ตอบปัญหา #เรื่องการบำเพ็ญบารมี
ผู้ที่มีความตั้งใจทําเพ็ญบารมีตามแนววิชชาธรรมกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนิพพานเป็นนั้น
ระดับปรกติสาวก อสีติมหาสาวก พระอุปัฏฐากและที่สําคัญที่สุดพระสัพพัญญูพุทธเจ้านั้น
จะต้องบำเพ็ญ บารมีเข้านิพพานเป็น อย่างน้อยจะต้องบำเพ็ญบารมีกี่อสงไขย?
ตอบเรื่องนี้นะครับ ยังไม่มีหลักฐานแน่นอน แต่ใครก็ตามปฏิบัติภาวนาเข้าถึงธรรมกายถึงพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมแล้ว ข้อนี้จะตอบได้ด้วยตนเองเพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะค่อย ๆ รู้แจ้งไปด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้นจึงว่าอย่าไปคิดมาก แต่กระผมใคร่จะให้ข้อคิดไว้นิดเดียวว่า
พระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเร็วด้วยปัญญาชื่อว่า“ ปัญญาธิกะ
พระพุทธเจ้า” บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป
ด้วยศรัทธาชื่อ“ ลัทธาธิกะพระพุทธเจ้านั้น
๔ อสงไขยแสนกัป ด้วยวิริยะความเพียรชื่อ“ วิริยาธิกะพระพุทธเจ้า” นั้น ๑๖ อสงไขยแสนกัป
อย่างเช่นพระศรีอริยเมตตรัยนี้จำเพาะที่บำเพ็ญบารมีเข้าสู่พระนิพพานถอดกาย คือนิพพานของธรรมกายส่วน หลักฐานเกี่ยวกับพระนิพพานเป็นนั้น
ยังไม่ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์หรือพระไตรปิฎก
เพราะฉะนั้นเมื่อท่านได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วนั้น
เมื่อถึงธรรมกายไปแล้วจะค่อย ๆ เข้าใจด้วยตนเองนะครับ ทีนี้ก็ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ตามที่บุรพาจารย์ ได้แก่ หลวงพ่อวัดปากน้ำและผู้ที่ปฏิบัติภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายที่เป็นศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่ออย่างเช่นหลวงพ่อชั้วเป็นต้น ท่านแสดงเอาไว้ว่าการบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้า
แต่เดิมหลวงพ่อท่านว่าต่างบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าเข้านิพพานเป็นทั้งหมด
เพราะฉะนั้น แต่เดิมระยะเวลาของการบำเพ็ญบารมี
จึงมาก แต่ก็ยังไม่ได้หลักฐานแสดงไว้ว่านานเท่าใดอาจจะเป็นระยะเวลาเป็นร้อยอสงไขยหรือเป็นพันอสงไขยก็ได้ ได้มีความเข้าใจว่าบำเพ็ญบารมีเป็นร้อยอสงไขยถึงเป็นพันอสงไขย ที่จะเข้านิพพานเป็นนั้นเพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นมี ต้นในต้น ๆ ๆ ถ่ายทอดสืบต่อ ๆ กันมานับตั้งแต่ต้น ๆ ธาตุต้นธรรมกลางธาตุและปลายธาตุโดย เฉพาะอย่างยิ่งต้นธาตุและกลางธาตุจะถอยพูดกำเนิดธาตุธรรมเดิมมาบำเพ็ญบารมี เพื่อช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์กลับไปเข้า สู่นิพพานนับเป็นแสนโกฏิจักรวาลไม่มีประมาณ
พระคุณเจ้าก็ดีหรือญาติโยมก็โปรดทราบว่า ธาตุธรรมนี้คือธาตุธรรมของสัตว์โลกทั้งหมดนี้ มีมาเมื่อไรไม่อาจกำหนดระยะเวลาได้ และธาตุธรรมทั้งหลายก็มีทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ไม่มีกำหนดเวลาว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด
ให้ท่านนึกคำนวณว่า เฉพาะแต่พระพุทธเจ้าที่บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่
