น ผิด ๆ ถูก ๆ ตามแต่จะได้ ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรนัก ส่วนอย่างอื่นก็ต้องค้นคว้าอยู่เสมอ เพราะ วิชชาไม่ได้อยู่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามแต่เราจะค้นพบ และก็ ต้องแก้เหตุเฉพาะหน้าให้ได้อยู่เสมอ (ที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นเพียงส่วนน้อยเต็มที จะอธิบายให้ละเอียดได้ยากเหลือเกิน)

พระราชพรหมเถร
(หลวงปู่วีระ คณุตฺตโม)

การทําวิชชาเพื่อแก้และเก็บอวิชชาของภาคมาร
ที่เขาส่งเข้ามาเป็นเหตุวิบัติ บาปศักดิ์สิทธิ์ที่หนักหน่วงรุนแรง และต่อเนื่อง ในธาตุธรรมของสัตว์โลกทั้งหลาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับผู้ที่ได้เคยทำบาปอกุศลร่วมกันกำลังให้ผลอยู่เช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก จักต้องอาศัยผู้ที่มีคุณธรรมสูง ผู้ทรงวิชชาและอภิญญาที่แก่กล้าหลาย ๆ คนร่วมกันทำวิชชาในแนวเดียวกันพร้อม ๆ กัน และต่อเนื่อง จึงจะมีกำลังฤทธิ์พอที่จะแก้หรือเก็บเหตุอวิชชาของภาคมารได้สำเร็จหมด
เป็นสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ” ได้โดยเด็ดขาด

เมื่อไม่สามารถจะมีได้ทำได้เช่นว่านั้น
การที่จะทำวิชชาแก้หรือเก็บเหตุ วิบัติภัยพิบัติภัยธรรมชาติเช่นนั้น ก็ไม่สำเร็จสมบูรณ์
หรือเป็นผลสำเร็จบ้าง แต่ก็เพียงส่วนน้อย
ตามกำลังฤทธิ์ที่พอจะมีได้เป็นได้

จากการทำวิชชาของผู้มีวิชชาหรืออภิญญาพอประมาณเท่านั้น ความเป็นจริงก็คือว่าแม้จะมีผู้ทรงคุณวุฒิอยู่บ้าง แต่ก็ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างมีภารกิจการงานในหน้าที่รับผิดชอบของตัว ไม่สามารถจะรวมพลัง ประสานงานการทำวิชชา ให้ได้ผลสูงได้

จึงต่างคนต่างทำกันไปตามมีตามเกิด
ต่างเวลาต่างวิธีและไม่ต่อเนื่อง จึงได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง
และแม้จะมีผู้ทำวิชชาได้ผลบ้างในบางโอกาส
ก็ไม่ปรากฏผลออกมาโดยชัดแจ้งแก่ประชาชน
โดยทั่วไปเพราะเมื่อแก้หรือเก็บเหตุวิบัติเช่นนั้นได้สำเร็จหรือผ่อนหนักเป็นเบาได้แล้ว
เรื่องก็เงียบไป แต่ที่เก็บไม่ได้หรือที่ไม่ได้เก็บนั่นแหละจะปรากฏเป็นเหตุวิบัติภัยพิบัติภัยธรรมชาติแก่ผู้ที่กำลังประสบความเดือดร้อนอยู่ ให้เห็นโดยชัดแจ้ง

ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่นั้น หลวงพ่อท่านทำวิชชาแก้หรือเก็บเหตุวิบัติภัยพิบัติภัยธรรมชาติหรือโรคภัยไข้เจ็บ
แม้ภัยจากสงคราม ฯลฯ ได้ผลมาก
เพราะมีผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในปกครองของท่านหลายคนทั้งพระภิกษุสามเณรอุบาสกอุบาสิกา ฯลฯ ซึ่ง
หลวงพ่อท่านได้ให้เข้าเวรกันทำวิชชา เก็บเหตุอวิชชาของภาคมาร เช่นนี้โดยต่อเนื่องตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง

ด้วยอานุภาพธรรมกายดังกล่าวนี้ จึงเป็นธรรมเครื่อง“ บำบัดทุกข์” และ“ บำรุงสุข” แก่สัตว์ทั้งหลาย
และนับเป็นธรรมาวุธ อันคมกล้ายิ่งนัก

ไม่ควรที่ผู้ไม่รู้จะพึงวิพากษ์วิจารณ์ โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เพราะจะมีผลดุจเดียวกับเด็กทารกลูบใบมีดอันคมกริบเล่น หรือเข้าทำนองเด็กเล่นถ่านไฟ
เพราะภาคมารนั้นสอดละเอียด“ อวิชชา” เข้ามาในธาตุธรรม เห็นจำคิดรู้ของสัตว์ ปิดหู ปิดตา ปิดใจของสัตว์มิให้รู้เห็นนรกสวรรค์นิพพานตามที่เป็นจริง
ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษทั้งลับและเปิดเผย

ก็หลงคิดผิดเห็นผิดรับรู้ผิด ๆ จึงพูดผิด ๆ กระทำผิดนำคนอื่นผิด ๆ หรือหลงตามผู้อื่นผิด ๆ แล้วภาคมารก็เก็บเหตุนั้นส่งไปปรุงเป็นวิบากที่ให้ผล (ผลอกุศลกรรม) ส่งกลับเข้ามาทําหน้าที่ในธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้

คือในใจจิตวิญญาณของสัตว์ ให้เป็นความทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งในภพปัจจุบันทันที ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม และในภพหน้าที่เป็นทุคคติเหตุวิบัติบาปศักดิ์สิทธิ์คือบาปอกุศล ที่ให้ผลอย่างรุนแรงและฉับพลันทันตาเห็น และภัยพิบัติภัยสงคราม ได้แก่ การทะเลาะเบาะแว้งและรบราฆ่าฟันกันภัยธรรมชาติเช่นน้ำท่วม

หรือฝนฟ้าแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพง เป็นต้น
และโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ตลอดทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางการเมือง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ก็เป็นฝีมือของภาคมารปรุงขึ้น

และให้ผลจากความชั่วที่สัตว์โลก หลงปฏิบัติตามอธรรมของเขาทั้งสิ้น

ส่วนภาคพระนั้นก็พยายามประมูลฤทธิ์ในธาตุธรรมที่สุดละเอียดของสัตว์เพื่อสอดละเอียด“ วิชชา”
เปิดหูเปิดตาเปิดใจของสัตว์ ให้รู้เห็นนรกสวรรค์นิพพานตามที่เป็นจริง ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษทั้งลับและเปิดเผย เพื่อให้สัตว์ได้รู้ถูก เห็นถูก พูดถูก
และนำคนอื่นถูก ๆ ให้ได้รับผลที่เป็นความเจริญรุ่งเรือง และสันติสุขด้วยมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติ

อันมีมรรค ๔ ผล ๔ และนิพพาน ผู้เจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงสุดละเอียดเข้าไป ได้พบความจริงอีกว่าสัตว์โลกทั้งหลาย มีธาตุธรรมที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายธาตุธรรมเดียวกัน (สายขาวสายกลางๆหรือสายดำ) เพราะมาจากต้นกำเนิดต้นธาตุต้นธรรมเดียวกันโดยเหตุนี้ เมื่อถึงธรรมกายเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูง ทำการสะสางธาตุธรรมของตนเองอยู่ จึงมีผลถึงธาตุธรรมของสัตว์อื่น
ในสายธาตุธรรมเดียวกันมากน้อยตามส่วนด้วย
เป็นอัตโนมัติ

หลวงพ่อวัดปากน้ำพระมงคลเทพมุนี (สดจนฺทสโร) ผู้ปฏิบัติและสั่งสอนวิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้าจึงได้กล่าวเสมอว่า

