ทศชาติชาดก พระเจ้าสิบชาติ

พระสุวรรณสาม

    สุวรรณสาม แม้เขาจะถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส

แต่เขาก็ยังแผ่เมตาจิตไปยังพวกที่ทำร้าย

โดยหาความโกรธเคืองไม่ได้นี่คือปฎิปทาของสุวรรณสามต่อไป

    ต่อมาไม่ช้าภรรยาของนายบ้านทั้งสองนั้นเกิดท้องขึ้นพร้อมๆกัน นายบ้านทั้งสองพากันดีอกดีใจมาก เพราะว่าตัวกำลังจะได้เห็นผลของคำสัญญาที่ตกลงกันไว้ เมื่อภรรยาท้องพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็คลอดบุตรออกมา ภรรยาของอีกบ้านหนึ่งคลอดออกมาเป็นหญิง ส่วนอีกบ้านคลอดออกมาเป็นชาย เขาพากันดีใจมากที่หมู่บ้านทั้งสองจะกลายมาเป็นหมู่บ้าน เดียวกัน แม้จะมีแม่น้ำมาแยกก็ตาม แต่เพราะทั้งสองบ้านนี้รวมเป็นบ้านเดียวกันได้ ฝ่ายหญิงให้ชื่อว่า “ปาริกา” ส่วนฝ่ายชายชื่อว่า ” ทุรุก ” แต่ทั้งสองฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่เกิดมานี้ ออกจะผิดเพศพ่อกับแม่ไปมากเพราะว่าหมู่บ้านนี้เขาทำการหากินด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คือเข้าป่าล่าเนื้อเบื่อปลาต่าง เอามาเลี้ยงชีวิต แต่เด็กทั้งสองที่เกิดภายหลัง หามีจิตใจเป็นเช่นนั้นไม่ กลับมีจิตใจประกอบด้วยเมตตากรุณา แม้เห็นใครทำร้ายชีวิตสัตว์ เขาทั้งสองจะพากันเศร้าสลดว่า เออ?.. คนเหล่านี้ทำกรรมทำชั่ว เมื่อตายไปแล้วก็จะตกนรกตั้งกัลป ไม่มีใครช่วยได้

  เมื่อทั้งสองคนนี้ได้เติบโตบรรลุนิติภาวะสมควรแก่การแต่งงานได้แล้ว ครอบครัวทั้งสองฝ่ายก็ได้จัดแจงให้คนทั้งสองได้แต่งงานกัน เมื่อแต่งงานแล้วคนทั้งสองหาได้มีความสนิทเสน่หาในฐานะสามีภรรยากันไม่ เพราะเขาไม่เคยคิดในเรื่องสิ่งเหล่านี้ คิดแต่ว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะพ้นไปจากทุกข์หล่านี้ได้ แม้บิดามารดาจะให้เขาทั้งสองร่ำเรียนวิชาการที่จะสืบสกุล คือให้เป็นพรานต่อไป เขาก็ปฎิเสธ

คือบิดาเคยพูดว่า “เจ้าหนู เจ้านะควรที่จะต้องเรียนวิชายิงธนู เพื่อที่จะเป็นอาชีพเลี้ยงตัวของเจ้า เพราะว่าในเรื่องของการยิงสัตว์ แล้วไม่มีใครเกินมือพ่อ หากพ่อ ออกไปคราวใด เจ้าก็คงจะเคยเห็นว่าจะต้องได้เนื้อสัตว์ มาเสมอ ๆ เจ้าควรจะต้องฝึกยิงไว้”

แต่ทุรุกกุมารกลับตอบเสียว่า “คุณพ่อครับ การทำลายสัตว์ ชีวิตเอามาเลี้ยงชีวิตเรา กระผมทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าให้กระผมได้เรียนวิชาเอาไปฆ่าสัตว์ เลยครับ

“หน่อยเจ้าหนู เจ้ามันอวดดี จะไม่เหมาะเสียสักหน่อยล่ะกระมัง เจ้าน่ะอยู่ในบ้านพรานแล้วเจ้าจะหากินทางไหน เจ้าไม่มีที่จะไปหากินทางนี้เจ้าจะต้องอดตาย เพราะเมื่อเจ้าได้แต่งงานแต่งการเช่นนี้แล้ว เจ้าจะตั้งหลักฐานได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าหาทรัพย์ ไม่ได้เลยสักอย่างเดียว”

“คุณพ่อครับ กระผมตั้งใจว่าจะสร้างตัวด้วยลำแข้งของกระผมเอง ด้วยการที่ไม่ต้องไปเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่นเอามาเป็นชีวิตของตัวเอง”

“ไอ้หนู ออกจะอวดดีเกินไปสักหน่อยล่ะกระมังเจ้าควรคิดให้ดีนะว่าพ่อเป็นนายพราน แล้วนี้เป็นหมู่บ้านพราน เมื่อเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เจ้าจะอยู่ยังไง คิดดูให้ดี”

“พ่อครับ ผมน่ะไม่เคยรังเกียจหมู่บ้านพราน เพราะว่าในใหมู่บ้านนี้น่ะถ้าไม่ใช่ญาติกันก็เป็นมิตรสหายกัน เพราะฉะนั้นกระผมมิได้มีความรังเกียจเลย แต่จิตใจของกระผมน่ะ มันไม่อยากจะทำกรรมเหล่านั้นครับ”

“เมื่อเจ้าไม่ทำ พ่อเห็นว่าเจ้าควรที่จะออกไปจากบ้านนี้เพื่อเเสวงหาทางตั้งตัวของเจ้าต่อไปทางอื่นดีกว่า”

“ขอรับคุณพ่อ เมื่อคุณพ่อให้สติผมเช่นนี้ กระผมก็กราบลา และนับแต่นี้เป็นต้นไป กระผมจะขอบวชครับ”

“เอา ตกลง”

   เมื่อได้รับคำอนุญาตจากพ่อแม่แล้วทั้งสองคนก็เดินทางออกไปสู่ป่าเพื่อบำเพ็ญพรต่อไป

วันนั้นพระอินทร์ก็เผอิญเกิดร้อนใจ ก็เล็งแลทิพย์เนตรลงมาตรวจดูว่าจะมีเห็นอะไรบ้าง ก็เห็นท่านทั้งสองออกเดินทางมาบำเพ็ญพรต สมควรจะต้องช่วยเหลือ ถ้าไม่ช่วยเหลือท่านทั้งสองจะลำบาก จึงสั่งให้พระวิษณุกรรมไปเนรมิตบรรณศาลา เพื่อท่านทั้งสองได้อาศัย

   เมื่อพระวิศณุกรรมเนรมิตศาลาเสร็จ แล้วก็เขียนหนังสือบอกไว้ว่า หากผู้ใดมีความประสงค์ที่ี่จะบำเพ็ญภาวนาก็ขอให้ศาลานี้ให้เกิดประโยชน์เถิด

เมื่อท่านทั้งสองได้เห็นบรรณศาลาเช่นนั้นก็ดีใจ เละเมื่อเข้าไปเห็นหนังสือที่เขียนไว้ จึงยึดเอาศาลานี้เป็นที่บำเพ็ญพรตของคนทั้งสอง แต่เรื่องของคนทั้งสองคนยังไม่หมด พระอินทร์ได้สอดส่องทิพย์เนตร

ก็เห็นว่าต่อไปท่านทั้งสองนี้เนื่องด้วยกรรมเก่าของท่านทั้งสองนี้ถึงกับเสียตา และเมื่อเป็นเช่นนั้นการหาอาหารก็จะลำบาก ควรจะต้องหาใครไว้สักคนหนึ่งเพื่อเอาไว้ช่วยเหลือ จึงใปหาพระดาบส พร้อมกับพูดว่า

“ท่านขอรับ ท่านมาอยู่ในป่าสองคนผัวเมีย ไม่มีคนปฎิบัติหากเป็นอะไรไปแล้วจะได้รับความลำบากมาก”

“โอ?.. ไม่เป็นไรหรอก เราอยู่ในป่าก็อยู่อย่างสบายแม้เราจะเป็นอะไรไป เราก็คิดสละแล้ว เพราะเราทั้งสามีภรรยานี้ ได้สละชีวิตแล้วเพื่อบำเพ็ญพรต”

“แต่ท่านครับ ต่อไปท่านจะต้องเสียตา และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท่านจะหาอาหารที่ไหนได้”

“ตามใจมันเถอะ ถ้ามันหาอาหารไม่ได้มันก็ตายเท่านั้นเอง”

“แต่ว่าทำอย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามเหล่านี้ล่ะ”

“เอ? ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่าครับ ท่านน่ะจะต้องเสียตา แล้วใครจะปฎิบัติรักษาท่านได้ และเมื่อท่านสิ้นชีวิตเสียแล้ว การบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อจะบรรลุผลสำเร็จถึงวันข้างหน้าท่านจะทำอย่างไรเล่าครับ เอาล่ะ ผมมีหนทางอย่างหนึ่ง แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจท่านเถอะครับ…..คืออย่างงี้ ถึงเวลาภรรยาของท่านจะมีระดู กระผมน่ะอยากให้ท่านเอามือลูบท้องภรรยาท่านสามทีเท่านั้น ท่านก็จะมีลูกไว้ใช้สอย ท่านพอจะทำได้หรือไม่ครับ”

“เออ เท่านี้เหรอ ถ้าเพียงเท่านี้ก็พอจะทำได้หรอก แต่ว่าเรื่องอื่นไม่เอานะ”

   เมื่อพูดจาตกลงกันอย่างนี้ เมื่อนางปาริกามีระดูก็ได้บอกกับทุรุกดาบสทราบ ทุรุกจึงได้เอามือลูบท้องของภรรยาสามที และนับแต่นั้นมานางปาริกาก็ตั้งครรภ์

   เมื่อครบกำหนดก็คลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย มีรูปพรรณสวยงาม ผิวเนื้อประดุจทอง เขาเลยตั้งชื่อว่า สุวรรณสาม เจ้าสุวรรณสามนี้น่ะ ตั้งแต่เกิดมาก็มีเมตตาจิตเพราะว่าบิดามารดาเป็นคนดีอยู่แล้ว ก็สอนให้สุวรรณสามนี้ประพฤติดีตลอดมา และก็สอนให้รู้จักทางทำมาหากิน คือทางที่มีผลไม้ท่านก็จะพาสุวรรณสามนี้ให้ไปรู้จักไว้บ้างว่าทางนี้น่ะมีผลไม้ทางโน้นไม่มี ว่าทางนี้จะไปไหน และจะกลับอาศรมได้เวลาใด ก็พยายามแนะนำสั่งสอนตลอดเวลา เจ้าสุวรรณสามก็โตขึ้น

     จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งเป็นเวลาที่ท่านจะประสบอุบัติเหตุตามที่พระอินทร์ได้เคยว่าให้ฟังตั้งแต่ก่อน วันนั้นพอออกไปหาผลไม้เผอิญเกิดลมฝน อ้ายลมนี่น่ะมันเกิดขึ้นมามักจะมืดมัว ไอ้ ป่าไม้มันก็มืด ท่านทั้งสองก็เลยไปหลบเข้าไปอาศัยอยู่ที่พุ้มไม้แห่งหนึ่งที่พุ่มไม้แห่งนั้นน่ะ เผอิญมันมีงูเห่าอยู่ตัวหนึ่งอยู่ที่นั่น พอเห็นมีคนเข้าไปจะว่าหวงโน่นหวงนี่ก็ใช่ที่ จะเพราะว่าถึงคราวของท่านมากกว่า จึงบังเอิญให้เจ้างูเห่านี่พ้นพิษงูออกมา เมื่อท่านทั้งสองเข้าในที่นั้น พิษนั้นก็เข้าตาของท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองก็ตามืดมัว จนกระทั่งมองไม่เห็นอะไรเลยผลที่สุดไปไหนไม่ได้เลย อาหารก็หาไม่ได้

   เจ้าสุวรรณสามนั้นคอยอยู่บรรณศาลา ถึงเวลาก็ไม่เห็นพ่อและแม่กลับมา ก็สงสัยในใจอยู่แล้ว จนกระทั่งเวลาเย็นเห็นว่าผิดเวลามากแล้ว ก็เลยออกตาม ออกตามนี้คือที่หมายความว่า ทางใดที่เคยไปหาผลหมากรากไม้เจ้าสุวรรณสามก็ตามไปทางนั้น ก็พอดีไปพบท่านทั้งสองยังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้นั้น เมื่อสอบถามได้ความว่าถูกพิษร้ายจนกระทั่งเสียตา เจ้าสุวรรณสามก็หัวเราะขอบใจ

“ไอ้หนู”

“เจ้าหัวเราะทำไม ?”

“ก็หัวเราะพ่อกับแม่ที่ถูกพิษจนกระทั่งตาบอดน่ะสิ”

“เอ๊ะ? เจ้านี่ พ่อแม่ได้รับความทุกข์เจ้ากลับชอบใจรึ”

“ครับชอบใจ”

“อ้าว? ทำไมเป็นอย่างนั้นไปล่ะ เจ้าคิดจะเป็นคนเนรคุณล่ะสิ”

“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ผมดีใจน่ะ ผมจะได้เลี้ยง พ่อแม่ตามกำลังของผมโดยพ่อกับแม่ปฎิเสธไม่ได้ คราวก่อนผมจะออกไปหาเอง พ่อกับแม่ก็บอกว่าอย่าออกไปเลย ยังมีกำลังหาได้ก็จะหาไปก่อน และเดี๋ยวนี้พ่อกับแม่ก็เป็นคนพิการเสียแล้ว ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องหาเลี้ยงพ่อแม่ นี่เหละครับเป็นเรื่องที่ผมดีใจที่สุด แล้วยังงี้จะไม่ให้ผมหัวเราะได้อย่างไรครับ”

“เออ เมื่อเป็นอย่างนี้จริง ๆ พ่อต้องโมทนาด้วย เอาล่ะเดี๋ยวนี้มันก็เย็นแล้ว พ่อตาไม่เห็นอะไรแล้ว เจ้าก็ช่วยพาพ่อกับแม่กลับไปอาศรมของเราเถอะ” เจ้าสุวรรณสามก็พาท่านทั้งสองกลับอาศรม

    และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าสุวรรณสามก็ปฎิบัติท่านทั้งสองเป็นอันดี คือสถานที่เดินจงกลมหรือไปถ่ายทุกข์หรือว่าจะไปถ่ายเบา หรือว่าจะไปอาบน้ำอาบท่าก็ดี เจ้าสุวรรณสามก็พยายามหาเชือกเครือเถาต่าง ๆ มาผูกพอเป็นเครื่องหมายให้ท่านทั้งสองเดินเกาะไปตามราวเหล่านี้ ทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยตัวเอง ซึ่งเป็นความสะดวกซึ่งท่านทั้งสองก็ทำได้อย่างสบาย

  เจ้าสุวรรณสามก็ออกไปหาผลหมากรากไม้ พร้อมทั้งตักน้ำตักท่ามาไว้เพื่อให้ท่านทั้งสองได้ใช้ เจ้าสุวรรณสามได้ปฎิบัติบิดามารดามาโดยอาการเช่นนี้เป็นปกติ บิดามารดาก็รับความสุขขึ้นกว่าแต่ก่อน..