จะเข้านิพพานถอดกาย ได้บำเพ็ญบารมีมาอย่างสูง ๔ อสงไขยแสนกัปนั้น แต่ละพระองค์ยังต้องผ่านพระพุทธเจ้ามานับไม่ถ้วน เฉพาะพระพุทธเจ้าพระสมณโคดมของเรา ได้เรียนรู้ธรรมะมามากแล้วก่อนหน้านี้ที่จะตั้งใจทําเพ็ญบารมี แล้วมีจิตศรัทธาอยากเป็นพระพุทธเจ้าดำริอยู่ แต่ในพระทัยถึง ๗ อสงไขยไว้แล้วนี่ แสดงว่าได้เรียนรู้พระสัทธรรมมาก่อนแล้วนะได้ผ่านพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมาย แต่ว่ากว่าที่จะบ่มบารมีให้แก่กล้าเพียงคิดอยู่ แต่ในพระทัยนี้ถึง ๗ อสงไขยนี่ ก็ผ่านพระพุทธเจ้านับไม่ถ้วนแล้วพอบารมีค่อย ๆ แก่กล้ามาหน่อยแล้วหลังจาก ๗ อสงไขย
จึงเปล่งพระวาจาออกมาอีก ๙ อสงไขย นี่เปล่งพระวาจาว่าปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า อยากจะเป็นพระพุทธเจ้า นานถึงอสงไขยนี่ก็ต้องผ่านพระพุทธเจ้ามาอีกนับไม่ถ้วน แล้วเมื่อบารมีแก่กล้าพอสมควร
แล้วจึงพบพระพุทธเจ้า เริ่มตั้งแต่พระพุทธเจ้าทีปังกร อย่างวันนี้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพสุธีท่านได้เอ่ยถึงว่าพระพุทธเจ้าของเราเมื่อบำเพ็ญบารมีเป็นพระมหาโพธิสัตว์ที่จะต้องบำเพ็ญจริงๆและได้รับ“ พุทธพยากรณ์” ในสำนักของพระพุทธเจ้าทีปังกร แต่นั้นมาก็ได้บำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ประการถึง ๔ อสงไขยแสนกัปผ่านการ
พยากรณ์ของพระพุทธเจ้าถึง ๒๔ พระองค์ แต่ก่อนหน้านั้นผ่านพระพุทธเจ้ามาแล้วนับเป็นหมื่นเป็นแสนพระองค์ นี่เฉพาะพระพุทธเจ้าพระสมณโคดมของเราพระองค์เดียว ทีนี้คุณโยมก็ดีพระคุณเจ้าก็ดีลองคำนวณดูว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าของเราได้บำเพ็ญบารมี ผ่านมาเป็นแสน ๆ พระองค์
เป็นแสนหรือจะเป็นล้านเป็นโกฏิก็นับไม่ถ้วน
เพราะที่ว่าเป็นแสน ๆ นี่คือเมื่อมาคิดในพระทัย
เพราะฉะนั้นรวมเบ็ดเสร็จนี่ เป็นล้านเป็นโกฏิแล้วนี่สำหรับพระพุทธเจ้าพระสมณโคดมของเราพระองค์ เดียวเท่านั้นแหละ ที่ว่าผ่านพระพุทธเจ้ามาแล้วเป็นแสนเป็นล้านเป็นโกฏิแสดงว่าคุณธรรม หรือพระสัทธรรมฝ่ายพระคือฝ่ายกุศลธรรมนี้มีมาตั้งเมื่อไร
ก็ไม่ต้องไปคิดเพราะผ่านมามากมายว่า แต่เฉพาะพระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้พระองค์เดียวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้ามาแล้วนับเป็นแสนเป็นล้านก็ที่พระพุทธเจ้าของเรานี้บำเพ็ญบารมีผ่านมาแล้วเป็นแสนเป็นล้านนั้นก็
ต้องผ่านพระพุทธเจ้ามาทับทวีคูณ เป็นจำนวนยกกำลังเท่าไรก็ไม่อาจคำนวณหรือคาดคะเนได้
แปลว่าผ่านมาระยะเวลานานเท่าใด ไม่ต้องพูดสืบต่อ ๆ เนื่องกันมาว่า เริ่มต้นธาตุธรรมที่มีขึ้นตั้งแต่เมื่อใดนี้แหละจึง กำหนดไม่ได้ นี่กล่าว แต่เฉพาะฝ่ายกุศลธรรมนะ ยังมีธาตุธรรมฝ่ายอกุศลธรรมคู่กันและก็มีธาตุธรรมฝ่ายกลาง ๆ อีก เพราะถ้าไม่มีฝ่ายอกุศลธรรมก็ไม่ต้องบำเพ็ญบารมี แต่เพราะมีความชั่วจึงต้องใช้คุณความดีที่ได้บำเพ็ญบารมีสะสมไว้ ให้แก่กล้าเพื่อปราบความชั่ว หรืออีกนัยหนึ่งต้องมีพระมาปราบมาร ฉะนั้นมารนี้เขาบำเพ็ญอกุศลธรรมมานานเท่าไรก็ไม่แน่นับไม่ได้เหมือนกัน มารเขาจึงมีต้นธาตุต้นเพราะธรรมเหมือนกันพระพุทธเจ้าฝ่ายบุญกุศลของเรา ที่บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ๆ เผยแผ่ธรรมถ่ายทอดธรรมสืบต่อ ๆ เนื่องกันมานับไม่ถ้วนนั้นก็มีต้นธาตุต้นธรรม ต้นในต้น ๆ นับไม่ถ้วนต้นธาตุและกลางธาตุเมื่อถอยพืดกำเนิดธาตุธรรมเดิมมา
เพื่อจะช่วยสัตว์โลกนั้น จะต้องมาเกิดมาอยู่ร่วมกับสัตว์โลก จึงต้องถูกภาคมารเขาสอดละเอียดอวิชชา
ของเขาเอิบอาบซึมซาบ ปนเป็นเข้ามาปรุงแต่งธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ให้เกิด ขึ้นใหม่เป็นสัตว์โลกตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม
กล่าวคืออวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารวิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะผัสสะ-เวทนา-ตัณหาอุปาทานภพชาติชรามรณะทุกข์ ฯลฯ นั้นเอง
และการมา เกิดใหม่ก็มาพร้อมกันทั้งชุดของกาย
กล่าวคือนับตั้งแต่กายธรรมที่สุดละเอียดมาถึงสุดหยาบ (ธรรมกายโคตรภูหยาบ)
และมีตั้งแต่กายโลกียะสุดละเอียด คือกายอรูปพรหมละเอียดหยาบอันเป็นกายปฐมวิญญาณละเอียดต่อ ๆ มาจนถึงกายสุดหยาบของสัตว์โลก ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
โดยเหตุนี้แหละจึงต้องมีการบำเพ็ญบารมีอีก
เมื่อมาบำเพ็ญบารมีอีกก็ต้องปฏิบัติคุณความดีเดินหน้าต่อไป จากบุญบารมีก็เป็นอุปบารมีและให้แก่กล้าถึงปรมัตถบารมี แล้วจึงจะบรรลุมรรคผลนิพพาน
ในกรณีของพระสาวก ส่วนในกรณีของพระพุทธเจ้าก็บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านว่าในสมัยก่อนพระพุทธเจ้าที่บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะได้บำเพ็ญบารมีมามาก พระองค์จึงเข้านิพพานด้วยพระวรกายเนื้อนี่แหละที่ชื่อว่า“ นิพพานเป็น” ที่หลวงพ่อท่านสอนแนะนำมา และได้ยินว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็บำเพ็ญบารมีเพื่อจะเข้าพระนิพพานเป็นเหมือนกันด้วยบุญบารมีของท่านที่ได้บำเพ็ญบารมี มามากแล้วนี่เองท่านจึงพบวิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า
ซึ่งในสมัย พุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าเราได้ทรงสอนธรรมกายอยู่ แต่สูญหายไปคำว่า“ สูญหาย” นี้ไม่ใช่หายไปจากพระไตรปิฎก แต่ว่าหายไปจากการปฏิบัติที่ค่อย ๆ หย่อนยานไปตามลำดับ แท้ที่จริงแล้วก็ยังมีผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงรู้เห็นและเป็น
มีมาจนถึงปัจจุบันนี้แหละ แต่ว่าด้วยความย่อหย่อนเพราะภาคมารคือกิเลสมารเขาสอดละเอียดเข้ามาในธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้นั่นแหละ เพราะฉะนั้นในระยะหลังที่จะมีผู้ถึงธรรมกายถึงพระนิพพานได้รู้เห็นพระนิพพานแจ่มแจ้ง แล้วเอามาสอนนี้จึงมีน้อยลง ๆ จนเงียบ หายไปซึ่งแท้ที่จริงอาจจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือ
พระอรหันต์อยู่ตามป่าตามเขา ที่ไม่สอนใครหรือว่าสอน แต่พอสมควรก็มีที่บรรลุมรรคผลนิพพาน
ท่านเป็นธรรมกายทั้งนั้นแหละ แต่ว่าที่จะเอามาสอนอย่างลึกซึ้งน่ะไม่ปรากฏเห็นว่ามี
เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่า“ หายไป” คำว่า“ หายไป” นี้ไม่ใช่ว่าไม่มีในพระไตรปิฎก หรือว่าไม่ใช่ไม่มีใครบรรลุเลยสูญไปเลยก็มีมาเป็นระยะ ๆ แต่เราไม่รู้จักไม่มีการสอนอย่างเต็มที่ เหมือนอย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านปฏิบัติได้เข้าถึงรู้เห็นและเป็นแล้วจึงสอนท่านพบของท่านเต็มที่เต็มอัตราด้วยบุญ บารมีของท่านท่านจึงเอามาสอนอย่างไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น ท่านยืนยันเลยว่านิพพานเป็นอัตตาวิมุติ “ไม่ใช่“ อนัตตา” ซึ่งพวกศิษยานุศิษย์รุ่นหลัง ได้แก่ กระผมกับคณะแหละที่ได้ศึกษาค้นคว้าหาเอกสารหลักฐานดูก็ปรากฏว่า “ ธรรมกาย” ที่หลวงพ่อท่านสอนนั้นมีเอกสารหลักฐานตรงตามที่หลวงพ่อท่านปฏิบัติได้เข้าถึงรู้เห็นและเป็นเรื่องเป็นอย่างนี้ ดังที่ได้ถวายหนังสือแด่พระคุณเจ้าไปแล้วนั่นแหละ
