ที่มา : หลวงปู่ทองทิพย์ฯ เล่าเรื่องนี้บนรถ ให้กับพระสุวิทยา จันตะธัมโม(สมัยก่อนบวช) ขณะขับรถเดินทางผ่านจังหวัดร้อยเอ็ด ราว พ.ศ.๒๕๓๑
…ในส่วนขอบหรือเขตข่ายในสถานที่เพราะ ฉะนั้น ก็ยังมีเสนายักษ์หรือ พญายักษ์ ที่ทิศานุทิศมาส่วยสรงเขาเช่นกัน ถึงจุดหมายปลายทาง เวลานั้นมะลีจันทร์ อ่าว…พลัดพรากจากบนสวรรค์ มากับภัสดาสามีโพธิสัตว์ ที่เป็นชาติเป็นเศรษฐีนั้น บัดนี้พลัดพรากจากกัน ไปถึงทะเลลมใหญ่ที่เรียกว่า ลมวิกรณ์ ลมวิแถ พัดไประแทระทนที่ ไปคนละที่ละทางไปฉะนี้ เพราะฉะนั้นจึงได้มะลีจันทร์ จึงตกลงธานีกรุงเทพ เข้าไปปฏิสนธิวิญญาณ กับภรรยานางคิรียักษ์ของวิมลนั้นเป็นมารดา ครั้นถ้วนกำหนดทศมาศ คลอดออกมาก็เป็นหญิงที่สวยงามดี ไม่ใช่เป็นยักษ์ มีรัศมีเหมือนดังพระจันทร์วันเพ็ญ มีสามสี มะลีจันทร์ภุมรี มีชนบริวาร อันที่กินรีวิมลจะหามาให้เป็นบริวาร แห่ห้อมล้อมเป็นยศบริวาร สาวกินรีนั้นประมาณที่เป็นแสนๆ นี้ เป็นที่ประทับอยู่กับปราสาทหลังหนึ่ง ยักษ์ทั้งหลายแวดล้อมพิทักษ์รักษา ทหารยักษ์เป็นที่ ๗ ชั้น ไม่ให้มีบุคคลผู้ใด หรือใครผู้หนึ่ง ผ่านเข้าไปในพระราชนิเวศน์ หรือวังของมะลีจันทร์ได้ เพราะกลัวลูกสาวจะติดกับชนเชื้อมนุษย์ต่างถิ่นหรือต่างชาติ หรือต่างนาม ต่างรูป หรือภาษา เว้นเสียแต่พระราชบิดายักษ์ ยินยอมพร้อมมอบให้กับ บุคคลผู้ใดใครผู้หนึ่งที่เห็นชอบแล้ว จึงจะจัดตามประเพณีได้ ดังนั้น อันนี้หยุดไว้แห่งมะลีจันทร์
ต่อไปจะกล่าวถึง การะเกดโพธิสัตว์ แต่ยังไม่เป็นการะเกด วิญญาณที่ตกถึงเมืองพาราณสี เข้าครองนางบุสดีผู้เป็นบรมราชินีของท้าวสุรีย์วงศ์ องค์พุทธางค์กูร เพราะฉะนั้น โพธิสัตว์ หากว่าประทับเข้าในพระครรภ์ของนางบุสดี ถ้วนกำหนดทศมาศ ๑๐ เดือนแล้ว ก็คลอดประสูติเป็นบุรุษน่าโสภาสง่างาม มีสีกายอันที่เหมือนดั่งผิวทอง ดังนั้นโหราศาสตร์ที่ประจำสำนักของท้าวสุรีย์วงศ์ พระยาสุรีย์วงศ์องค์พุทธางค์กูร ได้พระพยากรณ์ว่า ท้าวการะเกดกุมารน้อย หน่อพุทธางค์กูร ผู้บริสุทธิ์อันเกิดมา พระองค์จัดว่า อันจะมีอำนาจ หรือในฐานะว่าครอบโลกจักรวาลทีเดียวพระเจ้าข้า ยิ่งใหญ่กว่าพระบิดาไปอีกพระเจ้าข้า แต่ว่าชะตากรรมอย่าให้ พระราชกุมาร ถ้าหากว่าใหญ่ขึ้นมานี้ ไปเล่นคอกม้าก็แล้วกัน ถ้าหากว่าไปเล่นคอกม้าเมื่อไหร่ จะสูญเสียพระราชกุมารไป ในที่เป็นนานๆ ปี ดังนี้พระเจ้าข้า อาจมิฉะนั้น อาจจะสิ้นเสีย พระชนม์ชีวิตก็เป็นได้พระเจ้าข้า ที่พระองค์ได้ทรงฟังแห่งโหราศาสตร์ ทำนายพยากรณ์ดังนี้ จากราชโอรสของพระองค์ ยิ่งมีความเสน่หารักใคร่เป็นหนักหนา จึงทรงให้ทวยเทวาอำมาตย์ชาติทหารในพระราชวัง ที่เรียกว่าพี่เลี้ยงนางนม ตลอดถึงที่ องครักษ์พิทักษ์รักษาทุกเวลา แม้ว่าใหญ่ขึ้นมา จัดที่ลูกกษัตริย์นานา ต่างชาติให้มาแวดล้อม เป็นยศบริวาร เป็นหมื่นๆ ประมาณที่ได้สองหมื่นราชกุมาร จะไปเล่นที่ไหนมีมหาดเล็กเสด็จไปห้อมล้อม เพื่อจะต้านทานไว้ ไม่ให้ราชกุมารไปเล่นคอกม้า ไม่ให้เห็นกับม้าตัวประเสริฐพาชีนั้น ตามโหราศาสตร์ทำนายไว้นี้ เพราะฉะนั้นถ้านับถึงเวลาที่พระราชกุมารเจริญวัย หรือสังขารเติบโตใหญ่ประมาณ ๒๐ ปี เวลานั้นยังที่ถึงอำนาจของพระบิดา ว่าไม่ให้ไปเล่นคอกม้า แม้ทุกวัน ทุกวัน มีพระราชโองการรับตรัส ดำรัสตรัสสั่ง ให้พระราชโอรส “จงฟังคำพ่อนะ ขอให้ลูกอย่าให้ซน คำพ่อก็แล้วกัน” ดังนั้น ณ วันหนึ่ง เป็นจิตกระวนกระวาย หรือในธาตุขันธ์อินทรีย์ร้อนดังอาทรจะม้างขันธ์ดังนี้ ทำลายชีวิตไป อยู่ไม่ได้จึงหวนเข้าไป เพราะฉะนั้น แม้ว่าอำมาตย์ราชกุมารติดตามทั้งหลาย เป็นหมื่นๆ แสนๆ ก็ยังไม่มีอำนาจจะทัดทานห้ามได้ ใครจะมาห้ามข้าได้ เลยเปิดคอกม้าไป หาอาชาไนย อันประเสริฐคือพาชีมณีกาบแก้วอันนั้น เมื่อมองเห็นการะเกดซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระโพธิสัตว์สุรีย์วงศ์ องค์พุทธางค์กูรแล้ว และบุสดีแล้ว ม้าแก้วดีอกดีใจ
“โอ้…ดูกร การะเกดน้องชาย เจ้ามาหาพี่กระชั้นชิด พี่จะพูดให้ฟัง”
อ้าเนี่ย มณีกาบเนี่ย พูดเป็น เจรจาเป็น เหมือนดังภาษามนุษย์นะ ไม่ใช่ว่าม้าปาก(พูด)ไม่เป็น ปากเป็นแต่ตัวผู้ประเสริฐ หรือตัวประเสริฐอย่างเดียว ที่เรียกว่ามณีกาบแก้ว สัตว์ม้านี้มีอยู่ ๔ สัตว์นะ ม้า ๑ อัสดร ๑ เค้าก็เรียก อัสดรแล้วก็พาชี พาชีแล้วก็มณีกาบแก้ว มณีกาบแก้วแล้วก็พระรามหก เขาก็เรียกว่าม้า ถ้าเป็นพระรามหกยิ่งใหญ่กว่า ยิ่งใหญ่กว่าพาชีมณีกาบแก้วนะ อ้านี้ ลักษณะที่เป็นม้า ประทับอยู่ ณ ตัวประสงค์ อ้ามีบุญฤทธิ์ อันเทวบุตรบริสุทธิ์มาเสวยชาติ มันเป็นยังงี้ เพราะฉะนั้น
กล่าวถึงการะเกดอันพูดกับม้า “อ้ายังไง … พระเจ้าพี่ พญาม้า”
“โอ้น้องเอ๋ย วันเนี้ย น้องจงฟังความพี่นะ เดี๋ยวนี้พี่มองเห็นน่ะ นางสวยสาวงามนั้นก็คือ มะลีจันทร์ ยังพระชนม์มายุได้ ๑๔ ขวบ บัดนี้ เป็นลูกยักษ์ อยู่ในเมืองศรีมนธานีกรุงเทพ ยังที่พิทักษ์รักษามหายักษ์ทั้งหลาย พี่จะพาไปเล่น ไปมั๊ย ”
พอได้ยินชื่อว่ามะลีจันทร์ อยู่ไม่ได้แล้ว ทำให้จิตใจของการะเกด ถึงในแง่ว่า หันเข้ากระวนกระวาย ถึงคล้ายกับว่าจะมรณา ชีวาสิ้นชีวิตไปกะทันหัน ดังนั้นจึงได้ออกพระโอษฐ์ว่า “พาน้องไปก็แล้วกัน พระเจ้าข้า มณีโช” ดังนั้น จึงได้เชื้อเชิญการะเกดขึ้นบนหลังทันที เมื่อนั้นการะเกดขึ้นขี่บนหลัง ชักซึ่งใยหรือที่บังเหียนของม้านั้นเอามาใส่ ประทับที่หลัง แล้วก็พาเผ่นออกจากคอกม้าทันที เข้าไปสู่อากาศ พาวิ่งล้อมพระนครพาราณสี ทั้งที่ทวยเทพ มหาอำมาตย์ พระราชกุมารทั้งหลายที่พื้นกลัวตาย มีการร้องไห้โวยวายปริเทวนา คิดถึงการะเกดโพธิสัตว์พระราชกุมาร กลัวพระยาสุรีย์วงศ์ อันพระราชบิดาจะลงโทษโกรธกรีฑา ถึงประหารชีวิต กลัวโทษอาชญาแผ่นดิน ดังนั้น เข้าไปกราบทูลเหมือนได้รับคำสนองซึ่งเทวอำมาตย์ หรือราชกุมารทั้งหลาย สุรีย์วงศ์ซึ่งมีความโกรธมองเห็นพระราชโอรสของตัวนั้นอยู่บนอากาศ อยู่บนหลังม้า แล้วก็ร้องสั่งพระบิดา และมารดา ว่าจะไปเล่นป่าหิมพานต์ สัก ๓ ปี พระเจ้าข้า ขอพระราชบิดาอย่าเอาผิด ถึงยังไงขออภัยให้ข้าผู้เป็นโอรสบ้าง พระเจ้าแม่บุสดี
แม่บุสดี เมื่อเห็นพระราชโอรส ของตนหนีไปดังนั้น วิสัญญีสลบลงทันที ทวยเทวะอำมาตย์ หรือกำนัลนารี หญิงแม่เลี้ยงนางนมทั้งหลาย เอาน้ำมาเป่าจึงคืนมา และทั้งสองพระองค์ มีพระกรครวญครางกรีดร้อง ไห้ปริเทวนาร่ำไรบ่น แม้การะเกดร้อนจนสั่ง เข้ามาสั่งแล้วมณีโช แล้วก็ทะยาน ผ่านเวหาเข้ากลีบเมฆ มองไม่แลเห็นเลยทีเดียว ทำให้ประชาชนในเมืองพาราณสี ทุกแห่งทุกหน เป็นกระวนกระวาย เอิกเกริกโกลาหล ทั้งที่เศร้าโศก โศกาปริเทวนาไปหมดพระนคร มีพระมหากษัตริย์สุรีย์วงศ์วงศ์พุทธางค์กูรเป็นประธาน ได้ทำความเศร้าโศกโศกานำ(ไปกับ) พระโพธิสัตว์ ณ กาลครั้งนั้น เป็นเช่นนี้จึงได้เล่าว่า เมืองที่เขาใหญ่ที่จะปรับปรุงมาแต่ว่า การะเกดโพธิสัตว์ หรือเป็นเมืองของเจ้ายักษ์ พญายักษ์ที่ชื่อว่า วิมล อันที่มนธานีกรุงเทพนี้ เป็นอย่างเนี้ย ไม่ใช่ว่าธานีกรุงเทพฯ ปัจจุบันนี้ อันนี้กรุงรัตนโกสินทร์
ถาม : อันนี้ เป็นแสนๆ ปีแล้วหรือครับหลวงพ่อ
ตอบ : อ๊า… แสนปีไม่ใช่แล้ว เป็นหลายล้าน, ไม่ใช่ล้านแล้ว
ถาม : พระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไหร่ครับ การะเกดน่ะ?
ตอบ : โอ้โห ! แต่การะเกดเนี่ย เรื่องตั้งแต่พระพุทธเจ้ากกุสันโธ
ถาม : พระพุทธเจ้าองค์ที่หนึ่งเหรอฮะ?
ตอบ : องค์ที่หนึ่ง
ถาม : กกุสันโธ ?
ตอบ : กกุสันโธ มา
ถาม : โอ้โห
ตอบ : อย่างนี้แหล่ะ …