ตัวอย่างวิธีเจริญสมถวิปัสสนา
แบบที่หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนให้ปฏิบัติ ถึงธรรมกายและพิจารณาอริยสัจเข้ามรรคผล
ให้รวมใจของทุกกายอยู่ ณ ศูนย์กลางธรรมกายอรหัตที่ละเอียดที่สุด เอาใจธรรมกายอรหัตเป็นหลัก เจริญฌานสมาบัติ (รูปฌาน ๔) หมดพร้อมกันทุกกายหยาบกายละเอียด โดยอนุโลมและปฏิโลม ๑-๒-๓ เที่ยว ให้ใจผ่องใสจากกิเลสนิวรณ์ อ่อนโยน ควรแก่การงาน แล้วธรรมกาย พระอรหัตที่สุดละเอียดทำนิโรธดับสมุทัย คือ พิสดารธรรมกายอรหัตใน อรหัต ออกจากฌานสมาบัติ (ไม่ต้องพิจารณาอารมณ์ฌาน) ผ่านศูนย์ กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมอันเป็นที่ตั้งของธาตุ-ธรรม และเห็น-จำ-คิด-รู้ อันเป็นที่ตั้งของกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ของกายโลกียะสุดกาย หยาบกายละเอียด ปหานอกุศลจิตของกายในภพ ๓ ให้บริสุทธิ์ เป็นแต่ ใจ (คือญาณรัตนะ) ของธรรมกายที่บริสุทธิ์ล้วนๆ จนสุดละเอียด ปล่อย อุปาทานขันธ์ ๕ และความยินดีในฌานสมาบัติได้ (แม้ชั่วคราว)
เป็น วิกขัมภนวิมุตติ
ธรรมกายที่หยาบจะตกศูนย์ ธรรมกายที่สุดละเอียด จะปรากฏในอายตนะนิพพาน ก็ให้ซ้อนธรรมกายที่บริสุทธิ์สุดละเอียดนั้น ที่กลางของกลางพระนิพพาน โคตรภูจิตยึดหน่วงพระนิพพานเป็นอารมณ์ อยู่แล้วนั้น
[๑] ใช้ตา (ญาณ) พระธรรมกายพิจารณาอริยสัจที่กลางกายมนุษย์ เห็นแจ้งแทงตลอดอริยสัจเหล่านี้ พร้อมกับเดินสมาบัติ เมื่อถูกส่วนเข้า พระธรรมกายก็ตกศูนย์เป็นดวงใส วัดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๕ วา ในไม่ช้าศูนย์นั้น
ก็กลับเป็นพระธรรมกาย หน้าตักกว้าง ๕ วา สูง ๕ วาขึ้นไป เกตุดอกบัวตูม นี้เป็นธรรมกายพระโสดา กล่าวคือ
เมื่อผู้ปฏิบัติภาวนาสามารถเจริญปัญญารู้แจ้งในพระสัจจธรรม ดังกล่าวแล้ว ธรรมกายโคตรภูละเอียดก็ตกศูนย์ แล้วธรรมกายพระโสดา– ปัตติมรรคก็ปรากฏขึ้น ปทาน (ละ) สังโยชน์เบื้องต่ำ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ได้แล้ว ธรรมกายพระโสดาปัตติมรรค ก็ตกศูนย์ ธรรมกายพระโสดาปัตติผลก็จะปรากฏขึ้นเข้าผลสมาบัติ พิจารณาปัจจเวกขณ์ ๕ คือพิจารณามรรค, ผล, กิเลสที่ละได้, กิเลสที่ยัง เหลือ และพิจารณาพระนิพพาน ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบัน และก็ จะเห็นธรรมกายพระโสดาปัตติผลใสละเอียดอยู่ตลอดเวลา ไม่กลับมัวหมอง หรือเล็กเข้ามาอีก
[๒] แล้วธรรมกายพระโสดานั้นเข้าฌาน พิจารณาอริยสัจของกาย ทิพย์ ให้เห็นจริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทำนองเดียวกับที่กล่าวมาแล้ว เมื่อถูกส่วนเข้า ธรรมกายพระโสดาก็ตกศูนย์เป็นดวงใส วัดเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้ ๑๐ วา ในไม่ช้าศูนย์นั้นก็กลับเป็นพระธรรมกาย หน้าตักกว้าง ๑๐ วา สูง ๑๐ วาขึ้นไป เกตุดอกบัวตูม นี่เป็นธรรมกายพระสกิทาคามี กล่าวคือ
เมื่อธรรมกายพระสกิทาคามิมรรคปรากฏขึ้น กำจัดสังโยชน์ และ สามารถละโลภะ โทสะ และโมหะ จนเบาบางลงมากแล้ว ก็จะตกศูนย์ และปรากฏธรรมกายพระสกิทาคามิผลเข้าผลสมาบัติ และพิจารณา ปัจจเวกขณ์ ๕ ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระสกิทาคามี และท่านก็จะเห็น ธรรมกายพระสกิทาคามีใสละเอียดอยู่ตลอดเวลา
[๓] แล้วธรรมกายพระสกิทาคามีนั้นเข้าฌาน ดูอริยสัจของกาย รูปพรหม ให้เห็นจริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อถูกส่วนเข้า ธรรมกาย วิปัสสนาวิธีถึงธรรมกายและเข้ามรรคผล
พระสกิทาคามีก็ตกศูนย์เป็นดวงใส วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ ๑๕ วา ในไม่ ช้า ศูนย์นั้นก็กลับเป็นพระธรรมกาย หน้าตักกว้าง ๑๕ วา สูง ๑๕ วาขึ้น ไป เกตุดอกบัวตูม นี่เป็นธรรมกายพระอนาคามี กล่าวคือ
เมื่อธรรมกายพระอนาคามิมรรคปรากฏขึ้นปหานกามราคานุสัย และปฏิฆานุสัยได้อีก แล้วก็จะตกศูนย์ ปรากฏธรรมกายพระอนาคามิผล เข้าผลสมาบัติ และพิจารณาปัจจเวกขณ์ ๕ ได้บรรลุมรรคผล เป็นพระ อนาคามีบุคคล ตลอดเวลา และท่านจะเห็นธรรมกายพระอนาคามีใสละเอียดอยู่
แล้วธรรมกายพระอนาคามีนั้นเข้าฌาน ดูอริยสัจของกายอรูป– พรหม ให้เห็นจริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อถูกส่วนเข้า ธรรมกาย พระอนาคามีก็ตกศูนย์เป็นดวงใส วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ ๒๐ วา ในไม่ช้า ศูนย์นั้นก็กลับเป็นพระธรรมกายหน้าตักกว้าง ๒๐ วา สูง ๒๐ วาขึ้นไป เกตุดอกบัวตูม นี่เป็นธรรมกายพระอรหัตแล้ว กล่าวคือ
เมื่อธรรมกายพระอรหัตตมรรคปรากฏขึ้นปหานสังโยชน์เบื้อง สูงอีก ๕ ประการ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และ อวิชชา ได้โดยเด็ดขาดแล้วก็ตกศูนย์ ธรรมกายพระอรหัตตผลก็จะปรากฏขึ้น เข้าผลสมาบัติ กิเลสที่ละได้หมด พระอรหันตขีณาสพ และพิจารณาปัจจเวกขณ์ ๔ คือพิจารณามรรค ผล และพิจารณาพระนิพพาน ได้บรรลุมรรคผลเป็น แล้วท่านจะเห็นธรรมกายพระอรหัตของท่าน ใสละเอียด และมีรัศมีสว่างอยู่ตลอดเวลา ไม่กลับมัวหมองหรือเล็กลงอีก
และก็จะมีญาณหยั่งรู้ว่าท่านได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว
เมื่อได้กายพระอรหัตนี้แล้ว ก็ให้ซ้อนสับทับทวีกับพระนิพพาน ในพระนิพพานต่อๆ ไปจนถึงต้นๆ ไปจนสุดละเอียด แล้วหยุดตรึกนิ่ง เพื่อฟังตรัสรู้ในธรรมที่ควรรู้อีกต่อไป
การเจริญสมาบัติพิจารณาพระอริยสัจทั้ง ๔ นี้ เมื่อกำหนดรู้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ด้วยสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ แล้ว ญาณทั้ง ๓ กลุ่มนี้เองที่เป็นปัญญาผุดรู้ขึ้นมาเองในระหว่างการ ปฏิบัติ เป็นปัญญาที่ทำให้รู้ว่าสัจจธรรมนั้นมีจริง
ถ้าเพียรปฏิบัติอย่างถูกต้องไม่ท้อถอย ก็จะพ้นจากทุกข์ได้ ญาณทั้ง ๓ กลุ่ม รวม ๑๒ ญาณของอริยสัจ ในตอนนี้ เปรียบเหมือนจอบเสียมที่นำมาใช้ในการขุดพื้นดินเพื่อกระแสธาร ปัญญา จะสามารถไหลไปสู่นิพพิทาญาณ ทีนั้นญาณทั้ง ๑๒ ญาณ ของอริยสัจ จะวิวัฒนาการเป็นความเห็นแจ้งในปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑๒ ทำให้ สามารถกำหนดรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และสมุทัย ซึ่งเป็น ต้นทาง ให้กำหนดรู้อริยสัจ และพระไตรลักษณ์ชั้นละเอียด ว่า
สพเพ สงขารา อนิจจา สพเพ สงขารา ทุกขา และ สพฺเพ ธมฺมา (สังขาร/ สังขตธรรม ทั้งปวง) อนตฺตา ซึ่งเป็นธรรมาวุธอันคมกล้า ปหานสังโยชน์ พินาศไปใน พริบตา
ญาณทั้ง ๓ กลุ่ม คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ อันให้ เห็นแจ้งในอริยสัจ ๑๒ นี้ จะเห็นและกำหนดรู้ได้เป็นอย่างดี โดยทาง เจโตสมาธิ หรือธรรมปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำได้ปฏิบัติและสั่งสอนถ่ายทอดไว้ ด้วยประการฉะนี้แล.
หลวงป๋า