    ในเมืองพาราราณสีมีพระราชาองค์หนึ่ง ครอบครองราชสมบัติ ท้าวเธอทรงพระนามว่ากบิลยักษ์ พระองค์ทรงเป็นนักกีฬาชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชอบเข้าป่าล่าสัตว์อยู่เป็นนิตย์ เมื่อท้าวเธอชอบเช่นนี้ก็ออกไปล่าสัตว์ แต่ดูก็แปลกประหลาดสักหน่อย เพราะพระเจ้ากบิลยักษ์ไปเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่เอาใครไปด้วยเลย เมื่อออกไปถึงบริเวณสถานที่ซึ่งสุวรรณสามเคยมาตักน้ำเห็นรอยเท้าสัตว์เกลื่อนไปหมด ก็ทรงดำริว่า

   “ตรงนี้เข้าทีมีรอยเท้าสัตว์ลงมากินน้ำมากมาย คงจะได้ยิงสัตว์แน่ล่ะ”

    แล้วท้าวเธอก็เสด็จเข้าไปซุ่มเพื่อยิงสัตว์ เมื่อคอยดูอยู่ได้สักครู่ ก็พอดีกับสุวรรณสามออกมาตักน้ำ มีหมู่เนื้อและกวางแวดล้อมกันมาเป็นหมู่ มาถึงฝั่งน้ำก็ลงไปตักเอาขึ้นมาท้าวกบิลยักษ์ทรงดำริว่า

   “ผู้นี้จะเป็นเทวดาหรือใครแน่หนอ ดูรูปร่างงดงามเสียเหลือเกิน ถ้าเราปรากฎตัวเข้าไปให้เห็นก็คงจะหนีไปเสีย ทำอย่างไรจึงจะรู้ความเล่า” แล้วพระองค์ก็คิดขึ้นได้ว่า

   “อย่าเลยเราต้องเอาศรยิงให้ล้มลงก็จะหนีไปไหนไม่ได้”

    พอคิดได้เช่นนั้น พระองค์ก็โก่งศรเขม้นมุ่งยิงเจ้าสุวรรณสามทันที ลูกศรเหมือนมีวิญญาณ วิ่งไปเสียบร่างของเจ้าสุวรรณสามเข้า บรรดาสัตว์ก็พากันแตกตื่นหนีไป

    สุวรรณสามพอรู้ว่าถูกศร ก็ปลดหม้อน้ำลงจากล่า ทรุดตัวลงนั่ง ปากก็ร้องถามออกไปว่า

   “ท่านผู้ใดซึ่งเป็นคนยิง ได้โปรดออกมาเจรจากันสักหน่อยว่าจะต้องการอะไรจึงมายิงข้าพเจ้า ช้างเขาจะยิงก็เพื่องาเสือเล่าก็เพียงเพื่อหนัง ส่วนข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านจะต้องการอะไร จึงมายิงข้าพเจ้า ขอโปรดออกมาเถิด”

พระยากบิลยักษ์ชักเอ๊ะใจ

   “เอ๊ะ? แปลก ชายคนนี้ถูกเรายิง ยังไม่โกรธเรายิง ยังไม่แสดงอาการโกรธเคืองเลยสักนิดเดียว ยังแถมเรียกเราออกไปเสียด้วยว่าต้องการอะไร”

พระองค์ก็ออกไปยังที่สุวรรณสามนอนอยู่ พร้อมกับกล่าวว่า

   “พ่อหนุ่ม เราเป็นคนยิงเจ้าเอง แต่เพราะความพลาดพลั้งไปเท่านั้น เพราะเราตั้งใจจะยิงเนื้อที่กำลังมา ก็พอดีเจ้ามาทำให้เหล่านั้นแตกตื่นหนีไปหมด”

สุวรรณสามพูดขึ้นว่า

   “ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ท่านเป็นใคร เนื้อในป่าไม่เคยกลัวข้าพเจ้าเลย เพราะข้าพเจ้าเป็นเพื่อนของเขา ไปไหนเคยไปด้วยกัน มาตักน้ำเขาก็จะมาด้วย มากินน้ำกินท่าแล้วกลับไปด้วยกัน ท่านประสงค์อะไรก็ขอให้โปรดบอกเถิด”

    พระยากบิลยักษ์ทรงละอายพระทัย แต่ฝืนถามว่า

   “พ่อหนุ่ม เจ้าเป็นใครอยู่ในป่านี้ เป็นรุกขเทพ หรือเจ้าป่าเจ้าเขาประการใด ส่วนตัวเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ในกรุงพาราณสี ออกมาล่าสัตว์ “

สุวรรณสามคิดว่า

   “หากเราจะหลอกลวงท้าวเธอว่าเป็นอารักขไพรสนฑ์หรือเทวดา พระองค์ก็ทรงเชื่อ แต่จะทีประโยชน์อะไรกับการโกหกเช่นนั้น เราพูดความจริงดีกว่า” จึงได้ตอบท้าวเธอ

   “ข้าแต่สมมติเทพ ขอให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุยืนยาวเถิด หม่อมฉันเป็นบุตรฤาษีอยู่ในป่านี้ และที่มาตักน้ำนี้ก็เพื่อจะเอาไปให้บิดามารดาได้อาบกิน”

   พระเจ้ากบิลยักษ์ยิ่งคิดสลดพระทัย เพราะแทนที่เจ้าลูกฤาษีจะโกรธเคืองพระองค์ กลับให้ศีลให้พรเสียอีก อนิจจาเราทำกรรมหนักเหลือเกิน แต่ก็ยังไม่แน่ใจจึงถามอีกว่า

   “พ่อหนุ่มที่เรายิงเจ้านี่ เจ้าไม่โกรธเคืองเราเลยหรือ”

   “ข้าพระองค์ไม่โกรธเคืองพระองค์ และไม่เคยคิดจะโกรธเคืองพระองค์ เพราะคิดเสียว่าเป็นกรรมเก่าของข้าพระองค์เอง สงสารแต่พ่อแม่เท่านั้น เพราะท่านทั้งสองตาเสีย ไม่สามารถจะหาเลี้ยงชีพได้”

   “พ่อแม่เจ้าเสียตาทั้งสองคนรึ”

   “เป็นอย่างนั้นพระเจ้าค่ะ จึงตกเป็นหน้าที่ของพระข้าองค์จะต้องหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองได้ แต่เมื่อข้าพระองค์ต้องมาประสบภัยเสียเช่นนี้ท่านทั้งสองก็มีแต่จะรอความตายเท่านั้น”

   พระราชายิ่งคิดก็ยิ่งร้อนพระทัย เพราะความวู่วามของเราวูบเดียวเท่านั้นจะล้างชีวิตคนไม่ผิดเสียอีกตั้งหลายคนเราจะทำอย่างไรดี ได้แต่คิดอยู่ในพระทัย ในที่สุดก็ตกลงใจแน่วแน่ว่าจะพยายามไถ่บาปให้น้อยลงบ้าง จึงกล่าวกับสุวรรณสามว่า

   “พ่อหนุ่ม เราได้ผิดไปแล้วที่ยิงเจ้า ยังแถมจะให้บิดามารดาเจ้าถึงแก่ความตายเสียอีกด้วย เจ้าบอกทางไปบรรณศาลาของเจ้าให้เราทราบ เราจะเลี้ยงบิดามารดาของเจ้าเอง”

   “เป็นพระคุณล้นเกล้า ข้าพระองค์คิดถึงแต่บิดามารดาเท่านั้น เมื่อพระองค์จะเลี้ยงท่านทั้งสองแทนข้าพระองค์ ก็นับได้ว่าข้าพระองค์หมดห่วงได้จริง ขอพระองค์จงทรงพระเกษมสำราญไร้โรคาพยาธิเถิด”

  แล้วเขาก็ได้บอกทางไปยังบรรณศาลาของเขาให้พระเจ้ากบิลยักษ์ได้ทราบ พร้อมกับลมหายใจได้แผ่วเบา สิ้นเสียงก็สิ้นสั่ง สุวรรณสามตายเสียแล้ว พระเจ้ากบิลยักษ์จับเนื้อต้องตัวดู ก็เห็นว่ามือเท้าของเจ้าหนุ่มซึ่งนอนเพราะพิษศรของพระองค์เย็นขึ้นมาทุกขณะแล้ว เห็นว่าตายแน่ก็ตัดสินพระทัยหยิบหม้อน้ำขึ้นแบก สะพายศรไว้กับไหล่ดุ่มเดินไปอาศรมของฤาษีทั้งสอง

   พอไปถึงอาศรมเห็นสองดาบสนั่งอยู่หน้าอาศรมคอยการกลับมาของเจ้าสุวรรณสามอยู่ ได้ยินเสียงใช่เท้าก็ทราบว่าไม่ใช่เจ้าสุวรรณสาม เพราะฝีเท้าหนักไม่เหมือนลูกชายของตัวเลย จึงเรียกไปว่า

   “พ่อสาม พ่อพาใครมาด้วย”

พระเจ้ากบิลยักษ์พอได้ยิน ก็ทราบว่าเป็นบิดามารดาของสุวรรณสาม จึงเดินเข้าไปใกล้ วางหม้อน้ำลงพร้อมกล่าวว่า

  “ท่านผู้เจริญ …ข้าพเจ้าเป็นพระราชาอยู่ในพระนครพาราณสี มาเที่ยวยิงสัตว์ในป่านี้”

   “ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญเถิด ขอเชิญพระองค์ เสวยน้ำท่าผลาหารที่เจ้าสามบุตรของหม่อมฉันจัดแจงไว้ใกล้ ๆ นี้เถิด”

      เมื่อสนทนากันพอสมควรแล้ว พระเจ้ากบิลยักษ์ก็บอกให้ทราบว่า เจ้าสุวรรณสามได้ตายไปแล้ว เพราะความเข้าใจผิดของพระองค์เอง ดาบสทั้งสองก็เศร้าโศก และขอให้พาไปที่ศพของเจ้าสุวรรณสาม ซึ่งพระเจ้ากบิลยักษ์ก็ยินยอมพาไป เมื่อไปถึงสถานที่ศพเจ้าสุวรรณสามนอนอยู่ ดาบสทั้งสองก็เข้าไปยังศพของเจ้าสุวรรณสามลูบคลำ เผอิญมารดาไปคลำถูกอกรู้สึกว่ายังอุ่นอยู่ จึงตั้งสัตย์ขอให้เข้าสุวรรณสามได้คืนชีพ แม้นางเทพธิดาผู้เคยเป็นมารดาเจ้าสาม ในชาติก่อนซึ่งก็มาด้วยได้อธิษฐานพร้อมบิดาของเจ้าสาม ก็พลอยอธิษฐานด้วย

  ด้วยแรงอธิฐาน ก็ได้บันดาลให้เจ้าสุวรรณสามกลับฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ ได้ถามไถ่กันทราบความตลอด จนฟื้นขึ้นมา และเมื่ออาการเป็นไปเช่นนี้ ทั้งหมดก็ได้พากันกลับไปนังสถานที่อยู่ของตน โดยพระเจ้ากบิลยักษ์เ มื่อไปถึงสถานที่แล้วก็คิดได้ถึงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเห็นว่าสุวรรณสามและดาบสเหล่านี้อยู่ด้วยความสุข จึงได้ลากลับยังสถานที่ของตน

คติที่เราจะได้จากเรื่องนี้ ก็อยู่ที่ความเมตตากรุณา ซึ่งก็จะเป็นคุณช่วยให้เรารอดจากภัยอันตราย และไม่มีเวรไม่มีภัยด้วยประการต่าง ๆ ทางศาสนาจึงกล่าวว่าเป็นกัลยาณธรรม คือเป็นธรรมอันงามที่จะเป็นเครื่องป้องกันมิให้ผู้อื่นทำร้ายได้ ก็เป็นอันว่าจบเรื่องสุวรรณสามเพียงเท่านี้…..

แชร์เลย

Comments

comments

Share: