อันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ว่า ทานะบารมี หรือ วิริยะบารมี วิริยะอุปะบารมี วิริยะปรมัตถะบารมี ขันติก็เหมือนกัน ขันติบารมี ขันติอุปะบารมี ขันติปรมัตถะบารมี อย่างนี้หนา
บางทีมันก็ถอยไปถอยมา บางครั้งมันก็อยู่ในการที่ว่า ปรมัตถะบารมี หรืออุปะบารมีเหล่านี้ มันขั้น ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย ขั้นต้นนี่ก็อยู่ในทางที่ว่า มันก็ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง หรือไม่ดีกว่า ไม่ดีมากกว่า หรือขั้นกลางนี้ อยู่ในการว่า ไม่ดีไม่ชั่วอยู่ในการที่ว่าสิ้นกัน นี่ก็มัน มัชฌิมาปฏิปทา ปานกลาง แต่ว่า อยู่ในขั้นที่ปรมัตถะบารมีนั้น จะเป็นทานก็ตาม รักษาศีลก็ตาม เนกขัมมะ การออกบวชก็ตาม ตั้งปัญญาก็ตาม ตั้งวิริยะก็ตาม ตั้งขันติก็ตาม ตั้งสัจจะก็ตาม ตั้งอธิษฐานก็ตามนี้ หรืออธิษฐานะบารมี อธิฏฐานะอุปะบารมี อธิฏฐานะปรมัตถะบารมี นั้นก็ที่ว่าอธิษฐานเช่นไหน อธิฏฐานะปรมัตถะบารมีอย่างเฉียบขาด อย่างพุทธเจ้า ที่เอากายขาจะขาด แข้งจะ จะเจ็บนิดเจ็บหน่อยก็ตาม อันนั้นเป็นปรมัตถะบารมี ดังภูริทัตต์ หรือวิทูรพะนั่น มารักษาศีลเป็นนาค ไม่กินอาหาร เอาหางเอาเกลียวเกี้ยวขนดขึ้นใครจะไปฆ่าหรือนายพรานจะไปฆ่า ยอมให้ฆ่า ฆ่ายังไงก็ไม่ตายแล้วทำใหม่ ไม่เรียกร้อง ใครจะฆ่าก็ เอาเนื้อเอาหนังของเรา เอาหนังไปขาย หรือหนังงูเหลือมเนี้ย เราเป็นงูเหลือมที่งูพูดได้ ให้นายพรานเอาน่าสงสาร ถ้ามันมีเป็นยังเงี้ย ข้าพเจ้ารักษาศีล ใครมาทำอย่างนี้บาปแล้ว แล้วอย่างนี้เจ้าก็ไม่ว่า ให้เธอฆ่าเอาไปขายแต่ยังไงก็ตาม เธอจะเอาไปกินหรือเอากระดูกไปขายหรือเอาเนื้อไปขายยังไงก็ตามยอมทำให้ ยอมเสียสละให้เธอมาทำไปเถอะ ให้ข้าพเจ้าได้สมความปรารถนา ข้าพเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันหนึ่งเรื่องภูริทัตต์ โอ.. เกิดศรัทธาและความเลื่อมใส ไม่ฆ่าสัตว์ อันนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่ว่าบุคคลที่ถึงธรรมนี้ของพระโพธิสัตว์นั้นท่านจัดว่าเป็นปรมัตถะปารมี หลังจากนั้นก็เทวดา หรือพระอินทร์เชิญขึ้นไปเบื้องบนสวรรค์มอบราชสมบัติให้ เสวยราชสมบัติอยู่เมืองดาวดึงส์ ได้ ๗ วันเท่านั้นเพราะว่า พระโพธิสัตว์ยังที่ว่าไม่ใช่เป็นมนุษย์ หรือเป็นมนุษย์อยู่ เป็นสังขารเป็นเดรัจฉาน แต่ถึงได้แค่นั้นเพราะเมืองสวรรค์ ของสวรรค์เป็นของทิพย์ หาราคาไม่เทียบเท่าสิ่งไหนแล้วก็ตาม เป็นคนเป็นมนุษย์หรือสัตว์ตัวไหนก็ตาม มันก็ถือว่าย่อมๆ ดังนี้ ถึงท่านตั้งอยู่ในปรมัตถ์ก็ดีก็ยังมีที่ติอยู่ เพราะของสวรรค์นั้น ใครได้มาแล้วก็อาจจะเป็นเหตุเป็นส่วนไม่ดี เพราะตัวเราที่สร้างกุศล มีรักษาศีลบารมีเพื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า จนกว่าเราจะได้รับพระพยากรณ์ รีบๆ ทำไป เมื่อ ชาตินี้หมดชาตินี้ ก็ไปชาติหน้าไป ทำอย่างนี้แหละที่ไม่ถอย ถ้าถอยแล้วก็ หรือเราได้รับพระพยากรณ์มายังไม่รู้ ที่จะรู้ก็ตัวเรา เราจะรู้ก็อาศัยที่เราทำ ทำความรู้นี่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนอรหันต์ แต่วิสัยเฉยๆ ชัดรู้อยู่ เพราะภาคผลความเพียรของเราที่ทำความเพียรให้แก่กล้าก็พอ เอาที่ว่าสังขารบูชาพระรัตนตรัยไปเลย นี่ที่อยากรู้ ดังนั้น นั่นแหละอันที่ว่าภาคผลของท่านที่ว่าปรารถนาที่จะหมดไปในปฏิกังขาความสงสัย เข้าใจไหม ดังนี้ ไม่ใช่ว่าปรารถนาแล้วโอ๊ย ! ไม่ค่อยเอา … ไม่ได้ บางที่เป็นคำพระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้แล้ว นี่เราได้เจอพระพุทธเจ้าแล้วได้รับพระพยากรณ์มาเนี้ย บัดนี้ตัวกิเลสเนี้ยจะมาทำให้เราชักช้าเสียเวลา ไม่ให้ปรารถนาอย่างนี้ก็มี เราก็ระวังบ้าง เพราะกิเลสคือตัวหลอก หลอกให้จิตสูงบ้างให้จิตต่ำบ้าง ให้ทำกรรมบ้าง เพิ่นจึงไม่ให้ย่อท้อ อันนั้นถือว่าการไม่ดี ที่นี้อย่างหนึ่งอย่างที่ยังไม่ได้รับพระพยากรณ์ก็ถือว่าอาจจะไม่ย่อท้อ จนกว่าว่าเราจะเสียสละว่าเห็นหน้าองค์พระพุทธเจ้า ค่อยเป็นปรมัตถะปารมีในการปรมัตถ์ดีกว่า จะสามารถจะอาจรอบรู้ในธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้าได้โดยดี ถึงจะว่าแค่ถึงพระอรหันต์ก็ตาม เอานามอะไรในใจเป็นอชิตะภิกษุ อันพระศรีอาริยเมตไตรย์ มีฟากฟ้าเจ็ดพระองค์ ที่รู้ได้ยังไง ศึกษาเล่าเรียน ออกบวชตามพระพุทธเจ้าเพราะดำเนินไปปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จนกว่าพระพุทธเจ้านั้นได้ใช้บาตร บาตรนั้นมาพยากรณ์พระอชิตะภิกขุนั้นนี้ ทำไมพระโมคคัลลาน์ไปหาบาตรไม่เห็น พระสารีบุตรหาไม่เห็น สาวกเป็นโกฏิๆ หรือพระอรหันต์บินไปทำไมไม่เห็น ซ่อนอยู่ที่กลีบฟ้ากลีบเมฆหรืออะไร ชั้นฟ้าชั้นดินหรือในภูเขาเลากานี่ดีออก อรหันต์เนี่ยบินได้ ดีกว่าย่าง(เดิน)ได้ เช่นเดินหาบาตรพระเจ้าไม่เห็นก็มากราบ พระโมคคัลลาน์จนหลงโลก ฤทธิ์มาก พระสารีบุตรนั้นก็ว่าจะให้เห็น มากราบก็ไม่เห็น ว่าแล้ว…ยอมมั้ย… ยอม พระองค์ว่าไง “เอ้อ ใครได้เป็นพระพุทธเจ้าจงหาบาตรให้ตถาคตเห็นนะ พระองค์ว่าแค่นี้ ถ้าใครจะได้เป็นพระพุทธเจ้าดังเราเนี้ย จงให้หาบาตรเราตถาคตเห็น” หมดแล้วมีอชิตะภิกขุหอ(เหาะ)ก็ไม่ได้เนี่ย เมื่อท่านไม่มีมรรคผลเนี่ย มีอยู่ แต่มรรคผลหลายอย่าง มรรคผลคือพุทธภูมิ ไม่ใช่ท่านเอาผลปัจจุบันอรหันต์ ไม่เอา เรียนพระไตรปิฎกจนจบได้ทุกอย่างแต่เหาะเหินบินวนไม่ได้ดังพระอรหันต์นั้น ก็มีความปรารถนา จนพระพุทธเจ้าเราช่วยว่าเอาบาตรเนี่ย ตอนนั้นก็ยังที่ ผ้าสาฎกของพระนางมหาปชาบดีโคตมี พระนางนี้ก็ใจน้อยขึ้น
ด้วยเรื่องเนี่ย ใจน้อยอะไร ใจน้อยเรื่องทำผ้าสาฎกเนี่ย ให้พระลูกเจ้า พระลูกเจ้าไม่รับ แม่นี้บาปหรือ หรือบุญไม่มี พระองค์นี้โปรดคนอื่นได้เป็นอรหันต์ โปรดแม่นี้ไม่ได้ ไม่รับอีก โอ๊ย ! … กูนี้บุญน้อยเหรอ ? ตายลงอีหลีนะเนี่ย อีกคนก็ลงไป พระอานนท์ก็ไห้นำแม่ (ร้องไห้กับแม่) จะไปอ้อนวอน เลยลุกขึ้นมาอ้อนวอนพระองค์ว่า เฉยอยู่ พระอานนท์ว่า ทำไมพระองค์ไม่สงสารแม่หรือ ? แม่นี้ก่อนครานี้ ป้อนข้าว รักพระองค์ ยิ่งกว่าหัวใจเข้าไปอีก ลูกของพระแม่เจ้า เช่น นันทะ หรือรูปนันทา เนี่ยไม่รัก ให้เสนาอำมาตย์ หรือพี่เลี้ยงนางนมเลี้ยง วอนแม่พระโคตมีเนี่ย มาปรึกษาแม่เลี้ยง รักพระองค์มาก บัดนี้คิดว่าอยากได้บุญมาก ทำไมพระองค์ไม่รับ ไม่สงสารแม่หรือ จึงไห้(ร้องไห้)เด๊ ! พระอานนท์ก็ดาย… แม่สิตายอีหลี ใครจะไม่รักแม่ล่ะ ในโลกเนี่ย หญิงไหนที่เสมอดังแม่เรา เพิ่นว่า ในโลกเนี่ย จะเป็นเทวดาหรือก็ตาม ก็ยังไม่เชื่อ เพิ่นว่า “อะหยัง .. เอาบาตรกูมา ! ” ว่าซั่นเนี่ย “เอาบาตรกูมา ไผสิเป็นพระพุทธเจ้า หาบาตรกูเห็น” จากนั้นก็ขึ้นบนอากาศไปเบิ๊ด พระอรหันต์เป็นโกฏิๆ พระสารีบุตร โมคคัลลาน์ ก็ไป เหลือแต่อชิตะภิกขุอยู่ เหาะบ่ได้ ชาติพระศรีฯ ไปเกิดเป็นลูกพระเจ้าอชาตศัตรู ออกบวชนี้ ก็เพราะได้เห็นรัศมีของเรา จึงอยากเป็นพระเจ้า เพราะอันนั้นแหละ ออกบวชแล้ว อำมาตย์ พระราชกุมาร ๒ หมื่นองค์ ได้เป็นอรหันต์เมิ๊ด เหาะเหินบินวนทุกคนไป โต(ตนเอง)มีแต่ย่าง จะเรียนอะไรก็ได้ …เป็นหยัง ยังบ่ได้ เพราะปรารถนาพุทธภูมิ อนาคต อรหันต์น่ะ หวังไว้เป็นอรหันต์บ่ได้ เป็นพุทธภูมิน่ะมันกะบ่ทันได้แล้ว
บ่ทันเห็นหน้าพระเจ้า นี่ก็ถึงว่าที่ยังเจ้าของแล้วนี่หนา ไปเอาบาตรนั้นมา แล้วก็ไปหาบ่เห็น
บอกอชิตะภิกขุ “อชิตะภิกขุ ! … มึงมาที่นี่ มึงไปหาบาตรกู เอามาให้กู” ว่าซั่น
ไห้(ร้องไห้)แล้วนี่ก็ดาย “โอ๊ย ! ภควา แก้วกู่ สัพพัญญูเจ้า ข้าน้อยไม่ใช่อรหันต์ เหาะไปไม่ได้ แต่พระอรหันต์ยังหาไม่เห็นพระเจ้าข้า เที่ยวดิน บินวนไป ดำดินไปหาหมดเลย ไม่เห็น ข้าสิไปยังไงได้”
ภ. “หา ! มึงบวชยั๋งใด ” เพิ่นว่า ฮ้ายเลย “มึงบวชเลี้ยงควายบ่ มึงเฮ็ดหยัง มึงอยากได้หยัง “
เพิ่นแงะแค่นี้แหละโอ้ !
อ. “ผู้ข้าก็บวชเนื่องด้วยผลานิสงส์แหละ”
ภ. “มึงอยากได้ผลา อันใดล่ะ”
อ. “ผู้ข้าอยากเป็นพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)”
ภ. “มึงหอ(เหาะ) เอาแหละ มึงหอไม่ได้ มึงก็ไปหาเอาแหละ กูบ่ไปหาซ่อย(ช่วย) มึงหรอก” ว่าซั่น
แค่นั้นก็คึดได้แล้วล่ะ ว่าซั่น เพิ่นเว้าแค่นั้นแหละฮู้เลย
อ. “สาธุเด้อ ถ้าผู้ข้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าชาติที่มาภายหน้าดังนี้ ขอให้จักแก่ยังบาตร ของสัพพัญญูเจ้าเนี่ย ลอยมาหาข้าเถิด”
ว่าแล้วก็ วื้ด…! มาเลย มาจับอยู่หน้านี้เลย บาตรลอยมา