“ธรรมกายนั้นแหละคือที่พึ่งของสัตว์โลก” และว่า“ ธรรมกายคนหนึ่งช่วยคนได้ครึ่งเมือง

” วัดปากน้ำภาษีเจริญกรุงเทพฯจึงสามารถเลี้ยงพระสงฆ์สามเณรร่วมกันโดยไม่ต้องออกบิณฑบาต
โดยเหตุผลนี้มาจนตราบเท่าทุกวันนี้

ผู้ขัดขวางหรือฝ่ายวิชาธรรมกายอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าด้วยทิฏฐิชั่ว จึงเท่ากับทําลายที่พึ่งของตนเองมิให้เข้าถึงนิพพานอันแท้จริงได้ และย่อมประสบความทุกข์เดือดร้อนประดุจซัดธุลีทวนลม หรือเด็กเล่นถ่านไฟดังกล่าวแล้ว

ส่วนผู้มีปัญญาและใจบุญกุศลเข้าศึกษาปฏิบัติเพื่อความเข้าถึงให้ได้รู้เห็นและเป็นธรรมกายมรรคผลสูงสุดขึ้นไปถึงเป็นพระนิพพาน
คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้วและสนับสนุนค่าจุนเจือการเผยแพร่พระสัทธรรมนี้ตามกำลังศรัทธา สติปัญญาความสามารถ
ย่อมได้ที่พึ่งอันประเสริฐดังผู้ที่ได้เข้าถึงได้รู้เห็นและได้เป็นหรือได้มีประสบการณ์ที่ดีๆมาแล้ว

โดยหลวงป๋าอดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดฯ จ.ราชบุรี
(หนังสือทางมรรคผลนิพพาน(ปกเรือใบ)

เรื่องที่สําคัญอีกคือในการทำวิชชาร่วมกับผู้ที่ธาตุธรรมไม่สะอาด โดยเฉพาะผู้ที่ถูกภาคมารทำอวิชชายึดธาตุธรรมในสุดละเอียดไว้ได้แล้วนั้น

ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ทำวิชชาร่วมด้วยเลยเป็นอันขาด
จึงเป็นเรื่องที่ต้องระวังกันมากในหมู่ผู้ที่ทำวิชชาสูง ๆ

เพราะในกรณีเช่นนั้น ถ้าหากยอมทำวิชชาร่วมกันไปแล้ว ภาคมารเขาจะสืบรู้วิชชาของภาคพระได้มาก
หรือได้หมด แล้วเขาก็จะทำอวิชชาแก้หรือปิดกั้นวิชชาของเรา มิให้ทำได้สําเร็จ
โดยทำกายอธิษฐานปาฏิหาริย์ คือเห็นเป็นเหมือนธรรมกายที่ใสดีแล้ว (แต่ฉากหลังคือกายเบื้องหลังยังเป็นกายภาคดำหรือภาคกลางอยู่มาก) ไว้มาก ๆ ให้เราเห็นเหมือนวิชชาของภาคพระ
กล่าวคือให้เห็นธาตุธรรมและกายของเราขาวใสดี
ผู้ทำวิชชาก็จะชะล่าใจนึกว่า ได้ชำระธาตุธรรมจนหมดธาตุธรรมภาคกลางและภาคดำดีแล้ว

เมื่อทำวิชชาถึงกายปาฏิหาริย์ของเขาก็หยุดไม่ทําวิชชาไปให้สุดละเอียด เก็บธาตุธรรมภาคดำหรือภาคกลางๆให้หมดสิ้นไปจริงๆต่อไป แต่แท้ที่จริงเขายังซ่อนธาตุซ่อนธรรมของเขา เป็นยืด ใย ยนต์ วิทยุอายตนะลั่นแลบระเบิด ไว้ในกลางไส้นิโรธของเราอยู่แล้วเขาจะทำอวิชชาล่วงหน้า ไปยึดสุดละเอียดของผู้ทำวิชชานั้นได้ ทำให้ไม่สามารถทําวิชชาเก็บอวิชชา ของเขาได้ทัน เขาก็ยึดสุดละเอียดในธาตุธรรมของผู้นั้น (ฝ่ายเรา) ได้
และมีผลให้ส่วนหยาบเสียหายไปด้วย จึงเป็นเรื่องที่ต้องระวังให้จงหนัก

