จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงคืออะไร

จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงคืออะไร ?

จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยง

ที่เห็นนิมิตคล้ายพระทรงเครื่อง นั้นเรียกว่า “จักรพรรดิ” นั่นเป็นพระภาคผู้เลี้ยง พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ในเรื่อง “ธรรมะ” แต่จักรพรรดิเป็นใหญ่ในเรื่อง “สมบัติ”

จักรพรรดิมีด้วยกันทั้ง 3 ฝ่าย 3 ฝ่ายคืออะไร ธรรมชาติทั้งหมด มีอยู่ 3 ฝ่าย ฝ่ายอกุศลหรือฝ่ายธรรมดำหรือฝ่ายมาร หรือฝ่ายบาปอกุศล แล้วแต่จะเรียกกันอย่างไร

ถ้าเป็นการกระทำเขาเรียกว่า “บาปอกุศล” ถ้าเป็นธรรมชาติที่ดลจิตดลใจให้คิดผิด รู้ผิด เห็นผิด ทำผิด เป็นบาปอกุศลเขาเรียกว่า “กิเลส“ มีวรรณะดำจริงๆ จึงเรียกว่า “ธรรมดำ“ แล้วเราเรียกกิเลสว่าเป็นเครื่องกั้นความดี และเมื่อมีอยู่ในสัตว์บุคคลใดกี่มากน้อย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีเทพบุตรชั้นต่ำลงมาที่ตกอยู่ในอำนาจของธรรมดำ คือกิเลสมากด้วยก็มี ชื่อว่า “เทพบุตรมาร“ เช่น พวกยักษ์ ซึ่งส่วนมากจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ ประพฤติผิดศีล แต่ที่มีส่วนที่เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่บ้างก็มี นี้ธาตุธรรม “ภาคดำ“ หรือ “ภาคมาร“ ผู้ขัดขวางคุณความดี

ส่วนภาคกลางๆ ก็ ไม่ดีไม่ชั่ว

ส่วนธาตุธรรมอีกฝ่ายหนึ่ง เป็น “ภาคขาว“ ถ้าเป็นการกระทำที่ชื่อว่ากรรมดีก็เรียกว่า “กุศลกรรม“ ถ้าว่าธรรมชาติฝ่ายขาวที่ดลจิตดลใจให้ประพฤติปฏิบัติไปตามพระปิฎก คือ ดีทางด้านความประพฤติ ชื่อว่า “พระวินัยปิฎก“ ดีทางด้านจิตใจสงบ ชื่อว่า “พระสุตตันตปิฎก“ ดีทางด้านปัญญา ชื่อว่า “พระอภิธรรมปิฎก“

ธรรมชาติที่ดลจิตดลใจฝ่ายดีให้ประพฤติปฏิบัติไปตามปิฎกฝ่ายดีนี้ชื่อว่า “บุญ“ บุญเป็นธรรมชาติชำระจิตใจให้ผ่องใส จึงชื่อว่า “ธรรมขาว“ เป็นฝ่ายที่เมื่อใครปฏิบัติตามแล้ว นำชีวิตตนไปสู่ความสุขความเจริญฝ่ายเดียวมีแต่ดีกับดี ธรรมชาติฝ่ายนี้จึงชื่ออีกอย่างว่า “ฝ่ายพระ“

ส่วนธรรมชาติทั้ง 3 ฝ่ายหรือ 3 ภาคนี้ เหมือนหนึ่งว่าคนเล่นเก้าอี้ดนตรี ถ้าฝ่ายมารเขาครองเก้าอี้ ฝ่ายพระก็ต้องถอย พูดอย่างง่ายๆ ในจิตใจของคน ถ้ากิเลสเข้ามาบุญก็ถูกบังหายไป เพราะฉะนั้น เมื่อกิเลสเข้ามาก็ไม่ทำกันแล้วความดี นี่แหละที่ว่า “มารเป็นธรรมชาติที่ขัดขวางคุณ ความดี“ ส่วนความดีหรือบุญกุศลเป็นธรรมชาติที่ชำระกิเลสมารทำให้จิตใจผ่องใส ชื่อว่า “บุญ“ บุญให้แต่คุณเป็นความสุข ความเจริญอย่างเดียว ส่วนบาปอกุศลให้ความทุกข์เดือดร้อนแต่อย่างเดียว

ธรรมที่ว่าเป็นบุญหรือฝ่ายพระ ก็มี “จักรพรรดิ“ นี้เป็นภาคผู้เลี้ยง ฝ่ายพระมีประจำอยู่ในกาย จากสุดหยาบไปจนสุดละเอียดถึงพระพุทธเจ้า จากพระพุทธเจ้ายังมีพระในพระที่ละเอียดๆ ต่อๆ ไปอีก ถึงพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม (Primorial Buddhas) กลางของกลางพระ พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ฝ่าย “ธรรม“ แต่มีจักรพรรดิมีพุทธลักษณะเหมือนพระทรงเครื่อง ใสบริสุทธิ์อยู่กลางพระนั้น นี้เป็นใหญ่ฝ่าย “สมบัติ“ คือ

เมื่อไหร่ที่จักรพรรดิฝ่ายพระมีอำนาจมาก ก็เลี้ยงธาตุธรรมของฝ่ายพระด้วย สมบัติทั้งหลายที่ดีๆ ทั้งปวง ตั้งแต่ปัจจัย 4 เครื่องอำนวยความสะดวก ให้สุขสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง แต่เมื่อไหร่ที่จักรพรรดิฝ่ายพระไม่ว่าจะประจำอยู่ที่ธาตุธรรมใด เช่นประจำอยู่ที่บุคคลใดหรือครอบครัวใดโดยส่วนรวม หรือของกลุ่ม ชนใดโดยส่วนรวม หรือของประเทศชาติใดโดยส่วนรวม

ถ้าเป็นจักรพรรดิที่มีอำนาจน้อย ชื่อว่า “จุลจักรพรรดิ“ ความเป็นอยู่ก็ฝืดเคือง สัตว์โลกหรือมนุษย์หรือกลุ่มชนนั้นก็ฝืดเคือง ยากจน แต่ถ้าจักรพรรดิมีอำนาจมาก กล้าแข็งมากเพียงไร ประจำอยู่ในธาตุธรรมของบุคคลใด หรือกลุ่มชนใดตั้งแต่เล็กจนใหญ่ ตั้งแต่ครอบครัวไปถึงประเทศชาติ จาก “จุลจักรพรรดิ“ เป็น “บรมจักรพรรดิ“ ความสุขสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ก็จะมากขึ้นตามลำดับ ถ้าถึง “บรมจักรพรรดิ“ ก็จะสมบูรณ์บริบูรณ์ที่สุด และถ้าว่าเป็นจักรพรรดิของภาคผู้ปกครองภพ 3 ก็จะเลี้ยงดูกันสุขสบายหมดทั่วทั้งทวีปทีเดียว

ถ้าว่าเป็นจักรพรรดิของภาคมารหรือธรรมดำก็จะให้แต่โทษ ของดีกลายเป็นโทษ ให้สังเกตดูประเทศที่เจริญด้วยโภคทรัพย์อย่างประเทศในตะวันออกกลางหรือที่ไหนๆ แม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือในยุโรป หรืออย่างเอธิโอเปียซึ่งแย่มากที่สุด เป็นจุลจักรพรรดิที่ต่ำที่สุด อานุภาพน้อยที่สุด ยากจนเหลือเกิน หรือประเทศอินเดียก็ยากจนมาก ที่รวยก็รวยมาก เฉพาะบุคคล ในตะวันออกกลางมีทรัพยากรมาก ทรัพย์สมบัติมาก แต่ทรัพยากรถูกใช้ไปด้วยอำนาจของฝ่ายมารหรือธรรมดำ เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นธรรมชาติกลางๆ ให้เป็นไปทางด้านลบหรือด้านทำลายล้างกัน รบราฆ่าฟันกัน เอารัดเอาเปรียบ กบฎคดโกง รุกรานกัน แย่งชิงความเป็นใหญ่กัน ไม่มีความสุข มีแต่รบราฆ่าฟันกัน ประชาชนเป็นทุกข์เดือดร้อนกันทั่ว

จักรพรรดิที่แย่มากที่สุด ก็คือ จักรพรรดิที่ประจำหล่อเลี้ยงด้วยผลกรรมชั่วอยู่ใน ธาตุธรรมของสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอย่างเปรตนี่หิวตลอดกาล สัตว์นรกก็รุ่มร้อน ได้รับความทุกข์ทรมานตลอด จักรพรรดิของเขาก็เป็น “ภาคดำ“ หล่อเลี้ยงผลกรรมให้ได้รับ ความทุกข์ เดือดร้อน ไม่รู้จักจบสิ้น อย่างอเวจีมหานรก ไฟนรกเผาไหม้ร้อนเหลือเกิน ท่านเปรียบเทียบว่า สะเก็ดไฟห่างจากตัวเราเป็นร้อยโยชน์ 1 โยชน์เท่ากับ 400 เส้น 1 เส้นเท่ากับ 20 วา เป็นร้อยๆ โยชน์ เพียงแต่เราเห็นไฟนรกแวบเดียว ตานี้จะเสียเลย ในคัมภีร์บอกไว้ ใส่อะไรลงไป ละลายหมด ยิ่งกว่าภูเขาไฟระเบิดสัตว์นรกจริงๆ ไหม้แดงแต่ไม่เป็นขี้เถ้า ไม่ไหม้หมดเป็นเถ้าถ่าน ไม่ตาย เพราะจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงสัตว์นรก ทำให้เป็นไปตามกรรมอย่างนั้น ไม่ตาย ร้องไปเถิด ตัวแดงเป็นไฟ ไหม้เหม็น ผู้ถึงธรรมกายเขาเห็นเสื้อผ้าก็ไม่มีใส่ ตัวก็ถูก จองจำแน่นหนา มีปรากฏในคัมภีร์ด้วย ในคัมภีร์บอกไว้เลยว่า เหล็กหลาวเท่าต้นตาลเสียบทะลุ จากกระหม่อมข้างบนลงไปข้างล่าง เสียบทะลุจากข้างหน้าไปข้างหลัง จากซ้ายไปขวา กระดุกกระดิกไม่ได้ ได้แต่ร้องลูกเดียว ในคัมภีร์บอกไว้ เดี๋ยวนี้มีสอนสมัยใหม่ว่า นรกสวรรค์ไม่มี ที่แท้มีอยู่จริงตามหลักฐานในคัมภีร์ เพราะตัวผู้สอนไม่รู้ไม่เห็น นึกว่านรกสวรรค์อยู่บนดิน ที่แท้นรกสวรรค์มีจริง ผู้ปฏิบัติถึงธรรมกายที่แก่กล้าเขาเห็น นี่คือเรื่องของจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยง

ถ้าสงสัยทำไมจักรพรรดิจึงมี 3 ภาค ทำไมไม่เลี้ยงดีๆ ทำไมต้องเป็นไปด้วยธรรมะ ของฝ่ายมาร หรือฝ่ายบาปอกุศลบ้าง ? เป็นไปด้วยธรรมของฝ่ายบุญกุศลบ้าง ? ก็เพราะว่าฝ่ายบุญ ให้ทำความดี จักรพรรดิก็เก็บเหตุแห่งความดีทางกาย ทางวาจา ทางใจ ส่งถ่ายทอดเข้าสู่เครื่องธาตุเครื่องธรรม ปรุงแต่งเป็นผลของกรรมดีส่งย้อนกลับเข้ามาในธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ ของสัตว์โลก จากสุดละเอียดมาสู่ส่วนสุดหยาบ ซึ่งเจริญเติบโตมาเป็นกาย ใจ จิต วิญญาณ และการ ดำเนินชีวิตประจำวันให้เป็นไปด้วยความสุขสบาย นั่นจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงเป็นอย่างนั้น จักรพรรดิเป็นไปตามอำนาจของต้นธาตุต้นธรรมของเขานั้นเอง ถ้าต้นธาตุต้นธรรมเป็นฝ่ายบุญ เป็นฝ่าย สัมมาทิฎฐิ จักรพรรดิเขาก็เป็นฝ่ายดีให้แต่ความสุข ใครทำดี ธรรมชาติฝ่ายขาวก็เข้าปกครองธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ ของผู้นั้น เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี

เมื่อฝ่ายบุญฝ่ายกุศลได้ทำหน้าที่เพราะสัตว์โลกรับธรรมฝ่ายบุญกุศลเข้าประพฤติ ปฏิบัติทางกาย วาจา และใจ ฝ่ายมารหรือฝ่ายบาปอกุศลก็ไม่ได้ทำหน้าที่ คือทำหน้าที่ไม่ได้ ถ้าจะพูดภาษาธรรมดา ก็ต้องว่าชิดซ้าย หรือไม่ก็ต้องเด้งออกไป

แต่ถ้าเมื่อไหร่สัตว์โลกขาดสติสัมปชัญญะ เป็นคนประมาท มัวเมาในชีวิตไม่รู้บาปบุญ คุณโทษ เป็นคนโลภ เป็นคนโกรธ เป็นคนหลงตามอำนาจของกิเลสคือธรรมฝ่ายดำหรือฝ่ายมาร ประพฤติปฏิบัติไปตามอำนาจของกิเลสด้วยความคิดผิด รู้ผิด เห็นผิด ทำผิด จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงของเขาอยู่ในท่ามกลางของสัตว์โลก ก็ทำหน้าที่เก็บเหตุแห่งบาปอกุศลนั้นทับทวี ส่งกลับเข้าไปเป็นอาสวะหมักดองในจิตสันดานด้วย จนถึงอนุสัยกิเลสที่ตกตะกอนนอนเนื่องในจิตสันดาน และเข้าสุดละเอียดไปเข้าเครื่องปรุงธาตุธรรมชื่อว่า “อปุญญาภิสังขาร“ ปรุงเป็นผลจากกรรมชั่ว ที่กระทำไปแล้ว และจักรพรรดิเก็บเหตุส่งกลับไปหล่อเลี้ยงสัตว์โลกนั้นให้ได้รับผลเป็นวิบาก เป็นความทุกข์เดือดร้อนไปตามกรรม จักรพรรดิเขาทำเอง จักรพรรดิมีประจำของแต่ละสัตว์หรือ แต่ละคนๆ

เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย ใครรักที่จะได้รับความสุขความสบายหมดทุกข์ ก็จงปฏิบัติตามธรรมของฝ่ายบุญฝ่ายกุศลว่า ให้ละชั่ว ให้ทำความดี ให้ชำระจิตใจ ให้ใสบริสุทธิ์ ให้เข้าใจ ให้ศึกษา ให้ปฏิบัติธรรมดี ฝ่ายบุญกุศล ดีทางกาย ดีทางวาจา ดีทางใจ ด้วยทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล จนกระทั่งสามารถกำจัดมารหรือบาปอกุศล มีกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นต้น ให้หมดสิ้นไปจากจิตสันดาน ให้ธาตุธรรมเห็น จำ คิด รู้ เป็นที่สถิตอยู่ของจักรพรรดิฝ่ายบุญกุศล หรือเป็นอยู่ด้วยธรรมของฝ่ายบุญกุศลมีทาน ศีล ภาวนา, ละเอียดขึ้นไปเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา, ละเอียดขึ้นไปเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา, ละเอียดขึ้นไปเป็นปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา ถึงธรรมโคตรภูพระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา ธรรมกายพระอรหัต ถึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นี่ธาตุธรรมฝ่ายบุญกุศล อยู่ในธาตุในธรรม ในเห็น จำ คิด รู้ ของสัตว์โลกนั้น

เพราะฉะนั้น ปฏิบัติธรรมตามแนววิชชาธรรมกายนั้นให้สามารถเข้าไปเห็น แล้วจึงรู้ ที่พูดทั้งหมดนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านสอนไว้ ครูบาอาจารย์ ท่านสอนและผู้ถึงธรรมกายเขาเห็นตามนี้ นี้เป็นสัจจธรรม สัจจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ รวมเบ็ดเสร็จเป็น “ทุกขสัจจะ“ “สมุทัยสัจจะ“ เหตุแห่งทุกข์ คือมารนั่นแหละ มีกิเลสมาร มารคือกิเลส ขันธมาร มารคือความเจ็บไข้ได้ป่วย มัจจุมาร มารคือความตาย เทพบุตรมาร คือเทพบุตรที่มี ธาตุธรรมภาคดำมาก เป็นมิจฉาทิฎฐิ

อภิสังขารมารคือความปรุงแต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายบาปอกุศลให้ได้รับผลเป็นความทุกข์เดือดร้อนยิ่งๆ ลงไปตามลำดับ ไม่ใช่ยิ่งๆ ขึ้น เช่นว่าไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานด้วยความโลภ โกรธ หลง เป็นมนุษย์ก็ยังโง่ แล้วยังต้องตายไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์เดรัจฉานโง่หนักเข้าไปอีก ต่ำๆ ลงไปจนเป็นสัตว์เซลเดียว เหมือนแพลงตัน หรือตัวไรน้ำ มันพัฒนาเลวลงด้วยอำนาจของภาคมาร คือไปรับอธรรม ไปประพฤติปฏิบัติทางกาย วาจา และใจ ตามอำนาจของกิเลสมีโลภ โกรธ หลง ตกต่ำลงไปเหมือนก้อนศิลาตกลงไปในบ่อที่ไม่มีก้น คือไม่มีทางกลับดีขึ้นมา หรือมีทางแต่กลับขึ้นมาได้ด้วยยาก ฝ่ายบาปอกุศลจำเพาะกิเลสมาร เมื่อทำมากๆ เข้า เป็น “อาสวะ“ หมักดองในจิตสันดาน ทำมากๆ เข้าเป็น “อนุสัยกิเลส“ เหล่านี้ เรียกว่า เจตสิกธรรม คอยเกิดขึ้นพร้อมกับอกุศลจิต ที่เมื่ออายตนะภายใน มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปกระทบกับอายตนะภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสทางกาย เป็นต้น แล้วเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง สุขเวทนา เช่น ไอ้นี่น่ารักน่าใคร่ เป็นเหตุให้เกิดกิเลสตัณหา อุปาทานขึ้นมา ดลจิตดลใจให้ปฏิบัติตามอำนาจของมันจึงเป็นทุกข์ หรือถ้าว่าแทนที่จะเป็นสุขเวทนา ก็เป็นทุกขเวทนา ไม่ชอบใจ เกลียดชัง เปิดโอกาสให้กิเลสประเภทโทสะ หรืออิจฉาริษยา หรือ มานะทิฏฐิครอบงำจิตใจ ดลจิตดลใจให้ปฏิบัติตามอำนาจของมัน นี้แหละกิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นภาคมารหรือฝ่ายบาปอกุศล

เพราะฉะนั้น เมื่อเราทราบดังนี้แล้ว เข้าใจดังนี้แล้ว ทำอย่างเดียว เป็นฝ่ายบุญกุศล ง่ายนิดเดียว “ใจหยุด ใจนิ่ง“ ตัวเดียวในเบื้องต้น หยุดความชั่วส่วนหยาบ ได้แก่ หยุด เลิก ละ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ทำแต่ความดีมีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล เป็นต้น

ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ทำสำเร็จได้ด้วยกายมนุษย์หยาบ เมื่อทำแล้วสามารถ กำจัดกิเลสมารได้ 3 ประการ คือ อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ กายมนุษย์ละเอียด ก็ละเอียด เข้าไป

พอถึงกายทิพย์คุณความดีในระดับทิพย์หรือเทวธรรม มีศีล สมาธิ ปัญญา และหิริ โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวและละอายต่อบาปอกุศล นั่นเอง กำจัดกิเลสที่ละเอียดยิ่งไปกว่า คือ โลภะ โทสะ โมหะ นี่สำเร็จได้ด้วยกายทิพย์ และทิพย์ละเอียดอยู่ในธาตุธรรมนั้น

ถ้าว่าจิตใจละเอียดเข้าไปอีก สะอาดบริสุทธิ์ถึงอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา และพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็สามารถกำจัดกิเลสมารที่ละเอียด คือ โลภะ ปฏิฆะ โมหะ ให้หมดไปได้ นี้เป็นธรรมที่สำเร็จได้ด้วยจิตใจที่เป็นบุญกุศลในระดับ “พรหมธรรม“

แต่ว่า เมื่อถึงอรูปพรหม ต้องกำจัดกิเลสละเอียดยิ่งขึ้นไปอีกคือ ปฏิฆะ กามราคะ อวิชชา นั่นสำเร็จด้วยปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา เมื่อกำจัดได้แล้ว ปรากฏเป็นธรรมชาติ ที่บริสุทธิ์ล้วน ชื่อว่า “ธรรมกาย“ เริ่มตั้งแต่ธรรมกายโคตรภูหยาบ โคตรภูละเอียด เมื่อพิจารณา สภาวธรรม สามารถกำจัดกิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก อย่างน้อย 3 ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส ด้วยปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา ในระดับโลกุตตรมรรค โลกุตตรปัญญา ก็ก้าวล่วงข้ามโคตรปุถุชนเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบันบุคคลขึ้นไป

โลกุตตรปัญญา คือเห็นแจ้งในอริยสัจ 4 อันเป็นไปในญาณ 3 คือ “สัจญาณ“ รู้ว่า อริยสัจ 4 แต่ละอย่างมีจริงอย่างไร ? “กิจจญาณ“ รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ? และ “กตญาณ“ คือ เมื่อรู้แจ้งชัดแล้วว่า ทุกข์กำจัดได้แล้ว สมุทัยละได้แล้วนิโรธ ทำให้แจ้งได้แล้ว มรรคทำให้เจริญแล้ว กำจัดทั้งสัญโญชน์เบื้องต่ำ และสัญโญชน์เบื้องสูงได้หมดเป็นสมุจเฉทหาน ก็บรรลุมรรคผล นิพพานเป็นพระอรหันตขีณาสพ นั่นกำจัดกิเลสมารได้โดยตลอดด้วยอรหัตมรรค เป็น โลกุตตรมรรคในระดับอรหัตนั่นแหละ พัฒนาไปจากธรรมกายโคตรภูหยาบ-ละเอียด ธรรมกาย พระโสดาหยาบ-ละเอียด ธรรมกายพระสกิทาคามีหยาบ-ละเอียด ธรรมกายพระอนาคามีหยาบ-ละเอียด ถึงธรรมกายอรหัตหยาบ-ละเอียด

พอกำจัดกิเลสหยาบละเอียดได้ ธรรมกายพระอรหัตของท่านก็ใสสว่างโพลงอยู่ทุกขณะ ตื่นโพลงอยู่ทุกเมื่อนั่นแหละที่ชื่อว่า “พุทโธ“ ผู้เบิกบาน ผู้ตื่นแล้ว ที่พูดนี่มิได้หมายความว่าผู้พูด เป็นอรหันต์นะ หลวงพ่อฯ ท่านสอนไว้

แนวทางปฏิบัติตามแบบวิชชาธรรมกาย ก็อยู่ในสติปัฏฐาน 4 นั่นเอง และให้สามารถ รู้แจ้งเห็นแจ้งละเอียดลึกซึ้ง และกว้างขวางเป็นธรรมดา อันเป็นผลแต่การปฏิบัติที่เน้นหนักทั้ง สมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้นเอง ให้เกิดอภิญญาและวิชชา ธรรมเครื่องดับอวิชชามูลราก ฝ่ายเกิดตามรอยพระบาทพระพุทธองค์นั้นเอง ธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีมากนับประมาณมิได้ ที่ทรงสอนและมีปรากฏในสติปัฏฐานสูตรนั้นเปรียบเหมือนกับใบประดู่ลาย พระพุทธองค์ได้ทรง เปรียบธรรมที่ทรงสอนให้ถึงความหลุดพ้นว่า เหมือนใบประดู่ลาย 1 กำจาก จำนวนใบไม้เต็มหมด ทั้งป่า เต็มป่านับจำนวนมิได้

ผมค่อยๆ อธิบายพอเป็นเกร็ดเป็นความเข้าใจ เมื่อพูดถึงจักรพรรดิ มิใช่พระเจ้า จักรพรรดิ (Emperor) มีอำนาจมีกำลังพลถืออาวุธยุทธภัณฑ์อย่างในทางโลก “จักรพรรดิ“ นี้หมายถึงพระภาคผู้เลี้ยง เป็นใหญ่ฝ่ายสมบัติของพระ ซึ่งคอยให้ความสุข สมบูรณ์บริบูรณ์แก่ ผู้กระทำความดี ส่วนภาคมารก็ให้ความทุกข์เดือดร้อน มีประจำอยู่ในธาตุธรรมเห็น จำ คิด รู้ ของสัตว์โลกทุกกาย สุดกายหยาบ กายละเอียด แล้วค่อยทำหน้าที่ตามธรรมของแต่ละฝ่ายที่ สัตว์โลก ประพฤติปฏิบัติตาม นั้นเอง

เพราะฉะนั้น อย่าเผลอสติไปเป็นพรรคพวกฝ่ายมาร ตั้งใจปฏิบัติละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใส เป็นฝ่ายพระ จะได้รับแต่สันติสุข และร่มเย็นฝ่ายเดียว

พระธรรมเทศนา
พระเทพญาณมงคลเสริมชัย ชยมงฺคโล
เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

แชร์เลย

Comments

comments

Share: