คราส เป็นคำกิริยาหมายถึง การกิน ซึ่งการกินในที่นี้ หมายเอาการกลืนกินแสงสว่างที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติจนเกิดเงามืดเข้าบดบังแสงสว่างของดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ ไม่ว่าจะเป็นสุริยคราส – สุริยุปราคา ( เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาเรียงอยู่ในแนวเดียวกัน โดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง ซึ่งเราจะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ ) หรือจันทรคราส – จันทรุปราคา ( เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการที่ดวงจันทร์โคจรผ่านเข้าไปในเงาของโลก เราจึงมองเห็นแสงของดวงจันทร์แหว่งหายไปในเงามืด )
เงามืดที่เข้าบดบังแสงสว่างของทั้งดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์จนตกกระทบมายังโลกนี้ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ ราหู “ ยกตัวอย่างดังที่ฅนโบราณพูดกันจนติดปากกับปรากฏการณ์จันทรุปราคาว่า “ ราหูอมจันทร์ หรือกบกินเดือน “ เป็นต้น
สอดคล้องกับในทางโหราศาสตร์ที่ระบุชัดเจนว่า “ ราหูไม่ใช่ดาวเคราะห์ “ แต่เป็นเพียงเงามืดที่เกิดจากการโคจรของโลก หรือเงามืดที่ตกกระทบมายังโลกเท่านั้น !! ( ส่วนในด้านความเชื่อ ศาสนา หรือแม้กระทั่งหลักฐานในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึง “ พระราหู “ ว่ามีนิยามไปในทางของเทพ เทวดานพเคราะห์ ที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเรื่องของเงามืดเช่นเดียวกัน )
ในทางวิทยาศาสตร์ การโคจรเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ที่ให้หลังงานแสงสว่างทั้งในยามกลางวัน และกลางคืน ย่อมส่งผลกระทบต่อโลก รวมถึงมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างปฏิเสธไม่ได้ เช่น การกำหนดวันเวลาข้างขึ้นข้างแรมทางสุริยคติ หรือจันทรคติ , การสังเคราะห์แสงของพืช , ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง , ประจำเดือนของสตรีเพศ ฯลฯ
แม้แต่ “ ราหู “ หรือ “ เงามืด “ ก็มีพลังอิทธิพลต่อโลก มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตบนโลกด้วย เช่น เงามืดที่เกิดจากการโคจรของโลกทำให้เกิดช่วงเวลากลางคืน ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตบนโลกง่วงเหงาหาวนอนอยากพักผ่อนกายใจให้ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับความสบาย ฯลฯ ( ในทางวิชาโหราศาสตร์ถึงได้ผูกคำกลอนที่แสดงตัวตนของราหูไว้ในทำนองที่ว่า …โทษทุกข์ให้ทายเสาร์ “ มัวเมาให้ทายราหู !! “… )
ทีนี้จะขอมาว่ากันถึงความเกี่ยวเนื่องในแง่ของวิชชาธรรมกายของพระคุณหลวงปู่สด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กับดวงดาวกันบ้าง
“ ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก “
คติธรรมของหลวงปู่สด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ประโยคนี้หมายตีความได้ว่า ผลที่เกิดขึ้นทุกอย่างย่อมมีเหตุมีปัจจัยเกื้อหนุนทั้งสิ้น กระทั่งเหตุของการเคลื่อนที่ของดวงดาว การดับมืด หรือสุกสกาวของดวงดาวต่างๆ ย่อมมีผลต่อโลกมนุษย์ทั้งสิ้น !!
ด้วยเพราะ ธาตุธรรม ( ทั้งในส่วนของสังขตธาตุ สังขตธรรม อสังขตธาตุ อสังขตธรรม วิราคธาตุ วิราคธรรม ) จะมีอยู่ด้วยกัน ๓ ฝ่าย คือ ภาคขาว หรือภาคพระ , ภาคดำ หรือภาคมาร และภาคไม่ขาวไม่ดำที่คั่นกลาง ทั้ง ๓ ฝ่ายนี้ต่างก็มีพระพุทธเจ้าประจำภาค จะมีหน้าที่ของตนในการสร้างเหตุปรุงแต่งปัจจัยให้มนุษย์มีความเป็นไปต่างๆ นานา อันจะได้นำมาซึ่งการสั่งสมบารมีให้แก่ภาคของตน ภาคไหนกำลังบารมีมากกว่าก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันช่วงชิงอำนาจการปกครองธาตุธรรมทั้ง ๓ ฝ่าย ดุจเล่นเก้าอี้ดนตรีก็ไม่ปาน
ให้ทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า ชีวิตมนุษย์ประกอบไปด้วย ๒ ส่วน คือ กายกับจิตใจ ในส่วนของกาย คือ รูป ในส่วนของจิตใจ คือ เวทนา ( เห็น ) , สัญญา ( จำ ) , สังขาร ( คิด ) และ วิญญาณ ( รู้ )
ดังที่พระคุณหลวงปู่สดท่านกล่าวเทศน์สอนไว้ว่า “ เห็น จำ คิด รู้ ๔ อย่างนี้รวมเรียกว่า ใจ “ อันมีฐานที่ตั้งมั่นอยู่ตรงกลางท้อง ไม่ว่าจะเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น ดวงจิตจะไปเกิดมาเกิดหรือจะแตกดับทำลายจากอัตภาพร่างกายไป ก็ล้วนมีกำเนิดเกิดขึ้นตรงจุดนี้ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ทั้งสิ้น
ภาคขาวเข้าปรุงแต่งใจมนุษย์ให้เห็นถูก จำถูก คิดถูก รู้ถูก ให้กระทำถูกในทางกุศลกรรม
ภาคดำเข้าครอบงำปรุงแต่งใจมนุษย์ให้มีความเห็นผิด จำผิด คิดผิด รู้ผิด ให้กระทำผิดในทางอกุศลกรรม
ภาคไม่ขาวไม่ดำเข้าปรุงแต่งใจมนุษย์ให้เห็นเป็นกลางๆ จำกลางๆ คิดเป็นกลางๆ รู้กลางๆ ให้กระทำเป็นกลางๆ ในทางอพยากตกรรม
ทุกการกระทำที่เป็นบุญกุศล บาปอกุศล และสภาวะกลางๆ ที่ไม่เป็นทั้งบุญ และบาป ก็จะไปบันทึกรวมอยู่ที่ศูนย์กลางดวงกำเนิดธาตุธรรมเดิม กลางท้องเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ แล้วส่งกลับไปยังเครื่องธาตุเครื่องธรรมไปเสริมเพิ่มพูนบารมีให้แต่ละภาค ก่อนจะปรุงผลออกมาเป็นวิบากย้อนกลับมาสนองคืนแก่มนุษย์ผู้นั้นในที่สุด
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งละเอียดในทางสภาวะจิตใจของมนุษย์ และสรรพดวงจิต ดังที่อธิบายไปข้างต้น หรือแม้กระทั่งสิ่งหยาบที่บางเรื่องเกินวิสัยการรับรู้ของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เช่น เรื่องของการโคจร การดับแสงของดวงดาว ฯลฯ หรือปรากฏการณ์อื่นๆ ทั่วไป ล้วนแล้วแต่เกิดจากการปรุงแต่งของธาตุธรรมทั้ง ๓ ฝ่าย ด้วยกันทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่นที่มีการกล่าวถึงในประวัติชีวิตของพระคุณหลวงปู่สด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ว่าท่านใช้วิชชาธรรมกายชั้นสูงทำวิชชา “ ดับแสงสว่างของดวงดาวบนท้องฟ้า “ ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ตามเนื้อของศิษยานุศิษย์ เพื่อหวังผลด้านการสอนการสงเคราะห์ให้เห็นว่า วิชชาธรรมกายชั้นสูงสามารถทำให้เห็นผลได้จริง ดับเหตุปรุงให้เกิดผลได้จริง และดวงดาวต่างก็มีผลต่อชีวิตมนุษย์จริง
หรืออีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง คือ ปรากฏการณ์ “ ดวงจันทร์วันเพ็ญ “ ซึ่งหากใช้ฐานทางวิชชาธรรมกายมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ก็จะหมายถึง ผลจากการทำวิชชาในภาคพระ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการคำนวณวิชชาได้สูงสุดในภาคพระนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่มีมาจึงจะตรัสรู้ในวันเพ็ญเท่านั้น เพราะดวงจันทร์เป็นนิมิตติดตาที่ดีของผู้ทำภาวนา อะไรที่มาบดบังแสงสว่างของดวงจันทร์ ก็เท่ากับว่าเป็นการมาบังวิชชาภาคพระนั่นเอง ซึ่งเหตุที่ฉากหลังก็คือ “ มารทำอวิชชาเข้าบัง !! “
คราใดที่เกิดเงามืดบดบังแสงสว่างของทั้งดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ จนเงามืดนั้นตกกระทบมายังโลก ( สุริยคราส , จันทรคราส ) ก็แปลว่า ภาคมารเขาส่งผังโทษทุกข์ต่างๆ เช่น ผังข้าวยากหมากแพง ฯลฯ ได้สำเร็จ !!
หากเราไปดูไปรับไปต้องเอาคราสมาสู่ใจ นิมิตของเงามืดจากคราสนั้นก็จะติดตาเรา
ซึ่ง “ ตา “ นี้ อย่าลืมว่ามันคือสื่อของใจ การไปดูคราสเท่ากับว่าก็จะไปเก็บเอา “ เห็น จำ คิด รู้ “ เข้ามาไว้ในใจติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหรือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ นั่นก็หมายความว่าเราไปรับอวิชชาเขาเข้าเต็มๆ นั่นเอง !!
อธิบายต่อในประเด็นคำถามที่ผม “ เก่ง เอกสิบทิศ “ เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่า….
“ ทำไมมงคลวัตถุที่สำเร็จด้วยวิชชาธรรมกายชั้นสูงจึงสามารถกันผลกระทบที่เกิดจากคราสได้ ? “
ตามที่ผม “ เก่ง เอกสิบทิศ “ ได้สัมผัสรับรู้รับทราบด้วยตนเองมาสรุปให้ฟังตามความเข้าใจ คือ มงคลวัตถุที่นำเข้าทำวิชชาธรรมกายชั้นสูง ผู้ทรงภูมิธรรมจะปฏิบัติเจริญสมาธิภาวนาจนเกิดผลทางปฏิเวธไปกราบอาราธนาพุทธวิชชาในภาคพระ มีพระพุทธเจ้าตั้งแต่องค์ต้นๆ ทุกๆ พระองค์ เรื่อยมา พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆเจ้าทุกๆ พระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าผู้บำเพ็ญบารมีทุกๆ พระองค์ พรหม เทพผู้มีฤทธิ์ที่เชิญมาเป็นการเฉพาะเจาะจง ( ในแต่ละวาระโอกาสตามแต่ผู้ทรงวิชชาจะสั่งทำวิชชาเชิญมา ) มาชำระสะสางธาตุธรรมเดิมของวัตถุนั้นให้บริสุทธิ์หมดจดเสียก่อน
ในการทำวิชชาก็ต้องมีการสั่งทำวิชชาดับหยาบไปหาละเอียด การคำนวณ ฯ กำกับอยู่อย่างตลอดต่อเนื่องเป็นระยะๆ เพื่อชำระผู้ที่ลงมากระทำความศักดิ์สิทธิ์ให้ด้วย เพราะบางครั้งบางที พระพุทธเจ้าในภาคมาร หรือสิ่งอื่นใดในภาคมาร เขาก็แฝงมาทำหน้าที่ของเขาในการยับยั้งการทำความดีด้วยเช่นกัน ฯลฯ
เมื่อทุกๆ พระองค์ที่กราบอาราธนามามีความบริสุทธิ์ถึงที่สุดจนเป็นที่เชื่อมั่นได้แล้วว่าไม่มีภาคมารปะปนเข้ามา จึงซ้อนสับทับทวีกายสิทธิ์พระจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยง ( รัตนะ ๗ + ๒ ) ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ไปสถิตย์ลงยังวัตถุนั้น ก่อนที่จะตั้งผังสำเร็จ ตั้งผังสมบูรณ์บริบูรณ์ ตั้งผังเศรษฐีมหาเศรษฐี และอื่นๆ ลงไป
ยกตัวอย่างเช่น “ การตั้งผังวิชชาเป็น “ จะมีผลในเชิงที่จะทำให้กายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงที่สถิตย์ในวัตถุนั้น “ เจริญทำวิชชาอยู่เองตลอดเวลา “ ( แม้ผู้ที่ครอบครองจะไม่ได้นึกน้อมวัตถุกายสิทธิ์ชิ้นนั้นมาจดจำเป็นนิมิต หรือนำมาสัมผัสกายเพื่อปรับธาตุใจให้เหมาะพร้อมในการเจริญสมาธิภาวนา กายสิทธิ์ในวัตถุนั้นก็จะทำวิชชาเองตลอดเวลา ) ผู้ที่เป็นวิชชามาตรวจวัตถุนั้นก็จะพบว่า มีองค์พระผุดขึ้นมาตลอดต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย เพราะผลจากการตั้งผังวิชชาเป็นนี้เอง
ที่สำคัญอีกส่วน คือคำสั่งทำวิชชาชั้นสูงชุดหนึ่ง ( ไม่ขอกล่าวชื่อในที่นี้ ) ที่เป็นลักษณะของการตั้งผังเป็นชั้นทับทวีขึ้นไปเรื่อยๆ ยังผลให้ช่วงระหว่างรอยต่อการเปลี่ยนกายขององค์พระที่ผุดซ้อนขึ้นมาอย่างตลอดต่อเนื่องนั้นจะปิดกั้นเก็บการทำวิชชา เอิบ อาบ ซึม ซาบ ปน เป็น สวม ซ้อน ร้อยไส้ ฯลฯ ของภาคมารไม่ให้เข้ามาแทรกสอดละเอียดอย่างสิ้นเชิง ( เข้ามากระทบก็โดนรบกำจัดออก )
มงคลวัตถุที่สำเร็จขึ้นด้วยการกระทำความศักดิ์สิทธิ์ตามแนวทางมรรคผลพิสดารวิชชาธรรมกายชั้นสูงของพระคุณหลวงปู่สด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จึงบริสุทธิ์บริบูรณ์สมบูรณ์พร้อมในฝ่ายภาคพระ ยังประโยชน์แก่ผู้ที่น้อมนำไปบูชาให้มีความสุขความเจริญในทางสัมมาทิฏฐิทั่วทั้งทางโลก และทางธรรมโดยถ่ายเดียว สมดังที่พระคุณหลวงปู่สด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กล่าวยืนยันถึงอานุภาพพระของขวัญที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรับสั่งกับท่านช่วงเวลาได้อรุณออกพรรษาปีที่สร้างพระของขวัญรุ่นแรกว่า..
” …ตั้งแต่มีธาตุมีธรรมมา ของศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก !!!… “
*ปัจจุบัน ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กทม. ยังคงมีการสืบทอดดำเนินรอยตามวิถีแนวทางการปฏิบัติวิชชาธรรมกายชั้นสูงตามแบบแผนที่พระคุณหลวงปู่สดเทศนาสั่งสอนไว้ทุกประการ
☝️ประกอบเหตุ สังเกตผล☝️
ในเมื่อเหตุที่ทำให้เกิดคราส คือ ภาคมารเป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้น การป้องกันผลกระทบจากคราสก็ต้องดับที่เหตุไม่ให้เขามาบังคับบัญชาให้เราสร้างอกุศลกรรมทั้งทางกาย วาจา และทางใจ เพื่อไปหนุนเสริมบารมีให้ธาตุธรรมฝ่ายเขา ( “ มาร “ แปลความหมายตรงตัวได้ว่า “ ผู้ขัดขวางความดี “ นี้คือหน้าที่ที่เขาจะต้องทำ )
ด้วยการการปฏิบัติบูชาจดจำน้อมนำมงคลวัตถุที่สำเร็จด้วยวิชชาธรรมกายชั้นสูงไปทำนิมิตในการเจริญสมาธิภาวนาหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ให้กายสิทธิ์หนุนเสริมช่วยเราในการเจริญภาวนาไปในทางสัมมาทิฏฐิ – สัมมาสมาธิ และเปิดรับความศักดิ์สิทธิ์ในทางละเอียด ฯลฯ จึงเป็นการป้องกันผลกระทบอันเกิดจากคราส ที่ฉากหลังมี “ ภาคมาร “ เป็นผู้กระทำเหตุให้เกิดคราสขึ้นได้อย่างยั่งยืนด้วยเหตุผลดังที่ยกอธิบายมาทั้งหมดนี้
เพียงเศษเสี้ยวความรู้จากวิชชามรรคผลพิสดารที่พระคุณหลวงปู่สดค้นพบ
บทสรุปจากสิ่งที่ข้าพเจ้ารับรู้แลเข้าใจ
เก่ง เอกสิบทิศ
๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๓