นี่คือดวงแก้วโอสถของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์
ผม (อู๋) คิดอยู่หลายวันว่าจะนำเรื่องนี้มาเผยแพร่ดีหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นหรือไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน แต่ก็เกิดมีขึ้นมาแล้วในวัดหลวงพ่อสด เป็นของหนึ่งเดียวในโลกเช่นเดียวกับคดขนุนทองคำ พระกริ่งสะดือทะเล พระกริ่งไพรดำ และดวงแก้วพญานาค
ดวงแก้วโอสถนี้ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ท่านได้มีเมตตานำมามอบไว้ให้แก่วัดหลวงพ่อสด เพื่อให้พลังอิทธิคุณของดวงแก้วนี้คอยแผ่พลังโอสถรักษาสังขารร่างกายของเจ้า ของผู้ครอบครอง (โดยเฉพาะหลวงป๋าให้แข็ง แรงขึ้น) โดยท่านสั่งไว้ว่าต้องนำดวงแก้วนี้ให้อยู่ใกล้ๆ ตัวไว้จะดีที่สุดเพื่อทั้งรักษาและป้องกันโรค เช่น ไว้ในห้องนอน ลูกแก้วโอสถนี้เมื่อนำมาดมดู ก็จะมีกลิ่นอ่อนๆ คล้ายยาสมุนไพรโบราณ ดวงแก้วโอสถจะมีน้ำหนักเบากว่าดวงแก้วพญานาค แล้วอีกอย่างดวงแก้วโอสถก็จะมีกลิ่นเหมือนยาสมุนไพรครับ แต่ถ้าดูด้วยตาเปล่าก็คงแยกไม่ออก ผมเองยังต้องเขียนกำกับไว้ที่ซองพลาสติคเลยครับ และอีกอย่างถ้าคนที่สัมผัสพลังได้ พลังของดวงแก้วโอสถเขาจะเบาๆ นุ่มๆ ไม่เหมือนดวงแก้วพญานาคที่ว่องไว รุนแรง พลังคนละแบบไม่เหมือนกันเลย
ดวงแก้วโอสถ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ณ วัดหลวงพ่อสด
เมื่อผมได้ดวงแก้วนี้มา 1 ดวง ผมก็ขอทดลองใช้รักษาตัวเอง คือผมมีอาการเจ็บที่หัวไหล่ซ้ายมาก เป็นมาราว 1 ปีแล้วไม่หายสักที มีคนแนะนำว่าการแกว่งแขนจะทำให้หาย ผมก็แกว่งดูแต่ยิ่งแกว่งก็ยิ่งเจ็บมากยิ่งขึ้น ไม่แกว่งก็ทรงๆ เจ็บปวดทรมานมากเวลาใส่เสื้อยืดถึงกับน้ำตาเล็ดด้วยความเจ็บปวด หลายท่านมาบอกผมว่าไหล่ล็อคนี้เดี๋ยวก็หายเอง ก็คำว่าเดี๋ยวก็หายเองนี่แหละที่ทำให้ผมทนเจ็บปวดมาเกือบปี มันไม่ได้หายเองครับอย่าไปเชื่อ ผมเลยลองนำดวงแก้วโอสถมาใส่ลงไปในน้ำเปล่าอธิษฐานถึงหลวงปู่ชีวกดู ทานน้ำไปครั้งแรกเท่านั้นอาการปวดไหล่หายไป 80% ทันที เป็นไปได้อย่างไร แต่ก็เป็นไปแล้วครับ ผมสามารถเอาแขนซ้ายพาดไปข้างหลังได้เลยทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นทำไม่ได้เพราะจะเจ็บมาก ต่อมาอีก 1-2 วันก็เลยทำทานอีกทีนี้หายไป 90% อีก 3-4 วันทำทานอีกอาการหายไป 95% สรุปผมทานและทาไปเพียง 3 ครั้งอาการเจ็บหายเกือบหมดเหลืออีกเพียง 5% แต่ผมก็หยุดทานเพราะต้องการใช้กรรมให้จบๆ กันไป อาการเจ็บอีก 5% ถือว่าน้อยมากผมอยู่กับมันได้ แต่ต่อมาอีกราวเดือนกว่าๆ มันก็หายไปเองครับ ตอนนี้ถือว่าอาการไหล่ล็อคหายแล้วผมเลยตัดสินใจขอนำเรื่องดวงแก้วโอสถนี้ออก เผยแพร่ออกไป (ในวงจำกัด) ให้ปรากฏไว้ เพราะถ้าผมไม่นำมาเล่าเรื่องนี้ก็คงจะไม่มีใครได้รู้