ทำอย่างไรจึงจะได้เห็นดวงปฐมมรรคเร็วๆ ? 1+2

ทำอย่างไรจึงจะได้เห็นดวงปฐมมรรคเร็วๆ ? 1


ตอบ:

ความเป็นผู้มีบุญบารมีมาก่อน ที่เรียกว่า ปุพฺเพ กตปุญฺญตา ซึ่งมีอยู่รวม 10 ข้อ ด้วยกัน ได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี เขกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และ อุเบกขาบารมี ที่ได้เคยสร้างสมมาตั้งแต่อดีตจนตราบเท่าถึงปัจจุบันนี้ว่า จะมีมากน้อยเพียงใด บุญบารมีแต่ละประการที่กล่าวมานี้ เมื่อได้สั่งสมขึ้นภายในจิตมากๆ เข้า แก่กล้าหนักเข้าก็จะกลั่นตัวเองเป็น อุปบารมี เมื่ออุปบารมีแต่ละอย่างเหล่านั้น สั่งสมกัน แก่กล้ายิ่งขึ้นไปอีก ก็จะกลั่นตัวเองเป็น ปรมัตถบารมี คือบุญบารมีที่แก่กล้าที่สุด รวมทั้งบุญบารมี ทั้ง 3 ระดับ เป็นบารมี 30 ทัศ

เมื่อปรมัตถบารมีทั้ง 10 ประการนั้นเต็มส่วนหมดแล้ว จึงจะเป็นพลวปัจจัยที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้ในที่สุด

แต่ในระหว่างที่ปรมัตบารมีทั้ง 10 ประการนั้นยังไม่เต็มส่วน ก็ยังจะมีส่วนช่วยในการปฏิบัติธรรม ได้บรรลุผลตามสมควรแก่บุญบารมีของแต่ละบุคคลที่ได้สร้างสมอบรมไว้ เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมจึงไม่ควรใจร้อนที่จะให้เห็นผลในทันใด ขอแต่ให้ตั้งใจฝึกปฏิบัติตามคำแนะนำที่คุณครู-อาจารย์ได้สั่งสอนอบรมต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็หมั่นพิจารณาดูที่เหตุสังเกตุดูที่ผล ก็ย่อมจะประจักษ์ในผลของการปฏิบัติด้วยตัวของท่านเอง ตามระดับคุณธรรมที่ปฏิบัติได้   อย่าลืมว่า ต้องให้โอกาสแก่ตนเองตามสมควร ดังเช่นที่เราปลูกต้นไม้ จะต้องให้เวลาในการเจริญเติบโต   และการปลูกต้นไม้ที่จะได้ผลดีก็จะต้องหมั่นดูแลทำนุบำรุงรักษา เมื่อถึงเวลาต้นไม้นั้นก็จะผลิตดอกออกผลให้เอง

ดังพระพุทธองค์ได้ทรงประทานพระบรมพุทโธวาทไว้ในติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ 20 หน้า 309 ข้อ 532 ความว่า

“ภิกษุทั้งหลาย กิจของคฤหบดีชาวนาที่เขาจะต้องรีบทำมี 3 อย่างเหล่านี้   3 อย่างอะไรบ้างเล่า ?  3 อย่างคือ คฤหบดีชาวนารีบๆ ไถคราด พื้นที่นาให้ดีเสียก่อน, ครั้นแล้ว ก็รีบๆ ปลูกพืช, ครั้นแล้ว ก็รีบๆ ไขน้ำเข้าบ้าง ไขน้ำออกบ้าง ภิกษุทั้งหลาย กิจของคฤหบดีชาวนาที่เขาจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้แล แต่ว่าคหบดีชาวนานั้นไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพที่จะบันดาลว่า “ข้าวของเราจงงอกในวันนี้ ตั้งท้องพรุ่งนี้ สุกมะรืนนี้” ดังนี้ ได้เลย ที่ถูกย่อมมีเวลาที่ข้าวนั้น เปลี่ยนแปรสภาพไปตามฤดูกาล ย่อมจะงอกบ้าง ตั้งท้องบ้าง สุกบ้าง

ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น กิจของภิกษุที่เธอจะต้องรีบทำมี 3 อย่างเหล่านี้   3 อย่างอะไรบ้างเล่า?   3 อย่างคือ การสมาทานการปฏิบัติในศีลอันยิ่ง, การสมาทานการปฏิบัติในจิตอันยิ่ง, และการสมาทานการปฏิบัติในปัญญาอันยิ่ง ภิกษุทั้งหลาย ! กิจของภิกษุที่เธอจะต้องรีบทำมีสามอย่างเหล่านี้แล,  แต่ว่า ภิกษุนั้น ก็ไม่มีฤทธิ์หรืออานุภาพที่จะบันดาลว่า “จิตของเราจงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่มีอุปาทาน ในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้” ดังนี้ได้เลย, ที่ถูกย่อมมีเวลาที่เหมาะสม ซึ่งมีภิกษุนั้นปฏิบัติไปแม้ในศีลอันยิ่งปฏิบัติไปแม้ในจิตอันยิ่ง และปฏิบัติไปแม้ในปัญญาอันยิ่ง จิตก็จะหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่มีอุปาทานได้เอง

ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ว่า” ความพอใจของเราจักต้องเข้มงวดพอในการสมาทานการปฏิบัติในศีลอันยิ่ง ในการสมาทานการปฏิบัติในจิตอันยิ่ง และในการสมาทานการปฏิบัติในปัญญาอันยิ่ง” ดังนี้   ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้แล”

นี่ก็เป็นบรมพุทโธวาทของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อิทธิบาทธรรม คือด้วยใจรักในธรรม (ฉันทะ) ด้วยความเพียรไม่ย่อท้อ (วิริยะ) ด้วยใจจดจ่ออยู่ในธรรม ไม่ทอดทิ้งหรือวางธุระ (จิตตะ) และด้วยพินิจพิจารณาในเหตุ สังเกตในผล หมั่นดูแลแนวทางการปฏิบัติให้ดำเนินไปในทางที่ชอบ ที่เป็นคุณ หลีกเลี่ยงทางปฏิบัติที่ไม่ดี ไม่ชอบ ที่เป็นโทษ (วิมังสา) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พึงให้มีสติสัมปชัญญะพิจารณาเห็น อุปกิเลสของสมาธินิมิต หรือ นิวรณธรรมทั้งหลายที่อาจเกิดขึ้นภายในจิต แล้ว พึงกำจัดเสียด้วย องค์แห่งฌาน (โปรดดูรายละเอียดในหนังสือทาง มรรค ผล นิพพาน) แล้วท่านจะได้รับผลดีไปเอง

ขอเพียงอย่าได้ใจร้อน ทะยานอยากที่จะเห็นนิมิตจนจิตใจฟุ้งซ่านและท้อถอย จงหมั่นปฏิบัติไปก็แล้วกัน ได้เท่าไร เอาเท่านั้น

พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านก็ได้ให้คำรับรองไว้ว่า   ถ้าได้ฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอแล้ว ก็เป็นอันได้เห็นดวงปฐมมรรคในชาตินี้ทุกคน.

ทำอย่างไรจึงจะได้เห็นดวงปฐมมรรคเร็วๆ ? 2


ตอบ:

ปัญหาที่ว่าทำอย่างไรผู้ปฏิบัติจึงจะได้ดวงถึงปฐมมรรคเร็วๆ  หรือดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายนับตั้งแต่เบื้องต้น ไปเบื้องกลาง เบื้องสูง

เอาเบื้องต้นเสียก่อนนั้น   ความจริงเป็นเรื่องที่เร่งไม่ได้   การที่ผู้ปฏิบัติภาวนาธรรมจะถึงดวงปฐมมรรคได้นั้น ขึ้นอยู่ที่เหตุปัจจัยที่สำคัญหลายประการ

ประการที่ 1 ก็คือว่า ขึ้นอยู่ที่บุญกุศล มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ซึ่งจะ เจริญขึ้นเป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี มีทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี … ไปจนถึงเมตตา อุเบกขาบารมี ว่าได้ประกอบบำเพ็ญมากี่มากน้อย

ประการที่ 2 ในส่วนที่เป็นอธิษฐานบารมี ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัติธรรมได้เคยอธิษฐานบารมีไว้ในระดับเบื้องต้นคือปกติสาวก   ระยะเวลาของการบำเพ็ญบารมีก็สั้น คือสั้นกว่าผู้ที่ตั้งจิตอธิษฐานสร้างบารมีหรือบำเพ็ญบารมีเป็นพระสาวกที่สูงยิ่งไปกว่านี้  เช่น อัครสาวก อสีติมหาสาวก เป็นต้น หรือสูงขึ้นไปเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า เหล่านี้ล้วนแต่ต้องบำเพ็ญบารมีมากกว่ากันไปตามระดับ นี้เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งว่าได้บำเพ็ญบารมีมากี่มากน้อย

ประการที่ 3  ขึ้นอยู่ที่บาปอกุศลที่ตนได้กระทำขึ้นในอดีตมาถึงปัจจุบัน   ใครทำบาปอกุศลมาก ก็เป็นอุปสรรคขัดข้องมากตามส่วน   นี่เป็นเรื่องอดีต   แต่ในเรื่องปัจจุบัน ผู้รู้ที่ประสงค์ที่จะประพฤติปฏิบัติภาวนาธรรมให้เห็น ให้ถึงดวงปฐมมรรคเร็ว ก็ต้องบำเพ็ญคุณความดีอันได้แก่ ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ให้เพิ่มมากขึ้น

ทานกุศลนั้น  เป็นเครื่องชำระกิเลสประเภทความตระหนี่  ความเห็นแก่ตัว  ประเภทความโลภ  ประเภทตัณหาราคะ  ประเภทความยึดมั่นถือมั่นด้วยตัณหาและทิฏฐิ  ให้หมดไปจากจิตใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ให้เบาบางลง แปลว่าให้รู้จักละ รู้จักวาง เมื่อละวางได้มากเท่าใด ใจก็ว่างได้มากเท่านั้น   เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงบำเพ็ญบารมีคือ ทานกุศลเป็นทานบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี เป็นเบื้องต้นและเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง

ส่วนศีลกุศลนั้น  เป็นเครื่องป้องกันหรือเครื่องกลั่นกรองความประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน   เพราะฉะนั้น ผู้ใดรักษาศีลบริสุทธิ์อยู่เสมอ กาย วาจา ก็สะอาดบริสุทธิ์    จิตใจก็อ่อนโยนที่จะอบรมให้หยุด ให้นิ่ง ได้โดยง่าย เพราะไม่ต้องเดือดร้อนด้วยเวรภัยซึ่งจะเกิดขึ้นจากความประพฤติผิดศีล   แปลว่าผู้รักษาศีล จิตใจก็สงบ กายวาจาก็สงบระงับ  เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ใจได้รับการอบรมให้สงบระงับได้โดยง่าย

ส่วนภาวนากุศล ต้องทำบ่อยๆ เนืองๆ  ไม่ละเว้นเสียกลางคัน   ด้วยใจรัก  ด้วยความเพียร  ด้วยความต่อเนื่อง ด้วยมีสติพิจารณาในเหตุสังเกตในผล   ปรับจิตใจของตนให้หยุดให้นิ่ง ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้สามารถทำทุกอิริยาบถ  คือเดิน ยืน นั่ง และนอน  ยามเมื่อว่างจากภารกิจการงาน  ตรึกนึกให้เห็นดวงแก้วกลมใส   ใจอยู่ในกลางของกลาง ตรงจุดเล็กใส   บริกรรมภาวนาว่า “สัมมาอรหังๆๆ” ไว้มากๆ ต่อเนื่องไปมากๆ   ศีลกุศลก็จะเจริญขึ้นด้วย    ใจก็จะได้รับการฝึกอบรมให้หยุดให้นิ่งได้โดยง่าย  หรือที่เรียกว่าจิตจะเป็นเร็วขึ้น   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม้ก่อนนอน   ถ้าก่อนนอนท่านก็ยังบริกรรมนิมิต บริกรรมภาวนาคู่กันไปจนหลับ   ก่อนจะหลับ จิตดวงเดิมจะตกศูนย์  จิตดวงใหม่จะลอยเด่นขึ้นมาใส ท่านสามารถจะเห็นได้โดยง่าย   และอาศัยอารมณ์เช่นนั้น ก่อนจะหลับ ก่อนจะตื่นเหมือนกัน  ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายและใจนั้น จะลอยเด่นขึ้นมาที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7   ท่านสามารถจะเห็นได้โดยง่าย เมื่อเห็นได้ง่ายแล้ว  ท่านก็อาศัยอารมณ์นั้นมาใช้บริกรรมต่อไป   ไม่ช้าท่านก็ถึงดวงปฐมมรรคได้

อย่าลืม  จงประกอบทานกุศล เพื่อละเพื่อวาง   รักษาศีลเป็นศีลกุศล เพื่อระวังกายวาจาใจ มิให้เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น   หมั่นเจริญภาวนากุศล  ท่องในใจสัมมาอรหังๆ ตรึกนึกให้เห็นดวงแก้ว กลมใส ใจอยู่ในกลางของกลาง ตรงจุดเล็กใส ที่ศูนย์กลางกายไว้เรื่อยๆ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ยามเมื่อว่างจากภารกิจการงาน จิตจะเป็นเร็วขึ้น และท่านจะถึงดวงปฐมมรรคได้เร็ว

แชร์เลย

Comments

comments

Share: