ความเป็นมาของพระอรหันต์จกบาตร โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 14 มี.ค. 2560
เมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่ผมได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกมาจากเพื่อนคนหนึ่ง ตอนนั้นผมต้องใช้เงินไปถึง 4 หมื่นบาทในการบูชาพระองค์นี้มาเพียงองค์เดียว เงิน 4 หมื่นสมัยนั้นก็น่าจะเท่ากับเงิน 8 หมื่นบาทในสมัยนี้ ถามว่าเสียดายเงินไหม ผมไม่เสียดายเลย เพราะเพื่อนคนนี้ก็จะนำเงิน 4 หมื่นบาทของผมไปหล่อรูปหลวงปู่เทพโลกอุดรในท่านั่งสมาธิขนาดหน้กตักประมาณ 30 นิ้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในการปั้นและหล่อก็ราวๆ 4-5 หมื่นบาท เท่ากับผมก็มีส่วนในการหล่อรูปเหมือนของหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วย ในวันนั้นเจ้าของพระถามผมว่า “คุณอู๋ยังคิดจะบูชาหระอรหันต์จกบาตรอยู่อีกไหม (เพราะราคาแพงมาก) ถ้าคุณอู๋เปลี่ยนใจไม่เอาผมก็ไม่ว่าอะไรแต่จะให้คนอื่นเขาบูชาไป” เพื่อนผมท่านนี้พูดต่อหน้าคนอีก 4-5 คนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ หลายคนในวงนั้นก็พยักหน้าว่าอยากได้พระองค์นี้พร้อมที่จะขอบูชาต่อจากผม
ผมก็บอกไปว่า “ตกลงผมขอบูชาแน่นอน อีก 1-2 วันจะมาเอาพระแล้วจ่ายเงินให้เลย” ก็เป็นอันว่าผมจะได้พระแน่นอน คนอื่นก็แห้วไปนะครับ สมัยนั้นการจะหาพระอรหันต์จกบาตรให้ได้ซัก 1 องค์มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็นพระอรหันต์จกบาตรผมก็อยากได้มาก เจ้าของพระก็ไม่ยอมปล่อยและกลับบอกว่า “คุณอู๋ไปหาพระในตลาดดูก่อน อาจจะได้พบเจอบ้าง ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ค่อยมาคุยกันใหม่ เพราะผมก็มีอยู่องค์เดียว” เขาให้เวลาผมไปหาพระประมาณเกือบๆ 1 ปีเต็ม ผมต้องเข้าไปเดินในตลาดพระจนทั่วทั้งท่าพระจันทร์ บางลำภู ตลาดใหม่ดอนเมือง พญาไม้ จตุจักร และตามงานประกวดพระ ฯลฯ แต่ก็ไม่อาจหาได้ซักองค์ ยอมรับว่าถอดใจเลยเพราะเสียเวลาและแรงกายไปมากจริงๆ
วันที่จะได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกมาอยู่ในมือ ท่านก็แสดงปาฏิหาริย์ให้ผมเห็นเลย คือวันนั้นผมมีนิมิตฝันตอนเช้าตรู่ว่าพระอรหันต์จกบาตรองค์ของเพื่อนผมนั้นแหละท่านเสด็จเหาะลอยมาในอากาศ ผมเห็นดังนั้นก็เลยยื่นมือขวาแบมือออกไปรอรับท่าน แล้วพระอรหันต์จกบาตรองค์นั้นก็เสด็จลอยเข้ามาอยู่ในมือผม โอ้โหในฝันนั้นผมดีใจสุดๆ เลย แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา พอตอนสายๆ ประมาณ 9 โมงเช้าเพื่อนคนนั้นจึงได้โทรมาบอกผมว่าถ้ายังอยากได้พระอรหันต์จกบาตรของเขาก็ให้มาหาที่บ้านเขาในวันนี้ (ตามที่ผมเล่าไปในตอนต้น) ดูซิครับท่านจะมาอยู่กับผมแท้ๆ แล้วท่านยังมาบอกล่วงหน้าด้วย
พอได้พระมาใหม่ๆ ก็ต้องเอาไปตรวจกันหน่อย ผมมีเพื่อนรุ่นน้องชื่อคุณต๊ะ น้องคนนี้แกมีดีพอตัว คืออดีตชาติแกคงจะเป็นลูกศิษย์ของพระฤๅษีท่านหนึ่ง เพราะแกมีญานของพระฤๅษีอยู่กับตัว คุณต๊ะจึงนั่งสมาธิแบบฤๅษีในแบบฉบับที่ไม่เหมือนใครเป็นการนั่งสมาธิแบบสมาธิเคลื่อนไหว คือเอาสติไปจับอาการเคลื่อนไหวของมือ ขา ลำตัวด้วยท่าทางต่างๆ ดูๆ ไปก็คล้ายการรำไท้เก๊กของจีน แต่สมาธิแบบนี้ก็ทำให้แกเกิดมีตาทิพย์ได้ ผมก็เลยเอาพระอรหันต์จกบาตรไปให้แกตรวจดูหน่อยในฐานะที่ชอบพอกัน
สถานที่คุณต๊ะทำงานก็ตั้งอยู่ในเขตของวังหน้า อาณาเขตของวังหน้านั้นกว้างใหญ่กว่าที่พวกเราคิดมากนะครับแต่ผมขอปิดไว้ว่าเป็นที่ไหนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบตามมา พอคุณต๊ะเอาพระอรหันต์จกบาตรมาไว้ในมือแกก็บอกว่าให้ผมเดินตามมา แล้วแกก็พาผมเข้าไปในห้องที่กว้างขวางห้องหนึ่งเพื่อให้ได้อยู่กันเพียงลำพัง แล้วแกก็กำพระลงนั่งสมาธิได้พักเดียว แกก็มีท่าทางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ลุกขึ้นยืนทำท่าขึงขัง เอาละซิผมก็ตกใจเหมือนกันไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาที่อยู่ๆ การตรวจพุทธคุณพระกลายเป็นการเข้าทรงซะอย่างนั้น
คุณต๊ะลุกขึ้นยืนแล้วก็ย่อตัวลงมาพนมมือเหมือนการไหว้ครูทำความเคารพด้วยความอ่อนน้อมมาก การพนมมือการร่ายรำออกท่าทางไม่เหมือนกับที่เราเคยเห็น มือไม้อ่อนช้อยไปหมด ท่วงท่าน่าดูชมจริงๆ แล้วแกก็กระโดดพรวดพราดออกไปกลางห้อง ตั้งท่าวางตัวแบบนักมวยกำมือแน่นออกท่าทางเหมือนจะรำมวยให้ดู ยกแข้งยกขาเตะซ้ายเตะขวา ฟาดไปข้างหน้า ฟาดไปข้างหลัง ฟันศอกซ้ายสลับศอกขวา การยืนตั้งการ์ดมวยก็ไม่เหมือนสมัยนี้ เพราะไม่ใช่ยืนตรงกำหมัดเหมือนนักมวย แต่เป็นการย่อตัวกึ่งยืนกึ่งนั่งเพื่อพร้อมที่จะกระโจนเข้าหาคู่ต่อสู้ คือบางจังหวะแกก็จะโดดตัวลอยขึ้นสูงตีเข่าบ้าง ตีศอกบ้าง อย่างที่เขาเรียกว่าเข่าลอยคือเข่ามันลอยไปในอากาศจริงๆ ผมขอบอกเลยว่าการได้ชมทหารโบราณแสดงท่าแม่ไม้มวยไทยครั้งนั้นมันช่างงดงามติดตาตรึงใจ มันเป็นศิลปะการต่อสู้ที่จริงจังว่องไวอันตรายในทุกท่วงท่า มันน่าภูมิใจในศิลปะแม่ไม้มวยไทยของเราที่สามารถเอาอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมาเป็นอาวุธเข้าพิฆาตศัตรูได้อย่างแท้จริง
เมื่อวิญญาณทหารโบราณร่ายรำมวยไทยให้ผมดูได้พักใหญ่ เขาก็นั่งคุกเค่าลงพนมมือขึ้นเหมือนการแสดงความเคารพกับผมที่นั่งดูอยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร แล้วเขาก็น้อมตัวลงคลานเข้ามาหาผม การคลานของเขาก็ไม่เหมือนที่เราเคยเห็น เพราะที่เราเคยเห็นเขาก็คลานโดยใช้มือแบยันกับพื้นไว้แล้วคุกเข่าค่อยๆ เคลื่อนตัวเหมือนการเดินแต่ใช้มือและเข่าเดิน แต่นี่เขาคลานโดยการเอาข้อศอกและมือแนบไปที่พื้นก้มตัวลงต่ำแทบติดพื้น ไม่ใช่การคลานเข่าแต่เป็นการคลานศอกมากกว่า ท่วงท่าการคลานก็ว่องไว บิดตัวไปมาหัวไปทางหางไปทางยึกยักๆ ด้วยความคล่องแคล่วแปล๊บเดียวก็คลานมาถึงตัวผม พร้อมกับเอามือขวาที่ถือพระยื่นส่งพระอรหันต์จกบาตรคืนมาให้ผมด้วยท่าทำนองเหมือนกับการทูลเกล้า
ผมก็รับพระไว้แบบงงๆ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เรื่องมันยังไม่จบครับ ไม่ทันไรน้องต๊ะก็เปลี่ยนไปอีกเหมือนเป็นคนละคน ลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังของผมแล้วก็หัวเราะเสียงดังมากอย่างคนอารมณ์ดี ฮ่าๆๆๆ สีหน้าท่าทางดีอกดีใจที่ได้เจอกับผม เอามือชี้ที่ตัวเองแล้วก็ชี้ไปที่รูปหล่อองค์หนึ่งที่ตั้งประดิษฐานไว้บนหิ้งที่มุมหนึ่งของห้อง ซึ่งในห้องนั้นเป็นห้องที่มีการตกแต่งเป็นพิเศษพื้นห้องปูด้วยพรมสีแดง มุมห้องด้านหนึ่งมีการตั้งประดิษฐานรูปหล่อโลหะสูงประมาณ 16 นิ้ว เป็นรูปคนโบราณยืนไม่สวมเสื้อ นุ่งคล้ายผ้าโสร่งคาดเข็มขัด รูปร่างท้วม ผมสั้นเกรียน ผมมองไปที่รูปปั้นนั้นก็รู้ความหมายในทันทีแต่ผมไม่กล้าเขียนบอกไว้ในที่นี้ ท่านบอกว่าท่านคือคนเดียวกับรูปปั้นนั้น แล้วก็ยื่นมือทั้งสองเข้ามาโอบกอดผมจับหัวจับตัวผมด้วยความรักใคร่เอ็นดู…..
เมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่ผมได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกมาจากเพื่อนคนหนึ่ง ตอนนั้นผมต้องใช้เงินไปถึง 4 หมื่นบาทในการบูชาพระองค์นี้มาเพียงองค์เดียว เงิน 4 หมื่นสมัยนั้นก็น่าจะเท่ากับเงิน 8 หมื่นบาทในสมัยนี้ ถามว่าเสียดายเงินไหม ผมไม่เสียดายเลย เพราะเพื่อนคนนี้ก็จะนำเงิน 4 หมื่นบาทของผมไปหล่อรูปหลวงปู่เทพโลกอุดรในท่านั่งสมาธิขนาดหน้กตักประมาณ 30 นิ้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในการปั้นและหล่อก็ราวๆ 4-5 หมื่นบาท เท่ากับผมก็มีส่วนในการหล่อรูปเหมือนของหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วย ในวันนั้นเจ้าของพระถามผมว่า “คุณอู๋ยังคิดจะบูชาหระอรหันต์จกบาตรอยู่อีกไหม (เพราะราคาแพงมาก) ถ้าคุณอู๋เปลี่ยนใจไม่เอาผมก็ไม่ว่าอะไรแต่จะให้คนอื่นเขาบูชาไป” เพื่อนผมท่านนี้พูดต่อหน้าคนอีก 4-5 คนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ หลายคนในวงนั้นก็พยักหน้าว่าอยากได้พระองค์นี้พร้อมที่จะขอบูชาต่อจากผม
ผมก็บอกไปว่า “ตกลงผมขอบูชาแน่นอน อีก 1-2 วันจะมาเอาพระแล้วจ่ายเงินให้เลย” ก็เป็นอันว่าผมจะได้พระแน่นอน คนอื่นก็แห้วไปนะครับ สมัยนั้นการจะหาพระอรหันต์จกบาตรให้ได้ซัก 1 องค์มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็นพระอรหันต์จกบาตรผมก็อยากได้มาก เจ้าของพระก็ไม่ยอมปล่อยและกลับบอกว่า “คุณอู๋ไปหาพระในตลาดดูก่อน อาจจะได้พบเจอบ้าง ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ค่อยมาคุยกันใหม่ เพราะผมก็มีอยู่องค์เดียว” เขาให้เวลาผมไปหาพระประมาณเกือบๆ 1 ปีเต็ม ผมต้องเข้าไปเดินในตลาดพระจนทั่วทั้งท่าพระจันทร์ บางลำภู ตลาดใหม่ดอนเมือง พญาไม้ จตุจักร และตามงานประกวดพระ ฯลฯ แต่ก็ไม่อาจหาได้ซักองค์ ยอมรับว่าถอดใจเลยเพราะเสียเวลาและแรงกายไปมากจริงๆ
วันที่จะได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกมาอยู่ในมือ ท่านก็แสดงปาฏิหาริย์ให้ผมเห็นเลย คือวันนั้นผมมีนิมิตฝันตอนเช้าตรู่ว่าพระอรหันต์จกบาตรองค์ของเพื่อนผมนั้นแหละท่านเสด็จเหาะลอยมาในอากาศ ผมเห็นดังนั้นก็เลยยื่นมือขวาแบมือออกไปรอรับท่าน แล้วพระอรหันต์จกบาตรองค์นั้นก็เสด็จลอยเข้ามาอยู่ในมือผม โอ้โหในฝันนั้นผมดีใจสุดๆ เลย แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา พอตอนสายๆ ประมาณ 9 โมงเช้าเพื่อนคนนั้นจึงได้โทรมาบอกผมว่าถ้ายังอยากได้พระอรหันต์จกบาตรของเขาก็ให้มาหาที่บ้านเขาในวันนี้ (ตามที่ผมเล่าไปในตอนต้น) ดูซิครับท่านจะมาอยู่กับผมแท้ๆ แล้วท่านยังมาบอกล่วงหน้าด้วย
พอได้พระมาใหม่ๆ ก็ต้องเอาไปตรวจกันหน่อย ผมมีเพื่อนรุ่นน้องชื่อคุณต๊ะ น้องคนนี้แกมีดีพอตัว คืออดีตชาติแกคงจะเป็นลูกศิษย์ของพระฤๅษีท่านหนึ่ง เพราะแกมีญานของพระฤๅษีอยู่กับตัว คุณต๊ะจึงนั่งสมาธิแบบฤๅษีในแบบฉบับที่ไม่เหมือนใครเป็นการนั่งสมาธิแบบสมาธิเคลื่อนไหว คือเอาสติไปจับอาการเคลื่อนไหวของมือ ขา ลำตัวด้วยท่าทางต่างๆ ดูๆ ไปก็คล้ายการรำไท้เก๊กของจีน แต่สมาธิแบบนี้ก็ทำให้แกเกิดมีตาทิพย์ได้ ผมก็เลยเอาพระอรหันต์จกบาตรไปให้แกตรวจดูหน่อยในฐานะที่ชอบพอกัน
สถานที่คุณต๊ะทำงานก็ตั้งอยู่ในเขตของวังหน้า อาณาเขตของวังหน้านั้นกว้างใหญ่กว่าที่พวกเราคิดมากนะครับแต่ผมขอปิดไว้ว่าเป็นที่ไหนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบตามมา พอคุณต๊ะเอาพระอรหันต์จกบาตรมาไว้ในมือแกก็บอกว่าให้ผมเดินตามมา แล้วแกก็พาผมเข้าไปในห้องที่กว้างขวางห้องหนึ่งเพื่อให้ได้อยู่กันเพียงลำพัง แล้วแกก็กำพระลงนั่งสมาธิได้พักเดียว แกก็มีท่าทางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ลุกขึ้นยืนทำท่าขึงขัง เอาละซิผมก็ตกใจเหมือนกันไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาที่อยู่ๆ การตรวจพุทธคุณพระกลายเป็นการเข้าทรงซะอย่างนั้น
คุณต๊ะลุกขึ้นยืนแล้วก็ย่อตัวลงมาพนมมือเหมือนการไหว้ครูทำความเคารพด้วยความอ่อนน้อมมาก การพนมมือการร่ายรำออกท่าทางไม่เหมือนกับที่เราเคยเห็น มือไม้อ่อนช้อยไปหมด ท่วงท่าน่าดูชมจริงๆ แล้วแกก็กระโดดพรวดพราดออกไปกลางห้อง ตั้งท่าวางตัวแบบนักมวยกำมือแน่นออกท่าทางเหมือนจะรำมวยให้ดู ยกแข้งยกขาเตะซ้ายเตะขวา ฟาดไปข้างหน้า ฟาดไปข้างหลัง ฟันศอกซ้ายสลับศอกขวา การยืนตั้งการ์ดมวยก็ไม่เหมือนสมัยนี้ เพราะไม่ใช่ยืนตรงกำหมัดเหมือนนักมวย แต่เป็นการย่อตัวกึ่งยืนกึ่งนั่งเพื่อพร้อมที่จะกระโจนเข้าหาคู่ต่อสู้ คือบางจังหวะแกก็จะโดดตัวลอยขึ้นสูงตีเข่าบ้าง ตีศอกบ้าง อย่างที่เขาเรียกว่าเข่าลอยคือเข่ามันลอยไปในอากาศจริงๆ ผมขอบอกเลยว่าการได้ชมทหารโบราณแสดงท่าแม่ไม้มวยไทยครั้งนั้นมันช่างงดงามติดตาตรึงใจ มันเป็นศิลปะการต่อสู้ที่จริงจังว่องไวอันตรายในทุกท่วงท่า มันน่าภูมิใจในศิลปะแม่ไม้มวยไทยของเราที่สามารถเอาอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมาเป็นอาวุธเข้าพิฆาตศัตรูได้อย่างแท้จริง
เมื่อวิญญาณทหารโบราณร่ายรำมวยไทยให้ผมดูได้พักใหญ่ เขาก็นั่งคุกเค่าลงพนมมือขึ้นเหมือนการแสดงความเคารพกับผมที่นั่งดูอยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร แล้วเขาก็น้อมตัวลงคลานเข้ามาหาผม การคลานของเขาก็ไม่เหมือนที่เราเคยเห็น เพราะที่เราเคยเห็นเขาก็คลานโดยใช้มือแบยันกับพื้นไว้แล้วคุกเข่าค่อยๆ เคลื่อนตัวเหมือนการเดินแต่ใช้มือและเข่าเดิน แต่นี่เขาคลานโดยการเอาข้อศอกและมือแนบไปที่พื้นก้มตัวลงต่ำแทบติดพื้น ไม่ใช่การคลานเข่าแต่เป็นการคลานศอกมากกว่า ท่วงท่าการคลานก็ว่องไว บิดตัวไปมาหัวไปทางหางไปทางยึกยักๆ ด้วยความคล่องแคล่วแปล๊บเดียวก็คลานมาถึงตัวผม พร้อมกับเอามือขวาที่ถือพระยื่นส่งพระอรหันต์จกบาตรคืนมาให้ผมด้วยท่าทำนองเหมือนกับการทูลเกล้า
ผมก็รับพระไว้แบบงงๆ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เรื่องมันยังไม่จบครับ ไม่ทันไรน้องต๊ะก็เปลี่ยนไปอีกเหมือนเป็นคนละคน ลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังของผมแล้วก็หัวเราะเสียงดังมากอย่างคนอารมณ์ดี ฮ่าๆๆๆ สีหน้าท่าทางดีอกดีใจที่ได้เจอกับผม เอามือชี้ที่ตัวเองแล้วก็ชี้ไปที่รูปหล่อองค์หนึ่งที่ตั้งประดิษฐานไว้บนหิ้งที่มุมหนึ่งของห้อง ซึ่งในห้องนั้นเป็นห้องที่มีการตกแต่งเป็นพิเศษพื้นห้องปูด้วยพรมสีแดง มุมห้องด้านหนึ่งมีการตั้งประดิษฐานรูปหล่อโลหะสูงประมาณ 16 นิ้ว เป็นรูปคนโบราณยืนไม่สวมเสื้อ นุ่งคล้ายผ้าโสร่งคาดเข็มขัด รูปร่างท้วม ผมสั้นเกรียน ผมมองไปที่รูปปั้นนั้นก็รู้ความหมายในทันทีแต่ผมไม่กล้าเขียนบอกไว้ในที่นี้ ท่านบอกว่าท่านคือคนเดียวกับรูปปั้นนั้น แล้วก็ยื่นมือทั้งสองเข้ามาโอบกอดผมจับหัวจับตัวผมด้วยความรักใคร่เอ็นดู…..