ทำบุญแล้วเมื่อไหร่บุญจะส่งผลเสียที โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 30 พ.ย. 2559
ผม (อู๋) ต้องเขียนเรื่องนี้เพื่อให้คนเข้าใจกันเสียที เพราะถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องผลกรรมเราจะไม่มีความสุขกับการทำบุญเลย คนเราอยากจะพบความสุขสมหวังในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ผมยังไม่เคยเห็นว่าจะมีใครอยากมีความทุกข์ความผิดหวังตลอดชีวิตเลย
ผมจำเป็นต้องพูดความจริงให้พวกเราทราบไว้ มันอาจไม่ถูกใจเราแต่มันเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับ การทำบุญในชาตินี้ผลบุญมันจะไปส่งในชาติหน้าครับ คำว่าชาติหน้าก็คือชาติต่อไปของเราเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้เราเป็นมนุษย์ เราได้ทำบุญทำกรรมอะไรไว้บ้าง มากบ้างน้อยบ้าง เล็กบ้างใหญ่บ้าง เมื่อถึงตอนเราตายมันจะบวกลบคูณหารสรุปยอดบัญชีกันทีเดียว ผลบุญมากก็ไปรับบุญในสวรรค์หรือกลับมาเกิดเป็นคนอีก บาปมากก็ไปนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน คำว่าชาติหน้าไม่ได้หมายถึงต้องมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง แต่คือชาติต่อไปของเราเอง ชัดเจนไหมครับ
สวรรค์จึงเป็นที่สำหรับใช้บุญ ส่วนนรกคือที่สำหรับชดใช้บาป เมื่อได้ชดใช้กันไปเป็นส่วนใหญ่แล้วจึงอาจกลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้งแล้วก็ยังมีเศษกรรมที่เหลือติดตามตัวมา (กรรมมีทั้งบุญทั้งบาป) แต่เนื่องจากเรื่องกรรมมันเป็นเรื่องซับซ้อนเพราะเราไม่ได้เพิ่งเกิดกันมาเพียงชาติ 2 ชาติ แต่เกิดกันมาเป็นล้านๆๆๆ ชาติ ทั้งบุญทั้งบาปมันมีมากมายละเอียดยิบรอเวลาส่งผล แล้วการส่งผลในแต่ละช่วงเวลาก็ยังมาจากผลกรรมที่ซ้อนๆ กันอยู่ ทั้งดีทั้งร้ายให้ผลด้วยกันทั้งหมด
ดังนั้น ได้โปรดเลิกรอผลบุญที่ทำในชาตินี้ว่าจะให้ผลตอบแทนแบบทันทีทันใดได้เลย มันไม่ได้รวดเร็วเหมือนกินบะหมี่สำเร็จรูป ยกเว้นแต่คุณไปได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติเท่านั้น บุญจึงจะส่งผลทันทีภายใน 7 วัน เพราะได้ไปทำบุญกับหน่วยพลังงานที่มีคุณมหาศาลอเนกอนันต์ แต่คนที่เขาจะมีโอกาสอย่างนั้นได้ก็เพราะว่าเขาเคยทำบุญเนื่องกันมา เคยอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์พระองค์นั้นมาก่อน คนอื่นที่ไม่เคยเนื่องกันมาก็อย่าได้คาดหวังที่จะมีโอกาสแบบนั้น สรุปว่ามันก็คือผลบุญที่เราเคยทำกันมาให้ผลนั่นเอง
ช่วงที่ผ่านมา 1-2 ปีมานี้ ผมได้ยินคนรอบข้างบ่นให้ฟังเรื่อยๆ ว่าเศรษฐกิจมันแย่เอามากๆ เมื่อก่อนเคยจับเงินหมื่นเงินแสน แต่เดี๋ยวนี้ได้แต่จับเงินหลักร้อย ทำไมเป็นอย่างนั้น บุญก็พยายามทำมาโดยตลอดไม่เคยเว้น ก็บอกแล้วไงว่าบุญของชาตินี้ก็ไปรับเอาในชาติหน้า อยากได้รับบุญเร็วๆ ก็ต้องรีบตายซิครับ
ความทุกข์ของคนแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน บางคนใช้ชีวิตไม่หรูหราฟุ่มเฟือยพอมีพอใช้เขาก็มีความสุข บางคนมีรถมีบ้านขับรถเก๋งติดแอร์แต่บ่นว่าไม่มีความสุขเลยในชีวิต ผมเจอคนมามากโดยเฉพาะคนที่มีฐานะดีพวกเจ้าของโรงงาน เจ้าของบริษัท มีเงินนับร้อยล้านพันล้าน แต่เขาเหล่านั้นก็มีหน้าตาเคร่งเครียดบ่นว่าชีวิตไม่มีความสุขเลย การทำงานในระดับสูงกำไรมากก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงมาก การตัดสินใจผิดพลาดไปเพียงครั้งเดียวอาจส่งผลถึงความหายนะของบริษัทนั้นเลยก็ได้ แต่พวกลูกน้องในบริษัทที่ได้รับเงินเดือนไม่มากเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบมาก ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่ทำให้บริษัทเสียหายมาก ผมอธิบายมาพอให้เข้าใจนะครับว่าความทุกข์มันเกิดกับทุกคน
โลกเราหมุนเดินไปตลอดเวลาไม่เคยหยุด พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก สว่างแล้วก็มืด เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ คนเราก็โตขึ้นแก่ตัวแล้วก็ตายไป เขาเรียกการเดินไปเรื่อยๆ หมุนรอบตัวเปลี่ยนแปลงนี้ว่าวัฏจักร ในเมื่อโลกยังหมุนไปมีมืดมีสว่าง ดังนั้นชีวิตของคนเราก็ไม่มีใครจะมีความสุขตลอดไปชั่วชีวิต มันก็ต้องหมุนตามโลกสุขบ้างทุกข์บ้าง เหมือนดวงชะตาของคนเราในแต่ละราศีก็ต้องเจอปีชงบ้างไม่ชงบ้างสลับกันไปทุกปี เช่นเดียวกับพลังงานไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมี + มี – ไซเคิลวิ่งขึ้นในแดน + แล้ววิ่งตกลงไปในแดน – จึงก่อเกิดกระแสไฟฟ้า ถ้ามันไม่วิ่งขึ้นวิ่งลงไฟฟ้าก็ดับไป ช่วยหาคนมาเป็นตัวอย่างซักคนซิครับว่าเขามีแต่ความสุขตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย หามาได้บอกผมด้วยนะครับ ผมจะได้ไม่ต้องพยายามปฏิบัติธรรมหนีทุกข์เหมือนทุกวันนี้
อย่าท้อแท้ในการทำบุญ เพราะเราหมั่นทำบุญกันแค่ไม่เกิน 100 ปี แต่เราจะได้ไปใช้บุญกันในชาติหน้าบนสวรรค์กันอีกนับร้อยๆ ปีมนุษย์ (400-500 ปี) ยิ่งพวกเราปฏิบัติธรรมกันจนติดเป็นนิสัย เมื่อไปเป็นเทวดาก็ยังไปปฏิบัติธรรมกันต่อบนสวรรค์ เราอาจไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์กันอีกแล้วก็ได้ ไปบรรลุธรรมเข้านิพพานกันบนนั้นเลย…ถ้าไม่มัวแต่ไปหลงเพลิดเพลินมัวเมาแต่กับกามสุขบนสวรรค์ก็แล้วกัน
หมายเหตุ ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาตามคำขอของน้องคนหนึ่ง ที่กำลังเพลียกับชีวิต
ผม (อู๋) ต้องเขียนเรื่องนี้เพื่อให้คนเข้าใจกันเสียที เพราะถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องผลกรรมเราจะไม่มีความสุขกับการทำบุญเลย คนเราอยากจะพบความสุขสมหวังในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ผมยังไม่เคยเห็นว่าจะมีใครอยากมีความทุกข์ความผิดหวังตลอดชีวิตเลย
ผมจำเป็นต้องพูดความจริงให้พวกเราทราบไว้ มันอาจไม่ถูกใจเราแต่มันเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับ การทำบุญในชาตินี้ผลบุญมันจะไปส่งในชาติหน้าครับ คำว่าชาติหน้าก็คือชาติต่อไปของเราเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้เราเป็นมนุษย์ เราได้ทำบุญทำกรรมอะไรไว้บ้าง มากบ้างน้อยบ้าง เล็กบ้างใหญ่บ้าง เมื่อถึงตอนเราตายมันจะบวกลบคูณหารสรุปยอดบัญชีกันทีเดียว ผลบุญมากก็ไปรับบุญในสวรรค์หรือกลับมาเกิดเป็นคนอีก บาปมากก็ไปนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน คำว่าชาติหน้าไม่ได้หมายถึงต้องมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง แต่คือชาติต่อไปของเราเอง ชัดเจนไหมครับ
สวรรค์จึงเป็นที่สำหรับใช้บุญ ส่วนนรกคือที่สำหรับชดใช้บาป เมื่อได้ชดใช้กันไปเป็นส่วนใหญ่แล้วจึงอาจกลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้งแล้วก็ยังมีเศษกรรมที่เหลือติดตามตัวมา (กรรมมีทั้งบุญทั้งบาป) แต่เนื่องจากเรื่องกรรมมันเป็นเรื่องซับซ้อนเพราะเราไม่ได้เพิ่งเกิดกันมาเพียงชาติ 2 ชาติ แต่เกิดกันมาเป็นล้านๆๆๆ ชาติ ทั้งบุญทั้งบาปมันมีมากมายละเอียดยิบรอเวลาส่งผล แล้วการส่งผลในแต่ละช่วงเวลาก็ยังมาจากผลกรรมที่ซ้อนๆ กันอยู่ ทั้งดีทั้งร้ายให้ผลด้วยกันทั้งหมด
ดังนั้น ได้โปรดเลิกรอผลบุญที่ทำในชาตินี้ว่าจะให้ผลตอบแทนแบบทันทีทันใดได้เลย มันไม่ได้รวดเร็วเหมือนกินบะหมี่สำเร็จรูป ยกเว้นแต่คุณไปได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติเท่านั้น บุญจึงจะส่งผลทันทีภายใน 7 วัน เพราะได้ไปทำบุญกับหน่วยพลังงานที่มีคุณมหาศาลอเนกอนันต์ แต่คนที่เขาจะมีโอกาสอย่างนั้นได้ก็เพราะว่าเขาเคยทำบุญเนื่องกันมา เคยอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์พระองค์นั้นมาก่อน คนอื่นที่ไม่เคยเนื่องกันมาก็อย่าได้คาดหวังที่จะมีโอกาสแบบนั้น สรุปว่ามันก็คือผลบุญที่เราเคยทำกันมาให้ผลนั่นเอง
ช่วงที่ผ่านมา 1-2 ปีมานี้ ผมได้ยินคนรอบข้างบ่นให้ฟังเรื่อยๆ ว่าเศรษฐกิจมันแย่เอามากๆ เมื่อก่อนเคยจับเงินหมื่นเงินแสน แต่เดี๋ยวนี้ได้แต่จับเงินหลักร้อย ทำไมเป็นอย่างนั้น บุญก็พยายามทำมาโดยตลอดไม่เคยเว้น ก็บอกแล้วไงว่าบุญของชาตินี้ก็ไปรับเอาในชาติหน้า อยากได้รับบุญเร็วๆ ก็ต้องรีบตายซิครับ
ความทุกข์ของคนแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน บางคนใช้ชีวิตไม่หรูหราฟุ่มเฟือยพอมีพอใช้เขาก็มีความสุข บางคนมีรถมีบ้านขับรถเก๋งติดแอร์แต่บ่นว่าไม่มีความสุขเลยในชีวิต ผมเจอคนมามากโดยเฉพาะคนที่มีฐานะดีพวกเจ้าของโรงงาน เจ้าของบริษัท มีเงินนับร้อยล้านพันล้าน แต่เขาเหล่านั้นก็มีหน้าตาเคร่งเครียดบ่นว่าชีวิตไม่มีความสุขเลย การทำงานในระดับสูงกำไรมากก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงมาก การตัดสินใจผิดพลาดไปเพียงครั้งเดียวอาจส่งผลถึงความหายนะของบริษัทนั้นเลยก็ได้ แต่พวกลูกน้องในบริษัทที่ได้รับเงินเดือนไม่มากเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบมาก ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่ทำให้บริษัทเสียหายมาก ผมอธิบายมาพอให้เข้าใจนะครับว่าความทุกข์มันเกิดกับทุกคน
โลกเราหมุนเดินไปตลอดเวลาไม่เคยหยุด พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก สว่างแล้วก็มืด เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ คนเราก็โตขึ้นแก่ตัวแล้วก็ตายไป เขาเรียกการเดินไปเรื่อยๆ หมุนรอบตัวเปลี่ยนแปลงนี้ว่าวัฏจักร ในเมื่อโลกยังหมุนไปมีมืดมีสว่าง ดังนั้นชีวิตของคนเราก็ไม่มีใครจะมีความสุขตลอดไปชั่วชีวิต มันก็ต้องหมุนตามโลกสุขบ้างทุกข์บ้าง เหมือนดวงชะตาของคนเราในแต่ละราศีก็ต้องเจอปีชงบ้างไม่ชงบ้างสลับกันไปทุกปี เช่นเดียวกับพลังงานไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมี + มี – ไซเคิลวิ่งขึ้นในแดน + แล้ววิ่งตกลงไปในแดน – จึงก่อเกิดกระแสไฟฟ้า ถ้ามันไม่วิ่งขึ้นวิ่งลงไฟฟ้าก็ดับไป ช่วยหาคนมาเป็นตัวอย่างซักคนซิครับว่าเขามีแต่ความสุขตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย หามาได้บอกผมด้วยนะครับ ผมจะได้ไม่ต้องพยายามปฏิบัติธรรมหนีทุกข์เหมือนทุกวันนี้
อย่าท้อแท้ในการทำบุญ เพราะเราหมั่นทำบุญกันแค่ไม่เกิน 100 ปี แต่เราจะได้ไปใช้บุญกันในชาติหน้าบนสวรรค์กันอีกนับร้อยๆ ปีมนุษย์ (400-500 ปี) ยิ่งพวกเราปฏิบัติธรรมกันจนติดเป็นนิสัย เมื่อไปเป็นเทวดาก็ยังไปปฏิบัติธรรมกันต่อบนสวรรค์ เราอาจไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์กันอีกแล้วก็ได้ ไปบรรลุธรรมเข้านิพพานกันบนนั้นเลย…ถ้าไม่มัวแต่ไปหลงเพลิดเพลินมัวเมาแต่กับกามสุขบนสวรรค์ก็แล้วกัน
หมายเหตุ ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาตามคำขอของน้องคนหนึ่ง ที่กำลังเพลียกับชีวิต