มีเอกสารหลักฐานพร้อม จึงไม่ใช่ว่าวิชชาธรรมกายหายไปไหนไม่หาย มีในคัมภีร์ในพระไตรปิฎกไม่หาย แต่คนปฏิบัติค่อย ๆ เลื่อนไปคือมีน้อยลง ๆ แต่ที่บรรลุเองก็อาจจะไม่แจ่มแจ้งพอที่จะสอนอย่างละเอียดลึกซึ้งได้ กระผมจึงใคร่จะเน้นในคำสอนของหลวงพ่อต่อมาว่า แต่เดิมนั้นผู้บำเพ็ญบารมีกันมาก ๆ ถึงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าเข้าพระนิพพานเป็นด้วยกายเนื้อ แต่ต่อมาภาคมารเขาสอดละเอียดได้มาก
สอดละเอียดเข้าไปในธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ของสัตว์ได้มาก การบำเพ็ญบารมีในภายหลัง ต่อมาจึงย่อหย่อนลงไปตามลำดับ แต่เดิมเคยบำเพ็ญบารมีเป็นร้อยเป็นพันอสงไขย เดี๋ยวนี้ลดลงมาเหลือ ๑๖ อสงไขยแสนกัปเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ ๔ อสงไขยแสนกัปก็ได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าเข้าพระนิพพานถอดกาย
การบำเพ็ญบารมีในระดับนี้ก็ช่วยสัตว์โลกได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถจะช่วยได้มากเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีเข้านิพพานเป็น ด้วยพระวรกายเนื้อ
ซึ่งจะต้องอาศัยการบำเพ็ญบารมีมาก จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ ทีนี้ในส่วนที่บำเพ็ญบารมีมาน้อยลงตามลำดับนี้
จึงย่อมช่วยซื้อขนสัตว์ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
ไม่ได้ช่วยได้ทั้งหมด เพราะภาคมารเขามีกำลัง
ที่ว่ามีกำลังเราดูง่าย ๆ ว่ากิเลสของคนมีกี่มากน้อยขนาดเข้าวัดแล้วนี่ เป็นพระที่ดีเป็นสามเณรก็ดีกิเลสยังเหลืออยู่กี่มากน้อย ท่านลองพิจารณาดูความประพฤติปฏิบัติในพระธรรมพระวินัยนั้น เคร่งครัดหรือย่อหย่อนแค่ไหน แล้วการปฏิบัติสมณกิจหรือสมณธรรมของพระคุณเจ้าทั่วประเทศนี่ เข้มแข็งแค่ไหน
และทำไมจึงไม่เข้มแข็งเท่าหรือเหมือนสมัยพุทธกาล? ทำไมจึงไม่เคร่งครัดเหมือนสมัยพุทธกาล? ทำไมจึงต้องแตกแยกเป็นธรรมยุตเป็นมหานิกาย? นี่ว่าเฉพาะพระภิกษุฝ่ายเถรวาทส่วนฝ่ายมหายานทำไมจึงต้องแตกออกไป? แล้วก็แตกออกไปเรื่อย ๆ เชียวเดี๋ยวนี้เป็นอะไรไปอีกไม่รู้เยอะแยะเลย
ซึ่งสมัยเดิมไม่มี มีแต่พุทธบุตรอย่างเดียว
ทั้งหมดนี้ก็เพราะภาคมารเขาสอดละเอียดอวิชชา
ของเขามาในธาตุธรรมเห็นจําคิดรู้ของสัตว์โลก ให้คิดผิดเห็นผิดไปจากธรรมที่ถูกต้อง ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ดีแล้ว แล้วก็เบี่ยงเป็นตัวเองไปเรื่อยนะครับกิเลสนั่นแหละครับนั่นแหละภาคมารเขาละครับ“ กิเลสมาร” เราเห็นเลยว่ากิเลสมารเขามีอิทธิพลแค่ไหน หลวงพ่อหลวงพี่เมื่อกระผมพูดแค่นี้ก็คงจะนึกได้เราเป็นพระ เราเป็นพระ แต่ตัวใจเราเป็นพระกี่เปอร์เซ็นต์พระร้อยเปอร์เซ็นต์คือพระอรหันต์
จิตใจของธรรมกายเป็นพระอรหันต์ แต่ร่างกายมนุษย์ทิพย์พรหมเป็นฝ่ายมารเขาทั้งนั้น ที่มานี้จึงขอได้โปรดทราบเลยว่า อะไรที่มันไม่ถูกนั่นภาคมารเขา
เมื่อถึงจุดนี้แล้วจงยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ภาคมารเขาแน่ ยอมรับได้เลยว่าภาคมาร คือกิเลสมารที่เขาแน่ที่ว่าเขาแน่เพราะอะไร? ที่นั่งสลอนอยู่ภาคมารเขาปรุงขึ้นทั้งนั้น ตัวเรานี่ถ้าภาคมารเขาไม่ปรุงไม่ต้องตายหรอกนะ พระแท้ ๆ คือ
ธรรมกายที่บรรลุพระอรหัตผลชื่อว่า“ พระนิพพาน” นะไม่ตายหรอกนะ ธรรมกายมรรคผลนิพพานเป็น“ อมตธรรม” ภาคพระแท้ ๆ เป็นอมตธรรม ในสมัย ๆ ก่อนพระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญบารมีมาก ๆ ที่เข้าพระนิพพานด้วยพระวรกายเนื้อน่ะ“ พระวรกายเนื้อ” ก็เป็นอมตธรรมนะนั่นเป็นพระแท้ ๆ เมื่อบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณหรือในกรณีพระอรหันตสาวกผู้บรรลุมรรคผลนิพพานกายเนื้อ ก็ใสบริสุทธิ์และมีรัศมีสว่างเป็นกายธรรมไปเลย จึงไม่ถูกปรุงแต่งด้วยภาคมารเลยเป็นพระล้วน ๆ พระล้วน ๆ นั้นเป็นอมตธรรมมีสภาพ“ นิจคือเที่ยง ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัยเป็น“ ปรมสุขสุขที่สุดและ“ ธุวํ” ยั่งยืน จิตใจก็มั่นคง แต่ในปัจจุบันนี้พระภิกษุสามเณรที่ห่มผ้าจีวรกายเนื้อเป็นพระแท้ที่ไหน ไม่ใช่นะต้องตายทั้งนั้นเลยภาคมารเขาปรุงขึ้นทั้งนั้น
นี่แหละคือเรื่องของมาร เรื่องของมารหลวงพ่อท่านเทศน์เลยนะครับว่า สมภารวัดปากน้ำกับผู้ที่ปฏิบัติวิชชาธรรมกายกำลังต่อสู้กับภาคมาร แต่พระวัดปากน้ำไม่ใช่จะรู้เรื่องนี้ ทั้งหมดท่านบอกว่าส่วนมากไม่รู้เรื่อง แต่ว่าเมื่อไรท่านชนะทุกคนก็ชนะด้วยในความหมายที่ท่านพูดว่า“ ชนะด้วย “ก็หมายความว่าเมื่อมีผู้บำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้า มาตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่จะเข้านิพพานเป็นมีพุทธานุภาพมาก ที่จะช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปได้มาก
สัตว์แต่ละตนหรือแต่ละคนน่ะ ก็จะพลอยได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามไปด้วย
แต่ทุกคนจะต้องช่วยตัวเองนะ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีพระพุทธเจ้าผู้บรรลุพระนิพพานเป็นแล้ว ชนะแล้วท่านทั้งหลายอื่นก็ชนะด้วย โดยที่ตนเองไม่ต้องปฏิบัติธรรม ตามสมควรแก่ธรรมเพื่อความบรรลุมรรคผลนิพพานเอง ไม่ใช่เช่นนั้นนะ ทุกท่านต้องบำเพ็ญบารมีเองเหมือนกัน แม้ผู้บรรลุพระนิพพานเป็นนั้นช่วยได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉานรื้อสัตว์ขนสัตว์หมดนับแสนโกฏิจักรวาลไม่มีประมาณ แต่สัตว์ทุกตัวทุกคนทุกคนจะต้องบำเพ็ญบารมีเอง จริงอยู่พระพุทธเจ้าทรงมีอานุภาพสูงไม่ว่าจะพระพุทธเจ้าองค์ใด
นับตั้งแต่พระสมณโคดมนี้ถอยหลังไปพระองค์ก็ช่วยไม่ใช่ไม่ช่วย แต่ทุกคนก็ต้องช่วยตัวเองจำไว้เลยว่าที่หลวงพ่อท่านว่า“ เมื่อฉันชนะแล้วทุกคนก็ชนะด้วย” ท่านหมายถึงอย่างนี้
มิได้หมายความว่า คนอื่นไม่ต้องทำอะไรถึงคราวที่หลวงพ่อบรรลุพระนิพพานเป็นแล้ว ท่านทั้งหลายก็บรรลุตาม ไม่ใช่นะครับ มันต้องช่วยตัวเองเพื่อความบรรลุมรรคผลนิพพานเองทุกคน เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ว่า สุทฺธิ อสุทธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ
อญฺญํ วิโสธเย ความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์เป็นสิ่งเฉพาะตน ใครจะยังความบริสุทธิ์หรือยังความไม่บริสุทธิ์ให้แก่คนอื่นไม่ได้ ให้แก่กันและกันมิได้
แต่ว่า อาจจะช่วยอนุเคราะห์อะไรได้หลาย ๆ อย่าง ได้แก่ ช่วยแนะนำสั่งสอนช่วยแนะนำให้ปฏิบัติและมีการช่วยเคลียร์พื้นที่ให้ นี้เป็นเรื่องเป็นวิธีของธรรมชั้นสูง แต่ว่าถึงอย่างไรทุกคนต้องปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม เพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพานเองทั้งนั้น
ภาคมารเขาก็ได้บำเพ็ญความไม่ดีมามาก ก็ไปจากผู้ที่มีเชื้อของภาคมาร คือมีกิเลสนี่แหละเหมือนอย่างคนเรานี่แหละมีกิเลสอยู่แล้ว ถ้าใครบำเพ็ญบุญบารมีทำคุณความดีบำเพ็ญบารมีมากขึ้นเพียงไร
กิเลสมารก็หมดไปเพียงนั้น ก็กลายเป็นฝ่ายพระไป
แต่มนุษย์หรือสัตว์ใดที่มีกิเลสอยู่แล้วหลงผิดคิดผิดเห็นผิดทำผิดพูดผิดนำคนอื่นผิด ๆ ไป ๆ กิเลสก็สะสมตกตะกอนนอนเนื่องในจิตสันดานได้มากขึ้น
กิเลสมารเพิ่มมากขึ้นอวิชชาหนาแน่นขึ้นก็ออกไปนอก พระศาสนาจนกระทั่งสุดโต่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ
แล้วเมื่อแตกกายทำลายขันธ์คือตายก็ไปอบายภูมิทั้ง ๔ ได้แก่ ภูมิของเปรตสัตว์นรกอสุรกายและเดรัจฉานเป็นต้นนั่นแหละพวกมารเขาปรุงไว้เต็มอัตรา
เฉพาะเรื่องโทษอย่างเดียว สมมุติว่าไปเป็นเดรัจฉาน ความโง่คือโมหะมาก เมื่ออวิชชาเป็นเหตุนำเหตุหนุนก็ยิ่งโง่หนักไปอีกนับภพชาติไม่ถ้วน ถ้าไม่มีบุญเก่าช่วยดึงช่วยฉุดขึ้นมาความที่จะได้โผล่มาเป็นมนุษย์ไม่มีจะตกต่ำดิ่งลงไปเหมือน ก้อนศิลาที่ตกลงไปในบ่อที่ไม่มีก้นนั่นแหละจะไปเป็นสัตว์ที่ต่ำลง ๆ ๆ ไปจนถึงสัตว์เซ็ลล์เดียวไปจนถึงเป็นสัตว์
ประเภทเชื้อโรคนั่นแหละคือภาคมารเขาหละ
เป็นขันธมาร ขันธมารมีทำหน้าที่ทำลายสังขารตัวทำลายสังขารนั่นแหละ“ ขัน ธ มาร” นั่นเป็นพวกเขาแล้วเป็นเชื้อโรคไปแล้ว กู่ไม่กลับแล้ว
ทีนี้มันจะตกต่ำไปอีกเท่าไรเราไม่รู้ จนไปเป็นตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าฝ่ายดีของเรา มีลักษณะคล้ายธรรมกายนี่แหละ แต่วรรณะแก่กล้าไป ๆ ก็เป็นต้นธาตุต้นธรรมภาคดำไป พระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมภาคพระ หรือภาคขาวมีลักษณะอย่างไร ภาคมารเขาก็มีลักษณะคล้าย ๆ ต่างกันที่วรรณะอย่างนั้น
คุณธรรมและผลของการปฏิบัติตามธรรมของแต่ละ ฝ่าย กล่าวคือภาคพระคือธรรมกายที่บรรลุมรรคผลนิพพานและทั้งกายเนื้อ ที่เป็นธรรมขันธ์หรือวิสุทธิขันธ์กรณีบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นมีวรรณะขาวใสบริสุทธิ์มีรัศมีสว่างทรงคุณธรรมฝ่ายดีที่เป็นบุญ
กุศลกุสลาธัมมา สอนให้ละความชั่วให้ทำความดีชำระจิตใจให้ผ่องใส และชำระปัญญาให้บริสุทธิ์เปิดหรือชี้แนะทางปฏิบัติ ให้รู้เห็นนรกสวรรค์นิพพานตามที่เป็นจริง ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมของฝ่ายบุญกุศล
หรือภาคพระนี้ ย่อมได้รับความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุขในชีวิตทั้งในระดับโลกียะ ถึงระดับโลกุตตระ
คือได้ บรรลุมรรคผลนิพพานแดนเกษมที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง
ภาคมารลักษณะคล้ายธรรมกายและคล้ายกายเนื้อที่เป็นธรรมขันธ์ แต่วรรณะดำขุ่นมัว ไม่ผ่องใส
ทรงธรรมฝ่ายชั่ว (อกุสลาธัมมา) แนะนำสั่งสอนให้ประพฤติชั่วกล่าวคือให้รู้ผิดให้หลงเห็นผิดเป็นชอบ
ให้คิดผิดพูดผิดทำผิด ๆ ไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริง ปิดทางปฏิบัติหรือชักนำชี้แนะให้เขาออก ไปนอกทางปฏิบัติ ที่จะให้รู้เห็นนรกสวรรค์นิพพานตามที่เป็นจริง ผู้ปฏิบัติตามธรรมของฝ่ายชั่วหรือบาปอกุศลย่อมได้รับโทษเป็น ๆ ความทุกข์เดือดร้อนและขาดสันติสุขในชีวิตดำเนินชีวิตไปสู่ความเสื่อมลงตามลำดับถึง อบายภูมิคือภูมิของเปรตสัตว์นรกอสุรกาย
และสัตว์เดรัจฉานต่อ ๆ ไป
เหมือนก้อนศิลาที่ตกลงไปในบ่อที่ไม่มีก้น
เพราะฉะนั้นในวิชชาธรรมกายเรารู้เรื่องนี้
เมื่อเรารู้เราจึงไม่ใช้นิมิตสีดำ ๆ เพราะจะเป็นนิมิต ๆ ติดหูติดตา ดึงดูดธาตุธรรมภาคดำเข้ามาหา
นี้คือความวิเศษของวิชชาธรรมกาย แต่ว่ายิ่งรู้ก็ยิ่งต้องทำหน้าที่ต้องบำเพ็ญบารมี เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญบารมีเมื่อได้วิชชาธรรมกายแล้วปรารถนาจะบำเพ็ญบารมีเข้าสู่นิพพานถอดกายก็ได้ แต่ว่าช่วยคนอื่นได้ไม่มาก ช่วยคนอื่นได้น้อย แต่ถ้าใครตั้งใจบำเพ็ญบารมีไปเข้าถึงนิพพานเป็น ก็สามารถช่วยสัตว์โลกได้มากบางท่านอาจจะนึกว่าตั้งร้อยอสงไขย พันอสงไขย
รอไม่ไหวแล้ว นั่นคิดผิด
เพราะเมื่อเกิดมาชาติหนึ่ง ๆ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราลำบากในชาติที่ผ่านมา เราได้เคยบำเพ็ญบารมีมาแล้วนับอสงไขย ไม่ต้องสงสัยจึงได้มานั่งสลอนปฏิบัติธรรมอยู่อย่างนี้ได้ บำเพ็ญมาแล้วนับไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้นที่จะบำเพ็ญต่อไปอีกก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร ถ้าเรารู้เคล็ดลับเสียแล้ว เรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องเล็กเรื่องยาวก็เป็นเรื่องสั้น คือว่าเมื่อเรารู้ว่าภาคมารคือ“ กิเลสมาร” ต่อไปก็มี“ ขัน ธ มาร” แล้วก็มี“ มัจจุมาร” และมี“ เทพบุตรมาร” คือมารที่เป็นเทพโปร่งแสงเป็นโอปปาติกะซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิมีนะ
ทีนี้บางท่านสงสัยว่ามิจฉาทิฏฐิแล้วทำไมจึงเป็นเทพ
ก็เพราะเขาทำทั้งบุญทั้งบาป จึงมีบุญส่วนหนึ่งที่มีผลให้ได้ไปเกิดเป็นเทพ แล้วก็เสวยวิบากคือผลกรรม
ทั้งจากฝ่ายดีและฝ่ายชั่วนั้น ที่ว่าเรารู้เคล็ดลับในการบำเพ็ญบารมีแล้วนั้นแหละ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามนี้จึงได้พาท่านทำ แต่คุณความดีที่เลิศ
ไม่ว่าจะเป็นทานกุศลก็ให้ทำทั้งอามิสทานที่ดีที่เลิศและให้ทำธรรมทานที่ดีที่ประเสริฐยิ่งขึ้นไปอีก ได้แก่ ให้หนังสือธรรมะเป็นทานอานิสงส์สูงยิ่งให้สร้างพระรูปและธรรมกายของ พระพุทธเจ้าและให้สร้างพระธรรมคือให้ศึกษาอบรมปฏิบัติธรรมเองด้วยและให้สร้างหนังสือธรรมและเทปสอนธรรมปฏิบัติถวายพระเณรด้วย และให้สร้างพระสงฆ์คือให้สร้างพระในใจตนเองด้วย และให้ช่วยผู้อื่นสร้างพระในใจตน (คนอื่น) ด้วย อย่างนี้คือพระรัตนตรัยนี่มีอานิสงส์มาก
จงทำเสีย นี่แนะนำชักนำให้ญาติโยมสร้างพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างนี้มีอานิสงส์สูงมากจะติดตามให้ผล ไปทุกภพทุกชาติ ตราบเท่าถึงมรรคผลนิพพานทำแล้วไม่มีตก ปัญญาจะส่องสว่างเฉียบแหลมยิ่งขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม
และที่เขาว่าสะเดาะเคราะห์ สะเดาะเคราะห์นั่นนี่แหละเป็นการสะเดาะเคราะห์ดีที่สุด ในกระบวนทานทั้งหลาย อานิสงส์สูงที่สุด และมีอานุภาพสูงที่สุดคือธรรมทาน อย่าได้ลืมเสีย หากอาตมาพูดมากก็เหมือนคอย แต่จะชักนำให้โยมเสียเงินมาก
แท้จริงอาตมาชักนำโยมให้ทำทานกุศลที่ดีเลิศ
โยมจะได้ดำเนินชีวิตไปต่อจากนี้ไป ไม่มีตกต่ำ
จะมี แต่เจริญรุ่งเรืองด้วยรูปสมบัติบริวารสมบัติทรัพย์สมบัติคุณสมบัติก็จะมีทั้งความรู้ความสามารถและคุณธรรมละเอียดไปถึงสวรรค์สมบัติและถึงนิพพานสมบัติ
เพราะฉะนั้นเมื่อได้บำเพ็ญบารมีให้แก่กล้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปบารมีก็สูงขึ้นก็ไปเรื่อยไปจะต้อง ไปกลัวทำไมกับความลำบากเกิดชาติใดภพใดก็มี แต่ความสุขอยู่ในสุคติภพบำเพ็ญบารมีเรื่อยไปแต่ละภพละชาติก็มี แต่ความสุขสบายตามอัตภาพ ที่เราได้บำเพ็ญมาจะไปกลัวอะไรกับความลำบากที่มันลำบากเดี๋ยวนี้
ก็เพราะเราบำเพ็ญบารมีมาน้อย และเพราะเราไปเข้าข้างมารเสีย ไปหลงตามมารเสีย คิดผิดรู้ผิดเห็นผิดทำผิดพูดผิดมัน ก็เลยมีผลให้เราได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านว่านะท่านว่ากิจที่จะทำเพื่อตัวเองมีอย่างเดียวคือปฏิบัติธรรมนี่แหละ
ศีลสมาธิปัญญานี่ให้ถึงอธิศีลอธิจิตอธิปัญญาปฐมมรรคมรรค จิตมรรคปัญญาให้ถึงธรรมโคตรภูพระโสดาพระสกิทาคาพระอนาคาพระอรหันต์ถึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเข้านิโรธไปค่านวณรู้ที่ตรัสรู้ในนิโรธของพระพุทธเจ้าเรื่อยไป ทำอย่างนั้นก็มีโอกาสไปถึง“ นิพพานเป็น จงทำอย่างนี้ไป ไม่ต้องกลัวว่าจะเนิ่นช้าเมื่อทำเป็นทำถูกวิธีกลับเพิ่มพูนบารมีเร็ว ถ้าใครตั้งใจดี ๆ นะ ชาตินี้ก็ถึงทางโค้งได้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเพราะได้เคยบำเพ็ญบารมีมามากแล้ว อย่าหลงผิดอีกก็ แล้วกัน แต่ถ้าหลงผิดไปแล้ว
คิดผิด รู้ผิด เห็นผิด ทำผิด ทนต่ออำนาจของกิเลสไม่ได้ ไม่มีความอดทนไม่มีความอดกลั้น ที่จะทำความดี ที่จะละความชั่ว ก็ตกเป็นทาสของมาร
หลวงพ่อท่านจึงบอกว่าเรื่องอื่นนอกนั้นน่ะ
เป็นการทำกิจ ของมารทั้งสิ้น คนเป็นฆราวาสนะเลี้ยงชีวิตตนเองไม่พอ ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย เลี้ยงหลานนั่นก็ไปช่วยภาคมารเขานะ กิจการบำรุงมารทั้งนั้น
ไม่ได้ช่วยให้เราไม่ตายเลย
เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งพระภิกษุเราบวชแล้วก็ให้ สำเหนียกให้พิจารณาดูว่ายังอยากจะออกไปทำหน้าที่ช่วยมารอีกหรือ? เพราะว่าใครช่วยใครไม่ได้และจริง ๆ แล้วนั้น เราทำได้ดีเท่าไร เป็นพระนี่แหละบำเพ็ญบารมีได้ดีเท่าไรพ่อแม่พี่น้องเรานั่นแหละจะได้ดีกับเราด้วยตอนแรก ๆ เขาอาจจะโกรธเกลียดหรือไม่พอใจเราหรือไม่ชอบใจเรา ก็ช่างเขาเพราะเขาไม่รู้แม้บุตรภรรยาสามีก็ล้วน แต่ไม่รู้จึงยึดติดด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาอุปาทาน แต่กิจทั้งหมดภายนอกเป็นกิจทำเพื่อคนอื่นที่จะมาสนองตัวเองให้ได้ที่พึ่งแท้ ๆ ของตัวเอง คือเป็นตัวเป็นตนจริง ๆ เพื่อเข้าถึงตัวตนวิมุติแท้ ๆ ไม่ค่อยได้ทำกันเท่าไร
หลวงพ่อท่านจึงว่ากิจอื่นทั้งหมดนั่นไปทำให้มารเขารับใช้มารเขาทั้งสิ้น แม้เป็นพระเป็นเณรถ้าไป ทำกิจอื่นนอกเรื่องการศึกษาอบรมปฏิบัติพระสัทธรรม
ไปทำกิจอื่นที่ห่างไกลจากการชำระคือกำจัดกิเลสมารออกจากจิตใจของตน กิจเหล่านั้นเป็นกิจของมารเขาเขาล่อเขาลวงให้หลง ทำหลงผูกพันธ์หลงแบกภาระอันเป็นกิจของมาร
รู้แล้วอย่างนี้เราจะได้ไม่ท้อถอย
เพราะฉะนั้นถ้าเราบำเพ็ญคุณความดีที่ถูกต้องทานกุศล ที่ถูกต้อง ศีลกุศลที่ถูกต้อง ภาวนากุศลที่ถูกต้องไม่ต้องกลัวว่าจะลำบาก ถ้าถูกต้องในชาตินี้ให้ท่านนึกไว้ได้เลยว่าเข้าโค้งแล้ว แต่ถ้าท่านพลาดชาตินี้
ก็ไปอีกไกล เพราะท่านพบวิชชาธรรมกายแล้วนี่
เพราะฉะนั้นในปัญหาที่ท่านถามว่าจะต้องบำเพ็ญบารมีเท่าไรถึงจะเข้าสู่นิพพานด้วยกายเนื้อ กระผมบอกได้ แต่เพียงว่าบำเพ็ญมากกว่าการบำเพ็ญบารมีเพื่อเข้า
นิพพานถอดกาย นิพพานถอดกายนั้นอย่างน้อย ๔ อสงไขยแสนกัป นั่นแหละท่านตั้งใจบำเพ็ญไปเถอะ ๔ อสงไขย ๔ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ๓๒ อสงไขย, ๖๔ อสงไขย ๑๒๘ อสงไขย, ๒๕๖ อสงไขยไปเลย
ไม่ต้องไปคิดว่าที่จะไปข้างหน้ามันจะยืดไปไกล
หรือนานเท่าใด เราต่างก็ได้เคยบำเพ็ญมามากแล้ว
เมื่อถึงธรรมกายแล้วท่านจะค่อย ๆ รู้ด้วยตัวท่านเองเมื่อเข้าถึงพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมในนิพพานเป็นแล้วจะรู้ด้วยตัวเอง ตอนนี้พูดไปก็คือสักแต่ว่าพูด และผมเองก็ยังไม่ถือว่าเป็นผู้รู้จริง ที่พูดมานี้พูดตามธรรมของพระพุทธเจ้า ประกอบกับตามคำของบุรพาจารย์ประกอบกับประสบการณ์ของตนบ้างเล็กน้อย
เพราะฉะนั้นท่านจงตั้งหน้าทำดีไปก็แล้วกัน
ไม่ช้าบารมีเต็มก็จะถึงพระนิพพานเอง
หลวงป๋า