หลวงป๋า(หนังสือทางมรรคผลนิพพาน ปกเรือใบ)

ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นพวกขาว กลางหรือดำ
ก็สังเกตดูเอา ถ้าซื่อตรงนักปราชญ์ฉลาดใจบุญ ก็ให้รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของภาคขาว,
ถ้าคดโกงเก่งกาจฉลาดใจพาล ก็ให้รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของภาคดำ,
ถ้าไม่ตรง ไม่โกงนั่นก็เป็นเครื่องหมายของภาคกลาง …

พระราชพรหมเถร
หลวงปู่วีระ คณุตฺตโม

นี้ที่สมภารวัดปากน้ำรบกับพญามัจจุราช รบความแก่ความตาย รบเท่านี้ แก้ให้ เป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้สมภารวัดปากน้ำไม่แรมราตรีที่อื่นละ ยอมตาย ไม่ถอย กันเลย

เมื่อการสู้รบเช่นนี้ใครเคยได้ยินได้ฟังบ้าง ไม่มีเลย หมดทั้งชมพูทวีป แสนโกฏิ จักรวาล อนันตจักรวาล นิพพานถอดกายที่ไหนๆ ไม่มีเลย แล้วไม่มีใครรู้จักเสียด้วยซ้ำ นี่มารู้จักขึ้นแล้วที่วัดปากน้ำ
ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา อยู่วัดปากน้ำก็จริง แต่ไม่ รู้ว่าสมภารวัดปากน้ำทำอะไร นี่อัศจรรย์นักอยู่ด้วยกันตั้งหลายสิบปี อยู่วัดปากน้ำทำ วิชชานี้ ๒๒ ปี ๘ เดือน ๙ วันวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าทำอะไร รู้แต่นิดๆ หน่อยๆ รู้ จริงจังลงไปไม่มี มีก็ผู้ที่ทำวิชชาด้วยกัน รู้จริงเห็นจริงกันลงไปทีเดียว ทำอยู่ทุกวันๆ นั่นละก็รู้จริงเห็นจริง นี่เป็นวิชชาลึกอย่างนี้

ถ้ารู้สึกเช่นนี้ละก็ จงอุตส่าห์ว่าตั้งแต่นี้ไป เราจะ ช่วยเหลือแก้ไขด้วยประการใดประการหนึ่ง ท่านรบศึกสำคัญอย่างนี้ ถ้าได้ชนะละก็เราชนะด้วย ถึงเราไม่ได้ทำเลยเราก็ชนะด้วย ถ้าได้สำเร็จเราก็สำเร็จด้วย เราไม่ได้ทำเลยก็สำเร็จด้วย เรา ต้องสนับสนุนด้วยทางใดทางหนึ่งให้สมควรทีเดียว พวกที่เป็นแล้วตั้งใจแน่วแน่ว่า ตั้งแต่ วันนี้ไปเราไม่ถอยหละ เกิดมาเราไม่พบวิชชานี้เราจะต้องสู้อย่างอื่น สู้ไม่ได้ทั้งนั้น เรา จะหันสู้วิชชานี้กันสุดฤทธิ์สุดเดช เอาให้ถึงหมดเจ็บหมดแก่หมดตายของพญามารให้ได้ ให้พญามารแพ้ให้ได้ พญามารแพ้เด็ดขาดเมื่อเวลาไร เวลานั้นหมดทุกข์ในโลก เท่า ปลายผมปลายขนก็ไม่มี หมดแก่หมดเจ็บหมดตายในโลก เท่าปลายผมปลายขนก็ไม่ มี มีความสุขเหมือนยังกับท้าวสวรรค์ หรือเหมือนกับท้าวพรหม หรือเหมือนกับพระ นิพพาน สุขขนาดนั้น เป็นสุขสำราญขนาดนั้น นี่แหละที่แสวงหาความสุขกันในโลก ในเวลานี้ทุกชาติทุกภาษา หาความสุขใส่ชาติใส่ภาษาของตัวทั้งนั้น อิจฉาริษยากัน เบ่งกันเต็มฤทธิ์เต็มเดช ประหัตประหารซึ่งกันและกัน ใครมีกำลังมากก็กดขี่คนมีกำลัง น้อยลงไป บังคับกำลังน้อยให้อยู่ใต้อำนาจเสีย ที่ทำกันอยู่นี้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งชมพูทวีป แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ทำกันอยู่อย่างนี้ แม้จะเป็นมนุษย์ก็ต้องทำอย่างนี้ แม้จะไปเป็นเทวดาก็ไปเป็นอย่างนี้ จะไปเป็นพรหมก็ทำอย่างนี้ จะไปเป็นอรูปพรหมก็ เป็นอย่างนี้ จะไปเป็นนิพพานแล้วก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน พระพุทธเจ้าในพระนิพพาน

ไม่ได้หยุดเลย ทำอยู่อย่างนี้ กำลังผจญกับพญามารไม่ได้หยุดเลย วินาทีอนุวินาทีก็ ไม่ได้หยุด ต้องทำนิโรธ ดำเนินนิโรธเสมอให้ละเอียดอ่อนไว้ ถ้าว่าละเอียดไม่ทัน เขา ก็บังคับเสีย หยาบกว่าเป็นถูกบังคับ ถูกความแก่บังคับ บังคับไม่ให้รู้ด้วย บังคับใน ไส้ ไส้ธาตุไส้ธรรม เห็น จำ คิด รู้ ต้องใช้ญาณบังคับหมด เมื่อปรากฏรู้ตัวว่าเป็นทาส พญามารอยู่เช่นนี้ ก็ต้องช่วยรีบเปลื้องตัว ต้องรีบพยายามแก้ตัว ถ้ารีบพยายามแก้ ตัวให้พ้นไปเสียได้ ก็จะไม่ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เอาความชนะเสียให้ได้

พญามารไม่ได้เว้นผู้หนึ่งผู้ใดให้เหลือ เพราะเหตุนั้น ผู้มีปัญญา เมื่อเป็นคน ฉลาดจะทำอย่างไรในเวลานี้ เมื่อทราบชัดประโยชน์ของตนแล้ว ผู้ทรงปัญญาควรตั้ง ความเชื่อไว้ในพระพุทธเจ้า ควรตั้งความเชื่อลงไปในพระธรรม ควรตั้งความเชื่อลงไป ในพระสงฆ์ ตั้งความเชื่อลงไปในพระพุทธเจ้าจะเอาใจจรดลงไปที่ไหน เอากันละ เอากัน สดๆ นี่แหละ ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ตั้งความเชื่อลงไปในพระพุทธเจ้านั้นตั้งลง ไปตรงไหน ตั้งความเชื่อลงไปในพระธรรมนั้นตั้งลงไปตรงไหน ผู้ที่ไม่เป็นธรรมกายก็ ตามกันหมด ไม่รู้จะตั้งตรงไหน ตั้งไม่ถูก แล้วจะตั้งให้ถูกมันก็ไม่ถูก หลบไปหลบมา อยู่นั่นแหละ แล้วทำไงล่ะคราวนี้ นับถือพระพุทธศาสนา ภิกษุก็ดี สามเณรก็ดี อุบาสก ก็ดี อุบาสิกาก็ดี ว่าตั้งใจเชื่อลงไปในพระพุทธเจ้าแล้ว จะเอาใจไปจรดตรงไหนล่ะถึงจะ ถูกพระพุทธเจ้า เอาใจไปจรดตรงไหนจึงจะถูกพระธรรม เอาใจไปจรดตรงไหนจึงจะถูก พระสงฆ์

หลวงพ่อสด จนฺทสโร

เมื่อทำวิชชาได้ละเอียดเข้าไป

จนถึง “ปราสาททำวิชชาของหลวงพ่อ” ก็จะพบธาตุธรรมของ หลวงพ่อ และ “กลางธาตุ” ทั้งหลายของหลวงพ่อ กำลังทำวิชชาสะสางธาตุธรรม และพระนิพพาน เพื่อช่วยสัตว์โลกทั้งหลายอยู่มิได้หยุดเลย
และเมื่อทำวิชชาละเอียดเข้าไป ก็จะทราบว่า หลวงพ่อ(สด) คือ “ต้นธาตุต้นธรรมภาคพระ” ซึ่งได้ถอยพืดกำเนิดธาตุธรรมเดิมมาสร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก ช่วยรื้อสัตว์ ขนสัตว์ที่ยังหลงติดอยู่ในไตรวัฏฏ์ให้เข้านิพพานเป็นอีกต่อไปนั้นเอง
ส่วนผู้ที่ช่วยเหลือทำวิชชาอยู่กับหลวงพ่อ ซึ่งจะเห็นอยู่โดยรอบ ๆ หลวงพ่อนั้น ชื่อว่า “กลางธาตุ” ของท่าน
บางรายก็ยังเป็น “กลางธาตุกายมนุษย์” (คือยังมีชีวิตเป็นมนุษย์) สร้างบารมี และทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างพระศาสนาอยู่ บางท่านก็ล่วงลับไปแล้ว และว่าโดยที่จริงแล้ว
ผู้มีบารมีระดับกลางธาตุนั้นมีมาก แต่ปฏิบัติพระศาสนาไม่ตรงตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า
ก็เพราะว่า ภาคมารเขาพยายามปัดบังวิชชานี้
และภาคมารจะปัดเข้านิพพานถอดกาย (ถ้าเขาต้านทานบารมีไม่อยู่) เพื่อให้สิ้นฤทธิ์ ที่จะช่วยเหลือสัตว์โลก
บรรดากลางธาตุทั้งหลายเหล่านั้น จึงไม่ปรากฏอยู่ในผังปราสาทที่ทำวิชชาของหลวงพ่อ
อนึ่ง “กลางธาตุกายมนุษย์” บรรดาที่สร้างบารมี และทำหน้าที่อยู่ในปัจจุบันนี้ หากปฏิบัติตรง และเจริญวิชชาชั้นสูงนี้ ก็จะพบอยู่ในปราสาทที่ทำวิชชาของหลวงพ่อ ตามฐานะของอำนาจ สิทธิ และสิทธิเฉียบขาด ในการปกครองธาตุธรรมของแต่ละท่าน
แต่ถ้าผู้ใดปฏิบัติไม่ตรง หลงกลทำประโยชน์ หรือเป็นฐานให้แก่ภาคมาร (เป็น “ฐานทัพ”ให้ฝ่ายมาร)
“ต้นธาตุต้นธรรม” ก็จะเก็บวิชชา อำนาจสิทธิของผู้นั้นเสีย แล้วอำนาจสิทธินั้นก็จะเปลี่ยนไปเป็นของ “ผู้ที่ปฏิบัติตรง” และสร้างบารมีสูงขึ้นมาแทนที่ใหม่ต่อไป.

หลักสำคัญอยู่ว่าเมื่อรู้เห็นแล้วก็อย่าคะนองใจ
ว่าตนเก่งกล้าแล้วพยากรณ์ให้แก่ผู้อื่นฟัง หรือโอ้อวดในคุณธรรมของตน อันจะเป็นทางเสื่อมอย่างยิ่ง

เพราะจริง ๆ แล้ว ปฏิบัติเพื่อละวางอุปาทานนะ
คำว่า“ หยุด” นี่ เขาให้ปฏิบัติเพื่อให้หยุดทำชั่ว
ให้หยุดปรุงแต่ง ไม่ต้องติดอะไร
เพื่อละวาง ละวางกิเลสในใจเรา ปล่อยความยึดติดอย่าให้มี

เอา ๑๘ กายนี้ให้มันตลอดปลอดภัย ให้ถึงธรรมกาย แล้วก็ให้เป็นธรรมกายดับหยาบไปหาละเอียดให้บริสุทธิ์ใสสว่างอยู่เสมอ รับรองไม่มีโทษ

ดังเช่นที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ได้เคยกล่าวว่า…..

“ ต่อแต่นี้ไป เราจะต้องเข้าให้ถึงที่สุด
เข้าไปในกายที่สุดของเราให้ได้ เป็นกาย ๆ ออกไป
เมื่อเป็นกาย ๆ เข้าไปแล้ว ถ้าทำเป็นแล้ว ไม่ใช่เดินท่านี้
เดินในไส้ทั้งนั้น ในไส้เห็น ไส้จำ ไส้คิด ไส้รู้
ในกำเนิดดวงธรรมที่ทำให้เป็นสุดหยาบสุดละเอียด
(เถา – ชุด – ชั้น – ตอน – ภาค – พืด …..ฯลฯ)

เดินในไส้ (หยุดในหยุด กลางของหยุดในหยุด)
ไม่ใช่เดินทางอื่น เดินในกลางดวงปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา
เดินไปในกลางดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา ดวงวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
นั่นเป็นทางเดินของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์

เดินไปในไส้ ไม่ใช่เดินไปในไส้เพียงเท่านั้น
ในกลางว่างของดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ของดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
ว่างในว่างเข้าไป เหตุว่างในเหตุว่าง เหตุเปล่าในเหตุเปล่า
เหตุดับในเหตุดับ เหตุลับในเหตุลับ เหตุหายในเหตุหาย
เหตุสูญในเหตุสูญ เหตุสิ้นเชื้อในเหตุสิ้นเชื้อ
เหตุไม่เหลือเศษในเหตุไม่เหลือเศษ …ฯลฯ

หนักเข้าไปไม่ถอยหลังกลับ
นับอสงไขยไม่ถ้วน นับชาติอายุไม่ถ้วน
ไม่มีถอยกลับกัน เดินเข้าไปอย่างนี้นะ

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่ใช่เดินโลเลเหลวไหล
ที่เรากราบ ที่เราไหว้ เรานับถือนะ ท่านวิเศษวิโสอย่างนี้
นี่แหละเป็นผู้วิเศษแท้ ๆ นี่แหละเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกแท้ ๆ
ถ้าเป็นผู้รู้จริง เห็นจริง ได้จริง เราจึงเอาเป็นตำรับตำราได้…”

การเดินตามรอยบาทของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์
เราจะต้องทำวิชชา…เข้าไปถึงขนาดนั้น
ก็เพราะเหตุผลที่หลวงพ่อว่า …

“ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านก็ไปถึงที่สุดเหมือนกัน
ถ้าใครยังไปไม่ถึงที่สุด ก็ยังไม่ฉลาดเต็มที่
ต่อเมื่อเข้าไปถึงที่สุดกายของตัวต่อไปแล้วละก็ ฉลาดเต็มที่แน่

ต้องไปให้ถึงที่สุดให้ได้
เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็
รักษาตัวได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา

ที่บังคับเรา ให้เกิด ให้แก่ ให้เจ็บ และให้ตายอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
พวกมาร บังคับให้เป็นไปตามนั้น
ส่วนพวกพระ บังคับไม่ให้เกิด ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ และไม่ให้ตาย
นี่พวกพระ พวกมาร บังคับกันอย่างนี้

เวลานี้พวกพระ บังคับไม่ให้รบกัน
แต่พวกมาร บังคับให้รบกันหนักขึ้น ”

แชร์เลย

Comments

comments

Share: