จันทคาธชาดก

กุหึ คมิสฺสามิทานีติ อิท สตฺถา เตวเน วิหรนฺโต อตฺตโน อนนฺตรายาวอารพฺภ กเสิ

สตฺถา สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ เมื่อพระองค์ทรงสำราญพระอิริยาบถอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภความไม่มีอันตรายของพระองค์ให้เป็นเหตุ จึงตรัสพระธรรมเทศนาจันทคาธชาดกนี้ให้เป็นผลมีคำเริ่มต้นว่า กุหึ คมิสฺสามิทานิ ดังนี้

มีเนื้อความพิสดารต่อไปว่า ในกาลวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในธรรมสภาว่า ดูกรท่านทั้งหลาย มิได้มีผู้ใดสามารถทำอันตรายแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ นายครหทินน์คิดจะปลงพระชนม์ของพระองค์ ให้คนทำกระดานยนต์ไว้บนหลุมถ่านเพลิง เพื่อหมายจะให้พระองค์ตกลงในหลุมนั้น ก็ไม่อาจให้พระองค์ตกลงได้สมใจหมาย พระเทวทัตใช้ให้พวกนายขมังธนูไปยิงพระองค์ไม่สำเร็จ ปล่อยช้างนาฬาคิรีเพื่อให้แทงเล่าก็ไม่เป็นผล กลิ้งศิลาก้อนใหญ่ลงจากเขาคิชฌกูฎ เพื่อให้ทับพระองค์ก็ไม่สมประสงค์ ตกว่าไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ด้วยอำนาจบุญญาภินิหารของพระองค์เป็นน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ภิกษุทั้งหลายสนทนากันด้วยประการฉะนี้

สมเด็จพระชินสีห์ศาสดาประทับ ณ พระคันธกุฏี ทรงสดับด้วยทิพยโสต มีพระพุทธประสงค์จะทรงแสดงบุรพจรรยาของพระองค์จึงเสด็จยังธรรมสภา ประทับ ณ พุทธอาสน์ แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย การที่ไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายเราได้ในบัดนี้ ไม่เป็นการอัศจรรย์ เพราะเราได้บรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อก่อนเรายังไม่มีบารมีบริบูรณ์ ยังไม่มีญาณแก่กล้า ยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ผู้มุ่งหมาย​จะล้างชีพของเราก็ทำไม่ได้ ด้วยบุญญานุภาพของเรา คนทั้งหลายที่คิดจะทำร้ายนั้น บางพวกก็แตกหนี บางพวกก็บูชาเรา ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายกราบทูลอาราธนาเพื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล มีพระราชาพระองค์ ๑ ทรงพระนามว่า พันธุมวดี เสวยราชสมบัติอยู่ในจัมปากนคร ห้าวเธอทรงดำรงอยู่ในธรรม ทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีลเจริญภาวนาอยู่เป็นนิตย์ ทรงอุทิศส่วนพระราชกุศลแก่ปวงชนเสมอมิได้ขาด เพราะฉะนั้น เทพยเจ้าทั้งหลาย มีเทพยเจ้าที่รักษาพระนครเป็นต้น จึงคอยอภิบาลท้าวเธอมิได้ต้องภยันตราย ฝ่ายชาวพระนครก็พร้อมกันทำตามอย่างท้าวเธอ ตั้งหน้าให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนาโดยความผาสุกเสมอมา

คราวนั้น มีตระกูลคนขัดสนอยู่ตระกูลหนึ่ง ตั้งอยู่ในบ้านชื่อว่านัมพะ นอกพระนครจัมปากะ สองสามีภรรยาในตระกูลนั้นมีบุตร ๒ คน คนพี่ชื่อสุริยคาธ เพราะในวันเกิดเป็นวันที่อสุรินทราหูจับพระสุริยะ (พระอาทิตย์) คนน้องชื่อจันทคาธ เพราะเกิดในวันพระจันทร์ถืออสุรินทราหูจับ

ต่อมา มีกุมารีคนหนึ่งชื่อ เหมรังษี อยู่ในบ้านริมประตูพระนคร นางกระทำการเลี้ยงมารดาคนเดียว เพราะบิดาหาไม่แล้ว และนางเป็นคนมีศีล มีความเคารพผู้ใหญ่ในตระกูล เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย

อยู่มาวันหนึ่ง นางเหมรังษีไปเที่ยวป่ากับมารดา ครั้นถึงเวลาเที่ยง นางกระหายน้ำ ได้เที่ยวหาน้ำรับประทาน ไปพบปัสสาวะเสือโคร่งอยู่ในรอยช้าง เข้าใจว่าน้ำ นางเลยรับประทานแล้วก็ตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะของเสือโคร่งนั้น เมื่อครรภ์ปรากฏขึ้น มารดาจึงถามว่าเจ้าร่วมรักกับใครจึงมีห้อง นางตอบว่า แม่ ชายคนใดคนหนึ่งซึ่งจะได้ถูกเนื้อต้องตัวของลูกมิได้มี มารดาจึงถามว่า ถ้าอย่างนั้น ทำไมเจ้าจึงมีท้องเล่า ตอบว่าไม่ทราบ แต่ลูกมองเห็นเหตุอันหนึ่งแล้วๆ นางก็เล่าเรื่องที่รับประทานน้ำมูตรของเสือโคร่งนั้นให้มารดาฟัง มารดาฟังแล้วก็นิ่งเสีย เมื่อครบกำหนด ๑๐ เดือน นางนั้นก็คลอดบุตร และนางได้ตั้งชื่อบุตรว่า กุญชรกุมาร เมื่อกุญชรกุมารเจริญวัยมีรูปร่างแข็งแรง ไม่ชี้โรค มีกำลังเรี่ยวแรงมาก พลอายุได้ ๗ ขวบ ก็สามารถไปเก็บผักหักฟืนและผลไม้ต่างๆ มาเลี้ยงยายกับมารดา ชื่อเสียงของกุญชรกุมารก็เล่าถือไปทั่วพระนครว่า เด็กลูกไม่มีพ่อ ชื่อกุญชร เป็นเด็กที่แข็งแรง ​ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมีลักษณะท่าทางดี มีกำลังเรี่ยวแรง สามารถไปป่าเก็บผักหักฟืนและผลไม้ต่าง ๆ มาเลี้ยงยายกับมารดาได้ ตลอดถึงการงานอื่นก็ทำได้ทั้งหมด

ครั้งนั้น บรรดาหญิงในเมืองนั้นเมื่อได้ทราบเกียรติคุณของกุญชรกุมาร ก็อยากจะได้ลูกที่ไม่มีพ่อเหมือนกับลูกของนางเหมรังษี โดยเข้าใจว่าลูกไม่มีพ่อเป็นคนดี จึงพากันเที่ยวคบชายทำอนาจารไม่มียางอายคล้ายกับสุนัข สุกร แพะ แกะ ต่อมาหญิงเหล่านั้นจึงปรึกษากันว่า พวกเราไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ทั้งคนทั้งหลายก็ดูถูกพวกเรา เพราะฉะนั้น พวกเราควรจะไปอยู่ป่าหรือไปอยู่บ้านอื่นเมืองอื่นเถิด เมื่อปรึกษากันตกลงแล้วก็พากันออกจากเมืองนั้นไปยังเมืองอื่นตามความประสงค์

คราวเมื่อหญิงเหล่านั้นหนีไปหมดแล้ว เมืองนั้นก็เป็นเหมือนเมืองร้าง และเผอิญเกิดฝนแล้งข้าวแพง อหิวาตกโรคชุกชุมขึ้น ชาวเมืองเดือดร้อนอยู่ด้วยภัย ๓ ประการ คือข้าวแพง ปีศาจเบียดเบียน และโจรผู้ร้าย กับภัยอย่างอื่นอีกเป็นอันมากอยู่ถึง ๑๒ ปี จึงพร้อมกันไปประชุมที่หน้าพระลานหลวง ร้องประกาศแก่พระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ภัยได้เกิดแก่มหาชนแล้ว พระพุทธเจ้าข้า

พระราชาทรงสดับเสียงโกลาหลของชาวเมืองดังนั้น จึงตรัสถามหมู่อำมาตย์ว่า เสียงโกลาหลอันน่ากลัวนั้น เป็นเสียงอะไร? อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ชาวเมืองทั้งปวงเกิดภัยใหญ่ เมื่อพระราชาทั้งหลายเสวยราชย์ในกาลก่อน ภัยใหญ่มิได้มีแก่มหาชน แต่เมื่อพระองค์เสวยราชย์ในบัดนี้ ได้เกิดภัยใหญ่คือพวกโจรทำโจรกรรมมาก เหล่าปีศาจเข้าพระนคร มหาชนก็เกิดโรค ข้าวก็แพง ฝนก็แล้ง เพราะฉะนั้น มหาชนจึงร้องประกาศพระพุทธเจ้าข้า

ครั้งนั้น พระราชารับสั่งให้ประชุมพวกโหรแล้วตรัสถามว่า เหตุไรบ้านเมืองเราจึงเกิดภัยใหญ่เช่นนี้ จงช่วยกันตรวจดูฤกษ์ว่าดีร้ายอย่างไร? พวกโหรตรวจดูฤกษ์แล้ว เมื่อไม่เห็นฤกษ์ร้ายนิมิตร้ายอันเกิดแก่บ้านเมือง จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ฤกษ์ร้ายและนิมิตร้ายมิได้มี ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเราตั้งอยู่ในอธรรมหรืออย่างไร? ข้าแต่มหาราช พระองค์ก็ตั้งอยู่ในราชประเพณีและทรงประพฤติธรรมอยู่ ถ้าอย่างนั้น เหตุไรจึงเกิดภัยใหญ่ในบัดนี้? ข้าแต่มหาราช พวกเราควรกระทำเทวดาพลี แล้วคอยฟังคำที่เทวดาบอกเล่าเถิด พระราชาทรงสดับคำกราบทูลแล้วสั่งราชบุรุษว่า แน่ะพนาย จงจัดแจงเครื่องสักการะเทวดา ​มีประทีปดอกไม้ของเคี้ยวของบริโภคไปสู่เทวสถาน กระทำบูชาเทวดาในคืนวันนี้แล้วคอยฟังเทวดาให้จงได้

ราชบุรุษกระทำตามพระราชโองการแล้ว ถามเทวดาว่า ดูกรเทวดา เพราะเหตุไรบ้านเมืองเรานี้จึงเกิดภัยใหญ่เช่นนี้? เทวดาตนหนึ่งตอบว่า โทษของพระราชาไม่มี มีแต่โทษของชาวเมือง คือชาวเมืองไม่ให้ทาน ดูหมิ่นเทวดา ทำดอกไม้ ใบไม้ กิ่งไม้ ในที่อยู่ของเทวดาให้ขาดหล่น ไม่ทำบุญอุทิศผลให้เทวดา หญิงที่ไม่มีสามีก็ทำอนาจาร เพราะฉะนั้นเทวดาทั้งหมดจึงน้อยใจขัดใจ ไม่รักษาบ้านเมือง พากันหนีไปที่อื่นเสีย พวกปีศาจและยักษ์ได้โอกาสจึงเข้าไปสู่เมือง หำให้เกิดอันตรายแก่ชาวเมือง มีภัยอุปัททวะเกิดขึ้นมาก ถ้าพระราชามีพระราชประสงค์จะให้มหาชนมีความสุข จงประกาศแก่ชาวเมืองว่า ท่านทั้งหลาย จงให้ทานรักษาศีลทำบุญอุทิศผลให้แก่เทวดาทั้งหลาย

ราชบุรุษฟังคำเทวดาบอกแล้ว ก็กลับไปเฝ้ากราบทูลแด่พระราชา ครั้งนั้นพระราชาโปรดให้ประชุมชาวเมือง แล้วตรัสเล่าเหตุทั้งปวงให้ฟัง ชาวเมืองกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พวกเด็กที่ไม่มีบิดาเที่ยวทำความเสียหายต่าง ๆ บางพวกแย่งชิง บางพวกทำลายที่อยู่เทวดา บางพวกขโมยสิ่งของในเรือกสวนไร่นา ขอพระองค์จงจัดการป้องกันเด็กเหล่านั้น

พระราชาทรงสดับแล้วเกิดสงสัยว่า อย่างไรเด็กเหล่านั้นจึงไม่มีบิดาจึงตรัสถามว่า บิดาของเด็กเหล่านั้นไปไหน? ชาวเมืองกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พวกหญิงที่ไม่มีสามี เที่ยวทำอนาจารคบหาชายตามอำเภอใจจนมีบุตรๆ ที่เกิดมาไม่มีบิดา ก็หาผู้จะสั่งสอนมิได้

พระราชาตรัสสั่งให้จับพวกหญิงที่ไม่มีสามีให้หมด จับได้ ๓๓๐,๐๐๐ คนมารวมกัน แล้วตรัสถามว่า เพราะเหตุไรพวกเจ้าไม่มีสามีแต่ได้บุตร หญิงเหล่านั้นไม่กราบทูลตามความจริง จึงตรัสถามต่อไปว่า ใครได้บุตรก่อน หญิงเหล่านั้นกราบทูลว่านางเหมรังษี จึงตรัสสั่งให้หาตัวนางเหมรังษีไปเฝ้า แล้วตรัสถามว่าเจ้าได้บุตรเพราะร่วมกับชายใด นางกราบทูลว่า ไม่ใช่ได้บุตรเพราะถูกสัมผัสชายแม้เพียงแต่ชายจับต้องมือ ฝ่ายหญิงที่ไม่มีสามีเหล่านั้นก็กราบทูลตามอย่างนางเหมรังษี พระราชากริ้ว ตรัสสั่งให้ก่อกองไฟใหญ่ขึ้นที่หน้าพระลานหลวง แล้วตรัสสั่งหญิงเหล่านั้นว่า แน่ะ เจ้าทั้งหลาย ถ้าพวกเจ้าตั้งอยู่ในคำสัตย์ จงเข้าไปในกองไฟดู หญิงใดไม่ถูกสัมผัสชายจริง หญิงนั้นก็ไม่มีอันตราย ถ้าไม่จริงก็ต้องตายด้วยไฟ หญิงใดไม่เข้าในกองไฟจะต้องให้หญิงนั้นส้องเสพกับม้า

​ส่วนนางเหมรังษี พอได้ฟังรับสั่งของพระราชาแล้วอธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าได้บุตรเพราะไม่ได้ประพฤติอนาจาร ขออย่าให้ไฟทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าเลย ถ้าข้าพเจ้าประพฤติอนาจารกับชาย ก็จงให้ตายอยู่ในกองไฟ ครั้นอธิษฐานแล้วถวายบังคมพระราชา แล้วเข้าไปนั่งอยู่ในกลางกองไฟ ขนสักเส้นหนึ่งของนางก็มิได้ไหม้ ไฟก็ไม่ร้อนด้วยเดชะคำสัตย์

เมื่อไฟดับหมดแล้วนางก็ออกจากกองไฟ ไปถวายบังคมพระราชาแล้วนั่งอยู่ พระราชาทรงดีพระทัยมาก ได้โปรดให้นางกลับไป ฝ่ายหญิงเหล่านั้นได้เห็นอย่างนั้นก็เกิดอุตสาหะใจแข็งขึ้น พร้อมกันอธิษฐานเหมือนอย่างนางเหมรังษี แล้วปรารภจะเข้าไปในกองไฟ แต่พอไปใกล้ก็รู้สึกร้อนยิ่งนัก จนไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ ต่างก็พากันนิ่งอยู่

พระราชาตรัสสั่งให้มัดหญิงเหล่านั้นนอนหงายติดกับแผ่นกระดาน ให้นำม้ามาเสพ พอม้าเสพหญิงไปได้เพียง ๓๒ คน หญิง ๓๒ คนนั้นก็ถึงแก่ความตาย

กุญชรกุมารได้ฟังเรื่องนั้นแล้วคิดว่า หญิงเหล่านั้นตายด้วยราชทัณฑ์ เพราะอาการที่เราถือปฏิสนธิ อาจมีเวรติดตามเราไปในอนาคตเหมือนเงาตามตัว เพราะฉะนั้นเราจักไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว กราบทูลขอโทษหญิงเหล่านั้น ครั้นคิดแล้วก็ถือเอาทองพันลิ่มไปเฝ้าพระราชา ถวายทองแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายทองพันลิ่มนี้แด่พระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานชีวิตแก่หญิงที่ต้องราชทัณฑ์เหล่านั้นเถิด พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพันธุมวดีทรงสดับแล้วก็โปรดปรานถ้อยคำของกุญชรกุมาร ทรงรับทองพันลิ่มแล้วโปรดให้ปล่อยหญิงเหล่านั้น และพระราชทานทรัพย์คนละเล็กละน้อย กับพระราชทานพระโอวาทว่า เจ้าทั้งหลายจงให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา รักษาศีล ๘ ประการ ให้ส่วนบุญแก่เทวดาทั้งหลาย ดั่งนี้แล้วทรงปล่อยไป

ฝ่ายพระเจ้าพันธุมวดี พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชธรรม ๑๐ ประการมิให้บกพร่อง ทั้งทรงสงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ และถวายทานแก่สมณพราหมณ์ แล้วทรงอุทิศส่วนบุญแก่เทวดาทั้งหลาย ด้วยอานุภาพบุญกุศลของท้าวเธอ ฟ้าฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล ภิกษาหารก็หาง่ายไม่ฝืดเคือง เทพยเจ้าสามองค์ที่รักษาพระนครก็กลับมาอยู่ในที่อยู่ของตนตามเดิม ช่วยอภิบาลกาลจัมปากนคร จำเดิมแต่นั้นไปกาลจัมปากนครก็มีความเกษมสุข

จบทุพภิกขภัณฑ์

​ก็แลเมื่อคราวอดอยากนั้น สุริยคาธมีอายุได้ ๑๒ ขวบ จันทคาธมีกายได้ ๕ ขวบ คราวนั้นชาวเมืองลำบากด้วยการอดอยากถึงแก่ล้มตายก็มี บางพวกตายโดยโจรฆ่า บางพวกตายด้วยปีศาจเบียดเบียน บางพวกตายด้วยความเจ็บไข้ ฝ่ายตระกูลเข็ญใจสองสามีภรรยานั้น อุตส่าห์เข้าป่าหาเผือกมันและผลไม้ต่าง ๆ มาเลี้ยงลูกทั้งสองเสมอ ครั้นนานมาเผือกมันและผลไม้ก็หายาก บางทีก็ได้มาให้ลูก บางทีก็ไม่ได้ คึกคราวที่หาได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ได้ให้ สองสามีภรรยานั้นจึงปรึกษากันว่า เวลาที่พวกเราได้เผือกมันมาน้อย ต้องรอให้ลูกเรานอนหลับก่อนจึงค่อยทำรับประทาน ครั้นปรึกษากันตกลงแล้วก็กระทำเหมือนอย่างที่ตกลงกันไว้ สุริยคาธกับจันทคาธชึ่งนอนหลับได้พากันตื่นขึ้นด้วยได้ยินเสียงภาชนะ ครั้นตื่นขึ้นมาก็ได้รับประทานกับบิดามารดา บางทีกุมารทั้งสองนอนหลับไปตื่นในเวลามารดาบิดารับประทานเสร็จแล้ว ครั้นตื่นขึ้นก็ลุกขึ้นขออาหารรับประทาน มารดาตอบว่า ลูกเอ๊ย อาหารหมดเสียแล้ว จันทคาธก็ขอกับพี่ชาย เมื่อไม่ได้ก็ร้องไห้ มารดาด่าว่าอ้ายลูกโจร ทำไมจึงร้องไห้กลางคืน เพื่อนบ้านใกล้เคียงเขากำลังนอนหลับกัน เขาตื่นขึ้นจักพากันโกรธเรา สุริยคาธทำไมไม่ปลอบน้องด้วย สุริยคาธได้ฟังคำมารดาจึงปลอบน้องด้วยถ้อยคำต่าง ๆ น้องก็ไม่ฟัง จึงบอกว่า เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย พรุ่งนี้เช้าพี่จะพาเจ้าไปเที่ยวขอผลไม้ตามชาวบ้านรับประทาน น้องถามว่า พี่ ในบ้านก็มีใบไม้ผลไม้ด้วยหรือ? มีซิน้อง วิเทหะ มีหรือ? มี ผลวิเทหะ มีหรือ? มี ผลตุตัมพะ มีหรือ? มี ผลสุกกมิ มีหรือ? มี ผลหลปะ มีหรือ? มี ผลลัมพะ มีหรือ? มี กุททะละ มีหรือ? มี ผลวิกัททลิ

มีหรือ? มี

เมื่อกุมารทั้งสองพูดกันอยู่อย่างนี้ อรุณก็ตั้งขึ้นเป็นวันใหม่ มารดาบิดาของกุมารทั้งสองนั้นก็ไปสู่ป่าเพื่อหาผลไม้ต่าง ๆ ให้กุมารทั้งสองนั้นอยู่เฝ้าเรือน ครั้งนั้นสุริยคาธพาน้องชายไปเที่ยวตามหมู่บ้านอื่นๆ และได้ขึ้นไปนั่งเล่นอยู่ระเบียงเรือนหลังหนึ่ง ขณะนั้นเจ้าของเรือนให้บุตรของตนรับประทานอาหารแล้ว แลเห็นท่าทางของกุมารทั้งสองดูเหมือนจะหิวมาก จึงจัดอาหารให้รับประทาน เมื่อกุมารทั้งสองรับประทานแล้วก็พากันไปเที่ยวเล่นกับพวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านนั้น ครั้นถึงเวลาเย็นก็พากันไปสู่เรือนอีก ขึ้นไปนั่งอยู่ในที่สมควรแห่งหนึ่ง หญิงเจ้าของเรือนนั้นก็ได้ให้อาหารแก่กุมารทั้งสองรับประทาน

​นับแต่กุมารทั้งสองนั้นอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพอยู่อย่างนั้น เวลาก็ล่วงไปปีหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งสุริยคาธพาน้องชายไปเที่ยวเล่นน้ำกับพวกเด็กที่คุ้นเคยกัน จับปูได้ ๔ ตัว เมื่อกลับบ้านได้เผาให้น้องรับประทานตัวหนึ่ง แล้วเผาอีกตัวหนึ่งเพื่อรับประทานเอง แต่พอน้องชายรับประทานส่วนตนหมดแล้ว ขอส่วนของพี่ชายอีก พี่ชายยอมให้ ครั้นรับประทานหมดแล้วขอให้พี่ชายเผาอีก พี่ชายบอกว่า ปูอีกสองตัวนั้นพี่จะเก็บไว้ให้มารดาบิดา เจ้ารับประทานถึงสองตัวแล้วอย่ารับประทานอีกเลย น้องชายก็ยังขืนรบเร้าขออยู่อีก จึงเผาให้อีกตัวหนึ่ง เพราะความสงสารน้องมาก ครั้นน้องรับประทานแล้วยังร้องขออีก จึงเผาให้อีกเป็นหมด ๔ ตัว

ครั้นถึงเวลาเย็นมารดาบิดากลับมาจากป่า มารดาเข้าไปในครัวเห็นกระดองปู จึงถามว่าใครเอาปูมากินในที่นี้ สุริยคาธก็บอกตามความจริง ข้าแต่มารดา วันนี้ลูกไปเที่ยวแม่น้ำกับพวกเด็ก ได้ปู ๔ ตัว คิดว่าจักให้น้องรับประทานตัวหนึ่ง จักให้มารดาบิดาคนละตัว อีกตัวหนึ่งจักรับประทานเอง จึงเผาให้น้องเสียตัวหนึ่ง พอน้องรับประทานแล้วร้องไห้ขออีก จึงเผาให้อีก ให้ทีละตัวจนหมดทั้ง ๔ ตัว มารดาบิดาได้ฟังจึงด่าว่า มารดาบิดาไม่มีคุณแก่บุตรเสียแล้ว พวกเจ้าไม่เห็นคุณแห่งโลหิตของมารดาบิดา ได้อะไรแล้วไม่เหลืออะไรไว้ให้มารดาบิดาเลย พร้อมกันรับประทานเสียหมด ว่าแล้วได้คว้าไม้เรียวปรารภจะตีบุตรทั้งสอง สุริยคาธจึงรีบพาน้องลงจากเรือน แล้วกล่าวว่า ข้าแต่มารดาบิดา ขออย่าโกรธเลย ถึงตัวลูกเองก็ไม่ได้รับประทาน น้องรับประทานเสียคนเดียว ฝ่ายมารดาบิดายิ่งโกรธและด่าว่า เฮ้ย เจ้าลูกโจร จงไปอยู่ที่อื่น อย่ามาอยู่ในเรือนเรา ว่าพลางทางถือไม้เรียวไล่ติดตาม

ส่วนสุริยคาธพาน้องชายแล่นหนีไปโดยเร็ว ได้ไปอาศัยชายคาเรือนของคนอื่นอยู่ กุมารทั้งสองกอดคอกันร้องไห้ว่า

กุหึ คมิสฺสามิทานิเกจิ นิสฺสาย ยถา สยิตฺวา
กา จ อมฺเห กรุณายโปเสสฺสนฺติ ยถา มาตา
มยฺหํ อยฺยิกาปิ นตฺถินตฺถิ าติสโลหิตา
อชฺช มาตาปิตโร ฉิทฺทํกํ นิสฺสาย ชีวิสฺสาม
อฺเ น อมฺหาทิสาปิอฺเสํ มาตาปิตโร
ปุตฺตานํ เมตฺตาย ปาเลสุํมยฺหํ โกเหหิ ปาเลสุํ
ตาต กํ อุปสงฺกมิตฺวากสฺส เคเห วสนฺตา จ
ภุฺชิสฺสาม ชีวิสฺสาม 

ความว่า บัดนี้ เราจักไปที่ไหนดี จักอาศัยนอนกับใคร ใครจักเอ็นดูเลี้ยงเราเหมือนมารดา ย่ายายของเราก็ไม่มี ญาติพี่น้องก็ไม่มี วันนี้เราสิ้นมารดาบิดาแล้ว จักพึ่งใครเลี้ยงชีพ มารดาบิดาของคนอื่น ไม่เป็นเหมือนมารดาบิดาของเรา เขาได้เลี้ยงลูกด้วยเมตตา ส่วนมารดาบิดาของเราได้เลี้ยงเราด้วยโทสะ เราจักไปหาใคร อาศัยกินอยู่หลับนอนในเรือนใคร

กุมารทั้งสองนั้นร้องไห้ร่ำไรด้วยเสียงอันดังอย่างนี้ มารดาบิดาได้ฟังเสียงร้องไห้นั้นแล้วได้ร้องด่าไปว่า เจ้าลูกโจร อย่ามาร้องไห้ในที่นี้ กุมารทั้งสองได้ฟังเสียงตะโกนด่านั้นแล้วก็พากันออกจากที่นั้นไปอาศัยเงาเรือนอื่นอยู่ รุ่งขึ้นก็ไม่กลับไปเรือนของตน ได้พากันไปเที่ยวขอทานต่อไป คนที่ใจเป็นบาปอกุศลไม่มีศรัทธาเห็นเข้าก็ด่าว่าโบยตี ส่วนผู้ที่มีใจเป็นบุญกุศลประกอบด้วยศรัทธา เกิดความรักใคร่เอ็นดู ได้ให้ข้าวปลาอาหารตามสติกำลัง กุมารทั้งสองนั้นได้รับประทานอาหารในที่ใดก็พากันอยู่ในที่นั้น เพราะฉะนั้นชาวบ้านจึงบอกว่า หลานเอ๊ย เจ้าทั้งสองควรจะไปที่อื่นบ้าง กุมารทั้งสองจึงพากันเที่ยวขอทานไป ตอนเช้าขอแห่งหนึ่ง ตอนเย็นขอแห่งหนึ่ง จนกระทั่งครบหลังคาเรือนในตำบลบ้านนั้นแล้วจึงไปบ้านอื่นต่อไป ชาวบ้านตำบลใหม่เห็นแล้วเกิดความสงสาร ต่างก็ให้ข้าวปลาอาหาร บางพวกให้เตาไฟ บางพวกให้ข้าวสาร บางพวกให้ข้าวเปลือก บางพวกให้ผลไม้ต่าง ๆ บางพวกให้ว่านเปราะ บางพวกให้เผือกมัน บางพวกให้เง่ากล้วย ตกลงคนทั้งหลายได้ให้อาหารต่าง ๆ ตามสติกำลังของตน

เมื่อกุมารทั้งสองเที่ยวขอทานไปโดยอาการอย่างนี้ จนตลอดบ้านน้อยเมืองใหญ่อันอยู่ใกล้เคียงแล้ว ก็พากันเข้าไปสู่ป่าเพื่อหาผลไม้เป็นอาหาร เที่ยวซัดเซไปตามป่า ออกจากป่านี้ไปป่าโน้น โดยมิได้รู้จักหนทาง แต่พากันเที่ยวอยู่ตามป่าอย่างนี้ตลอดสามเดือน จึงไปถึงที่อันรื่นรมย์แห่งหนึ่ง

จบยาจุนกัณฑ์

—————————-

​ในขณะเมื่อกุมารทั้งสองไปถึงที่นั้น อัศจรรย์ก็เกิดมีด้วยบุญญานุภาพของกุมารทั้งสอง คือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกเทวราชอันมีส่วนยาว ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ หนา ๑๕ โยชน์ มีสีเหมือนดอกชัยพฤกษ์ มีปรกติยุบลงและฟูขึ้นในเวลาพระอินทร์ประทับนั่งและเสด็จลุกขึ้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์อันมีลักษณะดังกล่าวมานี้ ได้แสดงอาการประหนึ่งว่าเป็นของร้อน ครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชทรงพิจารณาทราบว่า บัดนี้หน่อพระพุทธองค์กำลังตกยาก ได้เที่ยวเร่ร่อนไปในป่ากับพี่ชาย จักไปถึงที่อยู่ของหมู่ยักษ์ ๆ จักกระทำร้าย เพราะฉะนั้น เราจักช่วยกุมารทั้งสองในบัดนี้ ครั้นทรงดำริแล้ว ก็ตรัสเรียกวิษณุกรรมเทพบุตรมารับสั่งว่า เราทั้งสองจักต้องลงไปสู่มนุษยโลก แล้วเสด็จลงมาจากสวรรค์ไปยังที่พักของสองกุมาร ครั้นถึงพระอินทร์จำแลงเป็นงูพิษ วิษณุกรรมเป็นพังพอน กัดกันต่อหน้าสองกุมาร บางทีพังพอนตาย งูเคี้ยวยาพ่นใส่ปากคืนขึ้นมา เมื่องูตาย พังพอนก็เคี้ยวยาใส่ปากงูกลับคืนชีวิตขึ้นมา ต่อสู้กันผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่อย่างนี้พอควร แล้วก็หายไปจากที่นั้น

สุริยคาธได้เก็บเอายาที่ต้นยานั้นไว้แล้ว ก็พาน้องชายเดินต่อไปถึงต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ได้เห็นกาตายตัวหนึ่ง จึงเคี้ยวยาพ่นใส่ปากกาก็กลับเป็นขึ้นมา มีคำสอดถามเข้ามาว่า เหตุไร กาตัวนั้นทำไมจึงตายอยู่ในที่นั้น แก้ว่าคราวนั้น มีนางภิกษุณีผู้เป็นขีณาสพรูปหนึ่ง ไปนั่งเข้าสมาบัติอยู่ที่โคนต้นไทรนั้น กาตัวนั้นเห็นแล้วคิดว่าเราจักถ่ายอุจจาระระศีรษะนางภิกษุณีนี้ แล้วได้ทำตามที่คิดนั้น ฝ่ายนางภิกษุณีนั้นออกจากสมาบัติแล้ว แหงนขึ้นไปดูได้เห็นกาตัวนั้นจึงคิดว่า กาตัวนี้แกล้งถ่ายอุจจาระรดศีรษะเรา คิดแล้วก็ไปจากที่นั้น ฝ่ายกาตัวนั้นได้ตกลงจากกิ่งไม้ถึงซึ่งความตายด้วยกรรมอันนั้น

เพราะฉะนั้น ครั้นกุมารทั้งสองมาพบและได้ให้ชีวิตแก่กานั้นแล้ว กานั้นจึงกล่าวว่า ข้าแต่กุมาร ข้าพเจ้าได้ชีวิตคืนมาเพราะท่าน ต่อไปข้าพเจ้าจักตามรับใช้เป็นทาสของท่าน ท่านต้องการจักทำสิ่งใด ขอจงบอกแก่ข้าพเจ้า กุมารทั้งสองได้ฟังแล้วกล่าวว่า ดูกรพ่อ พวกเราเป็นคนหลงทาง ไม่มีอาหารจะรับประทาน ท่านจงหาผลไม้ให้พวกเรา การับคำว่าได้ แล้วก็บินไปสู่ป่าหาผลไม้มาให้สองกุมารทุกวัน สองกุมารอยู่ในที่นั้น ๒ – ๓ วัน ก็ออกจากที่นั้น ไปถึงสระใหญ่แห่งหนึ่ง ในสระนั้นมีของที่เกิดเอง แปลกประหลาดอยู่หลายอย่าง คือ ลูกกระจับโตเท่าศีรษะของกระบือก็มี ดอกบัวเท่ากงเกวียน ฝักบัวเท่าจักรเกวียน เง่าบัวเท่า​ครกตำข้าว รากบัวเท่างอนไถ ดังนี้เป็นตัวอย่าง และมีกุมภัณฑ์กับยักษ์เป็นอันมากอยู่รักษาสระนั้น อีกทั้งเต่าปลาก็มีมาก ตามริมสระนั้นมีต้นไม้ที่มีดอกและผลดูตระการตา ทั้งของบริโภคได้ตามฤดูกาลก็มีมาก

เมื่อกุมารทั้งสองไปถึงสระนั้น ได้พากันอาบและดื่มน้ำตามสบายเวลาจะขึ้นจากน้ำ ได้เก็บเง่าบัวหลวงขึ้นมารับประทานและได้เก็บเอาข้าวสาลีที่เกิดในที่นั้นหุงต้มเป็นอาหาร ส่วนกาได้เที่ยวไปหาผลไม้มาจากที่ต่าง ๆ ให้สองกุมารเสมอ อยู่มาวันหนึ่ง กาได้บินไปพบบ้านยักษ์ตำบลหนึ่ง แลเห็นเนื้อที่ยักษ์ตากไว้ มีความใคร่อยากกิน จึงจับแอบอยู่ที่กึ่งไม้ต้นหนึ่ง

ในวันนั้นมียักษิณีตนหนึ่งเป็นไข้ตาย ฝ่ายยักษ์ที่เป็นสามีของนางยักษ์นั้นประสงค์จะเผาศพของภรรยา จึงเที่ยวบอกเพื่อนบ้านให้ช่วย มียักษ์ที่หยาบช้าตนหนึ่งกล่าวว่า ถ้าท่านได้เนื้อมนุษย์เลี้ยงพวกเรา ๆ จักไปช่วย ตอบว่า ข้าพเจ้าจักเที่ยวแสวงหาดูก่อนได้หรือไม่ได้ก็จักบอกให้ทราบ ถ้าไม่ได้เนื้อมนุษย์ก็จักเที่ยวหาเนื้ออื่นที่เป็นของสดมาเลี้ยง ว่าแล้วก็ปรารภจะไป กาได้ฟังยักษ์พูดกันเช่นนั้นจึงคิดว่า เราเป็นทาสช่วงใช้ของกุมารทั้งสองเป็นการลำบากมาก จักต้องให้กุมารทั้งสองแก่ยักษ์ ๆ จักได้ฆ่ากินเป็นอาหาร เราก็จักพลอยได้กินส่วนที่เหลือ คิดแล้วก็บินลงไปคาบเอาเนื้อที่ยักษ์ตากไว้ พาบินไปสู่ที่อยู่ของกุมารทั้งสอง ยักษ์นั้นได้ไล่ติดตามไปกระทั่งถึงที่ใกล้กุมารทั้งสองอยู่ ได้ขว้างกาด้วยไม้ฆ้อน กาตายแล้วไปเกิดในอเวจีนรก ยักษ์ได้หิ้วกานั้นไป ครั้นไปพบกุมารทั้งสองก็จับไปสู่ที่อยู่ของตน แล้วให้อยู่เฝ้าศพภรรยาของตน ฝ่ายตนไปสู่สำนักแห่งหมู่ยักษ์ บอกหมู่ยักษ์ว่า ท่านทั้งหลาย เราได้มนุษย์มาแล้ว จงไปช่วยกันเผาศพภรรยาของเราเถิด ครั้นบอกแล้วก็กลับไป

ในเวลาที่ยักษ์ไปบอกพรรคพวกนั้น สุริยคาธได้เคี้ยวยาใส่ปากนางยักษ์ ๆ ได้ชีวิตคืนมา แลเห็นกุมารทั้งสองจึงเข้าประคองกอด และไต่ถามว่า ลูกเอ๋ย เจ้าพากันมาแต่ที่ไหน ตอบว่า ข้าแต่แม่ ข้าพเจ้าทั้งสองหลงทางมา นางยักษ์ได้อุ้มไปอาบน้ำ ขัดสีด้วยเครื่องลูบไล้ แล้วนั่งกอดไว้กับตัก ฝ่ายยักษ์ที่เป็นสามีกลับมาเห็นภรรยาของตนนั่งอยู่ ก็นึกรู้ทันทีว่ากุมารทั้งสองได้ให้ชีวิตแก่ภรรยาของตน เกิดความดีใจอย่างยิ่ง ได้จูบกอดกุมารทั้งสองด้วยความรักใคร่ แล้วยักษ์ทั้งสองจึงปรึกษากันว่า พวกเราต้องพากุมารทั้งสองนี้ไปส่งให้ถึงที่อยู่ของหมู่มนุษย์ในคืนวันนี้ให้จงได้ ถ้าช้าไปจนอรุณขึ้น พวกยักษ์มาเห็นจักทำอันตราย พวกเราต้องรีบไปในบัดนี้

​ขณะนั้น มียักษ์ตนหนึ่งมาพบ และได้อ้อนวอนขอกุมารทั้งสอง แต่ยักษ์สองสามีภรรยาไม่ยอมให้ โดยอ้างว่าเป็นผู้มีบุญคุณแก่ตน ยักษ์นั้นย้อนถามว่า เมื่อวานนี้ท่านได้บอกว่าจักเลี้ยงคณะยักษ์ด้วยเนื้อมนุษย์มิใช่หรือ ตอบว่า จริง เพราะต้องการให้ช่วยเผาศพภรรยาของเรา แต่บัดนี้ภรรยาของเราได้ชีวิตคืนมาแล้ว เราเป็นไม่ยอมให้ท่านกินเป็นอันขาด ว่าแล้วยักษ์ทั้งสองก็เข้าต่อสู้กัน ในไม่ช้าพวกยักษ์ก็มาถึง ยักษ์บางพวกเข้าข้างยักษ์ที่เป็นสามีของนางยักษ์ บางพวกเข้าข้างยักษ์อีกตนหนึ่ง ได้สู้รบกันเป็นโกลาหล คราวนั้นนางยักษ์ได้อธิษฐานว่า ขอให้ผู้มีอานุภาพมากมีฤทธิมากมาช่วยสามีของข้าพเจ้า และช่วยชีวิตของกุมารทั้งสองนี้เถิด พออธิษฐานเสร็จ ก็มียักษ์เสนาบดีตนหนึ่งของท้าวเวสสุวรรณ เป็นผู้มีอานุภาพมากมีฤทธิ์มากได้มาถึงที่นั้น เพื่อตรวจดูเหตุการณ์ของโลก ได้เห็นพวกยักษ์กำลังต่อสู้กันอยู่จึงถามว่า เหตุผลเป็นอย่างไรจึงวิวาทรุกรบกันเช่นนี้ ยักษ์สองสามีภรรยาก็แจ้งเหตุตามความจริง พวกยักษ์โต้แย้งว่า ข้าแต่เทวดา ยักษ์ผู้นี้บอกแก่พวกข้าพเจ้าว่าเราจับมนุษย์ได้สองคน พรุ่งนี้พวกท่านไปกินเถิด ครั้นพวกข้าพเจ้ามาเขาก็ไม่ยอมให้กิน เขาพูดเท็จ พวกข้าพเจ้าโกรธจึงได้เกิดรบกันขึ้น ยักษ์ทั้งสองสามีภรรยาค้านว่า ข้าแต่เทวราช ข้าพเจ้าได้บอกว่าให้มาช่วยเผาศพภรรยาของข้าพเจ้า ๆ จักเลี้ยงด้วยเนื้อมนุษย์ ก็บัดนี้พวกยักษ์ไม่ได้เผาศพภรรยาของข้าพเจ้า จักกินเนื้อมนุษย์ตามสัญญาอย่างไรได้

ยักษ์เสนาบดีจึงประกาศแก่ยักษ์ทั้งหลายว่า ดูก่อนยักษ์ทั้งหลาย พวกเธอจงเชื่อฟังคำของเรา จงอย่าวิวาทกัน อย่ารบกัน พวกยักษ์ได้พร้อมกันสงบทันที ด้วยเดชและความเคารพต่อยักษ์เสนาบดีนั้นๆ เมื่อจะชี้แจงโทษของกา จึงกล่าวว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย กาตัวนี้เป็นกาบาป เป็นกาอกตัญญู ไม่รู้จักคุณของกุมารทั้งสอง ไม่รู้จักคุณพระรัตนตรัย ตายแล้วเกิดในนรก ครั้นแสดงโดยสังเขปอย่างนี้แล้ว จึงแสดงโดยพิสดารว่า วันหนึ่งกาตัวนี้จับอยู่ที่ต้นไทร กินผลไทรแล้ว เห็นพระเถรีผู้เป็นขีณาสพ ได้ถ่ายมูลรดศีรษะของท่านด้วยจิตริษยา ด้วยผลแห่งอกุศลนั้น ได้ตกกิ่งไม้ตาย ครั้นตายแล้วไปเกิดในนรก กุมารทั้งสองนี้มาพบซากของมันได้ให้ชีวิตแก่มันด้วยโอสถที่พระอินทร์ประทานขณะที่กุมารเคี้ยวยาใส่ปากมัน พวกนายนิรยบาลได้จดชื่อและโคตรของมันไว้แล้วจึงปล่อยให้คืนมา ครั้นมันคืนมาหาได้รู้จักคุณของกุมารทั้งสองไม่ ออกอุบายจะให้ยักษ์กินกุมารทั้งสอง เมื่อมันถูกขว้างด้วยไม้ฆ้อน ตายแล้วไปเกิดในนรกอีก

​ครั้นยักษ์เสนาบดีแสดงเรื่องกาจบแล้ว จึงแสดงเรื่องนางยักษ์ต่อไปว่านางยักษ์นี้ได้รักษาศีล ๕ ศีล ๘ เสมอ รู้จักคุณมารดาบิดา ปฏิบัติสามีดี มีเมตตาแก่สัตว์อื่น ตายด้วยกรรมเก่าแล้วเกิดในสำนักพระอินทร์ เมื่อได้รับทิพยโอสถก็กลับได้ชีวิตมา แต่ก่อนจะกลับชีวิตพระอินทร์ได้จดนามและโคตรไว้ ส่วนกุมารทั้งสองนี้ท่านทั้งหลายอย่ากิน ถ้ากินศีรษะจักแตก ๗ ภาค

เมื่อยักษ์เสนาบดีจะให้โอวาทแก่ยักษ์ทั้งหลายจึงกล่าวคาถาว่า

เทว อตฺตโน สุเปกฺขิสนฺตุฏฺโ จ ปริคฺคโห
คิหีนํ ปมุโข ปายมหาราชิกเทวโลเก
มาตาเปติกุเล เชฏฺโปูชิโต จาควาจาปิ
ทานสีเลน ตุสฺสติตาวตึเส เสฏฺภเว
พหุสฺสุตา ธมฺมธราสุปฺา เขมกฺขิโน
คุเณหิ ปริตุฏฺาเต ยาเม จ ตุสิเต ปตฺตา
สีลสมฺปนฺนา ทานวิริยาปวตฺตา เย สยํ นรา
พหุสฺสาหา จ เต วสฺสนิมฺมานรติคามิโน
เย ชนา ทานสีเลนอินฺทฺริยทมเนน จ
มนสํ สยเมเนวพลินมนสา สทฺธา
คุณาธิกา จ เต โหนฺติปรนิมฺมิตวสวตฺติโน

แปลว่า บุคคลผู้เพ่งความดีแก่ตนผู้สันโดษ ผู้เป็นประธานของคฤหัสถ์ชนทั้งหลาย ได้เกิดในเทวโลกชั้นมหาราชิกะ

ผู้ใหญ่ในตระกูลนอกจากมารดาบิดา เป็นผู้ได้ทำการบูชายินดีในทานศีล ย่อมเกิดในดาวดึงส์

ผู้เป็นพหุสูตทรงธรรม มีปัญญาดี มีความเกษม ยินดีด้วยคุณความดี ย่อมเกิดในยามาและดุสิต

ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ประพฤติทานวิริยอุตสาหะมาก ย่อมเกิดในนิมมานรดี

ผู้ยิ่งด้วยคุณ คือทาน ศีล อินทรียสังวร ย่อมเกิดในปรนิมมิตวสวัตตี ดังนี้

ใจความของคาถาประพันธ์นั้นว่า บุคคลที่ทำบุญ มีทาน เป็นต้น ด้วยตนเอง ด้วยอนุโมทนาทานของคนอื่นด้วย ละโลกนี้แล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นมหาราชิกะ

ยกมารดาบิดาเสียแล้ว จะเป็นใครก็ตามที่เป็นใหญ่ในตระกูลได้บูชา ให้ทาน รักษาศีล ย่อมเกิดในดาวดึงส์

ผู้ที่ขวนขวายในกุศลฝ่ายเดียว เป็นพหุสูต ขวนขวายธรรมที่สาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้าสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ย่อมเกิดในยามา แต่บางทีเกิดในดุสิต

ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีล มีความอุตสาหะในธรรม อยู่ด้วยเมตตาเป็นต้น ย่อมเกิดในนิมมานนรดี

ผู้ที่บำเพ็ญทานศีลภาวนา เจริญพรหมวิหารย่อมเกิดในชั้นกามาวจร (ปรนิมมิตวสวัตตี)

ผู้ที่ได้ฌานย่อมเกิดในพรหมโลก

หมู่ยักษ์ได้ฟังโอวาทของยักษ์เสนาบดีนั้นแล้วมีความสะดุ้งกลัว ได้พากันกลับไปสู่ที่อยู่ของตน ยักษ์เสนาบดีอำลากุมารทั้ง ๒ แล้วเที่ยวตรวจดูเหตุการณ์ของโลกพอสมควรแล้วกลับที่อยู่ของตน

ฝ่ายยักษ์สองสามีภรรยาได้นำเง่าบัวฝักบัวลูกกระจับมาให้กุมารทั้งสองรับประทาน แล้วให้ขึ้นคอของตนนำไปสู่ที่อยู่ของหมู่มนุษย์ กระทั่งถึงเมืองกาสี ได้ให้พรว่า ขอกุมารทั้งสองจงมีอายุยืน อย่ามีโรค จงมีแต่ความสุข มีเดชมาก มียศมาก มีลาภมาก และมีเมตตากรุณาแก่ประชาชนทั้งหลายเถิด ครั้นให้พรแล้วให้โอวาทว่า ท่านทั้ง ๒ อย่าประมาท แล้วกลับที่อยู่ของตน

จบวนจรณกัณฑ์

—————————-

​ในคราวนั้น พระเจ้าธรรมสุตะได้เสวยราชย์อยู่ในนครกาสี พระอัครมเหสีของพระองค์ทรงพระนามว่า สุธรรมา พระราชธิดาพระนามว่า สุชาตดึงสา ถ้ามีคำถามว่า เพราะเหตุไรจึงทรงพระนามว่า สุชาตดึงสา ตอบว่า เพราะในกาลที่พระนางเจ้าประสูติ พระเจ้าธรรมสุตะตรัสสั่งให้พวกเนมิตตกพราหมณ์เข้าเฝ้า ทรงแสดงพระราชธิดาแก่พวกพราหมณ์ แล้วตรัสถามว่า ลักษณะธิดาของเราเป็นอย่างไร พวกเนมิตตกพราหมณ์ตรวจดูพระลักษณะของพระราชธิดาแล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระราชธิดาของพระองค์นี้ทรงสมบูรณ์ด้วยลักษณะ ๓๒ ประการ จักได้เป็นใหญ่ในพระนครนี้ ท้าวเธอทรงสดับคำพยากรณ์นั้นแล้วทรงพระโสมนัส ตรัสให้ถวายพระนามแก่พระราชธิดา

ครั้งนั้น พวกเนมิตตกพราหมณ์จึงตรวจดูพระลักษณะของพระราชธิดาอีก เห็นมีอยู่เพียง ๓๐ เท่านั้น ขาดแม่น้ำทั้ง ๕ กับปราสาทที่ฝ่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ จึงพร้อมกันถวายพระนามว่า สุชาตดึงสา (มี ๓๐ อย่าง) เมื่อพระราชธิดาทรงเจริญวัยมีพระชนม์ได้ ๑๖ ปี ทรงพระรูปพระโฉมปานประหนึ่งว่า นางเทพอัปสร

อยู่มาวันหนึ่งเหล่านายอุยยานบาลได้นำดอกไม้ผลไม้ต่าง ๆ เข้าไปถวายพระราชกุมารี ๆ ทอดพระเนตรดอกไม้ผลไม้เหล่านั้นแล้ว ใคร่จะทอดพระเนตรพระอุทยาน จึงเสด็จไปทูลลาพระราชบิดา ๆ ตรัสสั่งให้เหล่านายอุยยานบาลเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า พวกเจ้าจงจัดแจงอุทยานเพื่อธิดาของเรา แล้วตรัสสั่งหมู่อำมาตย์ว่า จงช่วยกันประดับราชมรรคา พรุ่งนี้ธิดาของเราจัดประพาสพระราชอุทยาน

พอรุ่งเช้า พระนางเจ้าสุชาตดึงสาก็เสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยข้าราชบริพารเป็นอันมาก บ่ายพระพักตร์สู่พระราชอุทยาน ครั้นเสด็จถึงได้ทรงเที่ยวเก็บดอกไม้ผลไม้ เล่นกับเหล่าบริพาร ครั้งนั้นงูเห่าดำตัวหนี่ง อาศัยอยู่ในโพรงไม้ต้นหนึ่ง พอพระราชธิดาเสด็จถึงที่ใกล้ต้นก็ได้กัดพระราชธิดาล้มลง หญิงบริพารทั้งหลายต่างก็ตกใจกลัว ได้วิ่งเข้าไปประคองพระนางเจ้าพลางทางร้องไห้รำพัน บางพวกรีบเข้าไปกราบทูลพระราชา ๆ ตกพระทัย รีบให้พาพวกหมองูออกไปแก้ไข พวกหมอได้ช่วยกันเอายาทาบ้าง กรอกยาบ้าง ก็ไม่สามารถจะแก้ไขให้หายได้ เพราะพระราชธิดาได้สิ้นพระชนม์แล้ว

ครั้งนั้น พระราชาโปรดให้เชิญพระศพพระราชธิดาเข้าพระโกศ แล้วตรัสสั่งคุตตะอำมาตย์ผู้เป็นมหาเสนาว่าท่านจงสั่งให้ราชบุรุษตีกลองร้องป่าวให้ชาวเมืองโกนผมทั่ว ๆ กัน ครั้งนั้นชาวเมืองมีอำมาตย์และเสนาเป็นต้น ได้พากันโกนผมตามประกาศ

​ฝ่ายกุมารทั้งสองพี่น้อง เดินทางไปถึงตำบลบ้านหนึ่ง ใกล้เมืองกาสี ได้พากันเข้าไปเที่ยวขอทาน บรรลุถึงเรือนอุกัษฐเศรษฐีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีสมบัติมากประมาณ ๘๐ โกฏิ ภรรยาของเศรษฐีนั้นชื่อว่า พรหมวดี เศรษฐีนั้นมีทาส ๕๐๐ ทาสี ๕๐๐ กรรมกร ๕๐๐๐ ช้างม้าโคกระบือนับไม่ถ้วน

คนใช้ของเศรษฐีเห็นกุมารทั้งสองเข้าไปขอทาน จึงให้ภิกษาหารแล้วถามว่า เจ้าพากันมาแต่ไหน ตอบว่า มาแต่ไกล ทำไมจึงไม่โกนผม มาเราจักโกนให้ สุริยคาธถามว่า โกนผมเพราะอะไร เพราะพระราชธิดาถูกสรพิษกัดสิ้นพระชนม์ สิ้นพระชนม์นานประมาณเท่าไร ประมาณเดือนหนึ่งแล้ว แพทย์ในเมืองนี้ไม่สามารถเยียวยาได้หรือ ไม่สามารถ กุมารสามารถหรือ เมื่อสุริยคาธตอบว่าสามารถ พวกคนใช้จึงนำความไปบอกแก่เศรษฐีว่า บัดนี้มีกุมารสองพี่น้อง เดินหลงทางมาจากป่า สามารถรักษาคนที่ตายแล้วตั้งเดือนให้คืนชีวิตได้ เศรษฐีถามว่า เวลานี้สองกุมารนั้นอยู่ที่ไหน บอกว่าอยู่ที่เรือนของข้าพเจ้าทั้งหลาย เศรษฐีให้หาตัวไปสู่เรือนของตน แล้วถามว่า เจ้าทั้งสองรู้ยาสำหรับรักษาคนที่ตายแล้วให้กลับมีชีวิตได้หรือ เมื่อสุริยคาธตอบว่ารู้ เศรษฐีจึงถามว่า ยานั้นมีอยู่หรือว่าหามิได้ เมื่อทราบว่ามีอยู่ก็รู้สึกดีใจมาก ให้กุมารทั้งสองอาบน้ำแต่งตัว รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ตั้งให้เป็นบุตรที่รักของตน

รุ่งขึ้น เศรษฐีได้ไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า บุตรของข้าพระพุทธเจ้า ชื่อว่าสุริยคาธ รู้จักโอสถที่ทำให้กลับมีชีวิตได้ สามารถเยียวยาคนตายแล้วประมาณเดือนหนึ่งให้มีชีวิตขึ้นได้ พระราชาทรงสดับแล้วทรงพระโสมนัสยิ่ง ตรัสว่า ถ้าบุตรของท่านเศรษฐีสามารถเยียวยาธิดาของเราได้ เราจักยกราชสมบัติให้ จงไปนำตัวมาเดี๋ยวนี้ เศรษฐีทูลรับแล้วกลับไปเรือนของตน ครั้นถึงจึงให้ประดับประดาสุริยคาธกุมารให้งดงามปานดังเทพบุตรหนุ่ม แวดล้อมด้วยกุมารกุมารีเข้าไปในพระนคร

ครั้งนั้น ชาวพระนครมีอำมาตย์และเศรษฐี ปุโรหิต เป็นต้น โจษกันเป็นโกลาหลว่า บุตรเศรษฐีชื่อว่าสุริยคาธ รู้ทิพยโอสถ จักวางโอสถแก้พระราชธิดาที่สิ้นพระชนม์แล้วตั้งเดือน ให้กลับมีพระชนม์ขึ้น แล้วคนทั้งหลายก็ไปประชุมกันที่หน้าพระลานหลวง

เมื่อสุริยคาธเข้าไปถึงที่เฝ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรแก่ตน พระราชาจึงตรัสว่า ดูก่อนสุริยคาธกุมารจะให้เราจัดแจงอะไรบ้าง ขอได้โปรดให้พนักงานเบ็ญจางคดนตรีมาณที่นี้ และโปรดให้กั้นพระวิสูตรพระศพของพระราชธิดา ในเวลาข้าพระพุทธเจ้ากรอกพระโอสถ ​จะเคาะกระดานให้อาณัติสัญญา แล้วให้เจ้าพนักงานประโคมดนตรีขึ้น พระราชาทรงกระทำตามสุริยคาธกราบทูล

เมื่อสุริยคาธเข้าไปในม่านแล้ว เคี้ยวพระโอสถใส่พระโอษฐ์พระราชธิดา แล้วให้อาณัติสัญญา พวกพนักงานก็ประโคมดนตรีขึ้น ฝ่ายพระราชธิดาก็ทรงได้ลมอัสสาสะ เมื่อวางพระโอสถและประโคมครั้งที่ ๒ ทรงพลิกพระองค์ได้ ครั้งที่ ๓ ทรงลุกขึ้นประทับนั่งได้

ฝ่ายสุริยคาธ ออกจากภายในม่านแล้วถวายบังคมพระราชา นั่งอยู่ ณ ที่สมควรแก่ตน พระราชธิดาได้เสด็จออกจากม่านมาถวายบังคมพระชนกชนนีแล้วประทับนั่ง

ครั้งนั้น พระราชาและอำมาตย์ เสนา ปุโรหิต ข้าเฝ้าทั้งหลาย เห็นพระราชธิดาทรงฟื้นพระชนม์ขึ้น ได้พร้อมกันให้สาธุการและทรัพย์สิ่งของบูชาสุริยคาธ พระมเหสีได้สวมกอดพระราชธิดาแสดงความยินดี แล้วพระราชทานเครื่องใช้สอยเป็นอันมากแก่สุริยคาธ

พระราชาตรัสกะสุริยคาธว่า ดูก่อนพ่อสุริยคาธ เรายกธิดาของเราคนนี้ให้เป็นบาทบริจาริกาของพ่อ และจักอภิเษกพ่อให้ครองราชสมบัติ สุริยคาธกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้ายากจน มาจากต่างประเทศ ไม่สมควรเพื่อรับราชสมบัติ จะขอทูลลาเที่ยวไปสู่ทิศน้อยใหญ่ พระราชาทรงนิ่ง ฝ่ายพระนางสุชาตดึงสา จึงกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ถ้าสุริยคาธจะเที่ยวไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่ หม่อมฉันจักตามไป หม่อมฉันไม่ปรารถนาพรากจากสุริยคาธ ชีวิตของหม่อมฉันอยู่ใต้บาทของเขา เพราะฉะนั้น ขอพระองค์ได้ทรงห้ามเขาไว้เถิด

ครั้งนั้น พระราชาและพระอัครมเหสี พระราชธิดาได้พร้อมกันอ้อนวอนสุริยคาธไว้ แล้วกระทำวิวาหมงคลกับพระราชธิดา เสร็จแล้วโปรดให้อยู่ ณ ปราสาททองหลังหนึ่ง ส่วนจันทคาธอยู่ที่บ้านของอุกัษฐเศรษฐี ได้เป็นที่รักที่พอใจของท่านเศรษฐีมาก เมื่อต้องการสิ่งใด ๆ ก็ได้สิ่งนั้น ๆ ทุกอย่าง

ครั้นกุมารทั้ง ๒ ได้รับความสุขคล้ายกับทิพยสุขด้วยประการดังนี้แล้ว ก็ลืมนึกถึงมารดาบิดา เมื่อกาลล่วงไป ๓ ปี วัน ๑ พระสุริยคาธกุมารทรงใคร่จะเห็นมารดาบิดา ให้หาจันทคาธมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนพ่อ เราทั้ง ๒ ไม่ทราบความตายและความเป็นของมารดาบิดาเลย ควรจะกลับไปเยี่ยมเยียนท่าน จันทคาธรับว่าดีแล้ว จึงกลับไปแจ้งแก่อุกัษฐเศรษฐี ๆ ก็อนุญาต

​ฝ่ายพระสุริยคาธกุมารตรัสแจ้งแก่พระนางสุชาตดึงสาว่า ดูก่อนพระน้องนาง พี่จักต้องอำลาไปเยี่ยมมารดาบิดา พระนางสุชาตดึงสาทรงสดับแล้วตรัสตอบว่า ถ้าพระองค์เสด็จไปหม่อมฉันก็จักตามเสด็จด้วย ดูก่อนพระน้องผู้ที่เป็นที่รัก หนทางไกลกันดารมาก ขออย่าเสด็จเลย จงอยู่กับพระชนกชนนีเถิด พี่จักรีบกลับในไม่ช้า ถ้าอย่างนั้นโปรดเสด็จกลับโดยด่วนเถิด

รุ่งขึ้น พระสุริยคาธเสด็จไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมลาไปสู่จัมปากนคร เพื่อเยี่ยมเยียนมารดาบิดา พระราชาได้ทรงอนุญาต

ก็พระสุริยคาธกุมารได้พลัดพรากจากมารดาบิดา ๑๐ ปีบริบูรณ์จากมาในเวลาทรงพระเยาว์ บัดนี้ทรงพระเจริญแล้ว (เมื่อจากพระชนม์ ๑๒ ขวบ จากมา ๑๐ ปี รวมพระชนม์ ๒๒ ปี) เพราะฉะนั้น พระกุมารจึงทรงดำริว่า มารดาบิดาของเราจักจำเราไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง มารดาบิดาของเราก็เป็นคนขัดสน ถ้าเราไปทางบกจักได้ทรัพย์ไปน้อย ควรเราจะไปทางเรือ ครั้นทรงดำริแล้วตรัสสั่งให้จัดเรือใหญ่และให้หาไม้ไผ่สดมาตัดเป็นปล้อง ๆ ให้บรรจุเต็มไปด้วยเงินทองแก้วต่าง ๆ เป็นอันมาก ขนลงบรรทุกเรือ ครั้นถึงวันฤกษ์ดี พระกุมารทั้งสองแวดล้อมด้วยพาณิช ๕๐๐ ลงสู่เรือแล่นไปในท่ามกลางมหาสมุทร

ภริยลภนกัณฑ์ จบ

—————————-

เมื่อพระกุมารทั้งสองแล่นเรือไปในมหาสมุทรไม่มีโรคภัยอันตรายเบียดเบียนเลย ด้วยบุญญานุภาพของพระกุมารทั้ง ๒ มีเรือแก้ว ๗ ประการ และเรือทองเรือเงินอย่างละ ๗ ลำแล่นตามเรือของพระกุมารทั้ง ๒ ไป พระกุมารทั้งสองเข้าพระทัยว่าเป็นเรือพาณิชเหล่าอื่น และได้แล่นเรือไปกระทั่งถึงยมุนานที พระสุริยคาธทรงทราบว่านี้เป็นปากน้ำยมุนา เหนือขึ้นไปจักเป็นจัมปากนคร จงตรัสบอกนายเรือว่า ถึงปากน้ำยมุนาแล้ว จัมปากนครอยู่เหนือน้ำ จงแล่นเรือเข้าปากน้ำไป ตรัสแล้วประทับยืนประณมพระหัตถ์ถวายบังคมเทพยดา ทรงอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าจักสนองคุณมารดาบิดาด้วยคำสัตย์นี้ จงอย่าให้เรือของข้าพเจ้าหลงไปทางอื่น เรือได้แล่นเข้าปากน้ำไปกระทั่งถึงท่าเรือ แล้วนายเรือได้จอดเรือทันที ฝ่ายเรือเทพยดาได้หายไป

​ที่ท่าเรือนั้น มีตลาดอยู่มาก แม่ค้าทั้งหลายขายเครื่องนุ่งห่ม เครื่องเงินเครื่องทองมาก ขายเครื่องบริโภคผลไม้ดอกไม้บ้าง ครั้งนั้นพระพี่น้องทั้งสองนั่งอยู่บนเรือคอยดูมารดาบิดา และคนที่คุ้นเคย เหล่าแม่ค้าได้เห็นพระพี่น้องทั้งสองก็เกิดความรักจึงพูดกันว่า ดูพ่อค้าหนุ่มสองคนนั้นแล้วชี้มือและบุ้ยปากให้เพื่อนกันดู

ฝ่ายมารดาบิดาผู้ตกยากของพี่น้องทั้งสองได้นำผลไม้เผือกมันเป็นต้นไปตั้งขายที่ตลาด พระสุริยคาธทรงจำได้ จึงตรัสบอกจันทคาธว่า พ่อจันทคาธ ตายายสองคนนั้นเป็นมารดาบิดาของเรา แต่เจ้าอย่าพูดกับท่าน เพราะมารดาของเราเป็นคนปากกล้า เห็นเราแล้วจักโกรธด่าว่าเพิดเพ้ย เราจักได้ความละอาย ครั้นตรัสแล้วทรงนิ่งอยู่

ในเวลาเย็น มารดาบิดาได้ลงไปอาบน้ำที่ท่าเรือ ได้เห็นกุมารทั้งสองคล้ายกับบุตรของตน จึงเข้าไปใกล้ ถามว่าพวกเจ้ามาแต่ไหน มาแต่เมืองกาสี มีอะไรมาขาย มีไม้ไผ่มาขาย ของอื่นไม่มี ข้าพเจ้าจะขอเอาไม้ไผ่แลกของตายาย ดูก่อนพ่อ ของที่จะแลกหมดเสียแล้ว ว่าแล้วเลยกลับบ้าน ได้เห็นเรือนผุพัง จึงพูดกันว่า พรุ่งนี้ออกไปไร่เก็บแตงโมสัก ๒-๓ ผลไปแลกไม้ไผ่เถิด พอรุ่งขึ้น ตายายทั้งสองก็พากันออกไปไร่ได้แตงโมมา ๔ ผล จึงนำไปแลกไม้ไผ่ได้ ๔ ปล้อง แต่ไม่อาจแบกไปได้ พระกุมารทั้งสองจึงใช้ให้คนช่วยแบกไปส่ง คนแก่ทั้งสองหาได้สงสัยไม่ว่ามีอะไรอยู่ในปล้องไม้ไผ่บ้าง จึงได้วางไว้ ณ ที่แห่งหนึ่ง

รุ่งขึ้น พระกุมารทั้งสองได้ขึ้นไปเที่ยวบ้านนัมพะ ไปถึงเรือนคนที่มีคุณมาแต่ก่อนจึงยกมือไหว้ บางคนก็รู้จัก บางคนก็ไม่รู้จัก มีผู้ถามว่า พ่อทั้งสองพากันมาแต่ไหน จึงเล่าเรื่องให้ฟังตามความจริง แต่ห้ามว่าขออย่าพึ่งบอกแก่มารดาบิดา ให้ข้าพเจ้าทั้งสองไปก่อนจึงบอก และได้ให้ไม้ไผ่คนละปล้องแล้วลากลับไปที่เรือ

ในจำพวกคนที่ได้ไม้ไผ่นั้น มีบุรุษหนึ่งผ่าไม้ไผ่ดู พบเงินทองและแก้วต่าง ๆ จึงไปที่บ้านมารดาบิดาของพระกุมารทั้งสองสอบถามว่า ตายายไม่รู้หรือว่าบุตรทั้งสองมาแล้ว ไม่รู้ ข้าแต่ตายาย พ่อค้าหนุ่มน้อยสองคนนั้นคือสุริยคาธและจันทคาธบุตรของตายาย เขาได้ให้ไม้ไผ่แก่ข้าพเจ้าคนละปล้อง ตายายผ่าปล้องไม้ไผ่ที่เขาให้แก่ตายายดูเถิด บางปล้องเต็มไปด้วยแก้ว บางปล้องเต็มไปด้วยทอง บางปล้องเต็มไปด้วยเงิน

ตายายทั้งสองได้ผ่าออกดู เห็นมีของบรรจุข้างในสมกับคำที่บุรุษนั้นบอก ดีใจอย่างยิ่ง จึ่งพูดกันว่า โอ บุตรของเรา ไปต่างประเทศได้ทรัพย์และบริวารมามาก เราทั้งสองจักไปบริโภคอาหารที่ดีและนุ่งห่มผ้าผ่อนที่ดีในเรือกับบุตรของเราพรุ่งนี้

​ฝ่ายพระกุมารทั้งสองสนทนากันว่า จำเดิมแต่วันที่เราจากเมืองกาสีได้สามเดือนแล้ว จักต้องกลับพรุ่งนี้ พอรุ่งขึ้นก็ให้พวกพาณิชจัดการออกเรือไป

เช้าวันนั้น มารดาบิดาของกุมารทั้งสองลงเรือน้อยไปสู่ท่า แลเห็นเรือบุตรทั้งสองกำลังแล่นออกจากท่าก็เร่งเรือตามไป แต่ไม่ทันจึงร้องเรียกว่า พ่อผู้เป็นบุตรที่รักทั้งสองจงกลับมารับมารดาบิดาไปด้วย พ่อพากันกลับมาแล้ว ไฉนจึงไม่บอกแก่มารดาบิดา ข้อนี้เพราะอะไร เพราะมารดาบิดาเป็นผู้มีอกุศลกรรมมาก ฝ่ายมารดาบิดาตามไปจนถึงปากอ่าวแล้วกลับ

มารดาบิดาของพระกุมารทั้งสองนั้นเป็นคนกาลกรรณี ฝ่ายพระกุมารทั้งสองผู้เป็นบุตรเป็นคนสิริ สิริกับกาลกรรณีไกลกันมาก เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

กาลกณฺณี จ ทุพฺพจฺจาสิริ จ สุพฺพจุจา สิยา
สิริ จ กาลกณฺณี จน สเมนฺติ กุทาจนํ
สมุทฺทสฺส โอรตีราปารมติรา จ วิย
นภานิปวีตลวิย น สเมนฺติ

กาลกรรณีเลี้ยงยาก สิริเลี้ยงง่าย สิริกับกาลกรรณีไม่ใกล้กัน ไม่ว่าในกาลไหน เหมือนกับฝังสมุทรข้างโน้นกับข้างนี้ และเหมือนฟ้ากับดินฉะนั้น

มีคำถามว่า พระกุมารทั้งสองเป็นผู้มีบุญมาก แต่ทำไมจึงเกิดในตระกูลเข็ญใจ แก้ว่า เพราะพระกุมารทั้งสองทำบุญใด ๆ คือทานหรือศีล ภาวนา ไม่ได้ปรารถนามนุษย์สมบัติ เทวสมบัติ พรหมสมบัติ หรือตระกูลมั่งคั่งเลย ปรารถนาแต่นิพพานสมบัติอย่างเดียว พระกุมารทั้งสองแม้เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ก็ไม่โสมนัสในตระกูลจักรพรรดิ์ ไม่โทมนัสในตระกูลทุคคตะจัณฑาล มุ่งแต่บำเพ็ญพระบารมีในชาติที่เกิดแล้ว ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นชาตินี้จึงเกิดในตระกูลทุคคตะ

ถ้ามีคำถามว่า ทำไมมารดาบิดาจึงเป็นคนขัดสน ส่วนบุตรเป็นผู้มีบุญมาก ควรแก้ว่า เพราะในชาติก่อน ตายายทั้งสองนั้นเกิดในตระกูลอำมาตย์ เห็นพระเที่ยวภิกขาจาร ตนเป็นผู้ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใส ได้ติเตียนคนทั้งหลายว่า พวกเกียจคร้าน เลี้ยงยาก ขัดสน เหล่านี้เป็นสมณะด้วยวจีทุจริตนี้จึงเกิดเป็นคนขัดสน

​อนึ่ง ก็บุคคลทั้งหลายที่ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร บางครั้งก็เกิดเป็นคนมั่งคั่ง บางครั้งเกิดเป็นคนขัดสน บางครั้งเป็นมนุษย์ บางครั้งเป็นดิรัจฉาน บางครั้งเป็นเทพยดา ใครปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นี้ไม่เคยเป็นมารดาหรือบิดาของเรา เพราะฉะนั้นเรียกว่า สังสารวัฏฏ์ โดยเหตุนี้ พระกุมารทั้งสองจึงเกิดเป็นคนเข็ญใจด้วยอำนาจสงสาร

ฝ่ายกุมารทั้งสองแล่นเรือไปในมหาสมุทร เดือนหนึ่งก็บรรลุถึงเมืองกาสี เสด็จขึ้นจากเรือแล้วเข้าสู่พระราชวัง ถวายบังคมพระราชาและพระอัครมเหสี ทรงรับปฏิสัณฐารแล้วต่างก็แยกกัน พระสุริยคาธเสด็จสู่ปราสาทของพระนางสุชาติดึงสาอัครชายา ส่วนจันทคาธไปยังบ้านอุกัษฐะเศรษฐี

ต่อมา พระเจ้าสุธรรมชาตะเสด็จสวรรคตด้วยพระโรคเบียดเบียน ประชาชนมีอำมาตย์และปุโรหิตเป็นต้นถวายเพลิง แล้วมีมหรสพสมโภช ๗ วัน ในวันที่ ๗ ปรึกษากันว่าพวกเราจักยกราชสมบัติให้แก่ใคร ปุโรหิตกล่าวว่า สิ่งใดเป็นของบิดา สิ่งนั้นควรเป็นของบุตร เพราะฉะนั้น พวกเราต้องถวายแด่พระนางสุชาตดึงสา เสนาบดีกล่าวว่า พระนางเจ้าไม่สมควรปกครองแว่นแคว้น พวกเราควรจะอภิเษกพระสุริยคาธกุมาร แล้วชนทั้งปวงได้อภิเษกพระสุริยคาธให้ครองราชสมบัติ ตั้งพระนางสุชาตดึงสาให้เป็นพระอัครมเหสี เป็นใหญ่กว่านารี ๑๖,๐๐๐

ในคราวนั้น มีพ่อค้าสำเภาคนหนึ่งชื่อโคษฐะ ได้ทำการค้าขายเลี้ยงชีพกับบุตรคนหนึ่ง อยู่มาได้พร้อมกับพาณิช ๕๐๐ ซึ่งเป็นบริวารของตน ลงสำเภามาค้าขายที่เมืองกาสี จอดสำเภาไว้แล้วบุตรได้ขึ้นจากสำเภาไปเที่ยวเก็บดอกไม้และผลไม้เล่นตามป่า ถูกเสือโคร่งกัดตาย พวกบริวารที่ไปด้วยได้นำซากศพไปให้แก่นายสำเภา ๆ เสียใจอย่างยิ่ง ถึงกับเป็นลมล้มสลบทั้งยืน พวกบริวารช่วยกันแก้ไขเป็นโกลาหล

เผอิญเวลานั้น จันทคาธกับบริวารได้ลงไปอาบน้ำที่ท่าสำเภา เห็นเหล่าพาณิชกำลังเป็นโกลาหลจึงถามว่าเรื่องอะไรกัน เหล่าพาณิชตอบว่า บุตรของนายสำเภาถูกเสือกัดตาย นายสำเกาเสียใจมากถึงกับสลบ จันทคาธคิดว่า ตายคนหนึ่งแล้วจักต้องเพิ่มเป็นสองคน มีความกรุณาเตือนใจจึงกล่าวว่า ทำไมจึงไม่หาหมอ หาหมอที่ไหนได้พ่อ คนตายได้ ๗ วันแล้ว ใครจะสามารถรักษาได้ โอ ท่านทั้งหลาย หมอที่เก่ง คนตายตั้งเดือนก็รักษาได้

​ขณะนั้น นายสำเภาฟื้นขึ้น ก็พอดีได้ยินถ้อยคำของจันทคาธ จึงหมอบลงที่เท้าถามว่า หมอที่เก่งอย่างว่ามานี้ มีอยู่ในเมืองนี้หรือมี ถ้าอย่างนั้น โปรดให้ชีวิตเป็นทานแก่บุตรของข้าพเจ้าด้วยเถิด จันทคาธรับว่าได้ แล้วกลับไปเอายาที่เรือนเศรษฐีพร้อมด้วยนายสำเภา ครั้นไปถึงก็แจ้งแก่เศรษฐี เศรษฐีก็อนุญาต เมื่อได้ยาแล้วได้กลับไปยังสำเภา เคี้ยวยาใส่ปากบุตรนายสำเภา ๆ ก็ได้ชีวิตคืนมา นายสำเภามีความยินดีมาก ได้บูชาจันทคาธด้วยแก้วและทองเงินเป็นอันมาก และได้ตั้งให้เป็นบุตรของตน

ต่อมานายสำเภาได้ถอยสำเภาออกจากเมืองกาสีนั้น ไปค้าที่เมืองอื่น ได้ไปถึงเมืองอินทปัตถ์ ในเมืองอินทปัตถ์นั้นมีพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า พรหมจักรพรรดิขึ้นครองราชย์ ท้าวเธอมีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่า วิมลาเกษี พระราชธิดาพระนามว่าเทวธิสังกา

ในวันที่พระราชกุมารีเทวธิสังกาประสูตินั้น พระเจ้าพรหมจักรพรรดิได้โปรดให้ประชุมเนมิตตกพราหมณ์ ตรวจพระลักษณะของพระราชธิดา เหล่าเนมิตตกพราหมณ์ตรวจเสร็จแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระราชธิดาของพระองค์บริบูรณ์ด้วยพระลักษณะ แต่ประสูติในพระฤกษ์ไม่ดี จักสิ้นพระชนม์ ด้วยถูกเสือกัดในเวลามีพระชนม์ ๑๒ ขวบ แล้วจักกลับได้พระชนม์ในภายหลัง แล้วจักได้พระสามีที่เป็นบุรุษทุคคตะมาจากต่างประเทศ พระสามีนั้นเป็นผู้มีบุญมาก มีอานุภาพมาก จักปรากฏในชมพูทวีปทั้งสิ้น พระราชาตรัสถามว่า บุรุษนั้นเกิดในตระกูลอะไร เหล่าเนมิตตกพราหมณ์กราบทูลว่า ไม่ทราบว่าเกิดในตระกูลอะไร ทราบว่าเป็นทุคคตะ ไม่มีญาติ มาจากต่างประเทศเท่านั้น

พระราชาทรงสดับคำพยากรณ์นั้นแล้วทรงนิ่ง โดยทรงวางพระราชหฤทัยเป็นกลาง โปรดให้หาเสนาคุตตอำมาตย์มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนเสนาคุตต์ จงจัดหาพระพี่เลี้ยงนางนมสำหรับธิดาของเรา เมื่อเสนาคุตต์ทูลรับพระราชดำรัสแล้วตรัสว่า จงหาพวกกุมาริกามาในวันนี้ ฝ่ายเสนาคุตต์เลือกพระพี่เลี้ยงนางนมได้ ๑,๕๐๐ คนแล้วจัดเอาธิดาเศรษฐี คฤหบดี อำมาตย์ ปุโรหิต ได้ ๓,๖๐๐ คน ให้เป็นบริวารของพระราชธิดา

เมื่อพระราชธิดาทรงพระเจริญ ทรงพระโฉมโสภาคล้ายกับเทพธิดา ฝ่ายพระราชบิดาทอดพระเนตรพระราชธิดาอันทรงอุดมรูปเช่นนั้นก็ทรงสงสัยว่า ธิดาของเราผู้สมบูรณ์ด้วยลักษณะอันเลิศเช่นนี้ จักได้สามีเข็ญใจซึ่งมาจากต่างประเทศทีเดียวหรือ เพราะอาศัย​เหตุสองอย่าง คือพระราชธิดานั้นทรงพระโฉมคล้ายเทพธิดา พระราชบิดาทรงสงสัยเช่นนั้น ๑ จึงได้พระนามว่า เทวธิสังกา

พระราชบิดามารดาได้ทรงจัดเหล่านารีแสนหนึ่ง ภรรยาของพวกอำมาตย์ที่เป็นหญิงหม้ายอีกแสนหนึ่ง ให้เป็นบริวารคอยพิทักษ์พระราชกุมารี และโปรดให้พระราชกุมารีเสด็จอยู่ ณ ปราสาท มิให้เสด็จลงประพาส ณ พื้นดินเลย เพราะทรงกลัวภัยสองอย่าง คือ ภัยอันเกิดแต่เสือโคร่ง และภัยอันเกิดแต่บุรุษทุคคตะ

คราวนั้น มีพ่อค้าสำเภาต่างประเทศคนหนึ่งได้นำมีดเล็กด้ามทำด้วยเขี้ยวเสือไปถวายพระราชกุมารี ๆ ทรงพอพระทัยมาก ได้ทรงเก็บไว้ในที่สูง มีดนั้นพลัดตก ปลายด้ามถูกหลังพระบาท มีพระโลหิตออกเล็กน้อย แพทย์รีบจัดการรักษา แต่กลายเป็นแผลใหญ่ขึ้น พระราชบิดาทรงร้อนพระราชหฤทัยมาก โปรดให้ประชุมพวกแพทย์ช่วยกันประกอบพระโอสถ ใส่แผลบ้าง ให้ทรงดื่มบ้าง แต่ไม่ทุเลา แผลกำเริบมากขึ้น

ครั้งนั้น พระราชาโปรดให้ประชุมแพทย์ทั้งหมด บรรดาที่อยู่ในแว่นแคว้นอินทปัตถ์ให้ช่วยกันรักษาแผลพระราชธิดา แพทย์ที่มาประชุมนั้นรวมทั้งแพทย์หลวงและแพทย์ราษฎร์เป็น ๓๖,๐๐๐ นาย แต่หมดความสามารถของพวกแพทย์ จำเดิมแต่พระราชธิดาเป็นแผลเสวยทุกขเวทนาได้สามปีก็สิ้นพระชนม์

ในวันที่พระราชธิดาสิ้นพระชนม์นั้น นายสำเภาชื่อโคษฐะได้ไปถึงเมืองอินทปัตถ์ นำเครื่องราชบรรณาการขึ้นจากสำเภาไปเฝ้าพระเจ้าพรหมจักรพรรดิ ถวายบังคมแล้วนั่งเฝ้าอยู่ในที่สมควรส่วนหนึ่ง ได้ฟังพระราชดำรัสที่ตรัสสั่งหมู่อำมาตย์ให้จัดการเรื่องพระศพพระราชธิดา จึงกราบทูลว่า เป็นศพของใคร ตรัสตอบว่าเป็นศพธิดาของเรา เขาตายด้วยถูกเขี้ยวเสือ กราบทูลถามว่า ในเมืองนี้ไม่มีแพทย์หรือ ตรัสตอบว่ามี รวมทั้งแพทย์หลวงและแพทย์ราษฎร์ถึง ๓๖,๐๐๐ แต่หมดความสามารถของพวกแพทย์ ก็นายสำเภารู้จักยาบ้างหรือ ข้าแต่มหาราช บุตรของข้าพระพุทธเจ้าไปเที่ยวป่าถูกเสือกัดตายได้ประมาณ ๗ วัน บุตรของอุกัษฐะเศรษฐีชื่อจันทคาธ รับรักษาด้วยทิพยโอสถ แก้ฟื้นขึ้นได้เป็นปรกติ ข้าพระพุทธเจ้าสอบถามเขาว่า คนตายนานประมาณเท่าไรรักษาได้ เขาตอบว่า คนตายยังมีรูปร่างอยู่ตราบใดรักษาได้ตราบนั้น ถ้าหมดรูปร่างแล้วรักษาไม่ได้

​พระราชาทรงสดับคำที่นายสำเภากราบทูล แล้วทรงพระโสมนัสตรัสถามว่า จันทคาธกุมารนั้นอยู่เมืองไหน อยู่เมืองกาสี เป็นน้องของสุริยคาธ บุตรของอุกัษฐะเศรษฐี พระพุทธเจ้าข้า ดูก่อนนายสำเภา สินค้าของเธอในสำเภามีอยู่เท่าใด ไว้เป็นภาระของเรา เธอจงไปเชิญจันทคาธมาในบัดนี้ เมื่อนายสำเภาทูลรับพระโองการแล้วพระราชทานกหาปณะแสนหนึ่ง ทองคำแสนหนึ่งเพื่อเป็นบำเหน็จแก่นายสำเภา และตรัสถามว่าจันทคาธอายุเท่าไร เมื่อทรงทราบว่าอายุ ๑๖ ปี จึงพระราชทานธำมรงค์ ผ้าเสื้อที่มีค่ามากไปเพื่อจันทคาธ ส่วนสินค้าของนายสำเภามีอยู่เท่าไร โปรดให้ขนขึ้นไว้ทั้งสิ้น

ฝ่ายนายสำเภาถวายบังคมพระราชาแล้วรับเอาของที่พระราชทานไปลงสำเภากลับไปเมืองกาสี ครั้นถึงจอดสำเภาเทียบท่าแล้วขึ้นไปหาอุกัษฐะเศรษฐี ปราศรัยกันพอสมควรแล้วเล่าเรื่องที่ตนต้องกลับมาโดยเร็วให้เศรษฐีและจันทคาธฟังตลอดแล้วมอบของที่พระราชทานไปนั้นให้จันทคาธๆหารือเศรษฐีว่า จะควรไปหรือไม่ควรไป เศรษฐีกล่าวว่า เราจักเข้าไปกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวของเราก่อน ว่าแล้วก็เข้าไปเฝ้าพร้อมกับนายสำเภาและจันทคาธ กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช บัดนี้พระเจ้าพรหมจักรพรรดิในกรุงอินทปัตถ์ ตรัสใช้ให้นายสำเภามารับจันทคาธไปรักษาพระราชธิดาของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าไม่พอใจจะให้ไป พระองค์จะทรงพอพระราชหฤทัยโปรดให้ไปหรืออย่างไร พระพุทธเจ้าข้า

พระราชาทรงสดับแล้วตรัสตอบว่า เรายังตอบไม่ได้จักต้องถามพวกเนมิตตกพราหมณ์ดูก่อน ครั้นตรัสแล้วโปรดให้พาพวกเนมิตตกพราหมณ์ไปเฝ้า ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดู เราจะให้น้องของเราไปกรุงอินทปัตถ์ จะสมควรหรือไม่

เหล่าเนมิตตกพราหมณ์กราบทูลถามวัน เดือน ปี เวลาประสูติของจันทคาธ ตรัสว่า เขาเกิดปีกุน เดือน ๑๒

เพ็ญวันพฤหัสบดีเวลาเช้าตรู่ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ปีนี้เป็นปีฉลู เดือนยี่ ขึ้น ๕ ค่ำ วันพฤหัสบดี ยามพฤหัสบดี พระจันทรเสวยฤกษ์โรหิณี ลัคนาอยู่ร่วมพฤหัสบดี พระจันทร์อยู่ราศีเมษ ถ้าสมเด็จพระอนุชาธิราชเสด็จไปทางทิศทักษิณจักได้นารีรัตน์และรัตนะอันหาค่ามิได้ แต่เป็นทุกขลาภ ภายหลังจักทรงลำบากมากด้วยการพลัดพราก ต่อไปจักได้เสวยราชย์ในนครอันใหญ่ ทรงพระเดชานุภาพไม่มีพระราชาพระองค์ใดเสมอ ตรัสถามว่า ให้เขาไปวันไหนดี กราบทูลว่า พรุ่งนี้ฤกษ์ดี ยาตราในยามพุธดี พระพุทธเจ้าข้า

​พระราชาทรงสดับแล้ว ทรงพระโสมนัสตรัสอนุญาต มหาเศรษฐีก็พลอยยินดีด้วย จึงถวายบังคมลากลับบ้านของตน สั่งให้จัดเสบียงทาง และผ้าผ่อนเครื่องอลังการแก่จันทคาธพร้อมทุกประการ

รุ่งขึ้น จันทคาธกุมารถือเอาโอสถอำลาท่านเศรษฐี และภรรยาท่านเศรษฐี แล้วเข้าเฝ้าถวายบังคมลาพระราชา ลงสู่สำเภา ให้ถอยสำเภาออกในเวลาศุภฤกษ์ แล่นสำเภาไปในท่ามกลางมหาสมุทร ได้ประมาณเดือน ๑ ก็บรรลุถึงปากอ่าวกรุงอินทปัตถ์

ฝ่ายพระเจ้าพรหมจักรพรรดิ ได้ทรงจัดให้เรือเร็วไปคอยรับอยู่ที่ปากอ่าว เชิญจันทคาธลงเรือเร็วไป ครั้นถึงก็ขึ้นเฝ้าถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรแก่ตน

เมื่อพระเจ้าพรหมจักรพรรดิทอดพระเนตรจันทคาธผู้ถวายบังคมแล้วนั่งเฝ้าอยู่ทรงพระโสมนัสยิ่ง เมื่อจะทรงปฏิสันถารได้ตรัสพระคาถาว่า

ตาต ยุตฺตาสเน นิสีทกติปยมาเส มตํ
ทิสฺวา ปมุฏฺามิมม ธีตรํ ชีวิตํ ททาตุ
ตว ปฏิคุณํ กริสฺสํตุยฺหํ นิยฺยาทยฺยามิ
มยฺห ราชปุตฺติยา สหขิปฺปํ มยฺหํ ทายํ ททาตุ

ดูก่อนพ่อ เชิญพ่อนั่ง ณ อาสน์อันสมควร เราเห็นธิดาของเราสิ้นชีพ ๒๓ เดือน รู้สึกงวยงงไปหมด ขอพ่อจงให้ชีวิตธิดาของเรา เราจะขอสนองคุณพ่อ จะยกราชสมบัติทั้งบุตรีของเราให้โดยเร็ว

ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงนำจันทคาธเสด็จสู่ปราสาทพระราชบุตรี ทรงแสดงพระสรีระของพระราชบุตรีแก่จันทคาธ เมื่อจันทคาธเคี้ยวทิพยโอสถใส่พระโอษฐ์ของพระราชบุตรีในวาระแรก พระสรีระของพระราชบุตรีก็มีอาการอบอุ่นขึ้น วาระที่ ๒ ทรงหายใจเข้าออกได้ วาระที่ ๓ ทรงพลิกพระกายได้ วาระที่ ๔ ทรงขอน้ำเสวยได้ วาระที่ ๕ ทรงเสวยพระกระยาหารได้ วาระที่ ๖ แผลที่ถูกเขี้ยวเสือหายเป็นปรกติ วาระที่ ๗ ทรงลุกขึ้นถวายบังคมพระราชบิดามารดาได้ และมีพระรูปโฉมเป็นปรกติ

พระราชา พระอัครมเหสี ชาววัง อำมาตย์เสนาทั้งหลายเห็นเช่นนั้น พร้อมกันสรรเสริญว่า โอ สิ่งที่ไม่เคยเป็นมาเป็นขึ้นน่าอัศจรรย์นัก เมื่อก่อนเราไม่เคยได้เห็นและ​ไม่เคยได้ยินแพทย์วิเศษเช่นนี้ แพทย์ผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ ต้องเป็นพรหม เสียงสรรเสริญคุณของจันทคาธแผ่ไปทั่วพระนคร

ครั้งนั้น พระราชาทรงปรึกษากับพระอัครมเหสีว่า บัดนี้ จันทคาธได้ให้ชีวิตแก่ธิดาของเราแล้ว เราจะทดแทนคุณของเขาโดยทางอื่นนอกจากยกธิดาของเราให้เป็นทาสีเขาไม่สมควร ครั้นตรัสปรึกษาอย่านี้แล้ว โปรดให้ประชุมอำมาตย์ ตรัสถามว่า เราจักอภิเษกจันทคาธกับธิดาของเรา ท่านทั้งหลายจะเห็นอย่างไร คือเห็นว่าสมควรหรือไม่สมควร ให้พูดออกมาตามความเห็น อำมาตย์ทั้งปวงพร้อมกันกราบบังคมทูลว่า สมควรพระพุทธเจ้าข้า

ครั้นเห็นพร้อมกันเช่นนั้น พระราชาจึงโปรดให้ปลูกโรงพิธีตกแต่งเป็นอันดีพร้อมทุกสิ่ง ห้อยย้อยไปด้วยพวงแก้วพวงทองอันวิจิตร แวดวงด้วยม่าน ตั้งเตียงแก้วและเตียงทองข้างใน งามประหนึ่งว่าทิพยวิมานฉะนั้น

ครั้นทรงเตรียมการพร้อมแล้ว ตรัสสั่งให้นายสำเภาและจันทคาธเข้าเฝ้า ทรงแจ้งเหตุที่จะอภิเษกให้ทราบ จันทคาธกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าเกิดในตระกูลทุคคตะ ไม่คู่ควรกับพระราชบุตรีที่อุดมชาติ พระราชาทรงสดับแล้วตรัสถามนายสำเภาว่า กุมารนี้เกิดในตระกูลอะไร นายสำเภากราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบได้ละเอียด ทราบแต่ว่าเป็นพระเจ้าน้องของพระเจ้าสุริยคาธ บุตรของอุกัษฐะเศรษฐีและนางพรหมวดีเท่านั้น

พระราชาทรงสดับแล้วทรงพระดำริว่า นายสำเภานี้รู้แต่เรื่องเบื้องปลาย แต่ช่างเถิด แล้วตรัสสั่งให้พระราชธิดาเข้าเฝ้า ตรัสถามว่า แม่ เจ้าตายถึง ๓ เดือน จันทคาธกุมารนี้ช่วยชีวิตเจ้าได้ บัดนี้เจ้าจงเป็นเหมือนกับทาสีของเขา บิดาจักอภิเษกให้ครองกันและจักยกราชสมบัติให้ เจ้าจักเห็นอย่างไร ข้าแต่พระราชบิดา นอกจากจันทคาธแล้ว จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือเอกราชพระองค์ใดก็ไม่สมควรเป็นสามีของหม่อมฉัน อนึ่งหม่อมฉันได้อาศัยพระมารดาบิดาเกิด บัดนี้ได้ชื่อว่าอาศัยจันทคาธเกิดอีกครั้งหนึ่ง เขาเหมือนกับเป็นมารดาบิดาของหม่อมฉัน เพราะฉะนั้น หม่อมฉันขอตั้งเขาไว้ในตำแหน่งเป็นสามีดุจเทวดา จักขอรับใช้เขาไปตลอดชีพ แล้วพระราชกุมารีเข้าไปหมอบลงแทบเท้าของจันทคาธ ตรัสว่าขอพระองค์จงเป็นเทวดาของหม่อมฉัน ฝ่ายหม่อมฉันจักเป็นทาสีของพระองค์สนองพระคุณทุกเช้าค่ำ จันทคาธรับโดยดุษณีภาพ

​พระราชาตรัสสั่งให้หาพวกเนมิตตกพราหมณ์เข้าเฝ้า แล้วตรัสสั่งให้ตรวจดูวันดีฤกษ์ดี เนมิตตกพราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ วันปะรืนพระจันทร์อยู่ในราศีเมษ ลัคนาอยู่ในราศีพฤษภ เป็นวันดีฤกษ์ดี

ครั้นทรงสดับแล้วตรัสสั่งให้พวกพนักงานภูษามาลาประดับพระโพธิสัตว์จันทคาธด้วยเครื่องทรงอันวิจิตร ฝ่ายพระวิมลาเกษี พระอัครมเหสี ก็ทรงแต่งองค์ให้พระราชบุตรีเทวธิสังกา แล้วนำเสด็จสู่โรงราชพิธี พระราชาพร้อมด้วยอำมาตย์ทรงนำจันทคาธไปต่อภายหลัง ครั้นพร้อมแล้วจึงอภิเษกพระกุมารกุมารีบนกองแก้ว แล้วพระราชทานราชกัญญา ๘๐,๐๐๐ และนางพนักงานขับกล่อมบำเรออีกแสนหนึ่งแก่พระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์ทรงเสวยสุข คล้ายกับทิพยสุขห้อมล้อมด้วยราชกัญญา มีพระนางเทวธิสังกาเป็นประธาน ทรงสำราญอยู่ตลอดปี จึงทรงระลึกถึงพระมารดาบิดาและพระเจ้าพี่ มีพระประสงค์จะใคร่เสด็จกลับไปเยี่ยม จึงตรัสบอกแก่พระนางเทวธิสังกาว่า ดูก่อน พระน้องรัก พี่ใคร่เห็นพระชนกชนนีและพระเจ้าพี่ จะขออำลากลับยังเมืองกาสีในบัดนี้ พระนางเทวธิสังกาทูลว่า หม่อมฉันจะขอตามเสด็จด้วย แล้วพระนางเจ้าเสด็จไปสู่ที่เฝ้าพระราชบิดาพร้อมด้วยพระสามี กราบทูลอำลาว่าข้าแต่พระราชบิดาเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ หม่อมฉันจะทูลลาตามเสด็จพระสามียังกรุงกาสีในบัดนี้ พระราชบิดาตรัสถามจันทคาธว่า พ่อจักไปทางบกหรือทางน้ำ ทูลว่าใคร่ไปทางน้ำ แต่ไม่มีเรือ จึงตรัสสั่งพวกอำมาตย์ให้จัดเรือใหญ่ พวกอำมาตย์ช่วยกันจัดเรือใหญ่ให้มีที่ขังน้ำ เก็บเสบียงเครื่องใช้สินค้าเสร็จในชั่วเดือน ๑ แล้วกราบทูลแด่พระราชา

พระราชาโปรดให้จัดเครื่องราชบรรณาการและบรรณาการ พระราชทานไปแก่พระเจ้าสุริยคาธและเศรษฐี ลงบรรทุกเรือพร้อมแล้วให้โหรหาฤกษ์ ได้พระฤกษ์แล้วตรัสบอกแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทูลลาพระราชาและพระอัครมเหสี แล้วเสด็จลงเรือพร้อมด้วยพระนางเทวธิสังกาพระอัครชายา โปรดให้ออกเรือในเวลาได้พระฤกษ์ดี แล่นเรือออกจากอ่าว ๗ วัน ก็ถึงมหาสมุทร

เรือได้ถึงความอัปปางในท่ามกลางมหาสมุทรด้วยกำลังลมและคลื่นใหญ่ คนทั้งหลายในเรือได้เป็นเหยื่อแห่งเต่าปลาทั้งสิ้น ส่วนพระโพธิสัตว์และพระนางเทวธิสังกาทรงได้กระดานแผ่นหนึ่ง ทรงเกาะแผ่นกระดานข้างละองค์ลอยไปตามกระแสน้ำ ไม่ช้าก็หลุดจากแผ่นกระดานพลัดกันไปองค์ละทาง

​พระนางเทวธิสังกาถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง เมื่อเสด็จขึ้นฝั่งได้แล้ว ดำเนินพลางทางทรงกรรแสงถึงพระสวามีไปตามฝั่งได้ ๒-๓ วันก็ทรงพบทาง เสด็จไปตามทางนั้น บรรลุถึงบ้านป่าแห่งหนึ่ง ทอดพระเนตรเห็นแสงไฟในเรือนหลังหนึ่ง จึงเสด็จเข้าไปใกล้ ทรงเห็นหญิงแก่คนหนึ่งชื่อปริสุทธี ตรัสกะยายปริสุทธิว่า ข้าแต่ยาย ฉันขออาศัยสักคืนหนึ่งเถิด แม่มาจากไหน ฉันมาเรือ ๆ แตก ไม่มีที่พึ่ง จึงมาขออาศัยด้วย ยายปริสุทธิเห็นรูปร่างอันสมบูรณ์ด้วยลักษณะของพระนางเจ้า เป็นที่เจริญใจก็มีจิตยินดี ได้ให้ข้าวน้ำผ้าผ่อนแก่พระนางเจ้า ตั้งให้เป็นบุตรีที่รักของตน

จบเทวธิสังการลภนวิโยคกัณฑ์

ในสมัยนั้น พระเจ้านันทกิตติ เสวยราชย์อยู่ในอนูปมานคร มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่า สุธรรมา พระราชโอรสทรงพระนามว่าสุทัสสนจักร พระเจ้านันทกิตติทรงเห็นว่าพระราชโอรสทรงพระเจริญแล้ว จึงทรงปรึกษากับพระอัครมเหสีและหมู่อำมาตย์ว่า พระราชบุตรีอันสมบูรณ์ด้วยพระลักษณะของพระราชาพระองค์ใด จะคู่ควรกับบุตรของเรา หมู่อำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระราชธิดาของพระเจ้าธรรมขันตี ทรงพระนามว่าพรหมจารี สมบูรณ์ด้วยพระลักษณะคล้ายกับเทพอัปสร มีพระชันษา ๑๖ ปี สมควรกับพระราชโอรส พระพุทธเจ้าข้า

พระราชาทรงสดับแล้ว ตรัสสั่งให้เสนาบดีเข้าเฝ้า รับสั่งให้มีพระราชสาส์นไปทูลขอพระราชธิดาของพระเจ้าธรรมขันตี เสนาบดีแต่งพระราชสาส์นเสร็จแล้วกราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อจะมีพระราชโองการสั่งให้จัดเครื่องราชบรรณาการ ได้ตรัสพระคาถาว่า

ทาสีสตํ ทาสสตํควหตฺถุสภสตํ
นิกฺขสหสฺสฺจตโย มณิขนฺธา เจว
เอกเมโก มณิขนฺโธนคเรน อคฺโฆ โหติ
จตฺตาโร จ อสฺสตโรกุมารี ปิลนฺธเนน

ให้จัดทาสี ทาส แม่โค โคผู้ ช้าง อย่างละ ๑๐๐ ทองพันลิ่ม แก้วมณี ๓ ดวง แต่ละดวงราคาค่าควรเมือง กับอัสดร ๔ ตัว และกุมารีที่ประดับประดาด้วยอลังการอีก

​ครั้นทรงจัดเครื่องราชบรรณาการแล้ว โปรดให้นำลงสำเภา ให้ราชทูต ๔ นายกับบริวาร ๕๐๐ คุมไป สำเภาไปในมหาสมุทร เดือน ๑ บรรลุถึงอนุราชธานี ในกาลนั้น บุตรของนายบ้านเทวธิบุปผาเกิดทะเลาะกับยายปริสุทธี ส่วนนายบ้านเผอิญไปเห็นพระนางเทวธิสังกาเข้าใจว่าเป็นธิดาของยายปริสุทธี จึงไปกราบทูลพระเจ้านันทกิตติว่า ข้าแต่มหาราช ธิดาของยายปริสุทธิสวยมาก พระเจ้านันทกิตติทรงสดับแล้วทรงนิ่งเสีย ครั้งนั้นมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อโควัฑฒิ อยู่ในที่เฝ้า ได้ฟังคำที่นายบ้านกราบทูลแล้ว ในเวลาออกจากที่เฝ้าได้ไปแจ้งเหตุทั้งเหตุทั้งปวงแก่ยายปริสุทธี ๆ กลัวพระราชอาชญา จึงนำพระนางเทวธิสังกาไปฝากไว้ให้อยู่กับธิดาของเศรษฐี

ฝ่ายราชทูตทั้ง ๔ นาย ซึ่งเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปนั้น พอไปถึง ก็แจ้งแก่อำมาตย์ของพระเจ้าธรรมขันตี เมื่อได้โอกาสก็พากันเข้าเฝ้า ถวายบังคม แล้วนั่ง ณ ที่สมควร เมื่อจะกราบทูล ได้กล่าวคาถาว่า

มยฺหํ ปิ ราชา ตํ ปุจฺฉิกุสลเจ ตุยฺหํ อตฺถิ
อนามยํ เยว อตฺถิยถา อุตุวุฏฺิ น ฉิชฺชิ
อโถ เต ชนปทา จเนคมา จ มหทฺธนา
มหาโภคา จ นาครานาฺมฺํ วิเหสิกา

พระราชาของข้าพระบาททั้งหลาย ตรัสถามถึงพระองค์ว่า พระองค์ทรงพระเจริญสุข ไม่มีพระโรคาพาธเบียดเบียนพระบวรกายอยู่หรือ ทั้งฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลทั่วพระราชอาณาเขต อนึ่งเล่าชาวนิคมชนบทราชธานีสมบูรณ์ด้วยโภคขันธ์หิรัญรัตน์ ปราศจากการเบียดเบียนกันอยู่หรือประการใด พระพุทธเจ้าข้า

พระราชามีพระราชดำรัสถามว่า ท่านทั้งหลายมาจากนครไหน เมื่อพวกราชทูตกราบทูลว่า มาจากอนูปมานครจึงตรัสถามว่า ใครใช้ให้มาด้วยธุระอะไร กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระเจ้านันทกิตติ และพระอัครมเหสีทรงพระนามว่าสุธรรมา มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าสุทัสสนจักร บัดนี้มีพระประสงค์จะอภิเษกให้ครองราชสมบัติ จึงทรงส่งข้าพระบาททั้งหลายมากราบทูลขอพระราชบุตรีของพระองค์ เพื่อพระราชโอรสนั้นครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว ถวายพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการ

​ครั้งนั้น พระเจ้าธรรมขันตีจึงทรงพระดำริว่า พระเจ้านันทกิตติเป็นมหาราชทรงพระยศใหญ่ยิ่ง โอรสของท้าวเธอจักคู่ควรกันกับบุตรีของเรา จึงตรัสว่า สุทัสสนจักรชนมายุเท่าไร เมื่อพวกราชทูตกราบทูลว่า พระชนมายุ ๑๖ ปี จึงตรัสถามต่อไปว่า พระเจ้านันทกิตติทรงตั้งอยู่ในธรรมอะไร เมื่อกราบทูลว่าทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมและสังคหธรรม ๔ ก็ทรงพระโสมนัสยิ่ง ทรงปรึกษากับพระอัครมเหสีและหมู่อำมาตย์เห็นพร้อมกันแล้ว ทรงจัดสำเภา ๕๐๐ กับเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ เสร็จแล้ว ทรงมอบพระราชธิดาพร้อมด้วยราชกัญญาบริพารแก่พวกทูต

พวกราชทูตรับแล้วลงสู่สำเภา ทูลลาออกสำเภาในวันนั้น แล่นสำเภาไปในท่ามกลางมหาสมุทร บรรลุถึงอนูปมานครโดยเดือน ๑ เป็นกำหนด

พระเจ้านันทกิตติทรงพระโสมนัสมาก ได้ทรงอภิเษกพระราชโอรสกับนางพรหมจารีให้เสวยราชย์ แต่พระเจ้าสุทัสสนจักรไม่สู้พอพระราชหฤทัยในพระนางพรหมจารี เสด็จไปทรงร่วมอภิรมย์ด้วยพระนางเจ้าได้ ๗ วัน

ในวันที่ ๘ พระเจ้าสุทัสสนจักรได้เสด็จประพาสพระราชอุทยานผ่านบ้านบุปผาคามไป ทอดพระเนตรเห็นพระนางเทวธิสังกาเสด็จไปสรงน้ำที่ทำกับยายปริสุทธิทรงมีพระหฤทัยปฏิพัทธ์ ครั้นเสด็จกลับพระราชวังในเพลาเย็น ได้ทรงเล่าให้พระนางเจ้าพรหมจารีฟังว่า ดูกรพระน้องรัก วันนี้พี่ได้เห็นบุตรีของยายปริสุทธีสวยมาก พี่จักนำมาตั้งให้เป็นอัครมเหสี พระน้องรักของพี่จะพอพระทัยไหม

พระนางพรหมจารีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ก็เมื่อมีหญิงที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะอยู่ในพระนครนี้ เหตุใดพระชนกชนนีของพระองค์จึงทรงขอหม่อมฉันมาจากอนุราธบุรี อันเป็นบ้านเมืองไกล และตั้งไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี ภายหลังพระองค์จักลดลงให้เป็นอนุภรรยาเช่นนี้ หม่อมฉันไม่ปรารถนา

พระเจ้าสุทัสสนจักรทรงพระดำริว่า พระนางเจ้าทูลด้วยความหึงหวง ใคร่จัดทรงทดลอง จึงตรัสว่า ดูก่อนพระน้องรัก ถ้าอย่างนั้น พี่จักนำมาตั้งให้เป็นอนุภรรยา เป็นคนรับใช้ของพระน้องจักพอพระทัยไหม พระนางเจ้าทูลว่าพระดำรัสแรกว่าจักทรงตั้งให้เขาเป็นอัครมเหสี พระดำรัสหลังว่าจักให้เป็นอนุภรรยารับใช้ของหม่อมฉัน ก็คนใช้ของหม่อมฉันที่บิดามารดาจัดให้มาแต่อนุราธบุรีก็มีอยู่เพียงพอ ไฉนพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์จึงตรัสเป็นคำสองเช่นนี้ ธรรมดากษัตริย์ย่อมตรัสคำเดียว แต่นี่พระองค์มาตรัสเป็น ๒-๓ คำไป

​เมื่อพระเจ้าสุทัสสนจักรทรงสดับคำตัดพ้อเช่นนั้นก็ทรงพระพิโรธน้อยพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ได้ตรัสบริภาษพระราชเทวีว่า ดูก่อนหญิงปากกล้า เหตุไรจึงกล่าววาจาหยาบคายต่อเราเช่นนี้นะเจ้าหญิงกาลกรรณี

ครั้นตรัสแล้วดำรัสสั่งหมู่อำมาตย์ว่า ดูก่อนอำมาตย์ทั้งหลาย จงนำหญิงปากร้ายนี้ใส่แพปล่อยทิ้งเสียในแม่น้ำอจริรวดีอย่าได้ช้า อำมาตย์ทั้งปวงรับพระราชบัญชาแล้วได้เชิญพระอัครมเหสีลงสู่แพลอยไปตามกระแสนที

พระนางเจ้าพรหมจารีหาได้ทรงเป็นทุกข์น้อยพระหฤทัยไม่เลย เมื่อจะทรงประกาศแก่เทพยเจ้าทั้งหลาย ได้ตรัสพระคาถาว่า

โภนฺโต เทวสงฺฆาโย จปพฺพตปทรคุหา
นทีอากาสสมุทฺทาวนรุกฺขคหณโย
ทิพฺพจกฺขุ ทิพฺพโสตาธมฺเม รกฺขนฺตา ธมฺมฏฺา
มยฺหํ คิรฺจ สุณนฺตุมม ตายนฺตุ ปาเลนฺตุ
อมฺหากํ อุภินฺนํ วิวาทาเจหํ สปราธา ภวามิ
มา มํ ชีวิตํ ปาลยนฺตุมํ ปหารํ สมุทฺทสฺมึ
เจ อปราธาหํ ชีวิตํมํ ปาลยนฺตุ
อุภินฺเนสุ โย สปราโธโส ปมํ มรตุ
วา ยํ กุสลํ กตฺวาจาหํตาสํ ปตฺตึ ทสฺสามิ ตํ
ยทา พุทฺธงฺกุรนฺติกํตสฺส ทาสี ภวิสฺสามิ
โย พาเลน เสวนฺจทุกฺโข วาโส นาม โหติ
มาทิสาพาลฺยํ เสวามิมหนฺตํ ทุกฺขานุภเวยฺยํ
โย จ สนฺเตน เสเวยฺยสุโข วาโส จ สพฺพทา
อิโตทานิ พาลํ ปหามิสนฺตวตฺตํ กริสฺสามิ

ข้าแต่ทวยเทพทั้งหลาย ที่สิงสถิตอยู่ ณ ภูเขา ซอก ถ้ำ ลำธาร ทะเล อากาศ และราวไพร ผู้มีทิพย์เนตรทิพย์โสต รักษาธรรมมั่นคง จงฟังวาจาของข้าพเจ้า จงคุ้มครองข้าพเจ้า คือข้าพเจ้ากับสามีได้แตกกันแล้ว ถ้าข้าพเจ้ามีความผิด ขออย่าไว้ชีวิตข้าพเจ้า จงประหารเสียในกลางทะเล ถ้าและข้าพเจ้าไม่มีความผิด จงคุ้มครองข้าพเจ้า ในข้าพเจ้าทั้ง ๒ ผู้ใดมีความผิด ผู้นั้นจงตายก่อน อนึ่งข้าพเจ้าทำกุศลใดไว้ จักให้ส่วนกุศลนั้นแก่ผู้นั้น ข้าพเจ้าพบหน่อพุทธพงศ์เมื่อใด จักยอมเป็นทาสีเมื่อนั้น ผู้ใดคบคนพาล ผู้นั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ ข้าพเจ้าคบคนพาลจึงได้รับทุกข์มากเช่นนี้ ผู้ใดคบสัตบุรุษ ผู้นั้นเป็นสุขทุกเมื่อ บัดนี้ข้าพเจ้าละคนพาลแล้วจักปฏิบัติธรรมของสัตบุรุษ

ครั้นพระนางเจ้าทรงประกาศแก่เทพยเจ้าทั้งหลายอย่างนี้แล้ว ทรงสมาทานศึล ๕ มิได้ครั่นคร้ามต่อมรณภัย ตั้งพระหฤทัยเจริญเมตตาอยู่ในแพ แพได้ลอยไปตามกระแสน้ำประมาณเดือนหนึ่ง ฝ่ายอำมาตย์ทั้ง ๔ คือ สุกิตติ ภิกขชัย อาวุฒ อาวุฒจักร ที่พระเจ้าธรรมขันตีทรงส่งไปเพื่อคอยดูความพลั้งผิดของพระนางเจ้ากับคุณท้าวทั้ง ๔ คือ สุทธา สุทธี สัทธจารี ชยา ซึ่งมีบริวารฝ่ายละ ๕,๐๐๐ เมื่อพระนางเจ้าพรหมจารี ถูกลงพระราชอาญาปล่อยทะเล ในคราวนั้น ต่างก็ปรึกษากันว่า พวกเราจักทำอย่างไรดี จักกลับเมืองของเราก็จักไม่พ้นอาชญาของพระเจ้าสุทัสสนจักร จักอยู่ในเมืองนี้เราก็ไม่มีนาย จักถูกดูหมิ่นคล้ายกับโค จักไปเมืองอื่นก็จักหาสุขยาก อนึ่งพระเจ้าสุทัสสนจักรก็ทรงลงพระราชอาชญาแก่พระอัครมเหสีตามพระหฤทัย มิได้ทรงปรึกษาพวกเราเลย ทรงหมิ่นพวกเราเหมือนกับดิรัจฉาน บัดนี้พวกเราจักคิดอย่างไร

ครั้งนั้น ภิกขชัยอำมาตย์จึงกล่าวกะเหล่าอำมาตย์ทั้งหลายว่า ขอท่านทั้งหลายจงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า พวกเรากับบริวารแยกกันเข้าเผาเมืองคนละทิศ ช่วยกันสู้รบกับพวกอำมาตย์และเสนาในเมืองนี้ให้ได้ ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้ว ก็ให้อาณัติสัญญาแก่บริวารของตน ๆ ได้พร้อมกันเผาเมืองและต่อสู้กับพลเสนาในเมืองนั้นจนตลอดรุ่ง พวกบริวารถึงความพินาศไปหมด เหลือแต่ตัวนาย ๔ คน พากันหนีออกจากเมืองไปยังท่าสำเภา กระโดดลงทะเลจมน้ำตายหมดทั้ง ๔ นาย

ฝ่ายคุณท้าวทั้ง ๔ ก็พร้อมกับบริวารฆ่าฟันหญิงชาววังล้มตายเป็นอันมาก ลงท้ายตนกับบริวารก็ถูกฆ่าตาย คราวนั้นพระนางเทวธิสังกาได้ทรงผนวชเป็นชีในสำนักพวกปริพพาชิกา เพราะกลัวราชอาชญา

ครั้นพระเจ้าสุทัสสนจักรปราบศัตรูของพระองค์ราบคาบแล้ว ทรงคำนึงถึงบุตรีของยายปริสุทธี ตรัสสั่งอำมาตย์นายหนึ่งให้ไปนำนางมา อำมาตย์นั้นไปหายายปริสุทธิบอกว่า ​พระราชาของเราตรัสให้หาธิดาของยายไปเฝ้า ยายปริสุทธีถามว่า จักโปรดให้หาไปธุระอะไร โปรดให้หาไปเพื่อทรงแต่งตั้งให้เป็นอัครมเหสี ยายปริสุทธีจึงแจ้งว่า บัดนี้ธิดาของเราบวชเป็นชีอยู่ในวัดปริพพาชิกาแล้ว อำมาตย์กล่าวว่า จงบวชตามอัธยาศัยเถิด แล้วกลับไปกราบทูลพระเจ้าสุทัสสนจักร ๆ กับอำมาตย์มีความเห็นร่วมกันว่า จงให้นางบวชรักษาศีลตามอัธยาศัยเถิด นางสึกเมื่อใดจักนำมาตั้งให้เป็นอัครมเหสีเมื่อนั้น

จบพรหมจาริกภัณฑ์

—————————-

ฝ่ายจันทคาธโพธิสัตว์ ซึ่งว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทร เมื่อเสด็จขึ้นฝั่งได้แล้ว ทรงเที่ยวแสวงหาพระนางเทวธิสังกา ทรงพบทางเส้นหนึ่งได้เสด็จไปตามทางนั้นเข้าไปสู่ป่าใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในทิศอุดรแห่งเมืองปาตลีบุตร ในคราวนั้นนาค ๒ ตัวทำการสู้รบกัน ตัวหนึ่งสู้ไม่ได้ได้ถึงแก่ความตาย พระโพธิสัตว์เสด็จไปพบ ได้ทรงเคี้ยวทิพยโอสถใส่ปากนาคนั้น นาคได้ชีวิตคืนมาแล้วหายเข้าป่าไป ไม่ช้าย้อนกลับมาหาพระโพธิสัตว์ด้วยเพศมานพ พระโพธิสัตว์เห็นมานพนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าจึงเข้าไปใกล้ มานพถามว่า มหาบุรุษมาแต่ไหน เรามาสำเภา ๆ แตกขึ้นจากทะเลได้จึงเดินหลงทางมาที่นี่ ข้าแต่มหาบุรุษ ท่านได้ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า ๆ จะตอบแทนคุณของท่าน ท่านต้องการสิ่งใดจักให้สิ่งนั้น เราต้องการพบปะภรรยาที่พลัดกันเมื่อสำเภาแตก ข้าแต่มหาบุรุษ ไม่ว่าท่านต้องการจะดูสิ่งใด ๆ ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ท่านหยิบดวงมณีนี้ใส่ปากแล้วดูเถิด อาจเห็นได้ตลอดนาคโลก มนุษยโลก เทวโลก ชั้นดาวดึงส์ ครั้นกล่าวดังนี้แล้วก็น้อมแก้วมณีเข้าถวายพระโพธิสัตว์แล้วหายวับไปจากที่นั้น

พระโพธิสัตว์ทรงรับแก้ววิเศษดวงนั้น แล้วใส่พระโอษฐ์ ทอดพระเนตรสรรพสิ่งทั่วทิศ ทรงเห็นพระนางเทวธิสังกาซึ่งทรงผนวชอยู่ในปริพพาชิการาม และมารดาบิดาที่อยู่ในนัมพคามในกรุงจัมปากะ พระเจ้าสุริยคาธผู้เป็นพระเชษฐาธิราชในกรุงกาสี อุกัษฐะเศรษฐีพร้อมทั้งภรรยา พระมารดาบิดาของพระนางเทวธิสังกาในกรุงอินทปัตต์ ตลอดถึงนาคพิภพ สุบรรณพิภพ ดาวดึงสพิภพ

​ลำดับนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จไปตามราวไพร ได้ทรงพบวิทยาธร ๒ ตนกำลังต่อสู้กันอยู่ในอากาศ ตนหนึ่งมีชัย อีกตนหนึ่งอัปราชัยได้ร่วงลงจากอากาศสู่ภูมิภาคปฐพี พระโพธิสัตว์จึงรีบเสด็จเข้าไปไต่ถามดูว่า ดูก่อนบุรุษผู้มีฤทธิ์ เหตุไรท่านจึงนอนเสวยทุกข์อยู่เช่นนี้ ดูก่อนพ่อหนุ่มน้อย เรานี้เป็นวิทยาธร พ่ายแพ้วิทยาธรอีกตนหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่ปรปักษ์ต่อสู้กันในอากาศ แล้วตกลงมานอนลำบากอยู่เช่นนี้ พระโพธิสัตว์ทรงสดับแล้วทรงเที่ยวแสวงหาโอสถใหม่ เพราะทิพยโอสถที่เคยทรงใช้นั้นหมดเสียแล้ว เมื่อทรงแสวงหาได้แล้ว ได้ทรงเคี้ยวใส่ปากวิทยาธร แต่ไม่สามารถแก้ไขความเจ็บปวดของวิทยาธรนั้นได้

ฝ่ายวิทยาธรผู้ได้รับทุกขเวทนาจวนจะดับชีพ จึงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า ดูก่อน พ่อหนุ่มน้อย เราจักตายเป็นแน่ ส่วนพระขรรค์แก้วกับเกือกแก้วนี้ให้แก่เธอ พระขรรค์แก้วเล่มนี้ มีคุณานุภาพมาก หากหิวอาหารใคร่จะรับประทานเมื่อใด จุ่มปลายพระขรรค์แก้วกายสิทธิ์นี้ลงในน้ำหรือน้ำผึ้งแล้วดื่ม ความหิวกระหายก็หายไปเมื่อนั้น และมีกำลังแข็งแรงขึ้นเท่ากับช้างอันเกิดในตระกูลอุโบสถ ๗ เชือก และพระขรรค์เล่มนี้สามารถตัดศิลา เหล็ก ภูเขา ให้ขาดเป็นชิ้น ๆ ได้ ถ้าภูตผีปีศาจ ยักษ์ นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ เทพดา จะทำอันตรายให้แกว่งพระขรรค์เล่มนี้ พวกภูตผีปีศาจเป็นต้นนั้นจักพลันหนี ถ้าต้องการเดินบนน้ำหรืออากาศจงสวมเกือกแก้วคู่นี้แล้วเดินเหินได้ แต่อย่าส้องเสพมาตุคาม ถ้าส้องเสพเมื่อใดจักทอนกำลังเมื่อนั้น ครั้นกล่าวดังนี้แล้วก็สิ้นลมหายใจ

ครั้นนั้นพระโพธิสัตว์ผู้กอร์ปด้วยอัธยาศัยดี ได้จัดการเผาศพวิทยาธรนั้น แล้วบูชาด้วยดอกไม้ต่างพรรณ

แล้วเสด็จจากนั้นไปในกลางไพร ได้ทรงพบรวงผึ้งรวงหนึ่งซึ่งไม่มีแม่ผึ้งหวงแหน ทรงบีบเอาน้ำผึ้งใส่ลงในหม้อน้ำผึ้ง (หม้อนี้เห็นจะได้จากวิทยาธร) แล้วทรงดื่ม พอพระประสงค์แล้วทรงบรรทมใกล้ปากถ้ำแห่งหนึ่ง

จบติรตนลภนกัณฑ์

—————————-

​ในสมัยนั้น มีเศรษฐี ๓ คนอยู่ในสังกัสนคร มีบุตรีคนละคน บุตรีของเศรษฐีทั้ง ๓ นั้น คน ๑ ชื่อทิพโสดา คน ๑ ชื่อประทุมบุปผา คน ๑ ชื่อ สุคันธเกศี มีอายุ ๑๖ ปีเหมือนกัน เป็นเพื่อนสนิทกัน เล่นหัวเที่ยวเตร่นั่งนอนดื่มอาบน้ำลงท่าด้วยกันเสมอ วันหนึ่งชวนกันไปเล่นน้ำใกล้ ๆ ถ้ำแห่งหนึ่ง กระแสน้ำพัดเข้าไปในถ้ำ ไม่สามารถกลับออกมาได้

ฝ่ายพวกคนใช้รีบนำความไปแจ้งแก่เศรษฐีทั้ง ๓ ว่า นางทั้ง ๓ ไปเล่นน้ำเลยดำน้ำหายไป พวกข้าพเจ้าสุดสามารถที่จะค้นหา เศรษฐีพร้อมทั้งภรรยาทั้ง ๓ ตระกูล ต่างก็เสียใจร้องไห้คร่ำครวญเป็นโกลาหล แล้วให้หมอคำนวณ หมอฤกษ์ หมอเลข มาประชุมพร้อมกันจัดการเลี้ยงดูเป็นพิธีคำนับเสร็จแล้วไต่ถามถึงบุตรีของตน ๆ ว่าจะเป็นตายอย่างไร

หมอคำนวณนับนิ้วมือแล้วบอกว่า บุตรีท่านเศรษฐีทั้ง ๓ ไม่ถึงแก่ความตาย แต่นานจึงจะกลับมาได้

หมอฤกษ์ตรวจเวลายามฤกษ์แล้วทำนายว่า บุตรีของท่านทั้ง ๓ นั้นยังมีชีวิตอยู่ จักได้ที่พึ่งอันดี มิฉะนั้นก็จะได้สามี

หมอเลขทำวิธีคูณหารวันเดือนปีเวลาแล้วตอบว่า ยังมีชีวิตอยู่ทั้ง ๓ นาง แต่ตกไปไกลมาก จักได้บุรุษเป็นที่พึ่ง อีก ๓ เดือนจักกลับมาถึง

ฝ่ายเศรษฐี ๓ ตระกูลนั้น ได้ฟังคำหมอทั้งสามนั้นแล้วค่อยคลายความโศก ได้พร้อมกันไปที่ท่าน้ำ ไม่พบเครื่องนุ่งห่มเครื่องประดับอะไรสักอย่าง ได้พากันกลับไปทำบุญอุทิศผลไปให้ ขอให้บุญช่วยด้วยคำว่า บุตรีของข้าพเจ้าจงมีชีวิตได้กลับมาด้วยอำนาจกุศลนี้เถิด

ก็ธรรมเนียมกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี ที่เป็นมหาศาลในครั้งนั้น ย่อมอาบน้ำทั้งเครื่องแต่งตัว

เพราะฉะนั้น นางทั้ง ๓ นั้นจึงพลัดเข้าถ้ำไปทั้งเครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับกาย พากันเดินไปตามถ้ำคืนยังรุ่งจึงไปถึงปากถ้ำ เมื่อออกจากปากถ้ำได้แล้ว แลเห็นจันทคาธประทับนั่งอยู่ ได้ถามกันขึ้นว่า นี่ใคร มานั่งอยู่คนเดียวในที่นี้ แล้วพร้อมกันเข้าไปใกล้ ไต่ถามว่า หลาน ทำไมจึงมานั่งอยู่คนเดียว หลานมาจากไหน จันทคาธทรงดำริว่า ทำไมหญิงเหล่านี้​จึงเรียกเราเป็นหลาน เราจักใคร่ครวญเหตุผลดูให้รู้แน่ เมื่อทรงดำริแล้ว ทำเป็นไม่ได้ยินคำถาม ทรงนั่งนิ่งหลับตาอยู่ มิได้ทรงแลดูใคร

นางทั้ง ๓ นั้นจึงพูดกันว่า บุรุษนี้เป็นคนตาบอด เมื่อเข้าใจดังนั้นแล้วหมดความกลัว พร้อมกันเข้าไปนั่งใกล้ ถามว่า หลานมาจากไหน มาจากเมืองอินทปัตถ์ หลานชื่อไร ชื่อจันทคาธ หลานอยู่ที่นี่คนเดียวหรือหลายคน คนเดียวจ้ะ

นางทั้ง ๓ นั้นต้องการพูดเรื่องใด ๆ ก็พูดเรื่องนั้น ๆ ตามประสงค์ ด้วยเข้าใจว่าพระโพธิสัตว์เป็นคนเสียจักษุ ลงท้ายถามว่า ผลไม้เผือกมันที่หลานเก็บไว้รับประทานมีบ้างไหม ถ้ามีจงให้พวกข้าพเจ้าบ้างเพราะกำลังหิว

จันทคาธทรงทำเป็นไม่เห็น เหยียดพระหัตถ์ออกคลำทั่วไป พอถูกตัวนางคนหนึ่งจับไว้มั่นแล้วตรัสถามว่า นี่ใคร เมื่อนางนั้นตอบว่าฉันเอง ชื่อทิพโสดา เมื่อทรงคลำไปถูกคนที่ ๒ และคนที่ ๓ ตรัสถามว่านี่ใคร ประทุมบุปผา สุคันธเกศี แล้วตรัสว่า โอ! ขออย่าถือโทษฉันเลย เมื่อนางทั้ง ๓ นั้นตอบว่าก็พวกข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าหลานตาบอดจะถือโทษอย่างไร แล้วพระองค์จึงประทานหม้อน้ำผึ้งกับผลไม้ต่างชนิดแก่นางทั้ง ๓ นั้น ๆ รับประทานแล้วพากันนั่งล้อมจันทคาธอยู่

ลำดับนั้น จันทคาธได้ทรงเหยียดพระหัตถ์คลำไปถูกนางเหล่านั้น เมื่อนางเหล่านั้นถามว่า หลานจักต้องการอะไร ตอบว่า ต้องการพวงดอกไม้และผลไม้ ไม่มีหรอกหลานที่นี่ ในที่ไหนมีเล่า แล้วทรงคลำไปตามแต่จะได้ เมื่อถูกถามว่าจะต้องการดอกไม้ทำอะไร ตอบว่าจักดมให้ชื่นใจ เมื่อนางเหล่านั้นนิ่ง จึงตรัสถามว่า นางทั้ง ๓ อายุเท่าไร อายุ ๑๖ ปี มีสามีหรือยัง ยังไม่มี ทำไมจึงเรียกข้าพเจ้าว่า หลานเล่า ดูประหนึ่งพวกเธอเป็นคนแก่ นางหนึ่งตอบว่า ครั้งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งไปหามารดาของข้าพเจ้า มารดาเรียกเขาว่าหลาน จึงได้เรียกตามอย่างมารดา

จันทคาธทรงสดับเหตุแล้วตรัสว่า ต่อนี้ไปอย่าเรียกข้าพเจ้าว่าหลานอีกนะ เพราะไม่สมควรแก่พวกเธอ ด้วยว่าพวกเธอยังอายุน้อย อีกอย่างหนึ่งข้าพเจ้าได้ถูกต้องกายของพวกเธอ แสดงความเป็นหนุ่มแล้ว นางทั้งสามนั้นได้เล่นหัวอยู่กับจันทคาธตลอดวัน

พอพระอาทิตย์ลับแสงไปแล้ว พระโพธิสัตว์จึงลืมพระเนตรดูนางทั้ง ๓ ทรงพอพระหฤทัยแต่ทรงนิ่งไว้ ได้ทรงจัดการก่อไฟต่อไปในคืนนั้น มีปีศาจป่าตนหนึ่งซึ่งมีกายใหญ่ ​ท้องใหญ่ รูปร่างน่ากลัว ได้นำโคไปยังกองไฟ พระโพธิสัตว์ทรงเห็นแล้วประทับนั่งนิ่งประหนึ่งไม่เห็น นางเหล่านั้นพอเห็นก็มีความกลัวมาก พร้อมกันวิ่งเข้าไปกอดพระโพธิสัตว์ร้องว่า พ่อ ปีศาจนำโคมาอยู่ใกล้กองไฟ ตรัสถามว่าตัวของปีศาจประมาณเท่าไร ประมาณเท่าภูเขา พวกเธอกลัวมันหรือ ตรัสแล้วทรงนิ่ง ปีศาจนั้นกินโคหมดแล้วกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า มหาบุรุษ เราขอภรรยาท่านสักคนเถอะ ต้องการใคร ให้คนใดก็จักรับคนนั้น จึงตรัสกับนางทิพโสดาด้วยความประสงค์จะทดลองว่า เธอจงปล่อยเราไปหาปีศาจเถิด แล้วให้นางปล่อยมือ นางนั้นร้องไห้พลางทางอ้อนวอนว่า พ่อ จงเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะยอมเป็นทาสีของพ่อ ตรัสกะนางประทุมบุปผาต่อไปว่า จงปล่อยเราไปสู่สำนักปีศาจ นางได้ขอชีวิตไว้อีก จึงตรัสบอกนางสุคันธเกศีต่อไป นางได้ขอชีวิตไว้เหมือนกัน

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรยักษ์แล้วตรัสว่า ดูก่อนยักษ์ เราจะไม่ให้ภรรยาของเราแก่ท่าน ยักษ์ได้สดับแล้วถลึงตาดูพระโพธิสัตว์ ตาของยักษ์นั้นประมาณเท่าผลมะพร้าว สีแดงดุจถ่านเพลิง ยักษ์เอื้อมมือไปจะจับนางทั้ง ๓ พระโพธิสัตว์ชักพระขรรค์ออกแกว่ง ยักษ์ตกใจกลัวได้หนีไปด้วยอานุภาพพระขรรค์นั้น

ส่วนพระโพธิสัตว์ได้อาศัยอยู่ที่เงื้อมเขากับนางทั้ง ๓ นั้นต่อไป แต่มิได้ทำอะไรเพราะกลัวเสียกำลัง ฝ่ายนางทั้ง ๓ นั้นปรึกษากันว่า คน ๆ นี้เป็นบุรุษหรือสตรี หรือกะเทย พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า ทำไมพวกเธอจึงพูดอย่างนี้ ตอบว่า พ่อ เพราะพวกข้าพเจ้าได้นั่งนอนกับท่าน แต่ท่านไม่ชื่นชมกับพวกข้าพเจ้าด้วยความรักตามประเพณีโลก ดูก่อนน้อง ข้าพเจ้าเป็นคนซื่อตรง ไม่ร่วมอภิรมย์กับหญิงที่ไม่ใช่ภรรยาของข้าพเจ้า เพราะเธอทั้ง ๓ ไม่ใช่ภรรยาของข้าพเจ้า ทำไมจึงไม่ใช่ภรรยาของท่านเล่า ก็พวกข้าพเจ้าอยู่ในอำนาจของท่านแล้วนี่ อ้อ เพราะมารดาบิดาของเธอทั้ง ๓ ยังไม่ได้ยกให้ ถ้าอย่างนั้น ขอท่านจงไปสู่สำนักมารดาบิดาของพวกข้าพเจ้าเถิด ท่านเหล่านั้นอยู่ที่ไหน อยู่ในเมืองสังกัสสนคร ทำไมพวกเธอจึงพากันมาที่นี่ นางทั้ง ๓ ได้เล่าเรื่องที่มาให้ฟัง จึงตรัสถามต่อไปว่า สังกัสสนครอยู่ทิศไหน พวกข้าพเจ้าไม่ทราบ ถ้าอย่างนั้นเราจักพาพวกเธอไปอย่างไรได้ นางทั้ง ๓ ได้อ้อนวอนต่อไปว่า ข้าแต่มหาบุรุษ พวกข้าพเจ้าเกิดในตระกูลใหญ่ไม่ใช่ตระกูลต่ำช้า เมื่อไปถึงสำนักมารดาบิดาแล้วจักยอมตนเป็นบาทบริจาริกาของท่านผู้ได้ให้ชีวิตแก่พวกข้าพเจ้า ๆ จักตั้งใจสนองคุณของท่าน ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงนิ่งเสีย

​รุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์ทรงพานางทั้ง ๓ ออกเดินไปตามป่า เดือน ๑ บรรลุถึงปาตลีบุตรนคร เสด็จเข้าอาศัยอยู่ที่ศาลานอกบ้านแห่งพวกกรมช้าง คราวนั้นช้างพระที่นั่งของพระเจ้าปาตลีบุตรหายไปจากโรงช้าง พวกกรมช้างเที่ยวแสวงหาได้เดือนหนึ่งแล้วแต่ยังไม่พบ พวกกรมช้างได้เข้าไปถาม พระโพธิสัตว์ผู้พึ่งประทับนั่งอยู่ในศาลากับนางทั้ง ๓ ว่า พ่อพวกเธอมาจากป่าได้พบช้างพระที่นั่งของพระเจ้าอยู่หัวของเราบ้างไหม พระโพธิสัตว์ทรงอมดวงมณีที่นาคถวาย แล้วทอดพระเนตรดู ทรงแลเห็นช้างพระที่นั่งอันเทพารักษ์ซ่อนไว้ จึงตรัสบอกว่าดูก่อนท่านทั้งหลาย ช้างพระที่นั่งนั้นเทพารักษ์ซ่อนไว้ที่เขาโน้น จงบวงสรวงเทพารักษ์ ๆ จักปล่อยให้กลับมาในคืนวันนี้ ฝ่ายนายบ้านกับพวกกรมช้างได้พร้อมกันบวงสรวงเทพารักษ์ตามคำพระโพธิสัตว์ พวกเทพารักษ์เลื่อมใสในพระโพธิสัตว์ ว่าตนได้รับพลีกรรมเพราะพระโพธิสัตว์บอกพวกกรมช้าง จึงได้ปล่อยช้างพระที่นั่ง ช้างนั้นได้กลับมาเข้าอยู่ในโรงช้างในคืนวันนั้นเอง

รุ่งขึ้นพวกกรมช้างมีความดีใจมากที่ได้เห็นช้างอยู่ในโรง พากันยินดีต่อพระโพธิสัตว์ว่าเป็นคนพูดจริง ได้พร้อมกันจัดเครื่องบรรณาการต่าง ๆ ไปถวายพระโพธิสัตว์

เผอิญในเรือนอีกหลังหนึ่งในหมู่บ้านนั้นของหายไป เจ้าของไปถามพระโพธิสัตว์ๆ ได้ตรัสบอกตามที่ทรงทราบ จำเดิมแต่นั้นไป กิตติศัพท์ของพระโพธิสัตว์ได้ปรากฏไปทั่วพระนคร

จบวนวสนกัณฑ์

—————————-

ในคราวนั้น มีเศรษฐี ๕ ตระกูล อยู่ในบ้านใหญ่ตำบลหนึ่ง ช้าง ม้า โค กระบือ ทาส ทาสี บุตร นัดดา เป็นต้น ของเศรษฐีทั้ง ๕ นั้น ได้ถึงความพินาศด้วยโรคภัย เศรษฐีทั้ง ๕ ตระกูลนั้นได้ยินเกียรติคุณของพระโพธิสัตว์ จึงปรึกษากันว่า ได้ยินว่ามีหนุ่มน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านพวกกรมช้าง ถ้าใครถามสิ่งใดย่อมบอกได้ดุจตาเห็น พวกเราควรไปถามดู ครั้นปรึกษากันแล้วได้พากันไปสู่สำนักพระโพธิสัตว์ ปราศรัย​พอสมควรแล้วถามว่า ดูก่อนพ่อหนุ่มน้อย เมื่อก่อนพวกเราเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติทาสทาสีบัดนี้เกิดวิบัติไปด้วยเหตุอะไร

พระโพธิสัตว์บอกเหตุนั้นแก่เศรษฐีทั้ง ๕ ด้วยอานุภาพทิพยเนตรมณีรัตน์ว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย ในที่ใกล้เรือนของพวกท่าน มีขุมทรัพย์ใหญ่ขุมหนึ่ง พวกภูตที่รักษาเกิดอดอยาก ได้พากันเบียดเบียนคนและสัตว์ กินมังสะและโลหิต จงหาหมอภูตมาไล่พวกภูตไปแล้วขุดเอาขุมทรัพย์เถิด พวกเศรษฐีได้อ้อนวอนพระโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนพ่อ คนอื่น ๆ นอกจากพ่อแล้วไม่สามารถไล่ภูตผีปีศาจได้ ขอพ่อจงเอ็นดู ช่วยไล่ให้ด้วย ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงเอาเนื้อสดไปวางไว้ที่ขุมทรัพย์แล้วมาบอกเรา เมื่อเศรษฐีทั้ง ๕ นั้นกระทำอย่างนั้นแล้ว กลับไปบอกพระโพธิสัตว์ ๆ ทรงถือพระขรรค์แก้วเสด็จไปสู่ที่ขุมทรัพย์ ทอดพระเนตรเห็นพวกภูตกำลังกินเนื้อนั้นอยู่ จึงทรงชักพระขรรค์ออกแกว่ง พวกภูตได้พากันหนีไปด้วยอานุภาพพระขรรค์แก้วนั้น

พระโพธิสัตว์จึงให้คนทั้งหลายขุดเอาทรัพย์ในขุมนั้นขึ้นมา พวกเศรษฐีได้ยกทอง ๕ แสนถวายพระโพธิสัตว์ แต่นั้นไป คนสัตว์ทั้งหลายมิได้เจ็บไข้ล้มตายเหมือนในกาลก่อน ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงได้ทองแล้วถวายทานแก่สมณพราหมณ์และยาจกวณิพพก

สมัยนั้นมีพราหมณ์คนหนึ่งกับภรรยาอยู่ในบ้านพราหมณ์ตำบลหนึ่ง พราหมณ์นั้นได้ทองของอมนุษย์ผู้กินของโสโครกมาไว้ในเรือนตน เวลาใดพราหมณ์ ๒ สามีภรรยานั้นจับต้องทองนั้น เวลานั้นทำให้อยากกินของโสโครก ได้พากันกินเนื้อมนุษย์ที่ตาย เนื้อโค อุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น เหมือนกับอมนุษย์จำพวกที่กินของโสโครกต่าง ๆ เรื่องนั้นได้ปรากฏแก่มหาชน ก็และพราหมณ์นั้นมีธิดาอยู่ ๗ คน หมู่ญาติและชาวบ้านทราบการที่พราหมณ์นั้นได้ทองของอมนุษย์ผู้กินของโสโครก จึงปรึกษากันว่า พราหมณ์สองสามีภรรยานั้น นับแต่ได้ทองแล้วเป็นคนวิปริต คือกลายเป็นอมนุษย์กินของโสมมเสียแล้ว พวกเราควรจักไปหาจันทคาธ แล้วได้พร้อมกันพาพราหมณ์กับภรรยาไปสู่สำนักพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นคนมาประชุมกันมาก จึงตรัสถามว่า ท่านทั้งหลายพากันมาที่นี่เพราะเหตุไร คนทั้งหลายแจ้งให้ทราบแล้วอ้อนวอนว่า ขอท่านจงเอ็นดูเปลื้องพราหมณ์ทั้งสองนี้ออกจากความเป็นอมนุษย์กินของโสโครกเถิด

​พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า ทองนั้นใช้หมดแล้วหรือยัง หมดไปแล้วแสนหนึ่ง แต่ยังเหลืออยู่อีกมาก ถ้าอย่างนั้นจงเอาทองที่เหลือไปฝังที่เดิม และเอาเนื้อมนุษย์ไปวางไว้ที่ปากขุม คนทั้งหลายกับพราหมณ์และนางพราหมณีนั้นได้ลากลับไปทำตามคำสั่งของพระโพธิสัตว์ ๆ ทรงพระขรรค์แก้วเสด็จไปทอดพระเนตรเห็นพวกปีศาจกำลังกินเนื้อมนุษย์อยู่จึงทรงชักพระขรรค์ออกฟันปีศาจเหล่านั้นตายหมด

จำเดิมแต่นั้นไป พราหมณ์ทั้งสองสามีภรรยานั้นก็กลับเป็นคนปรกติเหมือนกาลก่อน มีความดีใจมาก ได้สนองคุณของพระโพธิสัตว์ด้วยทอง ๓ โกฏิ กับยกธิดาทั้ง ๗ ให้เป็นภรรยา แต่พระโพธิสัตว์ไม่ทรงรับ ตรัสว่า ข้าพเจ้าจะไปสู่เมืองกัสสนคร พ่อจักไปทำไม จักนำนางทั้ง ๓ นี้ไปสู่สำนักมารดาบิดาของนาง

โอ! พ่อ การไปทางบกลำบากด้วยสัตว์ร้าย โจร ยักษ์ แม่น้ำ ภูเขา พ่อไปทางน้ำเถิด ข้าพเจ้าจะจัดเรือให้ เมื่อก่อนเรามาทางน้ำ จึงลำบากมากด้วยการพลัดพรากจากภรรยา เราไม่ยินดีไปทางน้ำ จักไปทางบกอันประกอบด้วยเสี้ยนหนามหลักตอ พ่อ ถ้าพ่อไปคนเดียวก็จักไม่ลำบากเท่าไร แต่นี่ พ่อ นางทั้งสามนี้ไปด้วยจักลำบากมาก พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ขอท่านเอ็นดูบอกทิศที่สังกัสสนครนั้นตั้งอยู่แก่ข้าพเจ้าเถิด พราหมณ์บอกว่า ตั้งอยู่ในปัจฉิมทิศ ก็พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในบ้านนั้นได้สองเดือน จึงทรงอำลาชาวบ้านเสด็จออกเดินทาง ล่วงหนทางไปได้ ๓๓ โยชน์ บรรลุถึงภูเขาแห่งหนึ่ง ตรัสบอกนางทั้งสามว่า น้องจงจับตัวพี่ให้มั่น พี่จักพาเหาะข้ามเขานี้ไป ในนางทั้งสามนั้น นางหนึ่งกอดขาซ้าย นางหนึ่งกอดขาขวา นางหนึ่งนั้นกอดบั้นพระองค์ พระโพธิสัตว์ทรงผูกกายนางทั้งสามนั้นด้วยภูษา แล้วทรงฉลองพระบาทแก้วมณี เหาะข้ามเขานั้นไปลงที่เชิงเขา ประทับแรมสำราญอยู่โคนไม้ต้นหนึ่ง รุ่งขึ้นเสด็จต่อไป ๖ วัน บรรลุบ้านโจรตำบลหนึ่ง

เพลานั้น พวกโจรห้าร้อยพากันไปคอยดักดูคนซึ่งไปมาอยู่ที่ท่าน้ำได้เห็นคนทั้ง ๔ เดินมา จึงร้องบอกว่า หยุดก่อน ๆ พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่าจักทำไม จักยึดภรรยาของแก ๆ ให้ภรรยาของแกแก่พวกเรา ไม่ใช่ภรรยาของฉัน เป็นธิดาของเศรษฐีต่างหาก นางทั้ง ๓ ตัวสั่นขวัญหาย กล่าวกับพระโพธิสัตว์ว่า ทำไมจึงบอกเขาอย่างนี้ น้องทั้งสามหมดที่พึ่งแล้ว ได้มากับพี่ก็เพราะเข้าใจว่าจะเป็นที่พึ่งได้ ตรัสว่า โค กระบือ ช้างม้า ที่เขาผูกไว้ย่อมได้กินอาหารไม่อิ่มฉันใด ถึงพวกเธอเมื่ออยู่กับชายคนเดียวก็ย่อมมีอาการฉันนั้น จงละเราหาใหม่เถิด ​ครั้นตรัสล้อเลียนฉะนี้แล้ว ให้นางทั้งสามจับพระองค์ให้มั่น พาเหาะข้ามแม่น้ำอันกว้างร้อยเส้นไปต่อหน้าพวกโจร พวกโจรเห็นเช่นนั้นก็ตกใจกลัว และขมเชยพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์พานางทั้งสามเสด็จต่อไปได้ ๗ วัน บรรลุถึงที่อยู่ของยักษ์แก่สองสามีภรรยา ในเวลานั้นยักษ์สามีไปแสวงหาอาหารได้ ๗ วันแล้ว ยักษ์ภรรยาซึ่งอยู่เฝ้าบ้านได้เห็นคนทั้ง ๔ เดินมา จึงคิดว่าคนเหล่านี้เห็นเราแล้วจักกลัวหนีไป จึงได้นิรมิตเป็นนางมนุษย์ ๗ นาง นางหนึ่งทำการปัดกวาด นางหนึ่งทำเครื่องหอม นางหนึ่งทำขนม นางหนึ่งทำกับข้าว นางหนึ่งผ่าฟืน นางหนึ่งตักน้ำ นางหนึ่งตำข้าว

ครั้นนั้นพระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นเรือนนั้น เข้าพระทัยว่าเป็นเรือนมนุษย์ จึงเสด็จแวะ ทรงเห็นนาง ๗ คน ซึ่งกำลังทำงานอยู่ ก็ทรงทราบอาการว่าเป็นยักษ์ นางยักษ์ซึ่งเป็นตัวการคิดว่า เราจักลวงคนทั้ง ๔ นี้ไว้จนกว่าสามีเรากลับมา แล้วถามว่า พ่อจักพาภรรษาไปที่ไหน เมื่อตรัสตอบว่า จักไปเมืองสังกัสส์ จึงกล่าวว่า จงพากันไปอาบน้ำที่สระแล้วกลับมารับประทานอาหารก่อน พระโพธิสัตว์ทรงนิ่ง นางยักษ์นั้นได้อ้อนวอนปลอบโยนแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า พ่อ พวกเจ้าพากันเดินทางไกลลำบากมาก จงพากันพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน อย่าพึ่งไป แล้วจัดอาหารให้รับประทาน นางทั้งสามเมื่อเห็นอาหารก็ใคร่จะรับประทาน เมื่อได้ฟังคำอ้อนวอนก็ใคร่จะพัก จึงกล่าวกับพระโพธิสัตว์ว่า พี่ น้องเหนื่อยมาก ไม่อาจไปวันนี้ได้ พรุ่งนี้จึงค่อยไปเถิด ตรัสว่า หญิงพวกนี้ไม่ให่มนุษย์ พวกเราจักเป็นอาหารของเขา เพราะฉะนั้นอย่าได้พักที่นี่เลย นางทั้งสามยังขืนอ้อนวอนว่า พวกน้องเหนื่อยนัก จักไปไม่ได้ พักก่อนเถิด เมื่อต่างโต้ตอบกันอยู่อย่างนี้ ยักษ์สามีก็นำเอาซากมนุษย์มา นางทั้งสามกลัวกันใหญ่ วิ่งเข้าไปกอดพระโพธิสัตว์และขอให้ช่วย แต่พระโพธิสัตว์ทำเป็นไม่ได้ยิน ถามยักษ์ผู้เป็นสามีว่า ลุงจักเอาซากมนุษย์มาทำอะไร ยักษ์กล่าวตอบว่า เนื้อสดเหล่านี้แลเป็นอาหารของเรา แล้วย้อนถามว่า พวกท่านมาจากไหน พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า ฉันมาไกล เดินทางจะไปเมืองสังกัสสนคร ถ้าลุงรู้จักทางก็จงกรุณาบอกให้ด้วย พรุ่งนี้ฉันจะลาไป นางทั้งสามเมื่อได้ยินดังนั้นต่างก็หวาดกลัว ช่วยกันอ้อนวอนพระโพธิสัตว์ว่า พี่อย่าพักอยู่ในที่นี้เลย เราไปกันต่อไป พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พวกเจ้าเหน็ดเหนื่อยจงพักอยู่ก่อนเถิด เมื่อได้รับคำตอบว่า พวกดิฉันหายเหนื่อยแล้ว จึงกล่าวว่า เราจักพักอยู่กับลุงสักคืนก่อน ยักษ์ผู้ภรรยา ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า หลานจงมาพักกับเราเถิด วันนี้เย็นแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไป พระโพธิสัตว์จะไปสระจึงลุกขึ้น นางทั้งสามก็ลุกขึ้นบ้างและเดินขึ้นหน้าไป เมื่อไปถึง​สระจึงให้นางทั้งสามยืนอยู่ริมสระ ตัวเองลงไปในสระ ยักษ์ตามมาข้างหลัง เมื่อไม่เห็นพระโพธิสัตว์ จึงแสดงอาการจะจับนางเหล่านั้น ๆ จึงร้องหวีดหวาดขึ้นว่าจงรีบขึ้นเถิด ยักษ์มาจะจับพวกดิฉันแล้ว ยักษ์ที่ไหนมา ลุงแกเป็นมนุษย์ นางทั้งสามต่างก็ร้องไห้อ้อนวอนว่า พี่จงให้ชีวิตแก่พวกดิฉันเถิด ยักษ์มาใกล้แล้ว พระโพธิสัตว์จึงขึ้นจากสระ ให้นางทั้งสามเกาะตัวแล้วก็เริ่มจะเหาะ ยักษ์ผัวเมียวิ่งมาจะจับ ทันทีนั้นพระโพธิสัตว์ขึ้นสู่อากาศ ยักษ์ผู้สามีนิรมิตกายให้สูง ๗ ชั่วลำตาล และให้แขนยาว เหยียดมือออกไปจับชนทั้ง ๔ นั้น พระโพธิสัตว์จึงเอาดาบกายสิทธิ์ฟันมือขาด มือที่ขาดก็กลายเป็นมือใหญ่เข้าจับ พระโพธิสัตว์จึงตัดศีรษะ ยักษ์ก็แปลงร่างใหญ่เข้าขวางหน้าไว้ พระโพธิสัตว์ก็ตัดศีรษะเสียอีก ยักษ์ก็ล้มแน่วอยู่ที่พื้นดิน ส่วนนางยักษินีแปลงกายใหญ่ มีนัยน์ตาเท่าผลมะพร้าว วิ่งมาปรารภจะจับชนทั้ง ๔ กิน พระโพธิสัตว์ฆ่านางยักษินีนั้นตาย แล้วเหาะไปลงที่ยอดเขาแห่งหนึ่งเย็นสบาย ถึงเวลาเย็น พระโพธิสัตว์บริโภคอาหารต่าง ๆ กับนางทั้งสามแล้วเที่ยวเดินเรื่อยไปพบอ่างน้ำทิพย์อ่างหนึ่ง จึงพิจารณาดูเห็นอักษรที่ขอบปาก อ่านได้ความว่า ผู้ที่เกิดในตระกูลกษัตริย์ พราหมณ์ อำมาตย์และเศรษฐี ปรารถนาให้รูปสวย ก็จงอาบน้ำในอ่างทิพย์นี้ เมื่อทราบดังนั้นจึงมารำพึงว่า ถ้าเราจักอาบ เทวดาก็จักสาปเราให้เป็นคนทุคคตะอีก เพราะเราเกิดในตระกูลทุคคตะ เพราะฉะนั้นเราจักไม่อาบเอง จักให้นางทั้งสามอาบ เพราะเขาเกิดในตระกูลสูง แน่ใจแล้วจึงเรียกนางทั้งสามมาให้อาบน้ำ พอนางทั้งสามลงไปลูบศีรษะ รูปพรรณก็สวยทันที พระโพธิสัตว์จึงคิดว่า ถ้าเราจักอยู่ในที่นี้ รุ่งขึ้นนางเหล่านี้เห็นความงามของตนก็จะรบเร้าให้เราอาบบ้าง เพราะฉะนั้นเราจักไปเสียในบัดนี้ คิดแล้วก็พานางทั้งสามลงจากยอดเขา เข้าไปพักอยู่ในรมณียสถานแห่งหนึ่ง วันรุ่งขึ้นจากนั้นเดินทางไปอีก ๓ วันถึงบ้านคนป่า จึงเข้าไปถามว่า มาณพนี่ชื่อว่าบ้านอะไร เจ้าคนป่ามองดูเฉยแล้ววิ่งเข้าไปริมบ้าน ตะโกนเรียกพวกว่า พวกเรามีเนื้อ ๔ ตัวมาที่นี่ จงช่วยกันจับเร็ว พวกมันต่างก็ถือไม้ถือพลองเป็นต้น วิ่งออกจากบ้านมาเป็นแถว พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น จึงให้นางทั้งสามเกาะตนไว้แล้วเหาะขึ้นบนยอดไม้ พวกคนป่าช่วยกันโค่นต้นไม้ลง พระโพธิสัตว์ก็เหาะไปยังต้นอื่นต่อไป พวกเหล่านั้นก็ตามไปโค่นเสียอีก โดยทำนองนี้ ต้นไม้ถูกโค่นตั้ง ๗ แสนต้น พระโพธิสัตว์พานางทั้งสามเหาะเรื่อยไปประมาณหนทาง ๕ โยชน์ ก็ลงมาบริโภคอาหารอยู่หลับนอน รุ่งเช้าเดินทางต่อไปอีก ไปได้ ๗ วันก็ไปถึงภูเขาลูกหนึ่งสูง ๕ โยชน์ จึงไปหยุดพักอยู่ที่เชิงเขา พระโพธิสัตว์เอาแก้วทิพยเนตร​ส่องดูหนทางก็รู้กำหนดว่า เขาลูกนี้สูงมาก ลมบนจัด ถ้าเหาะไปก็จักถึงความพินาศ หญิงเหล่านี้ก็จักตกมาตาย ถ้าเดินเลาะไปตามเชิงเขาก็ถึงเดือน จึงถามนางทั้งสามว่า เราจักไปอย่างไรกัน ถ้าเหาะไป ลมบนก็จะพัดเราตกตาย ถ้าเดินเสาะไปก็นานนัก พวกท่านจะคิดเป็นอย่างไร สุดแต่ท่านจะคิดเห็นดี พวกดิฉันขอเดินหลัง พระโพธิสัตว์จึงตกลงใจไปทางอ้อม เหาะเหนือยอดไม้ไปตลอดทาง ๗ วันพ้นทางกันดาร ลุถึงหนทางใหญ่ จากนั้นไปก็ไปถึงภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งสูง ๗ โยชน์ จึงคิดว่าริมเขาทั้งสองข้างก็มียักษ์ดุร้ายอยู่มาก ทางยอดเขาลมบนก็จัดนัก ถ้าดำน้ำลงไป คาวุต

๑ ถึงประตูถ้ำ แล้วเดินเรื่อยไปตามถ้ำ ๓ วันออกจากถ้ำ แล้วเดินไปตามทางอีก ๓ วัน จึงจักถึงสังกัสสนคร คิดฉะนี้แล้วจึงปรึกษานางทั้งสามว่า คราวนี้เราจะไปทางไหนดี สองข้างเขาก็มียักษ์ดุร้าย ตรงขึ้นไปลมร้ายก็จัดนัก เราจักดำน้ำลงไป ทางนี้ ๓ วัน พวกท่านจักไปกับเราหรือไม่ นางทั้ง ๓ จึงว่า ถ้าท่านทิ้งดิฉันไว้ในที่นี้ก็ตายเท่านั้น ขอท่านจงช่วยหาอุบายนำพวกดิฉันไปด้วย พระโพธิสัตว์ได้ยินคำอ้อนวอนดังนั้น ก็ตัดไม้มาต่อหีบเสร็จแล้วใส่นางทั้ง ๓ ไว้ในหีบ แล้วเอาชันมายาน้ำเข้าไม่ได้ จึงยกหีบลงไปตั้งในห้วงน้ำ เอามือยุดหีบ ดำน้ำใช้เท้าถีบไป ๓ วันถึงประตูถ้ำ ทำลายหีบออกแล้วพานางทั้ง ๓ เดินทางไป ๓ วัน ออกจากประตูถ้ำ เดินไปตามแนวป่า พบนายพรานคนหนึ่งจึงถามว่าแนวป่านี้เป็นเขตของสังกัสสนครมิใช่หรือ นายพรานจึงตอบว่าใช่ ก็ท่านมาจากไหน จากเมืองปาตลีบุตร ทางที่จะไปสังกัสสนครยังไกลอีกเท่าไร หนทางจากนี้ไปถึง ๓ วันก็ถึง พระโพธิสัตว์พานางทั้ง ๓ ไปตามทางที่นายพรานบอกมา ไปจนถึงบ้านเศรษฐี พักอยู่นอกบ้านแล้วส่งนางทั้ง ๓ เข้าไปในบ้านและเข้าหาเศรษฐีผู้เป็นบิดาของตน ๆ นั่งลงกราบไหว้ บิดามารดาต่างจำธิดาของตนไม่ได้ จึงถามว่าแม่เป็นใครมาจากไหน ดิฉันเป็นธิดาของท่าน พอนึกได้ก็เข้ากอดร้องไห้ร่ำไรไต่ถามว่า นี่แม่ไปทางไหนมา ให้ค้นหาทั่ว ๆ ก็ไม่พบ ไปหาหมอดูเขาก็บอกว่าลูกยังไม่ตาย มีที่พึ่งพาอาศัย แต่นานกลับ ไปทางไหนมาลูก ได้สุขทุกข์อย่างไรบ้าง เล่าให้พ่อแม่ฟัง นางทั้ง ๓ ต่างก็เล่าให้บิดามารดาของตนฟังจนตลอดเรื่อง บิดามารดาจึงถามว่า ก็จันทคาธเดี๋ยวนี้เขาอยู่ไหน พักอยู่นอกบ้าน ทำไมไม่พาเข้ามานี่ เขาไม่มา ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปเชิญเขาเข้ามาเถิด นางทั้ง ๓ ต่างก็พากันออกไปเชิญ พระโพธิสัตว์ถามว่า จักไปเรือนของใครก่อน เมื่อได้รับ​คำตอบว่า ของดิฉันก่อน ๆ ฉะนี้ พระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจปฏิบัติตามได้ จึงนิ่งเฉยอยู่ ลำดับนั้นเศรษฐีผู้เป็นบิดามารดาต่างก็มาอ้อนวอนเอง เมื่อถามว่าจักไปเรือนของใครก่อน ต่างก็ชิงกันตอบว่า ไปเรือนของฉันก่อน ๆ พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตวก็ไม่อาจจะไปได้ เหล่าเศรษฐีจึงถามว่า ก็นางทั้ง ๓ นี้มิได้เป็นภรรยาของท่านหรือ มิได้เป็น จึงเหลียวถามธิดาของตน ๆ ว่านี่ มิได้เป็นสามีของเจ้าดอกหรือ เป็นแต่มิได้สมรสกัน เพราะเหตุไร เพราะบิดามารดายังไม่อนุญาต เขาจึงไม่รื่นรมย์ด้วย เศรษฐีทั้ง ๓ ต่างก็พากันสรรเสริญและชมเชยว่า แปลก ยังไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้ บุรุษผู้นี้ซื่อตรงจริงและพร้อมกันยกธิดาของตนให้ และเชิญให้ไปบ้านพระโพธิสัตว์ไม่อาจไปบ้านของใครได้จึงกล่าวว่า ถ้าท่านยกธิดาให้ก็จงปลูกเรือนให้ในที่นี้เถิด ถ้าผู้ใดเสร็จก่อน ผู้นั้นก็ได้ทำการมงคลก่อน เศรษฐีทั้ง ๓ ต่างก็ทำปราสาทคนละหลัง นางทิพโสดาเสร็จก่อนและได้ทำการมงคลก่อน รองมานางประทุมบุปผา แล้วนางสุคนธเกศี พระโพธิสัตว์อยู่แห่งละ ๓ วัน ๆ ถึงวันที่ ๒๒ ก็ระลึกถึงนางเทวธิสังกา จึงบอกลานางทั้ง ๓ ว่า เราพลัดจากนางเทวธิสังกามานาน เมื่อระลึกถึงใคร่จักลาเจ้าไปตามนาง ธิดาเศรษฐีได้ยินดังนั้น ประหนึ่งว่าหฤทัยจะแตกทำลาย ต่างร่ำไรรำพันว่า อย่างไรจึงจักทิ้งพวกดิฉันเสียเล่า พรากจากท่านแล้วเห็นจะตาย พระโพธิสัตว์จึงไปหาเศรษฐีผู้พ่อตาแม่ยาย แจ้งเรื่องราวแล้วจึงอำลาท่าน พวกเศรษฐีห้ามปรามว่า พวกเราตั้งแต่งพ่อไว้ในฐานบุตร หวังเป็นที่พึ่งพาอาศัย อย่างไรจักกลับเสียเล่า อย่าลืมพวกเราเสีย ถ้าพบนางแล้วจงมานี่อีก ไม่ลืม พบนางแล้วจะเลยไปหาพี่ชายแล้วจักกลับมาอีก เมื่อพระโพธิสัตว์ฝากภรรยาทั้ง ๓ นางไว้ในสำนักบิดามารดาแล้ว ใส่เกือกแก้วถือพระขรรค์กายสิทธิ์เหาะเรื่อยไปตามอากาศ แล้วลงริมฝั่งแม่น้ำอจิรวดี นั่งอยู่ ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง ลงอาบน้ำ แล้วขึ้นมานั่งบริโภคโภชนาหารอยู่ที่เดิม

จบตโยเสฏฐีธิตาเปสนกัณฑ์

ตทา ปน ก็ในกาลนั้นมีพระเทวีองค์หนึ่ง พระนามว่าพระนางพรหมจารี อันพระสามีนามว่าสุทัสสนจักรราชกุมาร ใส่แพลอยน้ำมาตามแม่น้ำอจิรวดีนที พระนางทรงกรรแสงร่ำไร นั่งประณมหัตถ์อธิษฐานว่า ถ้าเรามีความผิดก็ขออย่าได้พบปะที่พึ่งพา ถ้าหาความผิดมิได้ ขอเทพดาผู้มีมหิทธิฤทธิ์จงช่วยคุ้มครองรักษา พระโพธิสัตว์ตรวจดูด้วยทิพยจักษุ ก็กำหนดรู้ว่า สุทัสสนจักรราชกุมารได้ทรงพบเห็นนางเทวธิสังกา มีพระหทัยปฏิพัทธ์ จึงลอยแพพระนางพรหมจารีเสีย สุทัสสนจักรราชกุมารหาปัญญามิได้ จึงดำริต่อไปว่า เราจะพาพระนางไปแห่งใดแห่งหนึ่งก็จักมีฤทธานุภาพมาก จึงเรียกพระนางพรหมจารีว่า พระนางผู้เจริญ เพราะเหตุไรจึงต้องมานั่งอยู่ในแพถูกกระแสน้ำพัดลอยมาเล่า พระนางพรหมจารีได้ทรงสดับดังนั้นก็ดีใจ เหลียวหน้ามาดูพระโพธิสัตว์ ปลื้มพระหฤทัยด้วยทรงพระดำริเห็นว่า ผู้นี้แลจักเป็นที่พึ่งของเรา จึงตรัสเล่าเรื่องว่า มหาบุรุษ ดิฉันเป็นธิดาของพระเจ้าธรรมขันตีในอนุราธบุรี มีนามว่าพรหมจารี สุทัสสนจักรราชกุมารตั้งเป็นมเหสีอยู่ ๗ วัน ทรงพบเห็นธิดาของยายคนหนึ่งชื่อเทวธิสังการูปสวยงาม จึงทรงตั้งแทนตำแหน่งดิฉัน ดิฉันไม่ยินยอม จึงกริ้วใส่แพลอยในกลางคืน ดิฉันหาที่พึ่งมิได้ จักต้องตายในมหานที มาได้ท่านเป็นที่พึ่ง ดิฉันยอมเป็นทาสีรับใช้ท่าน พระโพธิสัตว์ได้ยินคำอ้อนวอนก็สงสาร ใส่เกือกแก้วเดินไปบนหลังน้า ฉุดแพมาจอดไว้ริมฝั่ง แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระนางผู้เจริญ ถ้าปรารถนาจะเสด็จไปที่ใด ก็จงเสด็จไปตามพระอัธยาศัย พระนางพรหมจารีจึงทรงดำริว่า หนุ่มน้อยนี้สงสารเรา พยายามไปฉุดแพมาไว้ริมฝั่ง แต่เหตุไฉนจึงละเว้นเราเสีย เราหรือก็ยังสาวสะสวยสมบูรณ์ด้วยชาติตระกูล เหตุไรจึงไม่รักเรา หรือเห็นเป็นหญิงกาลกรรณี เราจักลองดู ทรงดำริฉะนี้แล้วจึงร้องไห้ กอดเท้าพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จึงทูลถามว่า ทรงกรรแสงทำไม เพราะเสียใจ เสียใจอะไร เพราะฉันทำบุญไว้ไม่ดี ไม่ดีอย่างไร ด้วยโทษแห่งบาปกรรมบุรุษจึงไม่รักใคร่ หญิงอื่น ๆ เขาได้อยู่ร่วมกับสามีจนวันตาย บางคนแก่แต่ก็ได้อยู่กับบุรุษหนุ่ม ส่วนฉันยังสาวก็สาว ชาติตระกูลก็สูง แต่บุรุษไม่รักใคร่ เป็นคนกาลกรรณี ไม่มีบุญวาสนาอาภัพ อยู่กับสามี ๗ วันก็ต้องเลิกร้างกัน มาพบท่านดีอกดีใจเท่ากับเห็นบิดามารดา ส่วนท่านไม่มีความเยื่อใยต่อเลย คิดอยู่ฉะนี้จึงเสียใจร้องไห้ อย่าทุกข์โศกเลยจักไม่ทอดทิ้ง ใคร่จะเสด็จไปแห่งใด ก็จักตามเสด็จไปด้วย ชั้นแรกท่านอุตส่าห์นำเรามาถึงฝั่ง ดุจวางไว้ที่ตัก ภายหลังมาทอดทิ้งเราเสียก็เท่ากับจับคอเหวี่ยงไป ก็พระราชสามียังมีความอาลัยอยู่ แต่กริ้วก็เลยทรงขับไล่ เมื่อหายกริ้วแล้ว ก็จะทรงระลึกถึง แล้วจักทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งมเหสี​อย่างเดิม ถ้าว่าพระองค์ทรงทราบการติดต่อกัน ก็จักทรงดูหมิ่นข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นพระนางใคร่จะไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จักพาไปเฝ้าทูลขอโทษให้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพาฉันไป จงฟันคอฉันเสียก่อน ตายเสียดีกว่า ถ้าเช่นนั้นจักพาไปยังสำนักพระชนกชนนี ฉันอายพวกเสนาอำมาตย์และปุโรหิต เพราะฉะนั้นฉันจึงไปไม่ได้ ไม่ไปจักไปไหน ไปที่อื่นฉันจักตามไปด้วย ขอเป็นทาสีรับใช้เรื่อยไป ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลเข็ญใจ ส่วนพระนางอุบัติในตระกูลกษัตริย์ เป็นขัตติยกัญญา จะมาอยู่ร่วมด้วยข้าพเจ้าไม่สมควร ท่านก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ นับว่าเป็นชาติเสมอกัน แต่ก่อนบุรุษมนุษย์กระทำการสังวาสกับนางเทพธิดา ยักษ์กับงู นางยักษ์กับมนุษย์ มนุษย์กับนางสกุณี ชาติตระกูลไม่เป็นประมาณ ใจแลเป็นสำคัญ

พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า เราจะพาไปเฝ้าพระสามีก็ไม่ยอมไป จะไปเฝ้าพระชนกชนนีก็ไม่ยอมไป อย่ากระนั้นเลยเราจักคิดอุบาย จึงกล่าวว่า ข้าแต่พระนาง ข้าพเจ้าจากบ้านเมืองมา ผ่านป่าผ่านดง ผ่านบ้านเมืองต่างๆ มามากต่อมาก ต่อไปนี้จักเดินทางไปอีกไกลลิบ จักไปด้วยกันอย่างไรได้ ถึงไกลลิบฉันก็จักไปด้วย จักเป็นตามหลังท่านไป ถ้าท่านเป็นนาค ก็จักไปนาคพิภพด้วย เป็นครุฑก็จักตามไปสู่สุบรรณพิภพด้วย เป็นกุมภัณฑ์ หรือเป็นยักษ์ก็จักตามไปยักขพิภพด้วย จักขอรับใช้ท่านจนวันตาย สนทนากันอยู่พระอาทิตย์ก็ลับดวงลงไป จึงหลับนอนกัน ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง ถึงเวลาเที่ยงคืน พระนางพรหมจารีตื่นขึ้นคลำพระโพธิสัตว์ดูก็ทรงทราบว่าพระโพธิสัตว์ตื่น จึงพร่ำว่า ฉันเป็นคนชั่ว เป็นคนกาลกรรณี หาบุญวาสนามิได้ ท่านจึงไม่มีความเยื่อใยด้วย พระโพธิสัตว์มีความกลัวทุพพลภาพจึงไม่ยินดีด้วย เพราะฉะนั้นจึงทูลว่า พระราชสามีของพระนางกริ้ว แต่ก็หาได้ทรงตัดอาลัยไม่ ทั้งพระชนกชนนีของพระนางก็ได้ทรงฝากฝังไว้ ถึงพระองค์ทรงขับไล่หรือให้ลงอาชญาพระนางก็ยังเป็นมเหสีของพระองค์ ถ้าพระนางจุติจากนี้แล้วไปถือปฏิสนธิต่อไป นั่นจักชื่อว่ามิได้เป็นมเหสีของพระสุทัสสนจักรราชกุมาร อนึ่งพระชนกชนนีทรงทราบเรื่อง ถ้าทรงอนุญาตบาปก็จักไม่มีแก่ข้าพเจ้าพระราชสามีของพระนางกริ้วชั่วพักหนึ่ง ทรงขับไล่มิได้ทูลพระชนกชนนีให้ทรงทราบ ชื่อว่ามิได้ทรงตัดอาลัย ข้าพเจ้าพาพระนางไปเฝ้าพระชนกชนนีแล้วจักทราบได้

สุตฺวา สา จินฺเตสิ พระนางได้ทรงสดับดังนั้นจึงทรงพระดำริว่า ท่านผู้นี้จักเป็นบุรุษอาชาไนย เป็นพุทธางกูร แม้เราก็อธิษฐานไว้เบื้องต้น ด้วยบุญญานุภาพของเรา จึงได้พบได้พึ่งพาอาศัย ทรงดำริฉะนี้แล้ว จึงประคองอัญชลีหมอบลงที่เท้า ขอขมาโทษ​แล้วตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า ท่านอายุเท่าไร ข้าพเจ้าพลัดพรากจากบิดามารดาแต่ยังเยาว์ พระนางเลยบรรทมหลับ จึงพระโพธิสัตว์เอาแก้วทิพยเนตรส่องดูก็รู้ว่า มารดาเลี้ยงของพระนางในปัญจาลนครมีอยู่คนหนึ่งชื่อสุริยโยธา จึงเข้าประคองพระนางเหาะไปแล้วลงวางไว้ ณ ประเทศแห่งหนึ่งชายบ้านป่า ให้นอนหลับไปจนอรุณขึ้นสว่าง พระนางตื่นขึ้นเหลียวดูทิศทั้งหลายนึกแปลกใจ วานนี้เราอยู่ริมแม่น้ำ นี่ไม่ใช่ที่ๆ อยู่วานนี้ ท่านผู้นี้เป็นมนุษย์อัศจรรย์ ไม่เช่นนั้นก็เป็นเทวดามีมหิทธิฤทธิ์ หรือจะเป็นคนธรรพ์ จึงพาเรามาไว้ในที่นี้

ตทา กาลนั้นมีบุรุษแก่คนหนึ่งถือไม้เท้าเดินมา พระนางเห็นจึงเรียกมาถามว่า ลุง นี่เขตเมืองอะไร เขตเมืองปัญจาลนคร ลุงรู้เรื่องนี้ไหม คือเดิมนางคนหนึ่งนามว่าสุริยโยธา ผู้เป็นภรรยาของทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกสิลา เมื่อสามีตายแล้วพระเจ้ากุรุรัฐทรงพาตัวไปไว้เพื่อไปบอกศิลปะแก่พระราชโอรสธิดา ภายหลังพระเจ้ากุรุรัฐส่งนางวิสุทธโฆษาและนางสุริยโยธาไปยังอนุราธบุรี กาลนั้นพระเจ้าปัญจาลราชทรงยกจตุรงคเสนาไปกระทำสงคราม พอเสด็จถึงอนุราธบุรี พระเจ้าธรรมขันตีทรงส่งนางวิสุทธโฆษาและนางสุริยโยธาออกมาชนช้าง นางทั้งสองก็ปลงพระชนม์พระเจ้าปัญจาละเสีย แล้วเวนปัญจาลรัชย์ให้แก่บุตร นางวิสุทธโฆษาและนางทั้ง ๒ ได้มาอยู่ในปัญจาลนครด้วย เรื่องนี้ลุงเห็นจะทราบ ทราบจ๊ะ เดี๋ยวนี้นางสุริยโยธายังอยู่ในเมืองนี้ แต่ก่อนเคยอยู่ในวัง เดี๋ยวนี้ไปสอนศิลปะพวกเจ้านายอยู่ในสวน พระนางพรหมจารีอำลาพระโพธิสัตว์ว่า ท่านจงพักอยู่ที่นี่ก่อน ฉันจักเข้าไปหามารดา แล้วก็ไปสู่เรือนนางสุริยโยธา กราบไหว้แล้วนั่งอยู่ส่วนข้างหนึ่ง นางสุริยโยธาเห็นก็จำได้จึงเข้ากอดไต่ถามว่า ไฉนแม่มาคนเดียว พระนางพรหมจารีก็เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เวลานี้จันทคาธอยู่ที่ไหน พักอยู่นอกบ้าน เขาเป็นคนดีมาก จงพาเขามาที่นี่เถิด พระนางพรหมจารีก็ไปแจ้งแก่พระโพธิสัตว์ว่า มารดาให้ฉันมาเชิญท่านเข้าไป พระโพธิสัตว์ก็เข้าไปกราบไหว้แล้วนั่งอยู่ นางสุริยโยธาเป็นคนเรียนจบไตรเพท พอเห็นพระโพธิสัตว์ก็รู้ว่าท่านผู้นี้เป็นบุรุษอาชาไนย จึงร้องเรียกทาสีให้มากระทำวัตตปฏิบัติต่างๆ เช่นจัดอาหารและจัดน้ำอาบ น้ำล้างเท้า จัดเครื่องลูบไล้ ผ้านุ่งผ้าห่ม ฟูกหมอนมุ้งม่าน ส่วนนางสุริยโยธาก็เลี้ยงอาหารด้วยมือตนเอง แล้วนำไปยังที่พัก จากนั้นก็พาพระนางพรหมจารีเข้าไปในห้องนอนปรึกษากันว่า ถ้าตรงไปเฝ้าพระชนกชนนีก็อายพวกเสนาอำมาตย์และปุโรหิต ทำอย่างไรจึงไม่อับอายเขาได้ นางสุริยาได้ยินดังนั้นจึงว่าอย่าทุกข์โศกเลยลูก แม่จักช่วยเจ้าจงละความอายเสีย ไปเฝ้าพระชนกชนนีใน​อนุราธบุรี แล้วจึงคิดตอบแทนสุทัสสนจักรราชกุมาร พระนางพรหมจารีตรัสถามว่า คิดอย่างไรเล่าแม่จึงจักตอบแทนได้ เธอจงเอาทองพันลิ่มมาให้เราแล้วเราจะบอกยุทธศิลปะและศัสตราศิลปะให้ ภายหลังเธอจักคิดสำเร็จ ดิฉันพลัดบ้านเมืองมา จักเอาทองที่ไหนมาให้ เธอจงไปหาจันทคาธแล้วอ้อนวอนดูเถิด พระนางพรหมจารีจึงไปหาพระโพธิสัตว์กราบไหว้แล้วก็แจ้งเหตุว่า ฉันจักเรียนศิลปะด้วยแม่สุริยโยธา แต่ท่านต้องเอาทองพันลิ่ม ทองของฉันก็ไม่มี เพราะฉะนั้นขอท่านจงช่วยสงเคราะห์ทีเถิด พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้วเอาแก้วส่องดู ก็แลเห็นขุมทองแห่งหนึ่งมีประมาณแสนลิ่มจึงลุกขึ้นไปขุดหยิบเอาทองนั้นมาให้แก่นางพรหมจารี ๆ รับเอาทองนั้นไปให้นางสุริยโยธาเรียนศิลปวิทยาอยู่เดือนหนึ่ง เสร็จแล้วก็ลานางสุริยโยธามาสู่อนุราธบุรี

ตทา ปน ก็ในกาลนั้น มีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า กาวินทะ เสด็จดำรงราชย์อยู่ในพระนครเวสาลี ท้าวเธอมีเดชอำนาจมาก ทรงรอบรู้ศิลปะทั้งปวง มีพลพาหนะมากมาย พระมเหสีของพระองค์สิ้นพระชนม์ ต่อมาทรงทราบว่าพระนางพรหมจารีมีพระรูปสิริงดงามก็มีพระหฤทัยปฏิพัทธ์ ให้จัดช้าง ๑๐๐ ม้า ๑๐๐ ทาสี ๑๐๐ ทาสา ๑๐๐ โคผู้ ๑๐๐ แก้วคู่ควรเมือง ๗ กอง ทองแสนลิ่ม มอบให้ราชทูตนำมาพร้อมราชสาส์น ส่งไปถวายพระเจ้าธรรมขันตีเพื่อทูลขอพระราชธิดา พวกราชทูตไปถึงเมืองอนุราธบุรีแล้วก็เข้าไปแจ้งแก่เสนาอำมาตย์ ได้โอกาสก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าธรรมขันตีถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง พวกราชทูตจึงถวายเครื่องบรรณาการแด่พระเจ้าธรรมขันตีแล้วกราบทูลว่า พระราชาของข้าพระพุทธเจ้าพระนามว่า กาวินทะ ตรัสถามความไม่มีทุกข์สุขของพระองค์ พวกท่านมาจากเมืองไหน จากเมืองเวสาลี มาทำไม พวกราชทูตจึงถวายพระราชสาส์น พระเจ้าธรรมขันตีทรงทราบความในพระราชสาส์นแล้ว จึงตรัสว่าธิดาของเรามีอยู่คนเดียว เราได้ยกให้สุทัสสนจักรราชกุมารไปแล้ว พวกราชทูตทูลลาพระเจ้าธรรมขันตีแล้วเดินทางกลับ ขณะเมื่อพวกราชทูตออกจากราชสกุล พอพระพรหมจารีพาพระโพธิสัตว์ไปถึงปราสาทพระชนนีนั่งลงถวายบังคมพอดี พวกฝ่ายในมีพระราชชนนีเป็นต้นพอเห็นธิดาก็สะดุ้ง รีบไปกราบทูลพระเจ้าธรรมขันตีว่าพระนางพรหมจารีราชธิดาของพระองค์พามาณพคนหนึ่งมา ได้ทรงสดับดังนั้นก็เข้าพระทัยว่าเป็นสุทัสสนจักรราชกุมาร จึงตรัสสั่งราชบริจาริกาว่า พวกเจ้าจงจัดรัตนบัลลังก์ไว้ในท้องพระโรง แล้วเชิญเสด็จพระราชบุตรของเรามาประทับ พวกราชบริจาริกาจัดเสร็จแล้วก็ทูลพระนางพรหมจารีว่า ข้าแต่แม่เจ้าพระชนกเชิญเสด็จไป​ประทับที่รัตนบัลลังก์ในห้องพระโรงพร้อมด้วยพระสวามี พระนางพรหมจารีจึงเชิญพระโพธิสัตว์ไปตามรับสั่ง พระโพธิสัตว์จึงว่า ข้าพเจ้ามาเพียงพาท่านมาส่งยังพระชนกชนนี ขอลากลับไป พระนางพรหมจารีได้สดับดังนั้นก็หวั่นพระหฤทัยจึงตรัสว่า ยังไปไม่ได้ ต้องไปเฝ้าพระชนกชนนีเสียก่อนแล้วจึงกลับไป ตรัสแล้วพาพระโพธิสัตว์ไปเฝ้าพระชนก พระชนกทอดพระเนตรเห็นก็ตรัสถามว่า เจ้าทั้ง ๒ มาทำไมกัน แล้วตรัสถามพระธิดาว่า เจ้าพาใครมาด้วย พระนางพรหมจารีเล่าเรื่องแต่ต้นถวายจนตลอดเรื่อง

สุตฺวา ราชา พระเจ้าธรรมยันตีทรงสดับเรื่องตลอด แล้วก็ทรงเลื่อมใสในพระโพธิสัตว์ จึงตรัสถามพระธิดาว่า นี่เป็นสามีของเจ้าหรือ มิได้ ด้วยมิได้แลดูหม่อมฉันด้วยราคะเลย จะจับต้องมือหม่อมฉันก็ดี ยิ้มหัวด้วยก็ดี มิได้เกี่ยวด้วยราคะเลย มาวันนี้ต้องกายหม่อมฉันจึงพาเหาะมานี่ได้ พระราชาและพระมเหสีได้ทรงสดับดังนั้น ก็โปรดปรานเสด็จลุกขึ้นจากอาสนะเข้ากอดจันทคาธทรงปราศรัยไต่ถามว่า ชาติภูมิของพ่ออยู่ที่ไหน อยู่ในกาลจัมปากนครพระเจ้าข้า อย่างไรจึงได้เที่ยวไปเล่า เที่ยวหาภรรยาข้าพระพุทธเจ้า พลัดกันเพราะเหตุไร เพราะเรือแตกในมหาสมุทร อย่าทุกข์ไปเลยพ่อ เราจะอภิเษกกับลูกพรหมจารียกราชสมบัติให้ พระนางพรหมจารีทูลพระชนกว่า ขอเดชะ จันทคาธซึ่งพระองค์ตรัสเชิญให้นั่งบนบัลลังก์เธอไม่นั่ง แม้หม่อมฉันเชิญก็ไม่นั่ง พระราชาจึงตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า เหตุไรจึงไม่นั่งเล่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนทุคคตะ ไม่สมควรจะนั่งบนบัลลังก์แก้ว เราจะอภิเษกกับลูกพรหมจารี แล้วจักยกราชสมบัติให้ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนทุคคตะ หาสมควรเป็นเช่นนั้นไม่ แต่ข้าพระพุทธเจ้าขอคิดดูก่อน เพราะคิดไว้แต่เดิมว่า เมื่อส่งพระนางเสร็จแล้วจะทูลลาไปตามภรรยา ฉะนั้นขอได้ทรงอนุญาตให้ไปตาม อย่าว่าเช่นนั้น ถึงเจ้าจะเป็นลูกทาสีมาตั้ง ๗ ชั่ว เราก็จักยกให้ ถ้าหนีนายเงินมาที่นี่ เราก็จักตามรักษา ถ้านายเงินยกพลโยธามาติดตาม เราจักออกต้านทานไม่ยอมให้ เรามีแหล่งธนูอันหนึ่งชื่อว่าปฐวีกัปปเภท ยิงคราวเดียวข้าศึกตายตั้งแสนโกฏิ และมีถูกศรอยู่ ๑ ลูก ชื่อปฐวีวิชัย ยิงครั้งเดียวตายตั้ง ๑๒ แสน นี่เราก็จักยกให้แก่เจ้า จักมอบราชสมบัติในเมืองนี้ให้พร้อมกับด้วยลูกพรหมจารี แล้วตรัสให้เชิญพระโพธิสัตว์ขึ้นสู่รัตนบัลลังก์ ให้นำเครื่องอลังการต่างๆ มา เชิญให้อาบน้ำด้วยน้ำหอม แล้วให้บริโภคโภชนาหารซึ่งมีรสเลิศต่างๆ แล้วตรัสถามสุขทุกข์กะพระธิดา พระนางพรหมจารีก็ทูลเล่าสุขทุกข์ของตนถวายพระชนก

ตทา ปน ก็ในกาลนั้น พวกราชทูตของพระเจ้ากาวินทะได้รับข่าวว่าพระนางพรหมจารีกลับมาบ้านเมืองแล้ว จึงเข้าเฝ้ากราบทูลว่า ข่าวว่าพระราชธิดาของพระองค์กลับมาแล้ว พระเจ้าธรรมขันตีจึงทรงชี้แจงว่า เดิมเราได้ยกให้สุทัสสนจักรราชกุมาร แต่เธอตั้งไว้ในตำแหน่งมเหสีเพียง ๗ วันแล้วตั้งคนอื่นแทน ลูกพรหมจารีไม่อนุญาต เธอก็กริ้วตรัสสั่งให้ลอยแพเสีย แล้วมาพบจันทคาธเข้าที่ริมฝั่ง ที่สุดจันทคาธพามาที่นี่ พวกราชทูตจึงว่า สุทัสสนจักรดูหมิ่นเรา ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเห็นแก่พระเจ้ากาวินทราช จันทคาธเขาได้ร่วมสุขทุกข์ด้วยกันมา ฉันจึงไม่รู้ใจของลูก ส่วนสุทัสสนจักรทำให้เราอับอายขายหน้า ขอเดขะ ข้าพระพุทธเจ้าใคร่จะได้เฝ้าพระธิดาของพระองค์ พระเจ้าธรรมขันตีจึงรับสั่งหาพระราชธิดามาแสดงพระองค์แก่พวกราชทูต พวกราชทูตต่างก็งงงวย เมื่อจะกล่าวเยินยอพระนาง ได้กล่าวว่า

นรชนมีรูปสวยเพราะเดชแห่งศีล มีผิวพรรณงามเพราะเลื่อมใสในการสั่งสมบุญกุศล ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจักนำเรื่องไปทูลพระเจ้ากาวินทะอย่างไร ขอพระองค์จงเห็นแก่พวกข้าพระพุทธเจ้าบ้าง ให้หรือไม่เราจะยังไม่พูดก่อน จะขอทำแก่เจ้าสุทัสสนจักรก่อน พวกราชทูตก็ถวายบังคมลากลับไปเมืองเวสาลี

ถามว่า พระนางพรหมจารีสมบูรณ์ด้วยรูปลักษณะปานนางเทพอัปสร แต่ก็เหตุไรพระราชสามีจึงเอาลอยแพเสีย

ตอบว่า เพราะอกุศลกรรมที่พระนางได้กระทำไว้ กับจะได้นำอดีตชาติของพระนางมาเล่าต่อไปนี้ ในกาลล่วงแล้วพระนางเกิดในตระกูลเศรษฐี ชาวเมืองพาราณสี เศรษฐีวิตะเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งแมวคาบเขาเอาปลาย่างไปกิน นางเห็นก็โกรธ จึงจับแมวใส่ลงในแพต้นกล้วย ลอยในบ่อกลางบ้าน ด่าว่าแมวอัปรีย์จงจับปลาในที่นี้กินเถิด แมวอดอาหารทั้งวัน ถึงเวลาเย็นนางจึงจับแมวไปเรือน ขยำข้าวให้กิน ด้วยอกุศลกรรมนี้แล พระนางจึงถูกพระราชสามีเอาลอยแพเสีย เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ไม่พึงดูหมิ่นบาปกรรมว่ามีประมาณนิดหน่อย

อถ ราชา พระเจ้าธรรมขันตีรับสั่งหาอำมาตย์มา ตรัสสั่งให้สร้างปราสาททององค์หนึ่งเสร็จแล้ว ทรงอภิเษกจันทคาธกุมารกับด้วยพระนางพรหมจารี ทรงมอบราชสมบัติแล้วทรงยกปฐวีกัปปเภทธนู ปฐวีวิชัยพระขรรค์ และช้างอาวุธวิชัย และนางบำเรออีก ๓ หมื่น ​พระชนนีพระนางพรหมจารีนามว่า สุนทราเทวีก็ได้ยกนางบำเรอ ๓ หมื่นและเครื่องอลังการต่างๆ ให้แก่พระโพธิสัตว์อีกด้วย รวมทั้งฝ่ายพระชนกและฝ่ายพระชนนีเป็นนางบำเรอ ๒ หมื่นนางเป็นบริวารของพระนางพรหมจารี

พรหมจาริยาอภิสิญจนกัณฑ์ จบ

—————————-

เต ปน ทูตา ส่วนพวกราชทูตก็กลับไปเมืองเวสาลี เข้าเฝ้าพระเจ้ากาวินทะกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระนางพรหมจารีบัดนี้ถูกพระราชสามีลอยแพ มีมาณพคนหนึ่งอุปถัมภ์พามาส่งพระชนก พวกข้าพระพุทธเจ้าจึงทูลว่า ขอได้ทรงเห็นแก่พระราชาของพวกข้าพระพุทธเจ้าเถิด พระเจ้าธรรมขันตีตรัสว่า เจ้าสุทัสสนจักรทรงเริ่มไว้ก่อน เรากลัวเท่านี้ พวกข้าพระพุทธเจ้าก็พากันกลับ พระเจ้ากาวินทะจึงตรัสถามว่า พระนางพรหมจารีสมบูรณ์ด้วยรูปลักษณะหรือไม่ ขอเดชะ ทั้งชมพูทวีปหาสตรีเสมอเหมือนมิได้ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนนางอสุรกัญญาของท้าวสักกะ พระเจ้ากาวินทะได้ทรงสดับดังนั้นก็มีพระประสงค์จะใคร่ได้ จึงให้ทูลกลับไปอีกครั้งหนึ่ง พวกราชทูตก็นำเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าธรรมขันตี กราบทูลวิงวอนด้วยอุบายต่างๆ เพราะไม่รู้ว่าพระจันทคาธได้รับการกภิเษกกับพระนางพรหมจารี พวกราชทูตจึงไปเฝ้าพระนางพรหมจารีทูลวิงวอนต่าง ๆ นานา พระนางพรหมจารีได้ทรงสดับดังนั้นจึงทรงดำริว่า พระเจ้ากาวินทะถืออำนาจเกินไป ควรจะทรงทราบว่า บุรุษผู้มีอุปการะแก่สตรีในคราวกันดารจะเป็นสามีแท้จริง จึงตรัสพ้อต่อหน้าพวกราชทูตว่า พระราชาในสากล เว้นแต่จันทคาธกุมาร ถึงจะมีฤทธิ์มียศเท่าเทียมพระอินทร์ เราก็ไม่ปรารถนาให้ต้องเท้าของเรา พวกท่านจงนำความไปกราบทูลพระราชาของท่านเถิด พวกราชทูตจึงไปทูลฟ้องพระเจ้าธรรมขันตีว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระราชธิดาของพระองค์ตรัสวาจาหยาบคายมาก รูปลักษณะและพระโอษฐ์ไม่สมกัน แล้วทูลลากลับไปเมืองเวสาลี เข้าเฝ้าพระเจ้ากาวินทะกราบทูลข้อความนั้นให้ทรงทราบตลอด พระเจ้ากาวินทะทรงพระพิโรธโปรดให้เกณฑ์พลจตุรงคเสนา ผูกช้าง ๕๐ แสนเชือก ม้า ๔๐ แสนม้า รถเทียมม้า ๔๐ แสนรถ พลเดินเท้ามีอาวุธพร้อมสรรพ ๔๐ แสน แล้วตรัสสั่งเสนาบดีว่า จงมีพระราชสาส์นไปถึงกษัตริย์ ๓๐ หมื่นพระนคร ​ให้เตรียมพลโยธามาโดยเร็ว ไปช่วยกันรบพระเจ้าธรรมขันตี พวกอำมาตย์ต่างก็แยกกันไปคนละนครทูลพระราชานั้นๆ ให้ทรงทราบ พระราชา ๓๐ หมื่นทราบความแล้วเกณฑ์พลของตนยกมาเมืองเวสาลี เข้าเฝ้าพระเจ้ากาวินทราช ถึงวันฤกษ์ดียามดี พระเจ้ากาวินทราชพร้อมด้วยกษัตริย์ ๓๐ หมื่น อำมาตย์ ๘๐ โกฏิ พลโยธา ๑๗ อักโขภินี เสด็จออกจากพระนคร พักพลอยู่ ณ ประเทศอันเป็นชัยภูมิแห่งหนึ่ง พวกกษัตริย์แหละเหล่าอำมาตย์ต่างเข้าอาสาพระเจ้ากาวินทราชว่า ข้าพระพุทธเจ้าจักไปอนุราธบุรีจับพระเจ้าธรรมขันตีมาถวาย พระเจ้าธรรมขันตีเป็นกษัตริย์ทรงธรรมไม่หยาบคายอะไร อย่ากระทำอันตรายเธอเลย แต่ธิดาของเธอปากร้ายนัก ช่วยกันจับมาให้ตักน้ำล้างเท้าพวกกษัตริย์เสีย พวกกษัตริย์และก็เหล่าอำมาตย์ต่างก็เห็นชอบกัน เมื่อโยธาเตรียมตนเสร็จแล้ว พระเจ้ากาวินทะก็ยาตราทัพออกจากที่นั้น เดินทัพมาถึงอนุราธบุรีล้อมรอบพระนคร กษัตริย์องค์หนึ่งก็กระทำป้อมไม้ขึ้นป้อมหนึ่ง ให้พักพลอยู่รอบ

า หิ ก็ในกาลนั้น พระนางพรหมจารีได้จัดหอรบป้อมคูประตูเมืองให้มั่นคง ระดมพลนายขมังธนูไว้ ๖ แสนคน ให้ฝึกซ้อมเพลงอาวุธต่างๆ และกระบวนช้างกระบวนม้ากระบวนรถ และเกณฑ์เหล่าขัตติยกัญญาประมาณแสนคนให้ศึกษาวิธียุทธและศิลปะทั้งปวง พอทรงทราบว่าจะมีศึกมาติดพระนคร ก็ให้พลโยธาขึ้นรักษาป้อมปราการเป็นต้น เพราะฉะนั้นทหารของพระเจ้ากาวินทะจึงเข้าใกล้ไม่ได้ พระเจ้ากาวินทะจึงส่งราชทูตมาทูลพระเจ้าธรรมขันตีว่า หม่อมฉันนามว่ากาวินทะ พร้อมด้วยกษัตริย์ ๓๐ หมื่น อำมาตย์ ๘๐ โกฏิ ยกพลโยธามาหวังจะรับพระราชธิดาของพระองค์ ถ้าไม่ทรงส่งพระราชธิดาไป ก็เป็นความโง่เขลาของท่าน พระเจ้าธรรมขันตีทรงทราบพระราชสาส์นแล้วจึงตรัสแก่ราชทูตว่า พระราชาของท่านมีพระประสงค์จะทำอะไรก็จงกระทำตามความประสงค์เถิด พระเจ้ากาวินทะทรงทราบเรื่องจึงทรงหยิบเชือกมาใส่มนต์แล้วขว้างไป เชือกก็เกิดเป็นพระยานาคขึ้น จึงทรงบัญชาว่า เจ้าจงไปมัดนางพรหมจารีมานี่ พระยานาคก็เข้าไปถึงริมเท้าพระนางพรหมจารี ขณะนั้นพระโพธิสัตว์รู้ความเป็นมาแห่งพระยานาคด้วยมณีทิพยเนตร จึงแจ้งเรื่องแก่พระนางพรหมจารีๆ เห็นพระยานาคจึงร่ายมนต์ขว้างเสื้อไป เสื้อเกิดเป็นพระยาครุฑเข้าจิกพระยานาค พระยานาคก็กลายเป็นคนถือไม้เท้านิ่งเฉยอยู่ พระนางก็ร่ายมนต์ประหารคนถือไม้เท้าด้วยสายฟ้า พระยานาคก็กลับเป็นเชือกอย่างเดิม พระเจ้ากาวินทะจึงทำเป็นถ่านเพลิงก้อนใหญ่ ลุกโชนไปในอากาศให้ตกลงภายในเมือง พระนางเห็นดังนั้น จึงทรง​ร่ายเวทมนต์นิรมิตเป็นท่อน้ำไปดับไฟ พระเจ้ากาวินทะจึงนิรมิตเป็นธารน้ำไปเกิดเป็นฝน พระนางก็ร่ายมนต์เกิดเป็นพายุหอบเอาฝนไปทิ้งในมหาสมุทร พระเจ้ากาวินทะจึงทรงร่ายมนต์เกิดเป็นมหาเมฆมืดตื้อไปหมด พระนางทรงร่ายมนต์กำจัดมืด สว่างทั่วไปทุกทิศ พระเจ้ากาวินทะจึงให้เก็บใบมะขามมาเสกเป็นตัวต่อบินเข้าไปในเมือง พระนางก็กำทรายร่ายมนต์เป็นตัวสัตว์กินตัวต่อหมดสิ้น ลำดับนั้นพระนางพรหมจารีให้นำช้างมาแสนเชือก พร้อมด้วยนางกษัตริย์ขึ้นนางช้างคนละเชือก มีพลโยธาออกจากพระนคร ทรงส่งข่าวไปว่า ขอพระเจ้ากาวินทะจงมาชนช้างกัน เจ้ากาวินทะทรงทราบข่าวสาส์นดังนั้น ทรงพระพิโรธ ให้สัญญาแก่พวกพลโยธา พระองค์เองเสด็จขึ้นประทับบนคอช้าง ยาตราทัพออกไปยังสนามยุทธเสนารบกับเสนา พลนิกายรบกับพลนิกาย กษัตริย์รบกับกษัตริย์ รถกับรถ ม้ากับม้า ช้างกับช้าง นายขมังธนูกับนายขมังธนู ต่างก็ชิงชัยกัน พระนางพรหมจารีกับพระเจ้ากาวินทะทรงกระทำยุทธหัตถีกัน กล้าต่อกล้า มีกำลังต่อมีกำลัง ว่องไวต่อว่องไว เข้าผจญกันแต่ก็ยังไม่แพ้ไม่ชนะ กอไผ่และชัฏแห่งป่าในที่ประมาณ ๓ โยชน์แหลกเป็นจุณวิจุณ ทั้ง ๒ ฝ่ายล้มตายเกลื่อนกลาด นอนทับกันรายทั่วไป จึงพระเจ้ากาวินทะเสด็จคืนเข้าป้อมไม้ ส่วนพระนางพรหมจารีพร้อมด้วยบริวารเสด็จเข้าสู่พระนคร ดำริหาอุบายอื่นต่อไป พระเจ้ากาวินทะ ประทับนั่งท่ามกลางหมู่กษัตริย์และเหล่าอำมาตย ตรัสปรึกษากันว่า พวกเราหายตัวดำดินเข้าไปในเมือง จับนางพรหมจารีพร้อมด้วยเหล่านางทั้งแสนนั้นหรือ ต่างทูลรับรองพระมติ เตรียมผูกสอดอาวุธ ประดับประดาเสร็จแล้วมาประชุมพร้อมกัน พอได้ฤกษ์ดีพระเจ้ากาวินทะก็ทรงกระทำบริกรรมร่ายมนต์ กษัตริย์ทั้ง ๓ หมื่นก็หายตัวดำดินเข้าไปในพระนคร ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์ทรงทราบการมาของกษัตริย์เหล่านั้น จึงแจ้งแก่พระเทวีว่า พระเจ้ากาวินทะพาบริวารดำดินเข้ามา พระนางพรหมจารีจึงเอาข่ายเหล็กคลุมไว้ทั่วพระนคร ร่ายมนต์อธิษฐานว่า ขอจงอย่าแยกออกจากกัน พระเจ้ากาวินทะก็ไม่อาจจะทรงทำลายข่ายขึ้นไปได้ จึงเสด็จกลับมาค่ายของพระองค์ ทรงคิดอุบายว่า เราจักบังตัวพร้อมด้วยกษัตริย์เข้าไปทางประตูใหญ่ ตรัสเรียกพวกกษัตริย์มาทรงบัญชาว่า จงผูกสอดอาวุธทั้ง ๕ เข้าไปกับด้วยเรา เมื่อกษัตริย์เหล่านั้นเตรียมพระองค์เสร็จแล้ว พระเจ้ากาวินทะทรงกระทำบริกรรมร่ายมนต์บังตัวและบังตาชาวพระนครเข้าไปทางประตูเมือง เดินเรื่อยไปตามถนนหลวง

ตทา ปน ก็ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เอาแก้วมณีทิพยเนตรส่องดูกษัตริย์เหล่านั้นเห็นแล้ว จึงแจ้งแก่พระนางพรหมจารีว่ากษัตริย์มีพระเจ้ากาวินทะเป็นต้นร่ายมนต์บังตากำบังกายเข้ามาในพระนครเธอเห็นหรือไม่ ไม่เห็นจักรู้จักเห็นได้อย่างไร พระโพธิสัตว์จึงเอาน้ำทาตาพระนางพรหมจารี ด้วยน้ำลายและด้วยอานุภาพแก้วมณี พระนางพรหมจารีเห็นกษัตริย์เหล่านั้น แล้วตรัสว่า ขอท่านจงทาตาของหญิงเหล่านี้บ้าง พระโพธิสัตว์ก็ปฏิบัติตาม ด้วยอานุภาพน้ำลายนางเหล่านั้นก็กำบังกายได้ ต่างพากันถืออาวุธและเชือก ออกจากเมืองตามจับพวกกษัตริย์ ด้วยอานุภาพแก้วมณี ชาวเมืองแลเห็นกษัตริย์เหล่านั้นแต่แลไม่เห็นนางเหล่านั้น เพราะฉะนั้นนางเหล่านั้นพวกกษัตริย์จึงมองไม่เห็น พากันมาจับพวกกษัตริย์เหล่านั้นผูกมัดด้วยเชือกมนต์ และด้วยอย่างยื่นซึ่งแก้ไม่ออก พาตัวไปเฝ้าพระนางพรหมจารี พวกกษัตริย์เหล่านั้นทนทุกขเวทนาไม่ได้ ก็กราบไหว้วิงวอนหญิงเหล่านั้นว่า ขอท่านจงให้ชีวิตแก่พวกเรา ให้สบถแล้วกราบไหว้พระนางพรหมจารี นางกษัตริย์เหล่านั้นปล่อยพวกกษัตริย์ ก็อนุญาตว่าขอท่านจงกลับเมืองตน ๆ เถิด

ตทา ปน ในกาลนั้นกษัตริย์เหล่านั้น เว้นแต่พระเจ้ากาวินทราช ถือเอาเครื่องอลังการผ้าผ่อนและอาวุธของตนมาถวายแก่พระนางพรหมจารี แล้วทูลลากลับไปเมืองพร้อมกับด้วยผู้เป็นใหญ่ในแคว้นของตน เมื่อพวกกษัตริย์เหล่านั้นกลับไปแล้ว พระนางพรหมจารีก็ทรงบังคับให้พระเจ้ากาวินทราชไหว้ และถามว่า เหตุไรท่านจึงมารบกะเรา จักเอาอะไรหรือ เรามารบก็หวังจะได้ท่าน ก็ถ้าได้เราแล้วจักทำอะไร ชั้นเดิมก็ตั้งใจไว้ว่าจะตั้งไว้ในตำแหน่งมเหสี แต่มาบัดนี้คิดว่าจักจับท่านไปล้างเท้าพวกกษัตริย์เหล่านั้น พระนางพรหมจารีจึงรับสั่งหาหญิงกษัตริย์มา ทรงบังคับให้พระเจ้ากาวินทราชล้างเท้านางกษัตริย์ทั้งหลายเสีย แล้วให้ทรงรับปฏิญญาว่า ต้องส่งทอง ๑๖ โกฏิมาให้ทุก ๆ ปี แล้วทรงส่งไป ต่อจากนั้นพระนางพรหมจารีก็ให้เตรียมจตุรงคเสนา แล้วมีพระราชสาส์นไปยังเมืองเล็กเมืองใหญ่ว่า กษัตริย์แสนหนึ่งจงจัดอาวุธพลพาหนะมาช่วยเราไปทำการแก้แค้นพระเจ้าสุทัสสนจักร กษัตริย์ทั้งปวงยกจตุรงคเสนาออกจากพระนครของตน ๆ มารวมกันอยู่ในแคว้นเมืองอนุราธนคร

จบกาวินทราชยุทธกัณฑ์

—————————-

โพธิสตฺโตปิ โข แม้พระโพธิสัตว์เมื่อปัจจามิตรสงบเงียบไปแล้ว ก็ทรงระลึกถึงนางเทวธิสังกา เข้าไปเฝ้าพระเจ้าธรรมขันตีถวายบังคมลา แต่มิได้แจ้งแก่พระนางพรหมจารี ส่องแก้วทิพยเนตรตูเห็นภาวะของนางปริพพาชิกา จึงไส่รองเท้าแก้วเหาะมุ่งมายังอนูปมนคร เวลาเย็นก็มาถึง จึงแวะลงยังประเทศแห่งหนึ่งริมบ้านยายปะขาว หยุดพักเหนื่อยหนึ่งแล้ว ก็เดินเข้าไปหายายปะขาว กล่าวว่า ฉันเป็นคนเดินทางเหน็ดเหนื่อยมาจักขออาศัยพักที่นี่ เราเป็นคนจนอยู่ในกระท่อมน้อยนี้แต่ผู้เดียว ฉันเป็นคนเดินทางอนาถาหาที่พึ่งพามิได้ เมื่อหายเหน็ดเหนื่อยแล้วก็จักไปต่อไป เจ้าจงอยู่ตามอัธยาศัยเถิด เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในกระท่อมของยายปะขาว พยายามทำการงานแทนปฏิบัติอย่างกะมารดาของตน ยายก็เกิดความเอ็นดูรักใคร่ อยู่มาวันหนึ่งพระโพธิสัตว์เดินไปเห็นนางเทวธิสังกาเดินมาหายายปะขาว จึงคิดว่าถ้านางเห็นเราจักเกิดเรื่องอันตรายจักมีแก่พระนางพรหมจารี เราจะยังไม่ให้เห็น คิดแล้วเลี่ยงลงจากทางเดินเข้าป่าไป นางเทวธิสังกามาเห็นยายปะขาว เห็นผ้าและของๆ พระโพธิสัตว์ก็จำได้ว่าสามีของตนมา จึงไต่ถามว่า ยาย ใครมาที่นี่ คนเรือแตกเดินทางมาถึงนี่มาขอพัก ยายรู้จักชาติและโคตรของเขาหรือไม่ ไม่รู้จัก ทำไมไม่ถามเขาดู เราไม่ได้ถาม ถ้าเช่นนั้นขอยายจงถามนามและโคตรของเขาด้วย นางใคร่จะรู้ จึงเล่านิทานเปรียบให้ยายปะขาวฟังว่า เดิมมีคนเข็ญใจผู้หนึ่งเที่ยวไปหลายเมือง พบหญิงแก่คนหนึ่งจึงเข้าไปวิงวอนขออาศัยพักในบ้าน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็อยู่ในบ้านนั้น แต่ยายคนนั้นไม่ได้ถามชื่อและโคตรของเขา ภายหลังชายผู้นั้นก็ลักเอาเงินทองของยายหนีไป ยายคนนั้นก็เสียใจ เที่ยวตามหาทั่วทิศก็ไม่พบ ร้องไห้ร่ำไร เที่ยวได้ไต่ถามชาวบ้าน เมื่อเขาซักถามว่าชื่อไรก็ตอบเขาไม่ได้ ที่สุดก็เสียใจตายโดยโรคผอมเหลือง เพราะฉะนั้นยายจงถามนามและโคตรชายนั้นดู นางเทวธิสังกานำตัวอย่างมาเปรียบฉะนี้แล้ว ยกตัวอย่างอื่นมาเทียบให้ฟังอีกว่า ยาย มีบุรุษคนหนึ่งจมูกพิการ เดินทางมาถึงบ้านแห่งหนึ่ง เข้าไปบริเวณเรือนแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าขออาศัยพักที่ริมรั้วสักคืนหนึ่งพรุ่งนี้เช้าจักไป เจ้าของเรือนจึงถามว่า เป็นคนดีหรือเป็นคนร้าย เป็นคนดี ถ้าเป็นคนดีก็อยู่ได้ บุรุษผู้นั้นก็พักอยู่ที่ริมรั้วหลับไป ขณะนั้นมีโจรผู้หนึ่งมาลักโคของเจ้าของบ้าน บุรุษที่มาพักตื่นขึ้นเห็นโจร จึงคิดว่าควรเราจะจับโจรคนนี้ไว้ เมื่อจะจับจึงเรียกเจ้าของบ้านให้ช่วย เจ้าของบ้านลงจากเรือนถามว่า คนไหนโจร โจรชี้บอกว่าคนโน้น บุรุษที่มาพักก็ว่าคนโน้น เจ้าของบ้านเลยจับไว้ทั้ง ๒ คน รุ่งขึ้นเจ้าของบ้านก็ซักถาม แต่ไม่รู้ว่าคนไหนเป็นโจร ​จึงไปหาผู้ใหญ่บ้านเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ผู้ใหญ่บ้านก็ตัดสินไม่ได้ จึงพากันไปหามหาอำมาตย์ ๆ จึงแยกคนทั้ง ๒ นั้นถามคนละแห่ง ว่าเวลาที่เจ้ามาถึงเรือนพูดคำอะไรขึ้นก่อน โจรก็เลยตอบผิด ส่วนบุรุษผู้มาพักกับเจ้าของบ้านกล่าวสมกัน เพราะฉะนั้นจึงให้ปล่อยบุรุษผู้มาพัก โบยตีโจรด้วยไม้เป็นต้นแล้วสั่งสอน นางเทวธิสังกานำตัวอย่างนี้มาเทียบฉะนี้แล้ว จึงกล่าวว่า ยาย การไม่ได้ถามนามโคตรได้รับทุกข์ใหญ่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นยายจงถามเขาเสีย เมื่อยายปะขาวรับปากว่าแล้วจะถาม ก็เลยกลับอาวาสของตน

อถ โพธิสตฺโต ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์กลับมาจากป่า อาบน้ำรับประทานอาหารเสร็จแล้วนั่งอยู่ ยายปะขาวจึงถามว่า นี่พ่อเจ้าชื่อไร พระโพธิสัตว์ได้ยินดังนั้นก็รู้ว่านางเทวธิสังกาให้ถาม จึงตอบว่า ชื่อจันทคาธ พ่อมาจากไหน จากอินทปัตถ์นคร เหตุไรจึงมาคนเดียว พระโพธิสัตว์จึงเล่าให้ฟังตลอด ต่อมาอีก ๒-๓ วัน นางเทวธิสังกามาหายายปะขาวถามว่า ถามบุรุษนั้นแล้วหรือ ถามแล้ว เขาชื่อไร ชื่อจันทคาธ มาแต่อินทปัตถ์นคร เรือแตกจึงพลัดมาคนเดียว นางได้ฟังดังนั้นก็กลับไปอาวาสลาอาจารย์ แล้วกลับไปหายายปะขาว เล่าเหตุให้ฟังว่าฉันไม่สบายจักลาสึก เมื่อได้รับอนุญาตก็สึก แล้วจัดหาอาหารต่าง ๆ ไว้เพื่อยาย แล้วจัดส่วนหนึ่งไว้เพื่อพระโพธิสัตว์ เสร็จแล้วเข้าไปภายในกระท่อม ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์กลับมาจากป่า เห็นอาหารส่วนของตนก็รู้ว่านางเทวธิสังกาศึกมาจัดไว้ให้บริโภคแล้วขึ้นนอนบนที่นอน

ถึงเวลากลางคืน นางเทวธิสังกานอนกับยายหน่อยหนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นจะออกไปข้างนอก ยายปะขาวจึงยึดนางไว้ห้ามปรามว่าอย่าออกไป สตรีไม่ควรไปหาบุรุษ ห้ามถึง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ จึงบอกว่าถ้าเจ้าอยากได้สามี พระเจ้าสุทัสสนจักรก็ได้บอกไว้ว่าจักทรงตั้งเป็นมเหสี เพราะฉะนั้นรออีก ๒-๓ วันค่อยไป นางได้ยินดังนั้นก็นิ่งเฉยอยู่ ยายปะขาวก็นอนหลับอีก นางจึงลุกขึ้นค่อย ๆ ย่องไปหาพระโพธิสัตว์กราบเท้าแล้วรำพันต่าง ๆ ว่า ดิฉันครองชีวิตไว้เพื่อท่าน พระโพธิสัตว์จึงสวมกอดพรอดวาจาว่า เราเที่ยวได้ตามหาเสียหลายประเทศ มาที่นี่จึงได้รู้เรื่อง คอยอยู่สัก ๗ วัน ส่วนยายปะขาวตื่นขึ้นไม่เห็นนางจึงลุกออกมาตาม ได้ยินเสียงรำพันดังนั้นจึงคิดว่า หนุ่มสาวคู่นี้รักใคร่กันมานาน พระราชาทรงทราบเรื่องนี้เข้าก็จักประหารชีวิตเราเสีย เลยโกรธใหญ่ด่าว่าต่าง ๆ ว่าอีคนว่ายาก ไฉนจึงไปนั่งกอดกันอยู่เล่า ถ้าทรงทราบเข้าทั้งเจ้าและข้าจะต้องตาย นางจึงเล่าให้ฟังว่า ​จันทคาธและดิฉันเป็นสามีภรรยากันเดิมมา เรือแตกจึงได้พลัดพรากกัน มาพบกันเข้าบัดนี้จึงนั่งกอดรำพันกันอยู่ เราไม่รู้เรื่อง เจ้าจงอดโทษให้แก่เรา จงอายุยืนปราศจากโรคภัย

กติปยทิวเส ต่อมา ๒-๓ วัน พระเจ้าสุทัสสนจักรทรงทราบว่านางเทวธิสังกาปริพพาธิกาสึก จึงสั่งอำมาตย์ผู้หนึ่งไปตามนางมา อำมาตย์ผู้นั้นจึงไปแจ้งเรื่องแก่ยายปะยาว ยายปะขาวจึงว่าไม่ใช่ธิดาของฉัน เขาพลัดบ้านเมืองมา เดี๋ยวนี้สามีของเขามาอยู่ที่นี่ ฉันให้ไปไม่ได้ อำมาตย์จึงกลับไปกราบทูล พระราชาเสียพระหฤทัย รับสั่งหายายปะขาวตรัสว่า ยายยกธิดาให้กับสามีของเขาเราไม่ว่า แต่จงหาช้างม้าโคอย่างละ ๑๐๐ และทองพันลิ่มแก้วพันดวงมาให้เรา ยายจักไม่ต้องรับอาชญา ยายปะขาวเสียใจ ทูลรำพันว่าจักได้ที่ไหนมา ถวายบังคมลาแล้วกลับมาเรือน พระโพธิสัตว์เห็นยายจึงถามว่า ยายร้องไห้ทำไม ยายปะขาวจึงเล่าเรื่องให้ฟัง พระโพธิสัตว์จึงห้ามว่าอย่าทุกข์เลยยาย เป็นภาระของหลานเองว่าแล้วออกจากบ้าน ทำคอกช้างคอกม้าคอกวัวไว้ เสร็จแล้วใส่รองเท้าไปสู่ตระกูลฉัททันต์ นำช้างฉัททันต์มาเข้าคอกไว้ ๑๐๐ แล้วไปแม่น้ำสินธุ จับม้ามาเข้าคอก ๑๐๐ แล้วไปที่โคธาวรีจับโคอุสุภราชมาเข้าคอกไว้ ๑๐๐ แล้วไปเวปุลลบรรพต นำแก้วมาไว้ในเรือนหนึ่งพัน แล้วไปที่ต้นหว้าทำทองชมพูนุทมาพันลิ่ม เสร็จแล้วไปแจ้งเรื่องแก่ยายปะขาว ยายปะขาวรู้ก็ดีใจ ไปเฝ้าพระราชา กราบทูลให้อำมาตย์ไปรับสัตว์และของนั้นๆ พระราชาก็ส่งอำมาตย์ไปรับ อำมาตย์เหล่านั้นก็ไปเปิดประตูคอกช้างม้าโคๆ ก็เหาะไปป่าหิมพานต์หมดสิ้น จึงกลับไปทูลพระราชาๆ จึงทรงพระดำริว่า บุรุษผู้นี้มีบุญมากจริง ไม่ควรลงอาชญา จึงทรงส่งเสมียนไปรับเงินทอง เสมียนก็จัดทำตามพระราชโองการแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ ทองชมพูนุทและแก้วหาค่ามิได้ พระราชาจึงทรงให้นำมาถวายทอดพระเนตรทรงพระปีติโสมนัส ชมบุญญานุภาพของพระโพธิสัตว์ แล้วตรัสให้อำมาตย์ไปแสวงหานางแก้วในเมืองอื่น ๆ อีก พวกอำมาตย์เที่ยวหาไปทั่วทิศก็ไม่พบนางแก้ว

เตน โข ปน สมเยน ก็แลในสมัยนั้นมีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่าพุทธโฆษะ เสวยราชย์อยู่ในแคว้นคันธารรัฐ ท้าวเธอมีพระมเหสีพระนามว่า รตนรังษีเทวี และมีพระราชธิดาองค์หนึ่งนามว่า อุตตมธานี เป็นที่โปรดปรานของพระชนกนาถ มีพระสรีระรูปงดงามปานเทพอัปสร กลิ่นตัวหอมเหมือนแก่นจันทร์ กลิ่นปากหอมเหมือนดอกอุบล กลิ่นพระเกศาหอมเหมือนเกสรบัวหลวง พระฉวีวรรณเหลืองเหมือนทอง ปรากฏพระเกียรติคุณไปทั่วทวีป

เต อมจฺจา อำมาตย์ของพระเจ้าสุทัสสนจักรเที่ยวไปเกือบทุกทิศ ก็ไม่ได้เห็นหรือได้ยินข่าว ต่อไปทางทิศทักษิณ จึงได้ยินพระเกียรติคุณของพระนางอุตตมธานี จึงมากราบทูลพระราชาของตน พระเจ้าสุทัสสนจักรได้ทรงสดับดังนั้นก็ปลื้มพระหฤทัย จัดเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ และจัด ช้าง ม้า โค รถอย่างละ ๑๐๐ และทองพันลิ่ม แก้วหาค่ามิได้อีก ๑๐๐ บรรทุกลงในเรือ ๑๐๐ ลำ ทรงจัดราชทูตไป ๘ นายแล้วทรงบัญชาว่า ถ้าเห็นนางสมบูรณ์ด้วยลักษณะกลิ่นหอมจริงดังว่า จงถวายเครื่องบรรณาการเหล่านี้แล้วนำนางแก้วนั้นมา พวกราชทูตทั้ง ๘ นายก็ไปสู้แคว้นคันธารรัฐ

จบเทวธสังกาปริเยสนกัณฑ์

—————————-

พฺรหฺมจารี เทวี พระนางพรหมจารีเทวีเป็นทัพหน้า ยกพลโยธาพร้อมด้วยกษัตริย์แสนหนึ่ง อำมาตย์ ๔๐ แสนออกจากพระนคร รองมาพระเจ้าธรรมขันตี มีหมู่กษัตริย์แสนหนึ่ง อำมาตย์ ๖๐ แสน พลโยธา ๑๒ อักโขภินี แวดล้อมเสด็จออกจากพระนคร ลำดับนั้นพระนางพรหมจารีตรัสหาเสนี ๘ นาย ทรงบัญชาว่าพวกท่านจงล่วงหน้าไปก่อน ทำเป็นโจรปล้นชาวบ้านชาวนิคมในแคว้นอนูปมนคร จับได้จงถามถึงเราถึงอำมาตย์ ๔ นายและพวกยายแก่ดู พวกเสนีทั้ง ๘ นายก็รีบล่วงหน้าไปพร้อมด้วยพลโยธาแสนหนึ่ง เข้าปล้นบ้านและนิคม ฆ่าเสียบ้าง มัดมาไต่ถามเรื่องบ้าง บางพวกไม่รู้ บางพวกรู้และตอบว่านางพรหมจารีถูกลอยแพเสียนานแล้ว อำมาตย์ ๔ นายกบฏหนีไปกระโดดน้ำตาย พวกเสนีทั้ง ๘ นายจึงส่งข่าวสาส์นมาทูลให้พระนางพรหมจารีทรงทราบ

ขณะนั้นชาวบ้านชาวเมืองแตกตื่นกลัวภัยหนีเตลิดเปิดเปิงไป ข่าวนี้ก็กระจายออกไป พวกอำมาตย์ในอนูปมนครทราบเรื่องจึงกราบทูลพระเจ้าสุทัสสนจักรว่าพระนางพรหมจารียังไม่ตาย บัดนี้ยกพลโยธามาย่ำยีพระนครของพระองค์ จับเป็นเชลยบ้าง ฆ่าเสียบ้าง พวกนั้น ๆ ก็แตกหนีมา พระเจ้าสุทัสสนจักรและพระเจ้านันทกิตติราชได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสปรึกษากัน รับสั่งหาเสนาบดีมาทรงบัญชาว่า จงให้ประชาชนมาอยู่กันภายในเมือง เสนาบดีก็จัดทำตามพระราชโองการ พระเจ้าสุทัสสนจักรจึงเกณฑ์พลโยธาขึ้นรักษาป้อมประตูหอรบและเตรียมอาวุธต่าง ๆ ให้เคี่ยวน้ำมันยางคั่วกรวดทรายอยู่ที่หัวป้อม

​ปริสุทฺธี ปริพฺพาชิกา ยายปะขาวตั้งใจจะเข้าไปในเมืองแต่ถูกห้ามมิให้เข้า ยายร้องไห้ พระโพธิสัตว์จึงปลอบว่าอย่าทุกข์ พวกกองทัพจะทำอะไรเราได้ มาเถิดไปอยู่เสียในเขตกองพัพ จึงพาชนเหล่านั้นออกจากบ้าน ไปอยู่ในป่าไผ่ ทำไร่ปลูกพืชพันธ์ต่างๆ ขณะนั้นมีเศรษฐีคนหนึ่งได้ข่าวพระโพธิสัตว์ดังนั้น จึงคิดว่าบุรุษนี้มีบุญมาก เราจะไปอยู่กับเขา ตกลงใจจึงพาบุตรภรรยาและบริษัทตามไปอยู่กับพระโพธิสัตว์ เศรษฐีมีธิดาอยู่คนหนึ่งอายุ ๑๖ สะสวยมาก ได้ยกให้เป็นบาทบริจาริกาของพระโพธิสัตว์ และมีบริวารประมาณ ๑๐๐ พระโพธิสัตว์พาบริษัทเหล่านั้นไปอยู่ป่าไผ่ ตัดเอาไม้ไผ่มาทำรั้วบ้าน แล้วจารึกอักษรว่า บ้านนี้ของจันทคาธ พวกกองทัพอย่าได้ทำอันตราย พระโพธิสัตว์พร้อมด้วยบริวารทำไร่อยู่ริมหนทาง

ในกาลนั้นพวกของพระนางพรหมจารีล่วงหน้ามาเห็นพระโพธิสัตว์กับบริวารแต่ไกล มุ่งจะมาจับ วิ่งมาใกล้จำได้จึงลงกราบที่เท้า พระโพธิสัตว์จึงถามว่า จะไปไหน พวกเหล่านั้นจึงแจ้งว่าจะไปแก้แค้นพระเจ้าสุทัสสนจักร กราบไหว้แล้วก็ลาไป ถึงเวลาเย็นพระโพธิสัตว์พาบริษัทของตนกลับไปบ้าน อาบน้ำรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ยืนอยู่ริมประตูบ้าน กระทำกิจการของตน ในขณะนั้นพระนางพรหมจารีเทวี จัดจตุรงคเสนากับขัตติยกัญญาแสนหนึ่งแวดล้อม ขึ้นคอช้างมาถึงประตูบ้านพระโพธิสัตว์ เห็นพระโพธิสัตว์เดินมาจึงมองดูนึกในใจว่านี่ใคร แล้วจำได้ จึงลงจากคอช้างมาไหว้พระโพธิสัตว์ ๆ กระทำปฏิสัณฐารเสร็จแล้วพระนางก็ลาขึ้นคอช้างไป

ปุนทิวเส รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์ให้คนถือเครื่องบรรณาการต่างๆ ไปถวายพระเจ้าธรรมขันตี ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ส่วนข้างหนึ่ง พระเจ้าธรรมขันตีเห็นดังนั้นก็ดีพระทัย เสด็จลุกขึ้นจากอาสน์เข้าประคองพระโพธิสัตว์ ทรงทักทายปราศรัยแล้วตรัสถามว่า เจ้าพบภรรยาของเจ้าแล้วหรือ พบแล้ว พบได้อย่างไร พระโพธิสัตว์เล่าเรื่องถวายแต่ต้น พระเจ้าธรรมขันตีได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า พระเจ้าสุทัสสนจักรข่มเหงธิดาของเรา บัดนี้ยังมาข่มเหงบุตรเขยเราอีก แล้วทรงบังคับอำมาตย์ว่า เราใคร่จะเห็นพระเจ้าสุทัสสนจักร เจ้าจงไปจับเป็นมา พระโพธิสัตว์ก็ทูลลากลับบ้านของตน พระนางพรหมจารีจึงตรัสหาแม่ทัพมาบัญชาว่า พวกท่านจงแยกไปคนละทิศสร้างพระนครขึ้นในที่กึ่งแล้วตั้งทัพลงในที่นั้น พวกเหล่านั้นรับพระเสาวนีย์แล้ว ต่างก็ไปสร้างพระนครขึ้นอย่างมั่นคง กว้างถึง ๗ โยชน์ ยาว ๑๒ โยชน์ แล้วไปด้วยหินมีประการ ๓ ชั้น มีซุ้มประตูอย่างงาม บานประตูทำด้วยเหล็ก ยากที่ข้าศึกจะทำลายได้

​พลโยธา ๔ คนของพระเจ้านันทกิตติ ชื่อสังขพลกะคน ๑ พลวิชชะคน ๑ พลธรคน ๑ วิชชาพลคน ๑ และอดทนมาก ต่างให้ทหารเตรียมอาวุธขึ้นไปรักษาปราการพระนครอยู่คนละทิศ ส่วนของพระนางพรหมจารี มีแม่ทัพใหญ่อยู่ ๔ นาย คือ ปฐวีวิชัยคน ๑ มีฤทธิ์มีกำลังมาก สามารถจะกำบังกายของพลโยธาได้ตั้งแสน อีกคนหนึ่งชื่อนันทเสน มีฤทธิ์สามารถที่จะเดินบนหลังน้ำหรือจะดำดินไปก็ได้ อีกคนหนึ่งชื่อสุรเสน สามารถที่จะยกลูกศรปฐวีวิชัยขึ้นยิงได้ อีกคนหนึ่งชื่ออุคคเสน มีกำลังมากสามารถที่จะเหนี่ยวช้างได้ ๑๐ เชือก แม่ทัพใหญ่ทั้ง ๔ คนแยกกันไป อุคคเสนถือผลมะพร้าวประมาณ ๑,๐๐๐ รวมกันทุ่มเข้าไปในพระนคร ประกาศว่าชาวเมืองอยากจะได้ก็จงมาเก็บไปกิน นันทเสนถอนต้นตาล ๑๒ ต้น มัดเข้าด้วยกันแล้วทุ่มเข้าไปในเมือง จงมาเอาไปทำอาวุธ ชาวพระนครถูกต้นตาลทับตายประมาณ ๑,๐๐๐ ส่วนสุรเดชจับช้างมา ๔ เชือกมัดเข้าด้วยกันแล้วโยนเข้าไปในเมือง ส่วนปฐวีวิชัยเข้ายืนอยู่ริมกำแพงเอาเท้ากระทืบดิน ชาวพระนครที่กำลังจับอาวุธตกใจล้มหล่นมาจากกำแพง บางคนแขนหัก บางคนขาหัก บางคนถูกอาวุธของตนซ้ำเติมเอา บางคนก็ตาย

ตทา ในกาลนั้นทวยนาครพูดกันว่า พระราชาของเราคงแพ้ ยายปะขาวอยู่กับลูกเขยที่โน่นเป็นผาสุก พวกเราพากันไปอยู่ที่โน่นเถิด ต่างก็พากันอพยพไปอยู่กับพระโพธิสัตว์

ลำดับนั้น พระนางพรหมจารีจึงมีพระราชสาส์นไปถึงพระเจ้าสุทัสสนจักรว่า เราชื่อพรหมจารีมีรูปชั่ว จะมารบกับท่านผู้มีรูปงาม ถ้ากลัวก็จงมากราบเห้าเสีย ถ้าไม่เช่นนั้นชีวิตก็จะหาไม่ พระเจ้าสุทัสสนจักรได้ทรงสดับดังนั้นก็ทรงแค้นพระหฤทัย จึงเสด็จไปกราบทูลพระชนกนาถ จึงพระเจ้านันทกิตติราชรับสั่งหาอำมาตย์มาสั่งว่า อย่าประมาท จงจัดทหารออกรบและจงรักษากำแพงทั้ง ๓ ชั้นไว้ พวกอำมาตย์จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าศึกมีฤทธิ์มีกำลังมากนัก คนหนึ่งถอนต้นตาลได้ตั้ง ๑๒ ต้น อีกคนหนึ่งจับช้าง ๔ เชือกผูกรวมกันทุ่มมา คนหนึ่งรวมมะพร้าวถือได้ตั้ง ๑,๐๐๐ ลูก พระราชาทั้ง ๒ ได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสท้วงว่า เราอยู่ในกำแพง กลัวอะไร จงรักษากำแพงไว้เถิด พวกเหล่านั้นก็เกณฑ์ทหารขึ้นรักษากำแพงไว้ทุกๆ วัน พระนางพรหมจารีจึงทรงบัญชาพวกแม่ทัพว่า จงทำลายกำแพงเข้าไปจับพระเจ้าสุทัสสนจักรมา พวกแม่ทัพต่างก็รับอาสาขอเป็นหน้าที่ของตน ลุกขึ้นจัดพลนิกายผูกสอดอาวุธ ให้ทหารช้างทหารม้าเข้าไปก่อน ในกาลนั้น​พวกทหารในเมือง พุ่งหอกปล่อยลูกศร สาดก้อนกรวดทรายกระเบื้องร้อนและน้ำมันยางเป็นต้นออกมาบนหลังช้าง ช้างทนไม่ไหวก็ไม่กล้าเข้าไป กระวนกระวายวิ่งไปหาน้ำ แม่ทัพและพระราชาก็ไสช้างของตนๆ เข้าไป พวกทหารในเมืองก็ขว้างก้อนเหล็กเป็นต้นออกมา ช้างก็วิ่งหนีหางชี้ไป ไม่สามารถจะทำลายกำแพงลงได้ ขณะนั้นแม่ทัพนางปฐวีวิชัยซึ่งเป็นคนกล้าหาญ ไสช้างเข้าไปทำลายประตูเหล็ก แม่ช้างก็ดิ้นรนร้องลั่นใช้งาแทงบานประตู เท้ากระทืบธรณีประตู ๆ เหล็กก็ทำลายลงทับทัพสัมภาระ ขณะนั้นนายสังขพละจึงให้ทหารถือดาบและโล่กระโดดขึ้นฟันคอช้าง ปฐวีวิชัยเห็นทหารวิ่งมาเป็นแถวจึงประกาศนามของตนว่า เราชื่อปฐวีวิชัยจะมาฆ่าพวกเจ้า สังขพละได้ยินดังนั้นคิดว่าเราจะฆ่ามันก่อน จึงพุ่งหอกไป ส่วนปฐวีวิชัยเอาดาบฟันโล่ของสังขพละโล่แตกหลุดออกจากมือ ปฐวีวิชัยจึงเอาหอกแทงสังขพละๆ ถูกหอกล้มลง ปฐวีวิชัยจึงจับซากศพสังขพละขว้างเข้าไปหน้าพระลาน เมื่อสังขพละตายพวกทหารก็ทิ้งหน้าที่และอาวุธของตนไปเสีย นันทเสนฆ่าพลวิชชะตาย สุรเสนฆ่าวิชชาธระตาย อุคคเสนฆ่าวิชชาพละตาย ส่วนพลทหารก็ฆ่าพลทหารชาวเมืองตายเกลื่อนกลาด ภายในกำแพงนองไปด้วยเลือด ทหารบางพวกก็หนีเข้าไปในเมือง บางพวกก็เข้าป่า บางพวกก็ไปหาพระโพธิสัตว์ นายพลปฐวีวิชัยจึงแผลงศรนามว่าปฐวีเภทไป เสียงศรประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าตั้ง ๑,๐๐๐ ข้าศึกตายประมาณแสนหนึ่ง ที่บาดเจ็บได้รับทุกขเวทนาประมาณแสนหนึ่ง กำแพงหินแหลกเป็นจุณวิจุณ ทหารทั้งปวงจับอาวุธวิ่งเข้าประหาร ชาวพระนครหวาดกลัว ต่างพากันวิ่งหนีไปในทิศทั้งหลาย พระเจ้าสุทัสสนจักรรบในทักษิณทิศ ส่วนพระเจ้านันทกิตติราชรบในอุตตรทิศ และสิ้นพระชนม์ด้วยอานุภาพแห่งลูกศร ปฐวีวิชัยเห็นดังนั้นจึงตัดพระเศียรพระเจ้านันทกิตติราช เหวี่ยงเข้าไปให้พระเทวี แต่พระเจ้าสุทัสสนจักรประทับนั่งอยู่บนหลังม้าพระที่นั่งภายในกำแพงเมือง ชั้นที่ ๓ เสด็จเที่ยวตรวจพล และประทานโอวาทว่า พวกท่านจงอย่าประมาท จงรักษากำแพงชั้นนี้ไว้ให้ได้

ตทา จตฺตาโร ขณะนั้นแม่ทัพใหญ่ ๔ นายของนางพรหมจารีเทวี เข้าไปรบเอง ด้วยมุ่งใจว่าจะจับเป็นพระเจ้าสุทัสสนจักรให้ได้ ทหารชาวพระนครบางพวกก็รบ บางพวกก็ไม่รบ ทิ้งอาวุธพาบุตรภรรยาของตนไป บางพวกก็ออกมาไหว้ขอทางออกไปนอกเมือง แม่ทัพใหญ่ทั้ง ๔ ต่างก็กระโดดเข้าไปในกำแพง วิ่งไล่จับพระสุทัสสนจักร พอทันก็จับมัดไปแสดงแก่พระนางเทวี ชาวพระนครต่างร้องไห้รำพัน บุตรภรรยาพลัดจากบิดามารดาและสามี

อถโข ลำดับนั้นพระเจ้าธรรมขันตีและพระนางพรหมจารีเสด็จเข้าไปในเมือง ประทับบนพระราชมนเทียร ให้จับพวกที่เป็นศัตรูมัดไว้ที่พันธนาคาร ป้อมปราการชำรุดที่ใดก็ให้จัดทำให้ดีอย่างเดิม แล้วรับสั่งหาพระโพธิสัตว์มาอภิเษกกับด้วยนางเทวธิสังกา แล้วทรงมอบราชสมบัติ พระนางพรหมจารีเทวีจึงตรัสถามพระเจ้าสุทัสสนจักรว่า พระองค์รู้จักหม่อมฉันหรือไม่ อย่าถามเลยนาง รักชีวิตไหม ใครๆ ก็รักชีวิตด้วยกันทั้งนั้น พระนางพรหมจารีเทวีได้ทรงสดับดังนั้น จึงทรงบัญชาผู้คุมว่า ตั้งแต่นี้เจ้าจงนำพระเจ้าสุทัสสนจักรนี้ มาตักน้ำล้างเท้านางกษัตริย์เหล่านี้ แล้วให้ขนอุจจาระปัสสาวะพระนางเทวธิสังกา และมากราบเท้าพระนางเสียทุกๆ วัน พระเจ้าสุทัสสนจักรต้องทรงกระทำกิจเหล่านั้น อยู่มาได้ ๒-๓ วันก็สิ้นพระชนม์ พระเจ้าธรรมขันตีทรงปราบศัตรูอยู่สักเดือนราบคาบดีแล้วก็ทรงลาพระโพธิสัตว์ เสด็จกลับอนุราธบุรี ส่วนพระนางพรหมจารีได้ชัยในสงครามแล้ว สั่งพระชนกและกษัตริย์ทั้งหลายกลับพระนครก่อน ส่วนพระนางเองเสด็จมาพร้อมกับนางกษัตริย์แสนหนึ่ง

จบยุชฌกัณฑ์

—————————-

ตทา ปน ก็ในกาลนั้น พวกทูตที่พระเจ้าสุทัสสนจักรส่งไปคันธารบุรี ไปเรือในมหาสมุทร ถึงคันธารบุรีขึ้นจากเรือนำเครื่องราชบรรณาการไปยังสำนักพระเจ้าพุทธโฆษะ ถึงพระราชทวารแจ้งเหตุการณ์ที่ตนมาให้ทราบ ได้โอกาสก็เข้าเฝ้าถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ส่วนข้างหนึ่ง พระเจ้าพุทธโฆษะจึงตรัสถามว่า มาจากเมืองไหน ขอเดชะ จากอนูปมนคร มาประสงค์อะไร พวกราชทูตจึงถวายเครื่องราชบรรณาการแล้วกราบทูลว่า พระเจ้านันทกิตติราชมีพระประสงค์จะทรงทำไมตรีกับพระองค์ จึงใช้ข้าพระพุทธเจ้ามาขอพระราชธิดาของพระองค์ ถ้าได้ก็จะอภิเษกกับสุทัสสนจักรราชกุมาร แล้วจะมอบราชสมบัติให้ พระเจ้าพุทธโฆษราชได้ทรงสดับดังนั้น ทอดพระเนตรดูเครื่องราชบรรณาการ จึงทรงพระดำริว่า พระเจ้านันทกิตติราชมีบุญใหญ่ ได้แก้วและทองอันหาค่ามิได้ แล้วจัดเป็นของบรรณาการมาให้เรา เราควรจะยกธิดาให้ จึงตรัสกับราชทูตว่า เจ้าสุทัสสนจักรราชกุมารมีชนมายุเท่าไร ๑๖ พระเจ้าข้า พระเจ้าพุทธโฆษราชจึงตรัสถามถึงรูปสมบัติและพระเกียรติยศ ครั้นแล้วจึง​รับสั่งหาพระมเหสีมาปรึกษา พระมเหสีก็ทรงเห็นด้วย แล้วทรงปรึกษากับพวกอำมาตย์ ๆ ก็เห็นด้วย พระราชาปลื้มพระหฤทัย จึงตรัสสั่งให้จัดเครื่องบรรณาการ ทาสทาสี และอำมาตย์ ๔ นาย ซึ่งสำหรับวินิจฉัยโทษส่งไปพร้อมกับพระราชธิดา พวกราชทูตจึงทูลลาพระเจ้าพุทธโฆษราช รับเครื่องราชบรรณาการและพระราชธิดาพร้อมด้วยบริวารและอำมาตย์ลงเรือ ถึงวันฤกษ์ดีก็ถอยเรือออกจากท่าแล่นไปในมหาสมุทร ถึงอนูปมนครจอดเรือเทียบท่า พวกราชทูตรู้ว่า พระเจ้าสุทัสสนจักรราชกุมารสิ้นพระชนม์ พระจันทคาธได้ราชสมบัติ จึงส่งสาส์นไปถึงพวกเสนาบดีว่า พวกข้าพเจ้าเป็นราชทูต นำนางแก้วมาแต่คันธารรัฐ ขอท่านจงจัดหาทางหลวงและปราสาทแก้วไว้รับ พวกเสนาบดีได้ทราบข่าวดังนั้น จึงนั่งปรึกษากันว่า ทูตเหล่านี้พระเจ้าสุทัสสนจักรส่งไป บัดนี้ท้าวเธอก็สิ้นพระชนม์เสียแล้ว จักทำอย่างไรกัน จึงตกลงไปเฝ้าพระเจ้าจันทคาธ ทูลความให้ทรงทราบตลอด พระเจ้าจัทคาธจึงตรัสว่า จงไปถามพระนางพรหมจารีดูเถิด พวกเสนาบดีจึงไปทูลถามพระนางตามพระราชโองการ พระนางพรหมจารีจึงให้เจ้าพนักงานตบแต่งทางหลวงและพระนครด้วยเครื่องอลังการต่างๆ ปานเทพนคร แล้วให้จัดราชรถและวอพันหนึ่งส่งไปรับ เจ้าพนักงานก็จัดไปรับ ให้พระนางอุตตมธานีขึ้นทรงรถทองมาตามหนทางหลวง ขณะนั้นชาวพระนครผู้ที่อยากเห็นก็มาเฝ้าอยู่ริมทางแน่นไป พระนางอุตตมธานีเทวีมีพระประสงค์จะให้มหาชนรู้จัก จึงเปิดม่านออก มหาชนได้เห็นรูปสมบัติต่างก็ชมเชยให้สาธุการ พวกอำมาตย์พาพระนางอุตตมธานีตรงไปยังสำนักพระนางพรหมจารี พระนางอุตตมธานีลงจากรถแล้วก็เสด็จเข้าไปเฝ้าพระนางพรหมจารี ไหว้แล้วนั่งอยู่ส่วนข้างหนึ่ง พระนางพรหมจารีเห็นรูปสมบัติพระนางอุตตมธานีก็เพ่งดูแล้วประทานขัตติยกัญญา ๑,๐๐๐ นาง วรรณทาสี ๑,๐๐๐ คน และแก้วเงินทองราชูปโภค และบัลลังก์ทอง แล้วให้ประทับอยู่ในสุวรรณปราสาทแล้วนำไปเฝ้าพระนางเทวธิสังกา ๆ ก็ประทานแก้วหาค่ามิได้และทอง ๑๐๐ ลิ่ม นารี ๑๒ นาง อยู่มาได้ ๒-๓ วันพระนางพรหมจารีก็ไปเฝ้าพระราชาถวายบังคมแล้วทูลลา อันบริวารหมู่ใหญ่แวดล้อมออกจากพระนครไปยังอนุราธบุรี

โส หิ โพธิสตฺโต ก็พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีรูปงามผิวเหลืองเหมือนทอง จึงมิได้ประดับประดาร่างกาย ทำตนเป็นเหมือนคนสามัญเพราะเหตุไร เพราะกล้วมหาชนจะนินทา จริงอยู่พระโพธิสัตว์คิดว่า ถ้าจะประดับประดาร่างกายนั่งในท่ามกลางเสนาอำมาตย์ก็จะถูกติเตียนว่า คนเข็ญใจได้เป็นพระราชาขึ้นก็แต่งพระองค์เกินดี เพราะเหตุนี้จึงไม่ประดับประดา​พระองค์ ไปยังสำนักพระนางอุตตมธานี เสด็จขึ้นปราสาทประทับนั่งบนที่นอน ทรงทักทายปราศรัยว่า พระนางจากเมืองมาคิดถึงพระชนกชนนีหรือไม่ พระนางอุตตมธานีเห็นดังนั้นจึงถามว่า ท่านนี้เป็นใครจึงมานั่งบนที่นอน ท่านมาจากไหนจึงไม่รู้ธรรมเนียมอะไร เรามาแต่บ้านดอกไม้ มาด้วยประสงค์อะไร มาประสงค์จะได้พบเห็นพระนาง ท่านหาญเกินไม่กลัวอาชญาหรือ พระเจ้านันทกิตติราชส่งทูตไปขอพระนางมา บัดนี้ท้าวเธอถูกพระเจ้าธรรมขันตีปลงพระชนม์เสียแล้ว เพราะฉะนั้นพระนางจึงเป็นหม้าย เราเห็นพระนางเป็นหม้ายจึงมาเฝ้า พระนางอุตตมธานีได้ยินดังนั้น จึงคิดว่าท่านผู้นี้จักเป็นพระราชา ไหว้แล้วทูลว่าหม่อมฉันไม่รู้จักพระองค์ ขอได้ทรงอดโทษ พระโพธิสัตว์ตรัสว่า เป็นไรมิได้ เราไม่ถือโทษ พระนางจึงทูลว่า ชีวิตของหม่อมฉันไว้ใต้เบื้องบาท เราจะยกราชสมบัติให้ท่าน ขอเดชะ พระองค์จักเสด็จไปไหน เรามิได้เกิดในตระกูลกษัตริย์เป็นคนยากจนเข็ญใจ พลัดบ้านเมืองมาหาญาติพี่น้องมิได้ พระองค์อย่าตรัสถึงเรื่องเช่นหม่อมฉันเลย สตรีเมื่ออยู่ในสำนักมารดาบิดาก็มีบิดาเป็นที่พึ่ง แต่ก็หายศหาอานุภาพมิได้ เหมือนรูปหุ่นไม่มีใครเขาเคารพนับถือ สตรีที่ไม่มีบุรุษปกครองหรือไม่มีบิดามารดา มีแต่คนดูหมิ่น อนึ่งบุรุษมีชาติสูงเทียบได้กับแก้วมณี สตรีมีชาติต่ำเทียบได้กับเงิน เหตุนั้นท่านจึงต้องเป็นที่พึ่งของหม่อมฉัน หม่อมฉันจักเป็นทาสตลอดชีวิต พระองค์จะอยู่ใกล้ไกลเพียงไร หม่อมฉันขอตามไปปฏิบัติ ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่ร่วมกันด้วยสมัครสังวาส

ตโต โส โพธิสตฺโต กาลนั้นพระโพธิสัตว์สั่งสอนมหาชนให้ตั้งอยู่ในศีลและสรณะ ให้บำเพ็ญทานเจริญเมตตาภาวนา งดเว้นเบ็ญจวิธเวร ไม่เบียดเบียนกันด้วยทำโจรกรรม เป็นต้น ส่วนพระองค์เองกอร์ปด้วยทศพิธราชธรรม พระราชทานวัตถุทานแก่สมณพราหมณ์ยาจกวณิพพก ทรงรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ทรงบริจาคจตุปัจจัยแก่ภิกษุสามเณรและปริพพาชก พบพวกยาจกวณิพพก พวกกำพร้า ก็มีพระหฤทัยกอร์ปด้วยเมตตากรุณา ทรงประทานข้าวของ ไม่เบียดเบียนประชาราษฎรให้เดือดร้อนที่สุดแม้เนื้อหรือนก ทรงตั้งยายปะขาวไว้ในฐานะแห่งพระชนนี ประทานคนใช้และบ้าน ส่วนผู้ที่มีคุณก็ทรงตั้งแต่งให้มียศศักดิ์ขึ้น

จริงอยู่ พระโพธิสัตว์จะใคร่ทำอะไรย่อมสำเร็จทุกอย่าง ปรารถนาอะไรก็ได้ทุกอย่าง เมื่อยังเล็กอยู่พระโพธิสัตว์อยู่ในเรือนอุกัษฐะเศรษฐี เล่นอยู่กับพวกเด็กๆ ด้วยกัน ได้ยินว่าเด็ก ๆ ชาวบ้านถือธนูเล่นอยู่นอกบ้าน ถามพระโพธิสัตว์ซึ่งยืนดูอยู่ว่า ท่านอยากได้​หรือ อยากได้ ถ้าเช่นนั้นท่านจงไปยืนอยู่ที่โน่น เราจะยิงธนูนี้ไป ถ้าไม่ถูกท่านเราจะยอมให้ พระโพธิสัตว์ก็ไปยืนให้เขายิง พวกเด็กเหล่านั้นหมู่ละ ๑๐ คน ๑๕ คน ๒๐ คน ได้ยินดังนั้นก็ยิงธนูไปพร้อมกัน พระโพธิสัตว์ก็รับลูกธนูไว้ได้ทุกลูก มิได้หลุดมือไปต้องกายหรือเท้าเลย พวกเด็กก็ไม่ยอมให้ธนู พระโพธิสัตว์โกรธต่อยเด็กเหล่านั้นจนทิ้งธนูวิ่งหนีไปทุกคน ในครั้งนั้นจันทคาธอายุได้ ๙ ขวบ ส่วนเด็กอื่นๆ บางคน ๑๐ ขวบ ๑๒ ขวบ ๑๓ ขวบ ๒๐ ขวบก็มี แต่ก็ไม่กล้าสู้ พระโพธิสัตว์เจ้ามีอานุภาพใหญ่ฉะนี้แล ไปอยู่ที่ไหนก็มีผู้เคารพยำเกรง ปรารถนาอะไรก็ได้ทุกอย่าง

อิทานิ โส มาบัดนี้พระประสงค์จะบำเพ็ญทาน เอาแก้วทิพยเนตรส่องดูทั่ว ๆ ทิศ เห็นขุมทรัพย์ ทรงกำหนดรู้ว่าขุมนี้มีเจ้าของ ขุมนี้ไม่มีเจ้าของ ทรงถือเอาแต่ที่ไม่มีเจ้าของ ยังมหาทานให้เป็นไป ให้สร้างวิหาร ๑๒๒ แห่ง พร้อมด้วยพระพุทธปฏิมากรและพระสถูปเจดีย์ ทรงบริจาคจตุปัจจัยแก่พวกสมณพราหมณ์ พวกพ่อค้ามาแต่ทิศต่างๆ ทำการค้าขายสะดวกสบาย กลับไปบ้านเมืองของตนก็ไปแจ้งข่าวแก่พวกพ้องญาติพี่น้องของตนๆ ว่า อนูปมนครผาสุกเหลือเกิน โจรก็ไม่มี พ่อค้าก็ไม่คดโกงกัน สตรีก็ไม่ประพฤติอนาจาร มหาชนก็ไม่ดื่มสุรา ไม่กล่าวเท็จ ไม่ฆ่าสัตว์ ชาวเมืองก็รักษาศีล ไม่เก็บส่วย ได้โดยชอบธรรมจึงเอา ไม่ชอบธรรมไม่เอา พวกพ่อค้าทั้งหลายก็ได้ยินกิตติศัพท์ดังนั้นก็พากันค้าขาย อนูปมนครก็สมบูรณ์มั่งคั่งผู้คนมากมาย เว้นว่างจากศึกสงคราม พระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดินก็ขจรทั่วไป

โสป จนฺทคาธราชา พระเจ้าจันทคาธมีพระกำลังและความเพียรมาก ดังเมื่อครั้งพระองค์มีพระชนม์ได้สองปี วันหนึ่งพระชนนีพาบุตรทั้งสอง (สุริยคาธ จันทคาธ) ไปนา วางบุตรทั้งสองไว้แห่งหนึ่ง แล้วไปทำธุระเสียไกล ขณะนั้นจันทคาธกุมารอยากนม เมื่อไม่ได้ก็ร้องไห้ สุริยคาธพี่ชายก็ปลอบโยนต่างๆ ก็ไม่นิ่ง พี่ชายจึงไปเอากระดูกวัวมาให้เล่น พระโพธิสัตว์ก็หักกระดูกวัวเสียแหลก พี่ชายเที่ยวหาของอื่นให้เล่น ไปพบท่อนเหล็กจึงเอามาให้เล่น จันทคาธกำลังโกรธจึงขว้างท่อนเหล็กนั้นไปในกอไผ่ กอไผ่ล้มไป ๓ กอ พระโพธิสัตว์มีกำลังอย่างนี้แล

ก็พระนางอุตตมธานี อยู่ร่วมกับพระโพธิสัตว์มาได้ ๓ ปีก็ตั้งครรภ์ พระโพธิสัตว์ส่องแก้วทิพยเนตรดูก็ทรงทราบว่าพระโอรสมีฤทธิ์มาก จึงทรงเตือนพระเทวีว่า จงรักษาครรภ์ไว้ เพราะบุตรในครรภ์มีฤทธานุภาพมาก

จบอุตตมธานีกัณฑ์

—————————-

ตทา พนฺธุมวตีนคเร กาลนั้นพระนครพันธุวดี พระเจ้าเตชุคตสิปปราช เสด็จขึ้นทรงราชย์ ท้าวเธอมีพระมเหสีพระนามว่า ทิพพสุทธา และมีพระราชธิดาองค์หนึ่งพระนามว่าสมุททชา มีพระรูปพระโฉมงดงาม สมบูรณ์ด้วยเบ็ญจกัลยาณี เปรียบได้กับนางเทพอัปสร เป็นที่โปรดปรานของพระชนกชนนียิ่งนัก ก็พระเจ้าเตชุคตสิปปะมีพระปรีชาชาญฉลาด ทรงทราบศัสตราเวทและยักขเวท ถ้าเสด็จไปสงครามร่ายยักขเวทขึ้น ก็มียักษ์กำยำตนหนึ่งผุดขึ้นมายืนอยู่ ท้าวเธอทรงขึ้นขี่คอยักษ์ไปดุจเหาะเหินได้ ดุจอานุภาพแห่งยักษ์และศัสตราเวทมนต์ชนะทุกครั้ง ท้าวเธอมีอำมาตย์ผู้หนึ่งนามว่า อสขยวิจุณ มีอานุภาพใหญ่ยิ่ง ยิงธนูครั้งเดียวข้าศึกตายประมาณ ๘ หมื่น อีกคนหนึ่งชื่อธรณีเภที มีศิลปวิชามาก เดินบนหลังน้ำได้ ดำดินไปก็ได้ สามารถกำบังกายทหารได้ตั้งโกฏิ ๆ พวกข้าศึกก็ไม่เห็นกัน พระเจ้าเตชุคตสิปปะมีอิทธานุภาพอย่างนี้ทั่วไปทั้งชมพูทวีป

เอกํ สมยํ อยู่มาสมัยหนึ่ง พระเจ้าเตชุคตสิปปะให้ธรณีเภทีอำมาตย์นำเครื่องราชบรรณาการและพระราชสาส์นไปยังคันธารรัฐ เพื่อสู่ขอพระนางอุตตมธานีเทวี ธรณีเภทีอำมาตย์เมื่อไปถึงคันธารรัฐแล้วแจ้งความที่ตนมา ได้โอกาสก็เข้าเฝ้า ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ส่วนข้างหนึ่ง พระเจ้าพุทธโฆษะจึงตรัสถามว่า มาจากไหน จากพันธุมวดีนคร มาทำไม พระเจ้าเตชุคตสิปปะส่งข้าพระพุทธเจ้ามาขอพระราชธิดาของพระองค์ มเหสีของท้าวเธอมีหรือไม่ มี ถ้ามีแล้วเราก็ไม่ให้ ธรณีเภทีอำมาตย์ก็กลับมาทูลเรื่องแก่พระราชาของตน พระเจ้าเตชุคตสิปปะก็กริ้วว่าไม่รู้จักฤทธิ์เดชของเรา แล้วจึงทรงบัญชาอำมาตย์ให้เตรียมจตุรงคเสนา ครั้นจตุรงคเสนาพร้อมแล้ว ท้าวเธอจึงรับสั่งหาอำมาตย์ราชปุโรหิตมาปรึกษาว่า เราจะตรงไปคันธารนครดีหรือว่าจะไปเมืองอื่นก่อน ภายหลังจึงค่อยไปคันธารนคร พวกอำมาตย์ก็กราบทูลขึ้นว่า ถ้าพระองค์เสด็จทรงไปยึดคันธารนครทีเดียว พระเดชานุภาพก็ไม่ปรากฏ ถ้าเสด็จไปยึดเมืองอื่นๆ ก่อน พระคุณของพระองค์ก็ขจรทั่วไป พระเจ้าพุทธโฆษะได้ยินข่าวก็จะทรงหวาดกลัว ส่งพระราชธิดามาถวาย พวกข้าพระพุทธเจ้าเห็นร่วมกันอย่างนี้ พระเจ้าเตชุคตสิปปะรับสั่งว่าดี อันจตุรงคเสนาแวดล้อมเสด็จออกจากพระนคร ไปรบพระนครหนึ่งจับพระราชาได้แล้ว ก็เสด็จไปเมืองอื่นต่อไป โดยนัยนี้จับพระราชาถึง ๑๕,๐๐๐ พระองค์ แล้วยกทัพมาถึงชายแดนคันธารบุรี ส่งราชทูตไปทูลพระเจ้าพุทธโฆษราชว่า ขอจงตระเตรียมทำคันธารบุรีไว้ให้มั่นคง จงระดมพลไว้ให้พร้อมสรรพ เราพระนามว่า เตชุคตสิปปะ มาแต่พันธุมวดี พระเจ้าพุทธโฆษราชได้ทรงทราบดังนั้นก็สะดุ้งพระหฤทัย ​รับสั่งหาเสนาบดีมาทรงบัญชาว่า ท่านจงส่งข่าวไปถึงกษัตริย์สามหมื่นให้รีบยกจตุรงคเสนามา เพราะบัดนี้พระเจ้าเตชุคตสิปปะพาพระราชา ๑๕,๐๐๐ มาจะรบกับเรา เพราะฉะนั้นขอจงรีบมา เสนาบดีก็รีบจัดทำตามพระราชโองการ แล้วระดมพลทหารในคันธารบุรีได้ ๔ หมื่น มีอาวุธครบมือ ให้กระทำปราการไม้รอบเมือง แล้วให้ตั้งทัพอยู่นอกเมือง

ราชาปิ พุทฺธโฆโส แม้พระเจ้าพุทธโฆษราชรับสั่งหาอำมาตย์มาตรัสสั่งว่า เจ้าพร้อมด้วยบริวารพันหนึ่งรีบไปเมืองอนูปมนคร ไปแจ้งเรื่องแก่สามีของลูกอุตตมธานีว่า พระเจ้าเตชุคตสิปปะปรารถนาจะทำลายพระนครของเรา ยกจตุรงคเสนาประมาณ ๑๒ อักโขภินีมาล้อมพระนครไว้ ส่วนเราพอจะรักษาพระนครไว้ได้สักเดือน เมื่อทราบเรื่องแล้วขอให้รีบมา พวกอำมาตย์รับพระราชโองการแล้วออกเดินทางไปอนูปมนคร ถึงก็เข้าไปหามหาเสนาๆ จึงถามว่า มาจากไหน จากคันธารนคร มาทำไม พวกอำมาตย์ก็แจ้งเรื่องให้ฟังแล้วไปเฝ้าพระนางอุตตมธานี ถวายบังคมแล้วทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระเจ้าเตชุคตสิปปะมาขอพระนางก่อนคนอื่น แต่ไม่ได้ โกรธพระชนกของพระนาง จึงยกพลนิกายมามากมายล้อมคันธารนครไว้จับทหารของเราฆ่าเสีย เพื่อจะเชิญพระราชสามีของพระนาง จึงรีบส่งพวกข้าพระพุทธเจ้ามา เพราะสามารถจะรบรักษาเมืองไว้ได้เพียงเดือนเดียว พ้นกำหนดนี้ไปต้องเป็นเชลยเขาแน่ ด้วยพระเจ้าเตชุคตสิปปะมีมหิทธานุภาพใหญ่หลวง พวกพระราชาในสากลชมพูทวีปไม่มีใครกล้าต่อต้าน เพราะฉะนั้นอย่าช้า ขอให้รีบทรงจัดพลนิกายยกไปเร็ว

พระนางอุตตมธานีได้ทรงสดับข่าวดังนั้นก็ทรงโศการำพัน พวกนางในจึงมาทูลถามว่า เพราะเหตุไรนางจึงเสียใจ พระนางไม่ตรัสบอก จึงนางในเหล่านั้นไปเฝ้าพระราชาจันทคาธๆ จึงเสด็จมาตรัสเอง พระนางอุตตมธานีจึงทูลเล่าเรื่องถวายตลอด พระโพธิสัตว์จึงตรัสตอบว่าอย่ากลัว เราจะรีบไปช่วย พระนางจึงทูลว่าหม่อมฉันพลัดบ้านเมืองมา ถ้าพระองค์ไม่ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งมเหสีก็จักเป็นทาสี เมื่อหม่อมฉันทูลเหตุนี้คงจักไม่เสด็จ อนึ่งหนทางก็ไกลไปไม่ทัน พระชนกก็จะแผ้เสียก่อน ด้วยเหตุทั้ง ๒ นี้ หม่อมฉันจึงร้องไห้ ไม่ต้องวิตก การรักษาพระชนกเป็นภาระของฉัน ทรงปลอบโยนแล้วรับสั่งหามหาเสนาคุตต์ให้เรียกเสนาอำมาตย์ปุโรหิตมาประชุมยังท้องพระโรง ครั้นถึงเวลาประชุม พระองค์เสด็จประทับอยู่ในท่ามกลาง ตรัสเรียกเสนาบดีมาทรงบัญชาว่า ท่านจงส่งข่าวสาส์นไปยังพระราชาน้อยใหญ่ ให้รีบจัดพลนิกายของตนๆ ยกไปสู่คันธารบุรีโดยเร็ว พระเจ้าจันทคาธจึงทรงตรัสสั่งเสนาอำมาตย์ว่า จงเตรียมจัดม้าแสน ๑ ช้างแสน ๑ รถแสน ๑ พลเดินเท้า​แสน ๑ และการกชนอีก ๔ อักโขภินี ในระหว่าง ๗ วันให้มาพร้อมกัน ตรัสสั่งแล้วรับสั่งหาอำมาตย์ผู้หนึ่งมาเฝ้า ทรงบัญชาว่า เจ้าพร้อมด้วยปริวาร ๑๐๐ รีบไปสู่อนุราธบุรี แจ้งเรื่องกะพระนางพรหมจารีว่าเราจักไปช่วย ขอจงช่วยกันรักษาพระนครไว้ก่อน การที่พระโพธิสัตว์ทรงจัดทำดังนี้ ก็เพราะจะทรงแสดงคุณของพระนางพรหมจารีให้ปรากฏแก่ราชทูตคันธารรัฐ และจะแสดงอานุภาพของพระองค์ให้ปรากฏด้วย พระนางอุตตมธานีได้ทรงทราบเรื่องก็มีพระหฤทัยโสมนัส จัดหาอาหารและเครื่องอลังการต่างๆ ส่งไปถวาย

พระโพธิสัตว์มีมหิทธานุภาพมาก เหาะเหินก็ได้ เหตุไรจึงกลัวข้าศึก ไม่กลัวไม่หวาดเสียว แต่ที่ทรงกระทำดังนั้นก็เพื่อจะเอาใจพระเทวี และเพื่อให้พระเกียรติคุณของพระองค์ปรากฏ ครั้งเมื่อพระองค์มีชนม์ ๑๐ ขวบ อยู่กับอุกกัษฐะเศรษฐีในกาสิกนครพร้อมด้วยพวกเด็กเลี้ยงโค ต้อนโคไปหากินเล่นหัวกัน โคฝูงหนึ่งล้ำเข้าไปในนา กินข้าวกล้าของคนอื่น เด็กเจ้าของโคเห็นดังนั้นไม่กล้าเข้าไปต้อนโค ด้วยคิดเห็นว่า ถ้าเข้าไปต้อนโค เจ้าของข้าวกล้าก็จะจับเอา จึงคิดอุบายพูดกะจันทคาธบุตรว่า นี่ เจ้าอยากได้แก้วของพระอาทิตย์ไหม จันทคาธกุมารก็รับคำว่าอยากได้ ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปต้อนโคฝูงโน้นมา เราจักถือแก้วไว้ให้แล้วมารับเอาภายหลัง พระโพธิสัตว์ก็ไปต้อนโคฝูงนั้นมา เจ้าของข้าวกล้าเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าจับ ด้วยเห็นว่าเป็นลูกเศรษฐี แม้พระโพธิสัตว์ก็กลับมาทวงแก้วพวกเด็กเหล่านั้น พวกเด็กเหล่านั้นจึงกระทำรูปช้างขึ้น เอากระดูกสัตว์ใหญ่ๆ มาทำเท้าช้าง เอาไม้มาทำหางและงวง เอาไม้ที่ขาวมาทำงา เอาฝักดาบมาทำธนู เอาเถาหัวลิงมาทำสายธนูแล้วตามประทีปด้ามไว้ แล้วยกให้แก่พระโพธิสัตว์ กล่าวว่า เมื่อประทีปดับสิ้นแล้ว ท่านจงเอาธนูนี้ยิงช้าง แล้วเห็นรัศมีแก้วมณีจงถือเอา แล้วต่างก็พากันหนี พระโพธิสัตว์รออยู่เห็นประทีปด้ามดับแล้วจึงเอาธนูยิงช้าง ช้างล้ม ขณะนั้นอสนีบาตก็ตกลงยังพื้นดิน กาลนั้นพระโพธิสัตว์จับรัศมีได้ขวานโลหะไปให้ท่านเศรษฐี ผู้จะทำอันตรายพระโพธิสัตว์ย่อมไม่อาจจะทำได้

สตฺตเม ทิวเส ครั้นถึงวันที่ ๗ โยธาเสนาอำมาตย์ก็ประชุมพร้อมกัน พระโพธิสัตว์จึงเอาแก้วมณีทิพยเนตรส่องดูคันธารนครแล้วตรัสว่า พวกท่านจงยกทัพไปก่อน เราจะไปภายหลัง เมื่อทรงส่งโยธาทหารและกษัตริย์ทั้งสิ้นไปแล้ว พระองค์เองเสด็จไปปราสาทพระนางเทวธิสังกาตรัสว่า แม่จงดูแลครรภ์แม่อุตตมธานีเทวีบ้าง เพราะเราจะยกราชสมบัติให้แก่บุตรของนาง ส่วนเราจักไปคันธารบุรี ตรัสสั่งแล้วทรงเกือกแก้ว​ถือพระขรรค์แก้วขึ้นสู่อากาศ ทรงแสดงอานุภาพเฉพาะหน้าทหารที่ล่วงหน้ามา แล้วตรัสสั่งว่า พวกท่านจงรีบเดินกัน แล้วเสด็จหาพระนางพรหมจารี ตรัสสั่งว่า แม่จงไปอนูปมนคร ดูแลครรภ์แม่อุตตมธานีเทวี ส่วนเราจะไปคันธารบุรีรบพระเจ้าเตชุคตสิปปราช พระโพธิสัตว์ประทับอยู่กับพระนางพรหมจารีสิ้นราตรี ๑ รุ่งขึ้นทรงเหาะไป เสด็จถึงคันธารนครราวเที่ยงวัน เข้าไปเฝ้าพระเจ้าคันธารราชจึงตรัสถามว่ามาจากไหน พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่ามาจากอนูปมนคร มาทำไม ก็พระองค์ทรงส่งข่าวสาส์นถึงหม่อมฉันว่า พระเจ้าเตชุคตสิปปราชยกทัพมาประชิดพระนคร ขอสามีนางอุตตมธานีจงยกทัพมาช่วย ได้ยินข่าวนี้หม่อมฉันจึงมา ท่านคือสามีของนางอุตตมธานีหรือ ถูกแล้ว พระเจ้าคันธารราชทรงดำริว่า ถ้าเป็นสามีของนางอุตตมธานี ไฉนจึงมาคนเดียว หรือพักพลไว้ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้วมาคนเดียวก่อน จึงตรัสถามว่า พลโยธาของท่านอยู่ที่ไหน ยังยกมาไม่ทัน ลำดับนั้นพระเจ้าคันธารราชจึงตรัสสั่งอำมาตย์ผู้หนึ่งว่า จงจัดที่ประทับถวาย แล้วทรงมอบนางบาทบริจาริกาคน ๑ บุรุษคน ๑ แก่พระโพธิสัตว์เจ้า เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จไปแล้ว พระเจ้าพุทธโฆษราชจึงตรัสถามอำมาตย์ว่า ท่านผู้นี้บอกเราว่าเป็นสามีของลูกอุตตมธานีเทวี พวกท่านเชื่อหรือไม่ ไม่เชื่อพระเจ้าข้า ก็สามีของพระนางอุตตมธานีเทวีเสวยราชย์อยู่ในอนูปมนคร เหตุไฉนจึงมาคนเดียว เพราะฉะนั้นจึงเชื่อไม่ได้ บางพวกก็ว่า ผู้นี้บางทีจะเป็นเสนาอำมาตย์ของพระสวามีพระนางอุตตมธานี บางพวกก็ว่า ผู้นี้เหาะมา บางทีจะเป็นยักษ์ ไม่เช่นนั้นก็เป็นปีศาจแปลงเป็นมนุษย์มา ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นภูตแปลงเป็นมนุษย์มาหาอาหารกิน ขณะนั้นมีอำมาตย์คนหนึ่งชื่อว่าคัมภีรบัณฑิตจึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ไหว้แล้วนั่งลงสนทนาปราศรัยไต่ถามสุขทุกข์ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียนดอกหรือ ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล ธัญญาหารในอนูปมนครสมบูรณ์อยู่หรือ ชาวชนบทชาวนิคมเป็นผาสุกหรืออย่างไร พระโพธิสัตว์จึงตรัสตอบว่า เป็นสุขสบายด้วยกันทุกถ้วนหน้า ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาธัญญาหารก็บริบูรณ์ คัมภีรบัณฑิตจึงถามว่า มเหสีของพระองค์ชื่อไร ชื่อพรหมจารีพระนาง ๑ ชื่อเทวธิสังกาพระนาง ๑ ชื่ออุตตมธานีพระนาง ๑ เหตุไรพระนางอุตตมธานีจึงไม่มากับพระองค์ เพราะพระนางทรงครรภ์ พระองค์มีพระนามว่ากระไร เรามีนามว่าจันทคาธ คัมภีรบัณฑิตได้ยินดังนั้นคิดว่า โอรสของพระเจ้านันทกิตติราชมีพระราชสาส์นมาสู่ขอพระนางอุตตมธานี พระนามว่าสุทัสสนจักรกุมาร ท่านผู้นี้ชื่ออื่น มิใช่ชื่อนั้น คิดฉะนี้แล้วจึงทำอุบายว่า ข้าแต่เทวะ พระองค์ทรงส่งแก้วมณีหาค่ามิได้มาถวายพระราชา ๆ ได้ประทาน​แก้วนั้นแก่ภรรยาข้าพระองค์ บัดนี้นางจำไม่ได้ บางทีพระองค์จะทรงทำได้ ขอได้โปรดชี้แก้วนั้นให้ข้าพระองค์ดู พระโพธิสัตว์จึงทรงปฏิเสธว่า ฉันไม่ได้ส่งบรรณาการมาถวายพระราชาของท่าน เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่รู้จักแก้วมณีนั้น ในเวลาที่ส่งราชสาส์นไปขอพระนางอุตตมธานี พระองค์ทรงส่งราชบรรณาการไปมิใช่หรือ เรามิได้ขอพระนางอุตตมธานี คัมภีรบัณฑิตเกิดความสงสัย จึงไปเฝ้าพระเจ้าคันธารราช ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้นี้หาใช่พระสวามีพระราชธิดาของพระองค์ไม่ เพราะว่าพระสวามีของพระนางนามว่าสุทัสสนจักรราชกุมาร ส่วนผู้นี่ชื่อจันทคาธ ต่างกันเช่นนี้ อนึ่งจันทคาธบอกแก่ข้าพระองค์ว่ามิได้ส่งบรรณาการและข่าวสาส์นมาถึงพระองค์ เพราะฉะนั้นจักไม่ใช่พระสวามีของพระนางแน่ เสนาอำมาตย์ได้ยินดังนั้นต่างก็ปรบมือหัวเราะเยาะว่า จริงอย่างเราว่า พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น พระพักตร์ก็เสียกริ้วแหว ทรงปรารภจะฆ่าพระโพธิสัตว์ รับสั่งหาเสนาบดีมาตรัสสั่งว่า ท่านจงจับมาณพนั้นฆ่าเสียเถิด พระนางรัตนรังษีเทวีได้ทรงสดับข่าวนั้นจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ อย่าเพ่อกริ้วเช่นนั้นทรงรอไว้ก่อน โปรดเรียกโหรมาไต่ถามดู จริงอย่างพระนางว่า แล้วรับสั่งหาโหรมาตรัสถามว่า ลุง มาณพนั้นมาหาเรา ว่าจะมาช่วยจริงหรือไม่จริง โหรเฒ่าจึงนับนิ้วคำนวณดูแล้วทูลว่าจริง ลุงจงตรวจดูให้ละเอียด มาณพผู้นี้เป็นมิตรหรือเป็นข้าศึกของเรา อนึ่งชะตาบ้านเมืองของเราจักแพ้ข้าศึกหรือว่าจักชนะ โหรเฒ่าก็ตรวจดูคัมภีร์ทั้ง ๔ คือโจรศาสตร์ ชวศาสตร์ ทสาสังศาสตร์ มังคลิมนทศาสตร์ สอบดูเห็นแน่ กราบทูลว่า ขอเดชะ ชะตาบ้านเมืองของเราดี พระราชวงศ์ของพระองค์รุ่นหนุ่มมีมหิทธานุภาพมาก เหาะมาช่วยป้องกัน จักชนะข้าศึกเป็นแน่ มาณพผู้นี้คือราชวงศ์ซึ่งเป็นพระสวามีของพระธิดาของพระองค์เป็นแท้ เสนาอำมาตย์ได้ยินดังนั้นต่างก็นิ่งอยู่ ส่วนพระราชาพระทัยอ่อนลง

ตทา ในกาลนั้นเสนาบดีของพระเจ้าเตชุคตสิปปราช นามว่ามังคลวิชยา ยกพลโยธา ๕๐ แสนมาประชิดคันธารนคร ให้ทหารกระทำปราการและหอรบล้อมรอบพระนคร แล้วตั้งค่ายลงในที่นั้น มหาอำมาตย์ของพระเจ้าพุทธโฆษราชคนหนึ่งนามว่าหัตถวิชชะ รอบรู้ในหัตถิศิลปะ ยกพลช้าง ๕ แสนออกจากพระนคร เข้าทำลายประการและหอรบของข้าศึกพวกข้าศึกล้มตาย แต่บางพวกหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ บางพวกก็หนีลงน้ำ พวกที่ตายประมาณ ๒๕ แสนคน ส่วนทหารของหัตถวิชชะมหาอำมาตย์ รบรุกเข้าไปจนถึงค่ายของมังคลวิชชาอำมาตย์ แต่ทำลายค่ายไม่ได้ เพราะว่าทำด้วยไม้อย่างมั่นคงและเพราะมีพลโยธามากมาย

ตทา ในกาลนั้นอำมาตย์ของพระเจ้าเตชุคตสิปปะอีกคนหนึ่ง ชื่อสขยวิจุณ ยกพลโยธาไป ๕๐ แสน ๘ หมื่นไปช่วย รู้ข่าวว่าทัพหน้าแตกก็รีบยกทัพเข้าปล้นทหารพระเจ้าพุทธโฆษราช เมื่อชิงค่ายฝ่ายของตนได้แล้ว ก็หยิบลูกศรอสิงเขยยวิจุณขึ้นยิงไป เสียงดังราวกะเสียงฟ้าผ่าสักแสนครั้ง พลโยธาของพระเจ้าพุทธโฆษราชประมาณโกฏิหนึ่งหูแตกตาย ที่ไม่ตายก็วิ่งหนีเข้าเมืองไป พวกรักษาประตูรักษากำแพงต่างช่วยกันปิดประตูเมือง ถ้าจะมีคำถามว่า ฝ่ายข้าศึกทำไมหูไม่แตกเล่า ตอบว่า เพราะปิดหูด้วยจุณต่าง ๆ เสีย จึงไม่ตาย ชาวพระนครคันธารรัฐต่างร้องไห้ระงมไป ลำดับนั้น พระเจ้าคันธารราชจึงรับสั่งหาเสนาอำมาตย์ราชปุโรหิตมาตรัสถามว่า พวกเราใครสามารถรบข้าศึกได้บ้าง ทุกคนกลัวความตายต่างก็นิ่งอยู่ พระราชาตรัสถามถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ขณะนั้นเสนาบดีคิดว่า ถ้าเรานิ่งเสียก็จักตาย ถ้าเราออกรบก็จักตาย จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ คืนนี้ข้าพระพุทธเจ้าจักออกปล้นค่าย ครั้นแล้วระดมทหาร ๑ หมื่นมีอาวุธครบมือ ออกจากพระนครยกเข้าทำลายปราการ ขณะนั้นพวกข้าศึกที่อยู่ในปราการต่างก็พุ่งหอกโตมรและลูกศรไป ทหารเสนาบดีทั้งปวงได้รับทุกขเวทนาและตายกันมากมาย (ที่เหลือตาย) ก็ปรารภจะหนี ทหารข้าศึกออกจากปราการจับทหารชาวเมืองมาฆ่า ฝ่ายเสนาบดีเห็นทหารของตนตายมาก ก็พากันหนีเข้าเมืองปิดประตูเสีย ทหารข้าศึกเข้าเมืองไม่ได้ก็วิ่งอยู่รอบนอก โดนข้าศึกยิงตายเสียก็มาก ตั้งแต่นั้นต่างฝ่ายต่างก็ขยาด ฝ่ายแม่ทัพชาวอนูปมนครก็ยกพล ๔ อักโขภินีมาพร้อมด้วย กษัตริย์ ๒,๐๐๐ เดินทางมาจากอนูปมนคร รีบมาทั้งกลางวันกลางคืน ถึงคันธารนครก็ตั้งค่ายลงนอกเมืองแล้วเข้าในเมืองเข้าเฝ้าพระราชา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระเจ้าคันธารราชทอดพระเนตรเห็นก็ดีพระทัยตรัสถามว่า พ่อได้ทหารชาวอนูปมนครมาหรือไม่ได้ ขอเดชะ ได้ทหารชาวอนูปมนครมา ๒ อักโขภินี และได้ทหารชาวเมืองอื่นอีก ๒ อักโขภินี รวมจำนวนทั้งสิ้นเป็น ๔ อักโขภินี พระเจ้าคันธารราชจึงทรงปรับทุกข์ว่า ทหารของเราตายเสียมากมาย หัตถวิชชะอำมาตย์ยกออกไปรบครั้งเดียว ทหารเราหูแตกตายเสียมากต่อมาก เราตั้งตาคอยพวกเจ้าอยู่ สามีของนางอุตตมธานีไม่ได้มาด้วยหรือ ขอเดชะพระสามีของพระนางส่งทหารและพวกข้าพระพุทธเจ้ามาด้วยกันกำชับว่า พวกท่านจงรีบไปก่อนเถิด ส่วนเราจะเหาะไป พวกข้าพระพุทธเจ้าก็พากันล่วงหน้ามาก่อน แต่ไฉนจึงยังเสด็จมาไม่ถึง ก็ท้าวเธอเสด็จมาในวันไหนเล่าพ่อ ในวันอัฏฐมีพระเจ้าข้า ในวันอัฏฐมีมีมาณพหนุ่มคนหนึ่งมาที่นี่ แต่เราไม่รู้จัก พวกอำมาตย์ได้ยินดังนั้นก็กล่าวขึ้นว่า ไม่เห็น​พระสวามีของพระนางอุตตมธานี เห็นแต่มาณพคนหนึ่งคล้ายคนจนมาขอภิกษา เดี๋ยวนี้อยู่ในเรือนน้อย พระเจ้าพุทธโฆษราชจึงตรัสว่า เชิญไปดูสิ ถวายบังคมแล้วก็ไปดูเห็นพระโพธิสัตว์ก็จำได้ จึงก้มลงไหว้ พระโพธิสัตว์จึงถามว่ามาถึงเมื่อไรท่านราชทูต ถึงวานนี้ พระเจ้าข้า วันที่พระองค์เสด็จมาถึงนี่ไม่ได้แจ้งให้พระเจ้าพุทธโฆษราชทรงทราบ แจ้งทั้งพระเจ้าพุทธโฆษราชทั้งอำมาตย์ แต่ไม่มีใครเชื่อ อนึ่งเราขายหน้าใคร่จะกลับบ้านเมือง แต่ก็กลัวนางอุตตมธานีจะเสียใจ จึงรอท่านราชทูตอยู่ วิพุทธิฆสราชทูตได้ทราบเรื่องดังนั้นก็เสียใจไม่อาจนั่งอยู่ได้ ลุกขึ้นจากอาสนะไปด่าพวกอำามาตย์ว่า พวกท่านเป็นคนโง่หาปัญญามิได้ พวกข้าศึกมาตัดศีรษะเราจะไม่เสียใจเลย

โข ลำดับนั้น พระราชวงศ์ของพระเจ้าพุทธโฆษราชนามว่ามงคลวิชชา ดำรงอยู่ในตำแหน่งอุปราช ประทับอยู่ในท่างกลางอำมาตย์เหล่านั้น ได้ทรงสดับถ้อยคำของวิพุทธิฆสราชทูตก็กริ้วจึงตรัสบริภาษว่า เจ้าไปอยู่อนูปมนครไม่ได้พระสวามีของพระนางมา กลับมาดูหมิ่นด่าว่าเสนาอำมาตย์ราชปุโรหิตของเรา อนึ่งราชามหาอำมาตย์แต่ก่อนแล้วเมื่อแพ้แล้วไม่ตายหรือ ขอเดซะ พวกราชามหาอำมาตย์เห็นข้าศึกจึงรบ หรือว่าเห็นความไม่งามในพระนครบัดนี้ส่งเสียงยังกะแร้งกะกา พระองค์หูหนวกไม้ได้ยินเสียงสตรีร้องไห้เพราะเหตุแห่งผัว พระองค์ตาบอดไม่เห็นกเฬวราก ได้แต่ดูหมิ่นผู้มีบุญญานุภาพเท่านั้น ไม่รู้จักหาอุบายแก้ไข มงคลวิชชามหาอุปราชได้สดับดังนั้นจึงตรัสว่า เจ้าอย่าเพ่อพูด ถ้านายของเจ้ามีบุญมีฤทธิ์จริง พรุ่งนี้จงออกจากพระนครไปรบดู ถ้าแพ้เราจะตัดศีรษะท่านเสีย ถ้าชนะเราจะกราบตีนนายของเจ้า และเราจะตกอุปราชสมบัติให้แก่เจ้า พระองค์อย่าพึ่งตรัส พรุ่งนี้คอยดู ข้าพระองค์จะออกไปรบกับนาย ๒ คนเท่านั้น ทูลแล้วประกาศให้มหาชนทราบ ว่าพรุ่งนี้พวกท่านจงดูอานุภาพแห่งนายของเรา ครั้นแล้วไปเฝ้าพระรัตนรังษีราชเทวีผู้พี่ของตน ทูลว่า ขอจงได้จัดภาชนะทองอันเต็มไปด้วยโภชนะไปถวายพระเจ้าจันทคาธผู้เป็นพระสวามีของพระนางอุตตมธานี ขณะเมื่อชนทั้ง ๒ โต้เถียงกันอยู่ มีพวกมหาอำมาตย์มาประชุมกันอยู่พร้อม แต่ไม่มีใครกล้าห้าม ต่างคนต่างนิ่งเฉยอยู่ จึงพระราชวงศ์พระนามว่า มงคลวิชชา เสด็จไปเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ พรุ่งนี้จันทคาธกับนายพลวิพุทธิฆสะจะออกรบกับข้าศึก ถ้าแพ้หม่อมฉันก็จะให้ตัดศีรษะ ถ้าชนะจะยกอุปราชสมบัติให้ พระราชาก็ทรงนิ่งเฉยอยู่ รุ่งขึ้นนายพลวิพุทธิฆสะจึงพาพระโพธิสัตว์ไปเฝ้าพระราชาถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ วันนี้ขอพระองค์จงคอยดู​อานุภาพของท่านผู้นี้ จะออกไปรบกับข้าศึกคนเดียวเท่านั้น พระราชาจึงพระราชทานพรแล้วทรงส่งไป ชนทั้ง ๒ ถวายบังคมแล้วก็ทูลลากลับไปที่อยู่

โพธิสตฺโตปิ ส่วนพระโพธิสัตว์ประดับพระองค์แล้ว ผูกสอดด้วยอาวุธ ๕ ทรงพระขรรค์ทิพย์ ใส่ฉลองพระบาทแก้ว ใส่แว่นตาทิพย์ พร้อมด้วยนายพลวิพุทธิฆสะ ไปท่ามกลางพระนครแสดงพระรูปสิริแก่มหาชน ชาวพระนครต่างส่งเสียงว่าพวกเราจักได้เห็นพระเดชานุภาพของพระสวามีพระนางอุตตมธานีเทวี ลำดับนั้นชนทั้ง ๒ ก็ออกจากพระนครไปยังค่าย ยกกองทัพออกจากค่าย พระโพธิสัตว์เสด็จออกหน้า ทหารทั้งปวงต่างก็โห่ร้องตามเสด็จไป

พนฺธุมวติโยธา ปน ส่วนทหารของพระเจ้าพันธุมวดีอยู่ในป้อมก็วัดธนูลูกศรและอาวุธต่าง ๆ ออกไป พระโพธิสัตว์ก็เหาะขึ้นไปรับเสียหมดสิ้น พระราชาต่างก็รับสิ่งนั้น ๆ แต่พระหัตถ์ของพระเจ้าจันทคาธ ทหารเหล่านั้นเมื่อสิ้นอาวุธแล้วต่างก็ออกจากค่ายหนีไป ทหารของพระเจ้าจันทคาธก็ไล่ตามจับนำมาค่ายของตน

ส่วนนายพลอสังเขยยะปริณายก เห็นทหารของตนแตกก็หยิบลูกศรชื่อปฐวีวิจุณยิงพระโพธิสัตว์ เสียงลูกศรดังราวกะเสียงฟ้าคะนองตั้งแสนครั้ง ด้วยอานุภาพแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า ไม่มีใคร ๆ ต้องอันตรายเลย ส่วนพระโพธิสัตว์เหาะขึ้นไปรับลูกศรไว้ ยิงมาก็ทรงรับได้ทุกครั้ง พอหมดลูกศรนายพลอสังเขยยวิจุณก็เปิดประตูค่ายไล่ทหารของตนออก พระโพธิสัตว์เจ้าทรงทราบความจึงทรงจัดทหารให้ไปทางหลังค่ายให้จับทหารพระเจ้าพันธุมวดีเหล่านั้นไว้ นายพลอสังเขยยะจึงพาทหารของตนกลับเข้าต่อสู่ประจันบานกัน ทหารของพระเจ้าพันธุมวดีตายเสียมากกว่ามาก พวกที่ยังไม่ตายก็ถูกจับไปเป็นเชลยบ้าง กลับไปบ้านเมืองของตนบ้าง

โพธิสตฺโตปิ โข แม้พระโพธิสัตว์เมื่อทรงชนะข้าศึกก็ปรารภจะเสด็จเข้าพระนคร ขณะเมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จออกจากพระนครพระราชวงศ์พระนามว่ามงคลวิชชาให้ปิดประตูเมืองเสีย แล้วชวนชาวพระนครขึ้นไปสู่บนกำแพง พลชาวพระนครเห็นพระโพธิสัตว์เหาะขึ้นไปรับลูกศรไว้ได้ต่างก็ชมเชยว่า ท่านผู้นี้มีบุญญานุภาพมาก ส่วนพระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นประตูเมืองปิด จึงทรงกระโดดเข้าไปในพระนครเปิดประตูออกแล้วเสด็จไปยังพระราชทวาร พวกทหารของพระโพธิสัตว์ช่วยกันนำอาวุธของข้าศึก ไปวางไว้ที่หน้าพระลานกองโตเท่าภูเขา ​บางพวกก็จับทหารของพระเจ้าพันธุมวดีมาถวายพระเจ้าพุทธโฆษราช ประมาณ ๕ แสนคน ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์และนายพลวิพุทธิฆสะ ต้องตรวจตราราชการทุกอย่างทุกประการ ชาวพระนครต่างก็นำเครื่องบรรณาการมีเงินทองและแก้วเป็นต้นไปถวายพระโพธิสัตว์เจ้า กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พวกข้าพระพุทธเจ้าได้พระองค์เป็นที่พึ่งจึงมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าหาไม่ก็ตายกันหมดสิ้น

ส่วนนายพลอสังเขยยวิจุณแตกทัพหนีไปถึงพันธุมวดีนคร เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเตชุคตสิปปราช ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะทหารของพระเจ้าพุทธโฆษราชมีมหิทธานุภาพมากนัก เมื่อข้าพระพุทธเจ้าหยิบธนูแสนหนึ่งยิงไป เขาก็รับไว้ได้หมด พอหมดลูกศรเขาก็กระโดดเข้ามาในค่ายฆ่าทหารตายเสียมากมาย พลทหารก็กล้าเหลือ เข้ามาจับทหารของเราไปเป็นเชลยเสียเยอะแยะ พระเจ้าเตชุคตสิปปราชได้ทรงสดับดังนั้นก็ประทับนิ่งอยู่ ก็ในกาลนั้นพระเจ้าเตชุคตสิปปราชมีนายพลคนหนึ่งนามว่า อคัตตนาลี มีความรู้เชี่ยวชาญในเวทย์มนต์ สามารถที่จะกำบังกายของพลทหารได้ตั้งแสน เมื่อมาได้ยินคำกราบทูลของอสังเขยยะดังนั้น จึงกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าจะขอทหารไปสักแสนคน จับทหารผู้มีมหิทธานุภาพคนนั้นมาถวายพระองค์ให้จงได้ แม้พระเจ้าเตชุคตสิปปราชก็ทรงอนุญาต นายพลอคัตตนาลีจัดพลนิกายของตน กราบถวายบังคมลาพระราชาแล้ว ก็ยกพลออกจากพันธุมวดีนคร เดินเข้าแคว้นคันธารรัฐ เวลากลางวันก็ซุ่มอยู่ในที่แห่งใดที่แห่งหนึ่ง ถึงเวลากลางคืนจึงออกเดินทางมา หลบซุ่มมาจนใกล้เมืองคันธารบุรี แล้วสั่งทหารของตนว่าคืนวันนี้เราจะเข้าไปภายในคันธารนคร จับทหารคนที่มีมหิทธานุกาพมากนั้นมา

อถ โพธิสตฺโต ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์เจ้า ทอดพระเนตรเห็นทหารที่กำบังกายเหล่านั้นได้โดยอานุภาพแห่งแก้วมณี จึงตรัสสั่งราชบริพารของพระองค์ว่า คืนวันนี้พวกท่านจงอย่าประมาทพวกข้าศึกมาในเมือง พวกท่านจงเอาเขฬะของเราทาตาก็จักเห็นข้าศึก พวกพลโยธาก็ปฏิบัติตามแล้วผูกสอดอาวุธครบ ออกจากพระนคร ส่วนนายพลอคัตตนาลีพร้อมด้วยทหารแสนหนึ่งมาพบทหารพระโพธิสัตว์ จึงร่ายมนต์หวังจะมิให้เห็นร่างกายของตนแล้วก็ซุ่มอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ส่วนทหารของพระโพธิสัตว์เห็นข้าศึกเข้าก็วิ่งเข้าไปจับเป็นบ้าง ฆ่าเสียบ้าง บ้างก็ประจันบานกัน นายพลอคัตตนาลีจึงคิดว่า หหารฝ่ายเราน้อย ฝ่ายข้าศึกมากกว่า ขืนรบสู้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ปรึกษาใคร ลอบหนีไปยังพันธุมวดีนครแต่ผู้เดียว ฝ่ายทหาร​เมื่อไม่เห็นนาย ต่างก็สะดุ้งกลัวทิ้งอาวุธลงนั่ง ทหารฝ่ายอนูปมนครก็เข้าจับพวกทหารเหล่านั้นผูกมัดแล้วเข้าไปสู่พระนครแสดงแก่พระโพธิสัตว์เจ้า จึงพระโพธิสัตว์เจ้าให้พันธนาการพวกเชลยด้วยตรวน ส่วนชาวพระนครต่างก็พากันเยินยอเกียรติคุณพระโพธิสัตว์ว่าท่านมีฤทธิ์มากจริง มีตาเป็นทิพย์ พวกเราแลไม่เห็นข้าศึก แต่ท่านรู้ท่านเห็น นายพลอคัตตนาลีไปในกลางคืน รุ่งขึ้นไปพบทหารที่หนีไป ๕ คนจึงพาทหารพวกนั้นไปสู่พันธุมวดีนคร เข้าเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ ทหารของพระเจ้าพุทธโฆษราชมีศิลปะมากรู้เวทมนต์ แม้พวกข้าพระพุทธเจ้ากำบังกาย แล้วออกเดินทางในเวลากลางคืน ถึงกลางวันก็หลบซ่อนเสีย แม้อย่างนั้นข้าศึกก็ยังรู้เห็น พากันออกมาจากพระนคร พบพวกข้าพระพุทธเจ้าก็เข้ารบ พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอาวุธยุทธภัณฑ์อะไรก็ต้องนั่งนิ่งเฉยอยู่ พวกข้าศึกต่างก็มาจับไปบ้าง ฆ่าเสียบ้าง พวกเราเลยหมดคน เหลือมากับข้าพระพุทธเจ้า ๕ คนเท่านั้น

สุตฺวา พระเจ้าเตชุคตสิปปราชได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสกะนายพลธรณีเภทีว่า ท่านต้องไปเอง นายพลธรณีเภทีรับพระราชโองการแล้ว ประชุมทหารของตน จัดทหารได้ ๑๘ แสน ได้ยินว่านายพลธรณีเภทีรู้เวทมนต์เดินบนหลังน้ำได้ ดำดินก็ได้ สามารถพาทหาร ๑๘ แสนไปใต้ดินได้ นายพลธรณีเภทีผูกสอดอาวุธครบพร้อมด้วยทหาร ๑๘ แสนไปยังคันธารบุรี พอใกล้ก็ดำดินไปผุดขึ้นในท่ามกลางพระนคร ด้วยอานุภาพแห่งแก้วมณี พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นพวกนั้นก่อน จึงรับสั่งหาเสนาบดีมาทรงบัญชาว่า บัดนี้ข้าศึกดำดินมา จักมาขึ้นในท่ามกลางพระนคร เพราะฉะนั้นจงประกาศแก่ชาวพระนครว่า จงเอาไม้แก่นทำเป็นตาราง ๔ เหลี่ยม ลาดดักไว้ตามพื้นดินให้ทั่ว เสนาบดีรับพระราชโองการมาแล้วก็กระทำตาม วันที่พวกข้าศึกจะมาถึง พระโพธิสัตว์จึงตรัสบอกว่า พวกท่านจงอย่าประมาท จงคอยระวังวันนี้ข้าศึกมาถึงละ พวกชาวพระนครต่างก็ตามประทีปและคบเพลิงนั่งคอยดูกันอยู่ พอถึงเวลาเที่ยงคืน ทหารที่ดำดินก็โผล่ขึ้นและติดอยู่ในตาราง ๔ เหลี่ยมขึ้นไม่ได้ ชาวพระนครเห็นดังนั้นก็พากันเข้าจับเอาค้อนทุบตีบ้างเอามัดบ้าง บางพวกกลัวก็กลับดำดินหนีไปเสีย แต่นายพลธรณีเภทีกลับไปสู่พันธุมวดีนคร กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ทหารของพระเจ้าพุทธโฆษราชเฉลียวฉลาดมาก ข้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยทหาร ๑๘ แสนดำดินไป ฝ่ายข้าศึกรู้เข้าก็เอาไม้แก่นมาทำเป็นตาราง ๔ เหลี่ยม พอทหารฝ่ายเราโผล่ขึ้นศีรษะก็ติดทันที ชาวพระนครจับได้บ้าง ฆ่าเสียบ้างทุบตีเสียบ้าง เพราะฉะนั้นพวกข้าพระพุทธเจ้าจึงได้พากันหนีมา พระเจ้าพันธุมวดีได้ทรงสดับดังนั้นก็กริ้ว จึงตรัสว่า ใครไปก็แพ้กลับมา คราวนี้เราจะไปเอง

ตทา เอโก ในกาลนั้นราชกุมารผู้เป็นพระโอรสของพระเจ้าตักกศิลาพระองค์หนึ่ง เสด็จมาแต่ตักกศิลาบุรี เพื่อทูลขอพระราชธิดาของพระเจ้าพันธุมวดี พระนามว่าสมุททชา ประทับนั่งอยู่ในท่ามกลางอำมาตย์ จึงพระราชาตรัสถามพระราชกุมารพระองค์นั้นว่า เธอพร้อมทหารจักอาจไปรบไหม พระราชกุมารประคองอัญชลีแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ หม่อมฉันจักทูลลาพระองค์ไปแต่ผู้เดียว จับทหารพร้อมด้วยพระราชามาถวายพระองค์ ขอพระองค์อย่าทรงวิตก เปิบข้าวกินยากกว่า ถ้าได้เช่นนั้น เราจะยกธิดาให้ พระราชกุมารพาบริษัทไป ๒๐๐ ถวายบังคมลาแล้วออกจากพระนคร เดินทางไปใกล้คันธารบุรี ให้บริษัทถือใบพลูร่ายมนต์ ใบพลูก็กลับกลายเป็นจตุรงคเสนาเข้าห้อมล้อมพระราชกุมาร เดินเรื่อยมาจนถึงคันธารบุรี จึงพระราชกุมารตั้งค่ายอยู่รอบพระนคร พระราชกุมารประทับอยู่ในที่แจ้ง ร่ายมนต์ให้เกิดมืดฟ้ามัวฝนเกือบจะบังแสงพระจันทร์พระอาทิตย์เสียสิ้น ลำดับนั้นชาวพระนครต่างก็หวาดกลัวร้องไห้ร่ำไร เกิดโกลาหลไปทั้งพระนคร พระโพธิสัตว์ทราบเหตุผลตลอด จึงรับสั่งหาอำมาตย์ทั้งหลายมาตรัสว่า พวกท่านจงออกไปดูข้าศึก แล้วบ้วนเขฬะให้แก่อำมาตย์ทั้งหลาย พลนิกายมีเสนาอำมาตย์เป็นต้น ได้เขฬะแล้วทาตาผูกสอดอาวุธครบออกจากพระนคร แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากพระราชกุมารกับบริวารร้อยหนึ่งจึงวิ่งเข้าจับ พระราชกุมารทั้งบริวารเห็นข้าศึกวิ่งเข้ามาดังนั้นก็หวาดกลัว หนีไปยังทิศน้อยทิศใหญ่กลับไปยังบ้านเมืองของตน หาได้ไปสู่พันธุมวดีนครไม่

ตทา กาลนั้นพระนครสุวรรณภูมิ มีพระราชกุมารองค์หนึ่งใคร่จะขอพระราชธิดาของพระเจ้าเตชุคตสิปปราช จึงนำเครื่องบรรณาการต่างๆ มาถวายพระเจ้าเตชุคตลิปปราช พระราชาจึงตรัสถามว่า ถ้าท่านรบคันธารบุรีชนะจับพระราชามาได้ เราจักยกธิดาให้ ขอเดชะ มีพระราชประสงค์จะให้กระทำอะไร กระหม่อมฉันจักฉลองพระเดชพระคุณได้ พ่อจงตัดศีรษะพระเจ้าคันธารราชมาให้เราได้ เราก็จักยกธิดาให้ พระราชกุมารก็ดีพระราชหฤทัย กราบทูลลาพาบริษัทของตนมาถึงคันธารบุรี ร่ายมนต์เกิดความมืดบังพระอาทิตย์เสียสิ้น ในคันธารบุรีมืดไปทั่วหมด แล้วทรงร่ายมนต์ให้เกิดอสรพิษขึ้นมากมาย แล้วตรัสบัญชาว่า พวกเจ้าจงเข้าไปภายในพระนคร รัดชาวพระนครให้สิ้นแล้วพาออกมา พวกอสรพิษก็เข้าไปภายในพระนคร อยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ชาวเมืองเรียกกันลั่น บางพวกก็ตามประทีปตามคบเพลิง เห็นงูอยู่ทั่วไปทุกแห่งก็ร้องเกรียวกราว แม้พวกอสรพิษก็เข้ารัดบ้าง กัดบ้าง ตายไปตาม ๆ กัน มหาชนจึงพร้อมกันไปเฝ้าพระโพธิสัตว์เจ้า ๆ เห็นดังนั้นก็ทรงทราบตลอด ​จึงตรัสแก่มหาชนว่า พวกท่านจงเอาน้ำลายไปทาตาดู มหาชนก็เอาน้ำลายพระโพธิสัตว์ไปทาตา มองไม่เห็นอสรพิษ เห็นแต่พระราชกุมารพร้อมด้วยบริวาร จึงต่างเข้าจับอาวุธวิ่งตามจับพระราชกุมาร ที่มืดก็สว่างขึ้นทันที ส่วนพระราชกุมารเห็นดังนั้นก็หวาดกลัวเสด็จหนีไป แล้วเสกเชือกให้เป็นนาคราช เลื้อยมาในท่ามกลางพระนครจนถึงสำนักพระราชา อสรพิษทั้งปวงก็อันตรธานไป คงเหลือแต่พระยานาคตัวเดียว พระโพธิสัตว์ทรงเกือกแก้ว ทรงอธิษฐานแก้วมณีทิพยเนตรเป็นพระยาครุฑ พระยาครุฑก็ตรงเข้าจิกพระยานาคๆ ก็กลับเป็นเชือกอย่างเดิม พระราชกุมารจึงเสด็จกลับพันธุมวดีนคร เข้าเฝ้าพระราชาแล้วทูลประพฤติเหตุให้ทรงทราบตลอด พระเจ้าเตชุคตสิปปราชได้ทรงสดับดังนั้นจึงน้อยพระหฤทัย ทรงพระดำริว่าคนอื่นนอกจากเราไม่มีใครสู้ได้ เราจะขึ้นคอยักษ์ไปสู่คันธารรัฐ ตัดพระเศียรพระเจ้าพุทธโฆษราชเสีย จึงทรงผูกสอดอาวุธครบ รับสั่งหามหายักษ์มา ตรัสบอกว่า เราจักไปคันธารรัฐ จับพระเจ้าพุทธโฆษราชมาตัดศีรษะเสีย แล้วเสด็จขึ้นคอยักษ์ไป ยักษ์ก็พาพระเจ้าเตชุคตสิปปราชเหาะไป ถึงคันธารบุรีแล้วจึงเสด็จเข้าไปหาพระเจ้าพุทธโฆษราชท่ามกลางอำมาตย์ แล้วตรัสว่า ท่านไม่ให้ราชธิดาแก่เรา เราจึงมาจะตัดศีรษะท่านในบัดนี้ ท่านใคร่จะเสวยอะไรก็รีบเสวยเสีย พวกเสนาอำมาตย์ราชบุตรได้สดับดังนั้นก็หวาดกลัวไม่อาจจะนั่งอยู่ได้ จึงไปเฝ้าพระเจ้าจันทคาธ ถวายบังคมแล้วทูลวิงวอนว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า อาศัยความกรุณา ขอพระองค์ได้ให้พวกข้าพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป พระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้นก็ทรงนิ่งอยู่ ลำดับนั้นพระเจ้าพุทธโฆษราชเสด็จเข้าไปหาพระโพธิสัตว์แล้วตรัสว่า พ่อจงเป็นที่พึ่งของพวกเราด้วย ข้าแต่พระองค์อย่าทรงหวาดกลัว การจับยักษ์จับพระเจ้าเตชุคตสิปปราชเป็นภาระของหม่อมฉัน ฝ่ายพระเจ้าเตชุคตสิปปราชเห็นหมู่ชนไปประชุมกันอยู่ที่พระโพธิสัตว์ จึงตรัสว่า พวกท่านไปหามาณพจะเอาเป็นที่พึ่ง มาณพนั้นเป็นที่พึ่งของพวกท่านไม่ได้ พระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้นทรงจับพระขรรค์กายสิทธิ์ ทรงเกือกแก้วเหาะไปอยู่ตรงหน้ายักษ์ จึงทรงเงือดเงื้อพระขรรค์ขึ้นสำทับว่า เราจะตัดศีรษะของเจ้าเสีย มหายักษ์เห็นดังนั้นก็หวาดกลัวตัวสั่น ไม่อาจรออยู่ได้เลยเหาะหนีไป ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์จึงเสด็จไปขวางหน้าไว้ ยักษ์กลัวยิ่งขึ้น จึงทิ้งพระเจ้าเตชุคตสิปปราชแล้วหนีไป พระโพธิสัตว์จึงเสด็จตามมหายักษ์ไป ส่วนพระเจ้าเตชุคตสิปปราชเลยพลัดมาจากอากาศตกลงในท่ามกลางพระนคร ชาวพระนครมีเสนาอำมาตย์เป็นต้นเห็นดังนั้นต่างเข้าจับ บ้างก็ทุบบ้างก็ตี นำมาถวายพระเจ้าพุทธโฆษราช ฝ่ายมหายักษ์วิ่งแน่วไปยังแนวป่าใหญ่ หลบลี้อยู่ตามซอกเขา พระโพธิสัตว์เจ้าทรงหาไม่พบเลยเสด็จกลับมายังที่ประทับของพระองค์

อถ พุทธฺโฆโสราชา ลำดับนั้นพระเจ้าพุทธโฆษราช ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าเตชุคตสิปปราช จึงมีพระราชดำรัสถามว่า พระองค์ทรงทำสงครามกับหม่อมฉัน พระองค์มีพระประสงค์อะไร หม่อมฉันประสงค์พระนางอุตตมธานีพระราชธิดาของพระองค์ หาได้ประสงค์อย่างอื่นไม่ พระเจ้าพุทธโฆษราชจึงตรัสเรียกหญิงสาวแก่มาทรงมอบแด่พระเจ้าเตชุคตสิปปราชว่า พระองค์ประสงค์หญิงคนเดียวถึงต้องกระทำสงคราม หม่อมฉันจะถวายพระองค์สัก ๕๐๐ นาง แล้วได้พระราชทานสัญญาแก่หญิงเหล่านั้นๆ ต่างก็ลุกจากอาสนะกล่าวแย่งกันว่า เป็นสามีของเราๆ บางคนจูงบ้าง บางคนเข้าอุ้ม บางคนเข้านั่งใกล้ บางคนเข้ากอดบั้นเอว บางคนเข้ารัดอก บางคนเข้าลูบพระอังสา บางคนเข้าลูบพระเศียร บางคนเข้าคลำพระพักตร์ บางคนเข้าคร่าผ้าฉลองพระองค์ บางคนเข้าฉุดพระบาทบ้าง พระหัตถ์บ้าง ต่างก็ว่าเป็นสามีของเรา แต่บางคนก็อมน้ำไปบ้วนรดที่พระพักตร์พระเศียร ทำให้ทรงได้รับความละอายและทุกขเวทนา ต่อมาพระเจ้าพุทธโฆษราชทรงบัญชาหญิงเหล่านั้นว่า ทุก ๗ วันพวกเจ้าจงกระทำอนาจารให้พระเจ้าเตชุคตสิปปราชได้ทรงได้รับความละอายอย่างนี้ เมื่อหญิงเหล่านั้นกระทำอนาจารอยู่อย่างนี้เวลาล่วงไปถึงสามเดือน

โพธิสตฺโตปิ แม้พระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จเข้าไปหาพระเจ้าพุทธโฆษราชตรัสขอโอกาสแล้วทูลว่า มหาราชเจ้า ถ้าทรงกระทำกรรมกรณ์แก่พระเจ้าเตชุคตสิปปราชอย่างนี้ ก็จะเป็นเวรเป็นกรรมกันต่อไปในอนาคตกาล เพราะฉะนั้นขอพระองค์จงอดโทษประหารชีวิตให้แก่ท้าวเธอสักครั้ง พระเจ้าพุทธโฆษราชได้ทรงสดับดังนั้นจึงมีพระราชดำรัสว่า เราจักกระทำทาสกรณ์แก่เธอ จึงจักประทานชีวิตให้ แล้วตรัสสั่งให้เป็นคนเลี้ยงม้า พระโพธิสัตว์เจ้าประทับอยู่ในพระนครนั้นสามปี พอทัพศึกสงบเงียบดีก็เสด็จเข้าไปหาพระเจ้าพุทธโฆษราชทูลลาว่า ขอเดชะ พระนางอุตตมธานีทรงครรภ์แก่จักคลอดพระโอรสแล้ว หม่อมฉันไม่ทราบข่าวคราวเลย จักทูลลากลับไป เมื่อตรัสอนุญาตแล้วก็เสด็จไปหาพระนางรัตนรังสีเทวี ทูลลาว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉันคิดถึงพระนางอุตตมธานี ไม่ทราบข่าวว่าเป็นอย่างไรเลย หม่อมฉันขอทูลลาพระองค์ไป เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว มีพลโยธา ๔ อักโขภินีแวดล้อมออกจากพระนคร เสด็จถึงพระนครอนูปมนครก็เสด็จเข้าพระราชวัง

พฺรหฺมจารี ราชเทวีปิโข ฝ่ายพระนางพรหมจารีราชเทวีรับพระราชโองการของพระสวามีแล้ว ก็เสด็จไปสู่อนูปมนคร ทรงอภิบาลบำรุงพระราชกุมาร

อถโข ลำดับนั้น พระเทวีทั้งสาม คือพระนางพรหมจารี พระนางเทวธิสังกา พระนางอุตตมธานี ทรงทราบว่าพระโพธิสัตว์เจ้าผู้พระสวามีเสด็จกลับมาถึง ก็ทรงกระทำการต้อนรับ พระนางหนึ่งทรงล้างพระบาท พระนางหนึ่งเช็ดพระบาท พระนางหนึ่งจัดราชสาส์นถวาย พระนางหนึ่งๆ ต่างถวายบังคมแล้วจัดสุทธาโภชน์มาถวายเสวยเสร็จแล้ว ต่างก็ทูลถามถึงการจากเมืองไปกับพระโพธิสัตว์เจ้า ๆ ก็ตรัสเล่าให้ฟังตลอด ก็โอรสของพระนางอุตตมธานีประสูติเมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จไป เสด็จกลับมาพระราชโอรสก็ทรงดำเนินได้ เพราะฉะนั้นพระนางพรหมจารีจึงทรงอุ้มพระราชโอรสไปแสดงแก่พระโพธิสัตว์ผู้พระชนก พระโพธิสัตว์เจ้าทอดพระเนตรเห็นก็ดีพระทัยยิ่ง เข้าสวมกอดปิยบุตร ทรงจุมพิตที่ศีรษะ ให้ประทับนั่งบนพระเพลา แล้วทรงบัญชานางกษัตริย์ทั้งหลายว่า พวกท่านจงช่วยกันทำการมงคล พวกนางกษัตริย์จัดการมงคลเสร็จแล้วมากราบทูลพระราชา จึงพระราชารับสั่งหาโหรมาตรัสถามถึงฤกษ์ยาม ทรงขนานพระนามว่า ทุคคตะขัตติยกษัตริย์ เพราะทรงอุบัติในกำเนิดแห่งตระกูลทั้งสอง พระราชกุมารนั้นมีบุญญานุภาพใหญ่ ด้วยอานุภาพแก้วมณี มีพระรูปพระโฉมงดงาม มีพระเนตรเป็นทิพย์ และด้วยอานุภาพที่พระโพธิสัตว์เจ้าเสวยน้ำชุบพระขรรค์กายสิทธิ์ มีพระกำลังวังชามหิทธานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้

ถามว่า เพราะเหตุอะไร พระโพธิสัตว์เจ้าผู้สั่งสมบุญกุศลเนืองนิตย์ จึงไปเกิดในตระกูลทุคคตะ

ตอบว่า เพราะว่าพระโพธิสัตว์เจ้าทรงกระทำบุญให้ทานบำเพ็ญทสบารมี หาได้ทรงปรารถนามนุษย์สมบัติ เทวสมบัติ พรหมสมบัติ หรือโลกิยสมบัติใด ๆ ไม่ ทรงปรารถนาเฉพาะพุทธภูมิเท่านั้น อนึ่งเมื่อทรงท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏ์ บางชาติก็เกิดเป็นมนุษย์ บางชาติก็เกิดเป็นเทวดา บางชาติมีฤทธิ์ บางชาติไม่มีฤทธิ์ บางชาติก็ร่ำรวย บางชาติก็ขัดสน บางชาติเป็นสัตว์ดิรัจฉาน บางชาติเป็นเปรต บางชาติเป็นอสูรกาย บางชาติเกิดในนรก บางชาติเป็นยักษ์ เป็นคนธรรพ์ เป็นกินนร ใคร ๆ ไม่สามารถจะแสดงว่าหญิงผู้นี้มิใช่มารดา มิใช่พี่น้องหญิง มิใช่ญาติ มิใช่ภรรยา มิใช่ธิดา อนึ่งพระโพธิสัตว์เจ้าเมื่อเกิดในตระกูลขัดสน หาได้เสียใจหรือดีใจไม่ ไม่โกรธ ไม่ยินดี เกิดในตระกูลมั่งมีก็ไม่ดีใจไม่เสียใจ เพราะฉะนั้น ชาตินี้พระโพธิสัตว์เจ้าจึงมาเกิดในตระกูลขัดสน

ถามว่า ส่วนพระราชกุมารทุคคตะขัตติยวงศ์ ทำบุญกุศลมาน้อยกว่าชนก แต่เหตุไรจึงมาอุบัติในตระกูลสูง

​ตอบว่า เพราะว่าชาติก่อนพระราชกุมารทรงกระทำบุญใด ๆ ไว้ย่อมอธิษฐานว่า เกิดชาติใด ๆ ในอนาคต ขออย่าได้เกิดในตระกูลขัดสนและในตระกูลต่ำ เพราะเหตุนี้จึงได้มาทรงอุบัติในขัตติยตระกูล

พฺรหมฺจารปิโข เทวี พระนางพรหมจารีพร้อมด้วยบริวารของพระองค์ทูลลาพระโพธิสัตว์ พระนางเทวีธิสังกาและพระนางอุตตมธานีเทวี เสด็จกลับไปสู่อนุราธบุรี พอพระราชกุมารมีพระชนม์ได้ ๕ ปี พระโพธิสัตว์ก็ตรัสเรียกมาสั่งสอนว่า พ่อจงปกครองราชสมบัติในพระนครนี้ พระราชกุมารจึงตรัสถามว่า พระองค์จักเสด็จไปไหน จึงพระโพธิสัตว์ตรัสบอกว่า พ่อจักไปสู่กาสิกบุรีกับนางเทวธิสังกาเยี่ยมพระเจ้าสุริยคาธผู้เป็นพี่ของพ่อ แล้วจะเลยไปสู่อินทปัตถ์นคร พระองค์เลยเสด็จไปที่นั่นทำไม ก็พระนางเทวธิสังกาเป็นธิดาของกษัตริย์อินทปัตถ์นคร พ่อจึงต้องพาไปส่ง แล้วตรัสกับพระนางอุตตมธานีว่า แม่พร้อมกับพระราชกุมาร จงปกครองราชสมบัติ พระนางอุตตมธานีได้ทรงสดับดังนั้น ประหนึ่งว่าพระหฤทัยจะแตกทำลาย จึงทรงร่ำไห้รำพันต่าง ๆ พระโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสปลอบว่า อย่าทุกข์โศกไปเลยแม่ เราจักมอบกษัตริย์ ๒๐ องค์ และพระนคร ๒๐๐ ให้แก่แม่ แล้วทรงอภิเษกพระราชบุตรมอบราชสมบัติให้ ครั้นแล้วรับสั่งหาเสนาบดีมารับสั่งว่า ท่านจงส่งราชสาส์นไปยังกษัตริย์ในเมืองขึ้นของเราว่า จงช่วยกันบำรุงราชบุตรของเราด้วย เสนาบดีรับพระราชโองการแล้วก็ส่งข่าวสาส์นไปยังเมืองขึ้น กษัตริย์ทั้งหลายต่างก็มาถวายบังคมโพธิสัตว์เจ้า ๆ มอบพระราชกุมารให้แก่กษัตริย์เหล่านั้น แล้วก็เสด็จไปยังปราสาทพระนางเทวธิสังกา พระนางอุตตมธานี และพระราชกุมารก็ตามเสด็จไปด้วย พระนางอุตตมธานีไม่กล้าตรัสห้ามเอง จึงให้พระโอรสตรัสห้าม แม้พระราชกุมารก็ไม่อาจจะตรัสห้าม

ฝ่ายพระนางเทวธิสังกาเทวี เข้าสวมกอดพระราชกุมารแล้วทรงประทานพรว่า ขอพ่อจงเสวยราชสมบัติเป็นสุข ๆ อย่ามีโรคภัยมาเบียดเบียน มีข้าศึกมาก็จงพ่ายแพ้ไป ลำดับนั้น พระนางอุตตมธานีทรงอดกลั้นความโศกไม่ได้ ก็ปริเทวนาด้วยเสียงอันดัง พระนางเทวธิสังกาทอดพระเนตรเห็นแล้วก็กลั้นความโศกไว้ไม่ได้ ต่างเข้าสวมกอดร่ำไรรำพัน แม้พวกนางชาววังก็ปริเทวนาการอยู่ในปราสาท ส่วนพระโพธิสัตว์เจ้าทอดพระเนตรเห็นดังนั้น เมื่อจะตรัสสอนจึงตรัสคาถานี้ว่า

สพฺเพ สงฺารา อนิจฺจาอธฺวา ปริณามธมฺมา
สพฺเพหิ เม มนาเปหินานาภาโว วินาภาโว
มา ทุกฺขิ ปริเทเวยฺยุํสํสาเร หิ ธมฺมตา จ
ชายนฺโต จ มรณนฺติปิโย ทุกฺขํ ปปฺโปติ

ความว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เราต้องพลัดพรากจากของอบใจทั้งสิ้น ขออย่ามีทุกข์โศกเลย เพราะธรรมดาในสงสารมอย่างนี้ เกิดแล้วต้องตาย ของรักย่อมทำให้เกิดทุกข์

ตํ สุตฺวา ชนทั้งหลายได้สดับดังนั้น ต่างก็หายโศกเศร้า กลับได้ความโปร่งใจ กล่าวถ้อยคำเป็นที่รักกะกันและกัน ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าจึงอุ้มพระนางเทวธิสังกา เหาะบ่ายพระพักตร์ตรงไปยังกาสิกบุรี

จบจันทคาธราชกัณฑ์

—————————-

ตทา ในกาลนั้น พระเจ้าพรหมจักรวรรดิราชในอินทปัตถ์นครประชวรหนัก เลยสวรรคต พวกเสนาอำมาตย์ราชปุโรหิตถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว ปรึกษากันว่าแว่นแคว้นที่หาพระราชามิได้จะมีความผาสุกมาจากไหน แต่พวกเราจักได้พระราชาผู้ทรงธรรมจากไหน จึงมหาเสนาคุตต์กล่าวขึ้นว่า พวกเราจักถวายสาส์นไปถึงพระสวามีของพระนางเทวธิสังกา เชิญเสด็จมาปกครองบ้านเมืองของเรา ประชาชนทั้งปวงทราบข่าวก็ยินดีทั่วกัน จึงจัดส่งราชทูตพร้อมด้วยบริวาร ๑๐๐ ไปยังกาสิกบุรี ราชทูตเดินทางไปถึงกาสิกบุรี เข้าไปยังสภาอำมาตย์ให้ทูลเรื่องราวแด่พระเจ้าสุริยคาธ พวกอำมาตย์ก็นำความไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระเจ้าสุริยคาธจึงรับสั่งหาราชทูตมาตรัสถามว่า มาจากไหน ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ามาจากอินทปัตถนคร มาด้วยประสงค์อะไร ขอเดชะ พระเจ้าพรหมจักรวรรดิราชพระชนกของพระนางเทวธิสังกา ดำรงราชย์อยู่ในอินทปัตถนคร บัดนี้พระองค์เสด็จสวรรคตเสียแล้ว พวกอำมาตย์จึงส่งข้าพระพุทธเจ้ามาเชื้อเชิญพระเจ้าจันทคาธผู้พระสวามี​ของพระนางเทวธิสังกาไปดำรงราชย์แทน พระเจ้าสุริยคาธได้สดับดังนั้น จึงตรัสว่า ท่านราชทูต แม้พระเจ้าจันทคาธก็เสด็จไปสู่อินทปัตถนคร ยังหาได้เสด็จกลับมาไม่ ขอเดชะ พระเจ้าจันทคาธประทับอยู่ในพระนครนั้นปีเดียวเท่านั้น ได้เสด็จมานานแล้วประมาณ ๗ ปีได้ มาคนเดียวหรือว่าพาคนอื่นมาด้วย ขอเดชะ พาพระนางเทวธิสังกาเทวีราชธิดาพร้อมด้วยบริวาร ๑๐๐ มาด้วย แต่เสด็จมาด้วยเรือใหญ่ พระเจ้าสุริยคาธและอุกัษฐเศรษฐีได้ยินดังนั้นก็หวาดกลัวกล่าวกันว่า ชะรอยลมร้ายจะพัดเอาเรือไปสู่เมืองอื่นเสีย หรือไม่ก็เรือแตก ในกาลนั้นพระราชารับสั่งหาหมอดูด้วยไก่ชื่อทิพพเนตตกิตติมาทรงซักถามว่า น้องชายของเรามาเรือ บัดนี้ไปอยู่ที่ไหน จงตรวจดู ขอเดชะ ข้าพระองค์จักได้เท่าไร ไก่ ๑๖ ตัว หมอรับพระราชโองการแล้วทูลลากระทำพลีกรรม กำหนดเสียงไก่เสร็จแล้ว เข้าไปกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ไก่ตัวแรกขันได้ความว่า พระกนิษฐ์ได้ภรรยามาด้วยเรือ เรือแตกพลัดกันไป ไก่ตัวที่ ๒ ขันได้ความว่า ขึ้นจากทะเลแล้วเดินเรื่อยไปตามป่า ตัวที่ ๓ ขันได้ความว่า ไปได้แก้วทิพยรัตน์เป็นที่พึ่ง ตัวที่ ๔ ขันได้ความว่า ไปรักษาโรคผู้หนึ่งหายเลยได้รับรองเท้าแก้วเป็นบำเหน็จ ไก่ตัวที่ ๕ ขันได้ความว่า ไปได้นารีแก้ว ๓ นาง ตัวที่ ๖ ขันได้ความว่า ไปได้ขุมทรัพย์ ตัวที่ ๗ ขันได้ความว่า ไปปราบโจรและยักษ์ร้าย ตัวที่ ๘ ขันได้ความว่า ไปได้สมบัติเศรษฐี ๓ นาย แล้วได้ให้ทาน ตัวที่ ๙ ขันได้ความว่า ได้นางแก้วพร้อมด้วยราชสมบัติ ตัวที่ ๑๐ ขันได้ความว่า ออกจากพระนครนั้น ไปพบกับภรรยาคนเก่า (คนที่พลัดกันคราวเรือแตก) แล้วได้ทรัพย์สมบัติมากมาย ตัวที่ ๑๑ ขันได้ความว่า ได้ราชสมบัติและนางแก้วอีก ตัวที่ ๑๒ ขันได้ความว่า โปกระทำสงครามได้ชัยชนะ ตัวที่ ๑๓ ขันได้ความว่า มีบุตรซึ่งมีบุญญานุภาพมาก ตัวที่ ๑๔ ขันได้ความว่า ดำริจะพาภรรยาคนเก่ามาเฝ้า ตัวที่ ๑๕ ขันได้ความว่า จักเสด็จมาเยี่ยมที่นี่ น้องชายของเรามาทางน้ำหรือทางบก เหาะมาพะย่ะค่ะ

อถ ลำดับนั้น ทวยนาครมีพระราชามหาอำมาตย์เป็นต้น ได้ทราบเรื่องดังนั้นต่างก็ไม่เชื่อ พูดกันว่า ถ้าจริงตามคำหมอ เราจักจับไก่ของเรามาให้ดูบ้าง ปรึกษากันแล้วก็ไปจับไก่มาตัวหนึ่งวางไว้หน้าที่นั่ง แจ้งเรื่องให้หมอทราบ หมอกระทำพลีกรรมฟังเสียงไก่ขัน แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ บัดนี้น้องชายของพระองค์มาจวนถึง ขอได้โปรดให้คนจัดภัตตาหารไว้

โพธิสตฺโต พระโพธิสัตว์ทรงพาพระนางเทวธิสังกาเหาะมาเสด็จลงยังเรือนของอุกกัษฐเศรษฐี คนที่เรือนเศรษฐีเห็นก็จำได้บางคนก็เข้าต้อนรับ บางคนก็ไปสู่ราชตระกูลแจ้งเรื่องแก่ท่านเศรษฐีว่า บุตรชายของท่านมาถึงแล้ว เสนาอำมาตย์ได้ทราบเรื่องจึงนำความไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระราชาจึงตรัสถามว่า บัดนี้เธออยู่ที่ไหน อยู่ที่เรือนอุกกัษฐเศรษฐี ได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสชมเชยหมอ แล้วเสด็จลุกขึ้นจากราชอาสน์ เสด็จไปสู่เรือนเศรษฐีพร้อมด้วยเศรษฐีและเหล่าอำมาตย์ ต่างก็มาพร้อมกันอยู่ที่นั่น ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นพระเชษฐา ก็เสด็จลุกขึ้นจากอาสน์ทรงกราบไหว้พระเชษฐาและเศรษฐี ส่วนพระนางเทวธิสังกาไหว้พระราชาและเศรษฐี พลางทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า หม่อมฉันเป็นน้องสะใภ้ ขอกราบบาทพระองค์ พระเจ้าสุริยคาธจึงตรัสถามพระเจ้าจันทคาธว่า พ่อไปไหนมาสิ้นกาลนาน หม่อมฉันไปสู่อินทปัตถนคร แล้วก็ทูลเล่าเรื่องของพระองค์แต่ต้นจนถึงเสด็จมาเฝ้าบัดนี้ ส่วนหมู่ชนนอกนั้นต่างก็นั่งสนทนาร่าเริงกัน แม้เศรษฐีให้นำภาชนะทองพร้อมด้วยอาหารมาเลี้ยงดูกันอิ่มหนำสำราญ ลำดับนั้นพระราชาจึงทรงพาพระอนุชาและพระสุณิสาเสด็จเข้าอู่พระราชวัง ให้ประทับอยู่ในปราสาททอง

ราชทูตา ราชทูตถวายพระราชสาส์นที่ตนนำมาและทูลเรื่องที่พระเจ้าพรหมจักรวรรดิเสด็จสวรรคต พระโพธิสัตว์เจ้าได้ทรงทราบเรื่อง ก็ตรัสสั่งให้ตระเตรียมการไป ให้ราชทูตกลับไปก่อน ล่วงไปได้ ๓ เดือน พระองค์ก็พาพระนางเทวธิสังกาเหาะไปสู่อินทปัตถนคร นางสนมเห็นพระนางเทวธิสังกามาถึงต่างก็กราบไหว้ กาลนั้นเสนาบดีและอำมาตย์ก็อภิเษกพระโพธิสัตว์เจ้า มอบสมบัติทั้งปวงถวาย พระเจ้าจันทคาธทรงราชย์โดยธรรม ปรากฏพระเกียรติคุณไปทั่วชมพูทวีป พระราชาในพระนครน้อยใหญ่ต่างก็นำเครื่องบรรณาการต่าง ๆ มาถวาย

มีคำถามสอดเข้ามาว่า ด้วยวิบากแห่งอกุศลกรรมอะไร พระโพธิสัตว์เจ้าจึงทรงอุบัติในตระกูลทุคคตะ

แก้ว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เจ้าทรงอุบัติในตระกูลอำมาตย์ มีบรรพชิตรูปหนึ่งมานั่งอยู่ในสำนักของมารดาบิดาพระโพธิสัตว์ๆ จึงนั่งลงกราบไหว้ แล้วเตือนบุตรให้กราบไหว้บ้าง พระโพธิสัตว์ก็ไม่ไหว้ กลับว่าย้อนบิดามารดาว่าจะไหว้คนทุคคตะทำไม ด้วยผลกรรมนี้แล จึงมาเกิดในตระกูลทุคคตะ อนึ่งพระโบราณาจารย์กล่าวว่า ผู้ให้ทานด้วยศรัทธา แต่รักษาศีลเพียงขั้นต้น เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ย่อมเกิดในตระกูลต่ำ

​ถามว่า ด้วยอกุศลกรรมอะไร เรือจึงแตก ผัวเมียต้องลอยคออยู่ในท่ามกลางสมุทร

ตอบว่า ในอดีตกาล ผัวเมียพากันไปอาบน้ำที่ท่าน้ำเห็นสามเณรขี่เรือน้อยลำหนึ่งกำลังถูกกระแสน้ำพัดมา ด้วยเห็นสนุกดีจึงกระทุ่มน้ำให้เป็นคลื่น เรือน้อยนั้นก็จมลง จึงเข้าอุ้มสามเณรมาขึ้นบก ด้วยอกุศลกรรมนี้ จึงต้องลอยคออยู่ในท่ามกลางสมุทรตั้ง ๕๐๐ ชาติ

ถามว่า ด้วยกุศลวิบากอะไร พระโพธิสัตว์เจ้าจึงได้แก้วทิพยเนตร รองเท้าแก้ว พระขรรค์กายสิทธ์ และพระมเหสีหลายองค์ และเพราะเหตุไร จึงโปรดปรานพระนางเทวธิสังกามากกว่าองค์อื่น ๆ

ตอบว่า เพราะพระนางเทวธิสังกาเมื่อกระทำบุญใดๆ ย่อมปรารถนากยู่กับพระโพธิสัตว์เจ้าเสมอไป และได้ทรงกระทำบุญร่วมกับพระโพธิสัตว์เจ้าตลอดมา แม้พระโพธิสัตว์เจ้าจะทรงบริจาคบุตร ภรรยาก็ไม่หน้านิ่ว ทรงดีอกดีใจพลอยอนุโมทนาบุญกุศลด้วย ความปรารถนาของพระนางมีมาจนในภพที่สุด เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าจึงทรงละไม่ได้

ถามว่า ด้วยบุญอะไร พระโพธิสัตว์จึงได้รัตนะทั้ง ๓ และมเหสีทั้ง ๕

ตอบว่า ได้ยินว่า ในอดีตกาลเมื่อพุทธศาสนายังไม่เสื่อม พระโพธิสัตว์เจ้าทรงอุบัติในตระกูลผู้ดีเมืองพาราณสี มีนามว่า พลบัณฑิต อายุถึง ๑๖ ปียังไม่มีภรรยา เลี้ยงดูมารดาบิดาเรื่อยมา ภายหลังมารดาบิดานำนางกุมารีคนหนึ่งชื่อสัทธา มาทำการอาวาหะให้ อยู่มาวันหนึ่งพลบัณฑิตมีธุระไปในป่า พบวัดเก่าเดินเข้าไปเห็นพระพุทธรูปหักองค์หนึ่งถูกโจรแกะเอาพระเนตรไปเสียก็สลดใจ คิดจะบูรณะให้บริบูรณ์ จึงกลับมาบ้านบอกภรรยาของตนว่า นางผู้เจริญวันนี้เราเข้าไปที่วัดเก่า พบพระพุทธรูปหักองค์หนึ่ง ไม่มีดวงพระเนตรคิดจะทำให้ดี ดี ดิฉันพลอยอนุโมทนาด้วย ถ้าทรัพย์ของเราไม่พอก็ขายดิฉันเอาทรัพย์นั้นทำ ดีละ แล้วก็นำทรัพย์ของตนไปเรือนนายช่างหม้อขอซื้อทราย นายช่างหม้อมีธิดาอยู่คนหนึ่งชื่อนางปทุมา พ่อค้าดินเหนียวมีธิดาคนหนึ่งชื่อนางบุปผา พ่อค้าน้ำอ้อยมีธิดาคนหนึ่งชื่อนางหงสา นางทั้ง ๓ นั้นนั่งสนทนากันอยู่ พระโพธิสัตว์จึงตรงเข้าไปถามราคาของนั้นๆ นางทั้ง ๓ พอเห็นก็นึกรักแล้วถามว่า ท่านมีกิจอะไร​ด้วยของนั้นๆ หรือ พระโพธิสัตว์ก็เล่าเรื่องและความประสงค์ให้ฟัง ดิฉันทั้ง ๓ จะทำบุญด้วย นางปทุมาให้ทราย นางบุปผาให้ดินเหนียว นางหงสาให้น้ำอ้อย พลบัณฑิตก็รับมาบ้าน คลุกกันเข้าแล้วก็ปั้นเป็นพระพุทธรูป แล้วเอาแก้วหัวแหวนมาเจียระไนใส่พระเนตรพระ เสร็จแล้วขัดทารักทาชาดแล้วก็แสวงหาทอง ในกาลนั้นช่างทองคนหนึ่งมีธิดาชื่อสุทธา ได้ให้ทองแก่พลบัณฑิต ๑๐๐ แผ่น พลบัณฑิตจึงนำทองนั้นมาปิดพระพุทธรูป เสร็จแล้วจัดแจงทำบุญตักบาตรฉลองพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์จึงอธิษฐานว่า ผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณในอนาคตกาล ส่วนภรรยาอธิษฐานว่า ขออย่าได้จากสามีเลยจนกว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ผัวเมียเมื่อดับชีพก็ไปอุบัติในเทวโลก แม้เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏ์ถึงศาสนาพระพุทธสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า พลบัณฑิตมาเกิดในตระกูลทุคคตะ ณ จัมปานคร ด้วยวิบากแห่งอกุศลกรรมอื่น ได้นามว่าจันทคาธ พอสิ้นบาปก็ได้เป็นพระราชามีเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ ส่วนนางสุทธาผู้ภรรยาของพลบัณฑิตท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏ์ มาถึงชาตินี้ มาเกิดในอินทปัตถนคร เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าพรหมจักรวรรดิ นามว่าเทวธิสังกา ส่วน ๓ คนนั้นชาตินี้มาเกิดในตระกูลเศรษฐี ณ สังทัสสนคร นามว่าทิพพโสดานาง ๑ ประทุมบุปผานาง ๑ สุคนธเกศีนาง ๑ ธิดาของพ่อค้าทองซึ่งชื่อว่านางสุทธา ด้วยอานิสงส์ที่นางบริจาคทอง จึงเกิดมาเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าพุทธโฆษราช นามว่าอุตตมธานี นางกุมารอีกคนหนึ่งเห็นพระพุทธรูปที่พระโพธิสัตว์สร้าง ก็เกิดความเลื่อมใสแล้วนำเอาผ้าอุตตราสงค์ของตนมาบูชา ชาตินี้มาเกิดเป็นพระนางพรหมจารีเทวีในพระนครอนุราธธานี ด้วยอานิสงส์ผลดังกล่าวมา พระโพธิสัตว์จึงมีมเหสีถึง ๖ และนคร ๖ นคร มีเดชานุภาพราวกะพระอินทร์

อนึ่งมีคำถามว่า อันบุรุษสตรีได้ทำบุญร่วมกัน แต่ไม่ได้อธิษฐานว่า ผู้นี้จงเป็นภรรยาของเรา หรือผู้นี้จงเป็นสามีของเรา ตายไปเกิดอีกชาติจะได้เป็นสามีภรรยากันหรือไม่

ตอบว่า บุรุษและสตรีได้ทำบุญร่วมกัน แต่มิได้อธิษฐานเช่นนั้น บางพวกก็เป็นพ่อลูกกัน บางพวกก็เป็นพ่อแม่กัน บางพวกก็เป็นญาติกัน บางพวกก็เป็นผัวเมียกัน สตรีทั้งหลายเมื่อรับส่วนแห่งบุญ เห็นบุรุษหนุ่ม เกิดความรักใคร่แล้วให้ทาน ก็ไปเป็นภรรยาของบุรุษนั้นได้ อนึ่งเมื่อหมู่สัตว์ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏ์ไม่อาจจะแสดงว่าหญิงนี้มิใช่มารดามิใช่ภรรยา หรือบุรุษนี้มิใช่บิดามิใช่สามี ทุกชาติหญิงอาจเป็นภรรยาก็ได้หรือมารดาก็ได้ บุรุษจักเป็นบิดาหรือสามีก็ได้

​พระโพธิสัตว์เจ้าเสวยราชสมบัติประกอบด้วยทศพิธราชธรรมปกครองเหล่าประชาราษฎร์ เมื่อทรงบริจาคทานก็ทรงใช้แก้วทิพยเนตรทรงตรวจดูหม้อขุมทรัพย์ ทรงทราบว่า ขุมนี้มีเจ้าของ ขุมนี้ไม่มีเจ้าของ ทรงถือเอาแต่ขุมที่ไม่มีเจ้าของให้ทาน และเพราะทรงเอาแก้วกระทำพระเนตรพระพุทธรูปจึงได้แก้วทิพยเนตร พระขรรค์แก้ว และรองเท้าแก้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ทรงสะสมบุญบารมี ทรงบูชาเจดีย์สถูปพุทธปฏิมากร สร้างกุฏีวิหารอุโบสถ ทรงทำบุญตักบาตรพระราชทานแก่พวกยาจกวณิพพก

ได้ยินว่า เมื่อพระเจ้าจันทคาธประทับอยู่ในอินทปัตถนครทรงระลึกถึงพระราชโอรส พระนางอุตตมธานี พระนางพรหมจารี เศรษฐีธิดา ๓ นาง อุกกัษฐเศรษฐี และพระเจ้าสุริยคาธ จึงเสด็จเหาะไปยังที่อยู่ของคนนั้น บางครั้งก็ประทับอยู่ราตรีหนึ่งบ้าง สองราตรีบ้าง สามราตรีบ้าง เสด็จจากอินทปัตถนคร เดินหางมาสู่อนูปมนครประมาณ ๓ เดือน เสด็จจากอนูปมนครมาสู่อนุราธบุรี ๔๐ วัน เสด็จจากอนุราธบุรีมาสู่สังกัสสนคร ๔๕ วัน พระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จไปยังนครทั้ง ๔ แต่เช้า เย็นก็เสด็จกลับมาถึง เพราะฉะนั้นจึงทรงปกครองนครทั้ง ๔ นั้นได้

จบจันทคาธกัณฑ์

—————————-

ตทา ในกาลนั้น พระราชกุมารนามว่า ทุคคตะขัตติยวงค์ ทรงระลึกถึงพระชนก ดูด้วยทิพยเนตร บางครั้งทรงระลึกถึงพระนางพรหมจารีเทวี บางครั้งทรงระลึกถึงพระเจ้าลุง บางครั้งก็ทรงระลึกถึงเศรษฐีธิดาทั้ง ๓ แล้วก็ทรงนำสาส์นของพระนางและนางเหล่านั้นเหาะไปถวายพระชนกชนนี บางครั้งก็ทรงนำข่าวของพระชนกชนนีไปแจ้งแก่พระเจ้าลุงแก่พระนางและนางเหล่านั้น บางครั้งก็เสด็จไปเฝ้าพระอัยกานำข่าวสาส์นมาทูลพระชนนี พอพระราชกุมารมีพระชนม์ได้ ๑๖ ปี ทรงใคร่ครวญดูพระราชธิดาในพระนครทั้งหลาย ทรงเห็นพระราชธิดาเมืองใดสวยงาม ก็เสด็จเหาะไปอภิรมย์ด้วยพระราชธิดาเมืองนั้น ครั้นแล้วก็เสด็จกลับ

​ในกาลนั้น ในพระนครมิถิลา มีพระราชาองค์หนึ่งนามว่า พระเจ้าธัมมโชต ท้าวเธอมีพระมเหสีพระนามว่า จันทปทุมา มีพระราชโอรสนามว่า มหาพลวิชชราชกุมาร องค์น้องทรงนามว่าสุวรรณพิมพาราชธิดา ทรงศึกษาศิลปะธนู ทรงยกธนูไม้ ๓ แสนธนูได้ อีกพระหัตถ์หนึ่งสามารถจะทรงลูบพระเศียรของพระองค์ได้ มีพระปัญญาเฉลียวฉลาดในหัตถิศิลปะ ทรงทราบชัดสมรภูมิที่จะชนะหรือแพ้ ส่วนพระสุวรรณพิมพาราชธิดาพอมีพระชนม์ได้ ๑๖ ปี มีพระรูปพระโฉมสะสวยปานนางเทพอัปสร ถึงพร้อมด้วยกัลยาณลักษณะ กลิ่นกายหอมฟุ้งอย่างจันทร์แดง กลิ่นปากหอมเหมือนดอกอุบล สีกายเหลืองเหมือนทอง เลื่องลือกันทั่ว ๆ ไป พระราชาทั้งหลายได้ยินกิตติศัพท์ ต่างก็ส่งเครื่องบรรณาการและพระราชสาส์นมาสู่ขอ ฝ่ายพระเจ้าธัมมโชตราชจึงตรัสกะราชทูตว่า ท่านราชทูตเราไม่อาจจะยกให้ใครได้ ถ้าให้องค์นี้ องค์อื่นก็โทมนัส เพราะฉะนั้นให้ใครไม่ได้ องค์ใดมีศิลปะอาจที่จะสู้พลวิชชราชกุมารโอรสของเราได้ เราจะให้แก่องค์นั้น พระราชกุมารและพระราชาในพระนครต่าง ๆ ต่างก็ทรงศึกษาศิลปะแล้วมาพร้อมกันในมิถิลามหานคร แต่ก็ไม่มีองค์ใดสามารถเอาชนะได้ ต้องแพ้กลับไปทุกองค์ องค์อื่น ๆ มาก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ ในวันหนึ่ง ๆ นับจำนวนตั้ง ๓-๔-๕ องค์ที่ต้องปราชัยเสด็จกลับพระนคร เพราะฉะนั้นเกียรติคุณของพลวิชชราชกุมารและสุวรรณพิมพาราชธิดาจึงปรากฏทั่วไปในชมพูทวีป

ส่วนทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมาร สดับเกียรติศัพท์และรูปสมบัติของสุวรรณพิมพาราชธิดาดังนั้น ก็ใคร่จะทอดพระเนตรและใคร่จะได้ไว้เป็นพระมเหสีของพระองค์ จึงทรงตรวจดูด้วยทิพยเนตรเห็นรูปสมบัติของพระราชกุมารี ก็มีพระหฤทัยปฏิพัทธ์อยากจะเสด็จไปรับมา จึงเข้าไปเฝ้าพระชนนี ถวายบังคมแล้วทูลว่า หม่อมฉันจักไปทดลองศิลปะกับมาณพพลวิชชราชกุมาร ถ้าชนะก็จักได้พระสุวรรณพิมพามา ถ้าได้มาหม่อมฉันจักตั้งไว้ในฐานะแห่งมเหสี พระนางได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า ลูกเอ๋ย ลูกมิได้ศึกษาศิลปะอะไรเลย ไฉนจักไปทดลองกับเขาได้ พวกขัตติยกุมารเขาต่างได้ศึกษาศิลปะในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในสุวรรณภูมิบ้าง ในตักศิลาบ้าง แม้เช่นนั้นก็ยังแพ้กลับมา ก็ลูกมิได้รู้อะไรเลย ไฉนจะเอาชัยชนะเขาได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปเลยลูก ในแคว้นของเราขัตติยนารีก็มีมากมาย แม่จักให้เรียกนางเหล่านั้นมาให้พ่อดู มีพระดำรัสฉะนี้แล้วก็รับสั่งหาเสนาคุตตอำมาตย์มา ทรงบัญชาว่า ท่านจงส่งข่าวไปถึงพวกกษัตริย์ในแคว้นของเราว่า จงส่งราชธิดาของตนมาให้ลูกเราเลือกภายใน ๗ วันนี้ เสนาคุตตอำมาตย์ก็ทำตามพระเสาวนีย์ ถึงวันที่ ๘ ​พระราชาในพระนครทั้งหลาย ๒๕๐ องค์ก็ส่งธิดาธิดาของตนมาประชุมกันในปราสาทของพระนางอุตตมธานีราชเทวี พระทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมาร ทอดพระเนตรดูนางขัตติยนารี ๒๕๐ ก็ไม่ชอบพระหฤทัยสักนางหนึ่ง จึงเสด็จกลับปราสาทของพระองค์ รุ่งขึ้นจึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระชนนีทูลลาอีก พระนางได้ทรงสดับดังนั้นก็ตรัสห้ามปราม และรับสั่งหาเสนาคุตตอำมาตย์ให้ส่งข่าวสาส์นไปยังพระยาร้อยเอ็ดใหม่ ในที่สุดพระราชกุมารก็ไม่พบนางกษัตริย์องค์ใดถูกพระหฤทัยอีก จึงทูลลาพระชนนีเสด็จไปสู่สังกัสสนคร ไปหาเศรษฐีธิดาทั้ง ๓ แล้วตรัสว่า แม่ ฉันจักไปสู่มิถิลามหานคร จักลองศิลปะกับพลวิชชราชกุมาร ถ้าชนะก็จักได้สุวรรณพิมพาราชธิดา พวกเศรษฐีธิดาก็ทูลห้าม แล้วให้นำกุลธิดาทั้งหลายมาถวายให้ทอดพระเนตร พระราชกุมารก็ไม่ทรงชอบใจนางใดเลย จึงลาไปเฝ้าพระเจ้าลุง ณ กาสิกบุรี ทูลความประสงค์ให้ทรงทราบ พระเจ้าลุงก็ตรัสห้ามและตรัสสั่งให้นำนารี ๓๕๐ นางมาประทานให้ พระราชกุมารก็ไม่ทรงปรารถนา จึงทูลลาไปเฝ้าพระชนกชนนี ถึงแล้วก็กราบทูลความประสงค์ให้พระชนกชนนีทรงทราบ พระนางเทวธิสังกาได้ทรงทราบดังนั้นจึงตรัสห้ามว่า ราชธิดาในเมืองขึ้นของเรามีมากมาย แม่จักให้เขาส่งตัวมาให้ดู อย่าไปเลยลูก พระเจ้าจันทคาธจึงตรัสว่า อย่าห้ามเธอเลย ปล่อยให้ไปเถิด ถ้าหม่อมฉันเป็นหนุ่มเหมือนแต่ก่อน ก็จักไปลองดูบ้าง ทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมารได้ทรงสดับดังนั้นก็ดีพระทัย ถวายบังคมแล้วก็ทูลลาออกจากพระราชวังเหาะไปยังมิถิลามหานคร พักบรรทมอยู่ ณ ศาลาแห่งหนึ่งคืน คืนวันนั้นพระสุวรรณพิมพาราชธิดาทรงสุบินไปว่า มีช้างเผือกขาวผ่องเข้าไปในเมือง เอาเท้าย่ำเหยียบพลวิชชราชกุมารพระเจ้าพี่ แล้วเอางวงรวบรัดพระองค์เอง เหาะไปยังที่อยู่ของช้าง แล้วสะดุ้งตื่นบรรทม จึงทรงวิจารณ์ถึงเรื่องฝันว่า ช้างเผือกคงจะได้แก่พระราชกุมาองค์ใดองค์หนึ่งที่มีมหิทธานุภาพมาก ชนะพี่ชายเราแล้วนำเราไปตั้งไว้ในตำแหน่งมเหสี แต่ก็มิได้ตรัสเล่าให้ผู้ใดผู้หนึ่งฟัง วันรุ่งขึ้นพระทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมารเสด็จเข้าไปในวังถวายบังคมพระราชาแล้วนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระเจ้าธัมมโชตจึงตรัสถามว่า พ่อมาจากไหน ขอเดชะ มาจากอินทปัตถนคร มาด้วยประสงค์อะไร ขอเดชะ มาด้วยประสงค์พระราชธิดาของพระองค์ พ่ออาจแข่งขันศิลปะกับพลวิชชได้หรือไม่ หม่อมฉัน ไม่ได้ศึกษาศิลปะอะไร ถ้าเช่นนั้นก็จงกลับไปบ้านเมืองเสียเถิด พระราชกุมารก็ทูลวิงวอนแล้วๆ เล่าๆ พระเจ้าธัมมโชตก็ไม่ทรงอนุญาต ครั้นทรงขัดไม่ได้จึงตรัสว่า พรุ่งนี้จงมาแข่งขันดูก่อน ขอเดชะ หม่อมฉันจักขอแข่งขันวันนี้ ขอได้ทรงพระกรุณา ถ้าเธอ​จะแข่งขันก่อนก็จงไปขออนุญาตพวกที่เขามาก่อนเสียก่อน เป็นพระมหากรุณา แล้วถวายบังคมไปตรัสขออนุญาตพวกราชกุมารที่มาถึงก่อน ได้รับอนุญาตแล้วก็กลับมา พลวิชชราชกุมารจึงตรัสถามว่า ท่านได้เล่าเรียนศิลปะอะไรมา หม่อมฉันไม่ได้เล่าเรียนอะไร ถ้าเช่นนั้นจงกลับไปบ้านเมืองเสียเถิด ถ้าไม่เช่นนั้นก็จักตายเสียเปล่า หม่อมฉันจักตายเสียดีกว่าที่จะกลับไป ถ้าท่านยอมตาย ก็อย่าผูกเวรเรานา ไม่ผูก ถ้าเช่นนั้นจงออกไปยืนที่โน่น ครั้นแล้วก็ทรงหยิบธนูขึ้นสายตรัสเตือนว่า ท่านอย่าประมาทแล้วก็ทรงปล่อยลูกศรไป พระทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมารไม่ทรงหวาดเสียวเลย เพราะพระองค์มีกำลังเรี่ยวแรงมาก จึงกระโดดเข้ารับลูกศร และขึ้นเหยียบพระอังสาพลวิชชราชกุมาร แล้วตรัสว่าพระเจ้าพี่จงยกพระน้องนางให้แก่เรา ศิลปะของเรายังไม่สิ้น พระทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมารก็ลงจากพระอังสา ประทับอยู่ในที่ต่ำแห่งพระพลวิชชราชกุมาร จึงหยิบธรณีวิจณศรมายิงต่อไปอีก ลูกศรเสียงดังลั่นอย่างเสียงฟ้าร้อง ราวกะจะผ่าหทัยเสียทีเดียว พระทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมารก็กระโดดขึ้นไปจับลูกศร แล้วเสด็จขึ้นเหยียบศีรษะพลวิชชราชกุมาร ตรัสว่าท่านยอมยกพระน้องนางให้หม่อมฉันเสียเถิด ศิลปะอย่างอื่นยังมี พระทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมารจึงเสด็จลงจากศีรษะ ท่านจงจับเราไว้ แล้วก็ทรงร่ายมนต์เข้าไปในแผ่นดิน พระทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมารจึงเอาเท้าหนีบพระเกศไว้แล้วตรัสว่า คราวนี้ท่านต้องยกน้องนางให้หม่อมฉันละ ยังมีอีก ครั้นแล้วร่ายมนต์กำบังกายหายตัวไป พาพระสุวรรณพิมพาแทรกแผ่นดินไปวางไว้ในคูหาแห่งหนึ่ง แล้วกลับมาตรัสว่า ถ้าท่านเห็นสุวรรณพิมพาก็จงพาไปเถิด พระทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมารเห็นพระสุวรรณพิมพาขณะที่ถูกนำไปซ่อนด้วยทิพยเนตรแต่แกล้งตรัสว่า พระเจ้าพี่ หม่อมฉันจักไปหาที่ไหน ท่านไม่อยากจะให้หม่อมฉัน ๆ ลาละ แล้วเสด็จไปยังคูหานั้นพาพระสุวรรณพิมพาเหาะตรงไปยังอินทปัตถนคร เข้าเฝ้าพระชนกแล้วประทับอยู่ส่วนหนึ่ง ลำดับนั้นพระเจ้าจันทคาธและพระนางเทวธิสังกา ทอดพระเนตรเห็นพระสุวรรณพิมพาเทวีพร้อมด้วยลักษณะสมบัติ ก็ดีพระทัย ตรัสถามถึงเหตุที่ได้มาแล้วทรงอภิเษก จัดทาสีให้พันหนึ่ง แล้วให้ประทับอยู่ในสุวรรณปราสาท

ตทา ปน ในกาลนั้น พระเจ้าธัมมโชต อุปราช เสนาอำมาตย์ปุโรหิต และทวยนาครต่างก็ดีพระทัยและดีไจ สรรเสริญเกียรติคุณพลวิชชราชกุมารต่างๆ นานา จึงพระราชาตรัสสั่งอำมาตย์ว่า พวกท่านจงทำการฉลองชัย ปวงชนก็จัดการเริ่มการฉลอง ส่วนพลวิชธราชกุมารเสด็จไปถึงฝั่งมหาสมุทร ทรงร่ายมนต์แล้วเสด็จเข้าไปในคูหา แต่ไม่​พบพระสุวรรณพิมพา ทรงหาทั่วทิศก็ไม่พบ จึงเสด็จกลับมากราบทูลพระชนกให้ทรงทราบ พระราชา พระราชเทวี อำมาตย์ต่างพากันทรงกรรแสงร่ำไรรำพัน ครั้นแล้วรับสั่งหาโหรมาตรัสถามว่า บัดนี้ราชธิดาของเราหายไปไหน ยักษ์รากษสพาหนีไปหรือว่าเทวดามนุษย์ผู้มีฤทธิ์มาพาไม่ โหรตรวจดูยามแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชธิดายังมีพระชนม์อยู่ มีมนุษย์หนุ่มน้อยคนหนึ่งพาเหาะไปทางบุริมทิศ พระเจ้าธัมมโชตได้ทรงสดับดังนั้นก็เข้าพระทัยว่าเป็นทุคคตขัตติยวงศ์ราชกุมาร จึงตรัสว่า มันอยู่เมืองไหน ลูกของใคร มันรู้อะไร อย่างไรจึงสามารถมาลักธิดาของเราไปได้ เจ้าคนชาติชั่ว ไม่รู้จักเรา เราทำอะไรให้จึงมาดูหมิ่น จงเตรียมจตุรงคเสนา เราจะไปจับตัวมัน เสนาบดีอำมาตย์ได้สดับดังนั้น ต่างก็รับพระราชโองการมาจัดจตุรงคเสนา ต่อมาพระราชาจึงรับสั่งหาพ่อค้าเรือมาตรัสถามว่า เจ้าไปค้าขายทางบุริมทิศรู้ไหมว่าทุคคตขัตติยวงศ์เป็นลูกใคร อยู่เมืองไหน มีฤทธิ์เดชอย่างไร พ่อค้าต่างก็ทูลว่า ไม่รู้จัก ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามโหรเฒ่าซึ่งมาแต่ตักศิลามหานครว่า ท่านอาจารย์รู้ไหม ขอเดชะ ท่านผู้นี้เป็นโอรสของพระเจ้าจันทคาธ เป็นหลานของพระเจ้าสุริยคาธ แต่ตัวทุคคตขัตติยวงศ์ราชพอมีพระชนม์ได้ ๗ ปีก็ได้เสวยราชย์ในอนูปมนคร มีพระเนตรเป็นทิพย์ เห็นอะไรได้ทั่วจักรวาฬ เหาะได้ มีบุญญานุภาพยิ่งใหญ่ ขอพระองค์อย่าได้เสด็จไปต่อยุทธเลย เพราะพระเจ้าจันทคาธผู้อื่นฆ่าไม่ตาย แม้พลของท้าวเธอถูกอาวุธตายแล้วมียากินเป็นขึ้นมาอีก แล้วทูลเล่าเรื่องแต่ครั้งรบกับพระเจ้าเตชุคตสิปปราชเป็นต้นถวายให้ทรงทราบ และทูลว่าแม้ข้าพระพุทธเจ้าเองคราวหนึ่งถูกเสือกัด ตายอยู่ ๗ วัน พระเจ้าจันทคาธประทานโอสถให้กินจึงรอดตายมาจนบัดนี้ พระเจ้าธัมมโชตได้สดับเรื่องที่โหรเฒ่าทูลถวายดังนั้น ก็น้อยพระทัยยิ่งขึ้น จึงตรัสว่า เราจักดูฤทธิ์เดชของพระเจ้าจันทคาธสักที แล้วรับสั่งหาโหรเฒ่าอีกคนหนึ่งมา ตรัสว่า ท่านจงตรวจชาตาเรากับโอรสดูที โหรเฒ่าก็คำนวณแล้วทูลว่า ถ้าเสด็จไปทำสงครามทางบุริมทิศก็จะถึงปราชัย ถ้าเสด็จไปทางปัจฉิมทิศก็จักทรงชนะ พระราชาจึงตรัสว่า ใคร ๆ ก็ว่าแพ้ คราวนี้เราจะปรึกษาใครดี ลำดับนั้น เสนาอำมาตย์จึงทูลว่า ขอเดชะ เบื้องต้นพระองค์ทรงปรารถนาเขยที่มีมหิทธานุภาพ ครั้นได้พระองค์ไม่ทรงรับ ใครเล่าจะดีไปกว่านี้ ถ้าเสด็จไป ทำสงครามแพ้มา ก็จักได้ความอายใหญ่ ถ้าไม่ไปทรงทำไม่รู้ไม่เห็นเสีย ต่อไปก็มีคนสรรเสริญเอง เขยก็จักส่งบรรณาการมาถวาย พระราชธิดาก็จักเสด็จมานี่ พระองค์ก็จะได้พบเห็น เป็นอันว่าได้ประโยชน์ทั้งสองอย่าง

โข ลำดับนั้น พระเจ้าธัมมโชตจึงตรัสสั่งให้มีพระราชสาส์นไปถึงพระเจ้าจันทคาธว่า ขอพระองค์กับหม่อมฉันจงมีไมตรีต่อกัน ราชบุตรของพระองค์ก็เป็นเหมือนของหม่อมฉัน ราชธิดาของหม่อมฉันก็เท่ากับเป็นของพระองค์ ขอพระองค์จงได้ว่ากล่าวสั่งสอนและรับสั่งให้จัดเครื่องบรรณาการมีค่าต่าง ๆ ส่งไปพร้อมกัน ตั้งแต่นั้นมาสองพระนครก็ติดต่อไปมาถึงกันทุกๆ ปี พระเจ้าทุคคตขัตติยวงศ์ราชจึงพาพระนางสุวรรณพิมพาไปยังอนูปมนคร ถวายบังคมพระชนนีแล้ว ทรงราชย์ต่อมา ตั้งแต่นั้นมาเกียรติศัพท์ของพระนางสุวรรณพิมพาก็ปรากฏทั่ว ๆ ไป พระราชาทั้งหลายนำเครื่องบรรณาการต่าง ๆ มาแต่ทิศน้อยใหญ่ เข้าไปเฝ้าพระเจ้าทุคคตขัตติยวงศ์ราชต่างก็ตรัสชมเชยพระบารมีว่า พระราชาของพวกเรามีบุญญาภินิหารใหญ่ยิ่ง มีพระมเหสีก็งามปานนางเทพธิดา ต่อมาภายหลัง พระนางสุวรรณพิมพาทรงระลึกถึงพระชนกชนนี จึงเสด็จไปเฝ้าพระสามีกราบทูลว่า ขอเดชะ หม่อมฉันใคร่จะทูลลาไปหาพระชนกชนนี พร้อมด้วยพ่อค้าที่มาคราวนี้ ขอพระองค์จงทรงอนุญาต พระเจ้าทุคคตขัตติยวงศ์ได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า ฉันจักไปด้วย แล้วตรัสหาอำมาตย์มาตรัสสั่งว่า จงจัดแจงเรือไว้แล้วให้จัดเครื่องบรรณาการอันมีค่ายิ่งใหญ่ และเครื่องอลังการต่าง ๆ ลงบรรทุกเรือ ถึงวันฤกษ์ดีพร้อมด้วยอำมาตย์แสนหนึ่งให้ขึ้นสู่เรือ แล้วพาพระมเหสีมาลาพระชนนี ทรงเวนราชสมบัติถวายพระขนนีแล้วเสด็จขึ้นสู่เรือ ออกเรือเดินทางมาได้สามเดือน ก็ทรงส่งพระราชสาส์นล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งมีใจความว่า ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันนามว่าทุคคตขัตติยวงศ์ เป็นเขยของพระองค์ บัดนี้ได้พาพระนางสุวรรณพิมพามาเฝ้า ฝ่ายพระเจ้าธัมมโชตก็ให้ตกแต่งราชมรรคา ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการต่าง ๆ เตรียมจตุรงคเสนาไว้รับ ตรัสสั่งให้ปลูกพลับพลาใหญ่โต ลาดเครื่องลาดต่าง ๆ ไว้ ล้อมด้วยปราการหิน จัดแจงเครื่องสักการะต่าง ๆ ไว้รับ เมื่อราชมรรคาเสร็จ พวกอำมาตย์ราชปุโรหิตและนางใน มีพลช้าง พลม้า พลรบ พลบทจรห้อมล้อมแห่กันไปยังท่าเรือ พอพระเจ้าทุคคตขัตติยวงศ์และพระนางสุวรรณพิมพามาถึง พวกทวยนาครก็ร่าเริงทำสักการะต่าง ๆ พวกอำมาตย์ก็กราบทูลว่า พระชนกชนนีของพระองค์กำลังคอยหาอยู่ ส่งพวกข้าพระพุทธเจ้ามาคอยรับเสด็จ พระราชาและพระเทวีได้ทรงสดับดังนั้นก็เสด็จขึ้นบนยานทอง มีราชบริพารห้อมล้อมแห่มาตามทางหลวง เข้าวังเสด็จขึ้นบนพระราชมนเทียรถวายบังคมพระชนกชนนี ๆ ทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ปลื้มพระหฤทัย พระเจ้าทุคคตขัตติยวงศ์ เมื่อจะตรัสปฏิสัณฐารจึงตรัสพระคาถานี้ว่า

กจฺจิ นู ตาต กุสลํกจฺจิ นุ ตาต อนามยํ
กจฺจิ อมฺม กุสลฺจจกฺขุ เตน ปริหายติ

ความว่า ขอเดชะ พระองค์ทั้งสองอยู่สบายดี ไม่เจ็บข้ได้ทุกข์อะไร พระเตรยังปรกติดีอยู่

พระเจ้าธัมมโชตตรัสตอบว่า

กุสลฺเจว เม ปุตฺตอโถ ปุตฺต อนามยํ
อโถ จ ปุตฺต เต มาตุจกฺขุ น ปริหายติ

ความว่า เราทั้งสองสุขสบายดี มารดาของลูกก็ยังปรกติดีอยู่

พระเจ้าทุคคตขัตติยวงศ์จึงตรัสถามว่า

กจฺจิ อโรคํ โยคนฺเตกจฺจิ วหติ วาหนํ
กจฺจิ ิโต ชยปโทกจฺจิ วุฏิ น ฉิชฺชติ

ความว่า ยานพาหนะก็อยู่ดีหรือ นบทก็สงบเงียบอยู่หรือ

ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาลหรือ

พระเจ้าธัมมโชตตรัสตอบว่า

อโรคํ โยคํ มยฺหํอโถ วหติ วาหนํ
อโถ ิโต ชยปโทอโถ วุฏฺิ น ฉิชฺชติ

ความว่า ยานพาหนะยังอยู่ดี ไม่ชำรุดทรุดโทรมอะไร นบทก็เรียบร้อย อนึ่งฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล

ครั้นทรงปราศรัยกันแล้วพระเจ้าธัมมโชตจึงตรัสสั่งให้ปลูกพลับพลาราชาภิเษก ถึงวันที่ ๗ พระราชาทั้ง ๒ ก็ขึ้นประทับบนกองแก้ว ทรงทำการราชาภิเษก ตรัสมอบพระนางสุวรรณพิมพาแก่พระเจ้าทุคคตขัตติยวงศ์ๆ เสด็จประทับอยู่ในเมืองนั้นสิ้น ๓ เดือน ครั้นแล้วก็ทูลลา พาราชบริพารเสด็จลงเรือ พระเจ้าธัมมโชตก็ทรงประทานทาสทาสีขัตติยนารีและเครื่องอลังการต่างๆ แก่พระราชธิดาของพระองค์ พระนางสุวรรณพิมพาก็พาบริวารเสด็จลงเรือ กลับไปสู่มิถิลามหานคร ถวายบังคมพระชนกแล้วก็เลยไปสู่อนูปมนคร

​ต่อมาพระนางสุวรรณพิมพาเทวีก็ได้พระโอรส ๔ พระองค์ องค์ที่ ๑ ไปอยู่กับพระอัยกาในเมืองมิถิลานคร เมื่อพระอัยกาสวรรคตแล้วก็ได้เสวยราชย์ในเมืองนั้น องค์ที่สองไปอยู่กับพระนางพรหมจารีในอนุราธนคร แล้วได้ครองราชสมบัติในเมืองนั้น องค์ที่สามไปอยู่กับพระเจ้าพุทธโฆษราชในแคว้นคันธาร แล้วได้ครองราชสมบัติในเมืองนั้น ส่วนองค์ที่ ๔ อยู่กับพระชนกชนนี พอมีพระชนม์ได้ ๑๖ ปีก็ได้เป็นพระมหาอุปราช ต่อมาพระชนกสวรรคตก็ได้เสวยราชสมบัติในอนูปมนคร พระโพธิสัตว์เจ้าได้ทรงสะสมบุญเป็นอันมาก ทรงบริจาคทานรักษาศีลเจริญภาวนา ถึงอายุชัยก็สวรรคต มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

สตฺถา อิม ธมฺมเทสน อาหริตฺวา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้ที่ผู้มีฤทธิ์กระทำอันตรายเราไม่ได้ เราทรมานเสียจนสิ้นพยศให้สมาทานศีลได้ แม้ในกาลก่อนก็เช่นเดียวกัน แล้วทรงประกาศอริยสัจจ ๔ ทรงประมวลชาดกว่า พระเจ้าสุริยคาธในครั้งนั้นมาเป็นสารีบุตร ท้าวสักกะมาเป็นอนุรุธ พระเจ้าพุทธโฆษราชเป็นโมคคัลลานะ พระเจ้าพรหมจักรเป็นพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าธรรมขันตีเป็นพระมหากัสสป พระเจ้าสุทัสสนจักรเป็นเทวทัตต์ พระนางวิมลาเทวีเป็นพระนางปชาบดี พระนางพรหมวดีเทวีเป็นพระนางสิริมหามายา อุกกัษฐเศรษฐีเป็นพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางพรหมจารีเป็นพระเขมาภิกษุณี พระนางสุวรรณพิมพาเป็นอุบลวรรณเถรี พระเจ้าทุคคตขัตติยวงศ์เป็นราหุล พระนางอุตตมธานีเป็นนางชนบทกัลยาณี นางสุริยโยธาเทวีเป็นพระนางสามาวดี นางปริสุทธีเป็นนางชุชชุตตรา นางทิพพโสดาเป็นนางนันทาเทวี นางประทุมบุปผาเป็นนางวิสาขา นางสุคนธเกศีเป็นนางโคตมี พระเจ้าเตชุคตสิปปราชเป็นอุทายี พระนางเทวธิสังกาเป็นพระนางยโสธรา วิชชาธรเป็นอานนท์ นาคราชที่ให้แก้วทิพยเนตรเป็นพากุลเถระ พระเจ้าธัมมโชตเป็นท้าวมหานามศากยราช มหาพลวิชชกุมารเป็นกปินเถระ บริษัทนอกนั้นเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าจันทคาธเป็นเราผู้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล

จบจันทคาธชาดก

  1. ๑. ผลไม้เหล่านี้ ได้ค้นดูบ้างแล้ว ยังไม่ได้ความชัดเจนอย่างไร
  2. ๒. เดือน ไม่แน่ เพราะบาลีบอกเป็นสรทาส ๆ ตรงกับเดือน ๑๑-๑๒
  3. ๓. การบูชาศพเมื่อเผาเสร็จแล้ว มีปรากฏในเรื่องอติจารินียักษินีอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ในมังคลัตถทีปนี ตอนว่าด้วยปาปวิรัติ ใจความว่า พระโพธิสัตว์เผาศพนางยักษินีผู้เป็นมารดาในป่าเสร็จแล้วเก็บดอกไม้บูชาแล้วจากที่นั้นไป
  4. ๔. คาวุต ๑ เท่ากับ ๑๐๐ เส้น
แชร์เลย

Comments

comments

Share: