คำสอนหลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ พระพุทธองค์ทรงปราบทิฐิพระยามารและธิดามาร

ธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณหลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ
ขณะนั่งรถ จากจังหวัดร้อยเอ็ด กลับสู่วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร จังหวัดหนองคาย โดยมีพระสุวิทยา จันตธัมโม (สมัยก่อนบวช)เป็นผู้ขับและบันทึกเสียง

…กินแหนง และเวรจิตใจของตัวจะทำให้หลงหนทางที่ดีไป คนเราจะมีปัญญา หรือมีสติสัมปชัญญะ รู้เหตุรู้ผลไปอย่างนี้ มีการที่ยกเอาตัวอย่างพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย หรือพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มหาบุรุษทั้งหลาย กับบุคคลผู้ได้พูดถึงท่านยับยั้งด้วยขันติธรรม ยังประสพกับสิ่งใดก็ตาม ความล้มเหลว ประสพความทุกข์อันจะหาว่าทุกข์ของบุคคลนั้นเสมอไม่มี พระองค์ก็ยังพ้นไปด้วยคุณงามความดี หากว่าคุณงามความดีของตัวมีอยู่ อดีตที่ผ่านมา หรือปัจจุบันที่ทำรอรับไว้ ฉันใด นั้นแหละพอจะเป็นที่พึ่ง และอาจจะเป็นที่ให้สำเร็จ ที่วันใดก็วันหนึ่งเวลาไหนก็เวลาหนึ่ง อดีตนี้ถือว่าเป็นยาวนาน อันจะหลายอย่าง เราทำลงไปได้ทันที ทีเดียว มันก็หาได้ยาก ผู้มีบุญวาสนาจริงๆ อาจจะมีสิ่งที่ทดสอบและทดลองจิตใจไปหลายอย่างนั้น ดังพระกรรมฐาน พระกรรมฐานนั้นน่ะ เป็นไงทีเนี้ย ก็มีสิ่งเลวร้ายมาทดสอบหลายอย่างเหมือนกัน มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน มีพระยามารมาช่วงและชิงเปลวบัลลังก์ ชิงบัลลังก์ทองก็จะไม่ได้ชัยชนะ มิหนำซ้ำได้อัปราชัยพ่ายแพ้ ด้วยคุณงามความดีขันติธรรมพระองค์ได้ชนะ มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง ในฐานะพระองค์ที่ชนะพระยามารด้วยขันติธรรม ด้วยคุณงามความดีบารมีที่ได้กระทำมา หรือบำเพ็ญไว้แต่หนหลัง พระธรณีรับเป็นภาคพยานรักษา ทั้งหมู่มารอัปราชัยไป ได้อ่อนยอมพ่ายแพ้ พร้อมด้วยเสนามารทั้งหลาย ถูกปลาหรือเต่าในมหาสมุทรนี้จับกินเป็นอาหาร เหลือแต่ตัวพระยามารหัวหน้าจอมทัพ แล้วกลับไปสู่ชั้นวสวัตดีมารชั้น ๖ อย่างเคย มิหนำซ้ำยังเทศน์ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมพระองค์นั้นขึ้น แล้วปรารถนาพุทธภูมิต่อไป เท่านั้นยังไม่หมดวิสัยมาร ยังมีสันดานอันหยาบคาย ใช้ลูกสาวทั้ง ๓ สาว คือนางอรตี หรือนางตัณหา นางราคะ นี้ ให้มาล่อเป็นผู้สวยสดงดงาม ราวกับว่าเทพธิดาอยู่เมืองแม้นแดนสวรรค์ หรือทำนางสุชาดาอันเป็นราชชายาของอมรินทร์ปิ่นเทวราชก็ปานนั้น นี่คือสาวทั้ง ๓ สาว อันจะมาล่อลวง พระมหาบุรุษพุทธเจ้าของเรา เป็นพระพุทธเจ้าไปแล้ว ทำให้แผ่นดิน แผ่นดินไหว หรือบันดาลกัมปนาททั่วไปทุกแห่งหน แต่ ๓ นางนั้นก็ยังที่เข้าวาระที่ได้จ้องชนะบรมครูของเราไม่ได้ เพราะบรมครูของเราเป็นผู้ขาดซึ่งกิเลสไปแล้ว จึงที่มีการทักนางตัณหาทั้ง ๓ ถึง ๓ วาระ นางตัณหามีความละอายไป
ภ. : “ดูกรนางราคะ ดูกรนางตัณหา ดูกรนางอรตี ข้านี้เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง แม้ว่าเจ้ายอดหญิงสิริยโสธรา เป็นนางเอกยิ่งใหญ่ในโลก จะหาหญิงไหนเปรียบนางไม่ได้ พร้อมกับสตรี ลูกกษัตริย์ ๖๔,๐๐๐ นาง ยังที่ทำสวยงามใบหน้าพระพักตร์เสมอกันทุกนาง ทุกนางนี้ ก็ยังข้านี้เบื่อเหลือเกิน ออกมาที่จะแสวงหาโพธิญาณให้สำเร็จดังความหวัง ณ กาลวันนี้ แต่เป็นวาระ ๖ ปีมาแล้ว ที่ได้การสกัดความเพียร เรารู้เห็นเป็นพยาน ทำไมตัณหา ธิดาบุตรของพระยามารนี้ หากทำอย่างนี้ต่อไป ขอให้ธิดาของพระยามารเป็นผู้เฒ่า รูปขี้เหร่ นมยาน ตกท้องน้อย ”
ว่าแล้วตถาคตศรีศากยมุนี ถ่มเขฬะน้ำลายใส่ทันที พระธิดาของ ๓ สาว พระยามารเป็นรูปสวยงามราว ๑๕ ปี หรือ ๑๔ ปี ทันใดนั้นเป็นหญิงแก่ชรา เดินโยกหน้าโยกหลัง ทั้งร่างกายก็เหี่ยวผ่ายผอม และหนังก็ยวดยานไป นมก็ยานไป แก้มก็ตอบไป ผมก็หงอกไปทันทีนี้ เพราะความดีสัพพัญญูพุทธเจ้า ทำให้ราชธิดาของพระยามารทั้ง ๓ นั้นอับอาย แล้วหายขึ้นไปสู่ชั้นวสวัตดีมาร ไปกราบทูลพระราชบิดา ทำให้พระยามารนั้นอัดอั้นตันอุรา แห่งความโกรธ แต่ว่าจะหาช่องทางที่จะมาชิงชัยอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ข้านี้จึงประกาศแกล้ว องค์ประเสริฐในโลกา นั้นก็คือศรีศากยะมุนีพระองค์นี้ เลิศล้ำแห่งใดยิ่งใหญ่ในจักรวาลโลก อันจะเป็นครูเป็นศาสดาสั่งสอนมนุษย์ เทพยดา มาร พรหม ให้ถึงสุข ๓ ประการ ข้าถึงคุณของพระองค์นั้น ไว้เหนือเศียร และถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์นั้น ถึงทั้งที่พระอริยสงฆ์สาวกองค์ใดองค์หนึ่ง เป็นพระสงฆ์ของท่านที่จะได้บรรลุอรหันต์ ข้าถึงพระรัตนตรัย ปรารถนาโพธิญาณต่อไป ขอให้ได้มีวิสัยดังพระองค์นี้เถิด เพราะฉะนั้นพระยามารจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔
นับเริ่มจากพระศรีฯ ไป เป็นองค์ที่ ๑
ที่ ๒ พระราโมพุทโธ
ที่ ๓ ธรรมราช
ที่ ๔ นั้นแหละ ธรรมสามี องค์ที่ ๔
อย่างนี้แหล่ะนะ ความดีของคน ผู้ทนด้วยเป็นอุทาหรณ์ ผู้มีมรรคผล เกิดเป็นคนมาไม่ย่อท้อ สร้างก็แต่คุณงามความดี

แชร์เลย

Comments

comments

Share: