ธรรมสภา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาควาย

ธรรมสภา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาควาย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 29 พ.ย. 2559
ผม (อู๋) ขอบอกไว้ก่อนว่าเดิมเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเล่าให้ใครฟัง แต่มีน้องที่รักและเพื่อนบางคนมาขอให้ผมเล่าเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่กำลังสร้างบารมีเติมบุญกันอยู่ในขณะนี้ ว่าครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ทอดทิ้งพวกเราไปไหน ท่านยังอยู่ดูแลรักษาพวกเราด้วยกายพิเศษของท่าน
ธรรมสภานี้เป็นเรื่องลึกลับที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน อาจเพราะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่แบบภพซ้อนภพ คือต่อให้เราเดินทางไปถึงที่แห่งนั้นเราก็มองไม่เห็นเข้าไปไม่ได้นั่นเอง ถ้าพระท่านไม่อนุญาตเราก็ไม่มีทางเข้าไปได้ เป็นเรื่องของบุญวาสนาของแต่ละคน ใครไม่ได้ทำบุญทางด้านฤทธิ์อภิญญามาจะมีโอกาสเข้าไปได้อย่างไร แม้แต่ชื่อสถานที่ก็ยังถูกปิดไว้ไม่ให้รู้เลย
ผมรู้จักกับหลวงพี่ท่านหนึ่งที่อยู่ที่วัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ท่านเป็นพระที่ได้ธรรมกายมานานพอสมควรแล้ว โดยท่านมาได้ธรรมกายกับหลวงป๋าท่านเลยเคารพและช่วยงานหลวงป๋ามาโดยตลอด แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบคนหมู่มากท่านเลยช่วยหลวงป๋าอย่างเงียบๆ แบบปิดทองหลังพระ ผมรักและเคารพท่านเหมือนกับพี่ชายของผมคนหนึ่ง นิสัยของท่านออกไปในทางกล้าได้กล้าเสีย พูดจริงทำจริง ไม่เกรงกลัวภัยอันตรายใดๆ เพราะท่านก็มีดีพอตัว
วันหนึ่งท่านรู้สึกอยากออกธุดงค์เพื่อท่องเที่ยวไปในโลกกว้างและแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ท่านไปของท่านองค์เดียวเลย ธุดงค์จากราชบุรีไปภาคเหนือทะลุไปพม่าจนได้พบกับครูบาบุญชุ่มที่วัดพระธาตุดอนเรืองพูดคุยกันถูกคอจึงเกิดความสนิทสนมกัน ท่านจึงได้ทราบว่าในประเทศลาวนั้นมีดินแดนพิเศษศักดิ์สิทธิ์ เป็นแหล่งตักศิลาของผู้ที่ต้องการเรียนวิชาต่างๆ ดินแดนแห่งนั้นตั้งอยู่ในป่าลึกของภูเขาควาย (ภูควาย)
เมื่อท่านธุดงค์กลับมาที่เชียงรายในฝั่งไทยแล้วก็ยังไม่อยากกลับวัด ความคิดเรื่องภูเขาควายยังคงวิ่งแล่นอยู่ในสมองตลอดเวลา ท่านจึงตัดสินใจเดินทางวกเข้าไปในประเทศลาว ผ่านเวียงจันทน์ขึ้นไปทางเหนือแล้ววกไปทางทิศตะวันออกที่จะไปทางประเทศเวียดนาม โดยท่านได้รับความช่วยเหลือจากทหารลาวขับรถพาท่านไปจนถึงเขตป่าทึบที่แม้แต่รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้อีก เพราะเป็นป่าทึบภูเขาสูงชัน ดินแดนแถบนี้แหละที่เป็นทางเข้าไปสู่ภูเขาควายอันเรื่องชื่อ แม้แต่คนลาวเองก็ยังไม่กล้าเข้าไปเพราะเป็นดินแดนอาถรรพ์ที่มีอันตรายรอบด้านและสัตว์ป่าชุกชุม
หลวงพี่ท่านไม่กลัว ท่านออกเดินธุดงค์มุ่งหน้าเข้าป่าทึบข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่าไปทางประเทศเวียดนาม ท่านบอกว่าเขตภูเขาควายนี้มันกว้างใหญ่มากมีภูเขาและหน้าผาสูงชันหลายลูก ท่านเดินป่าอยู่ราว 3 วันยังไม่พบใครเลย จนท่านเองก็เริ่มอ่อนแรงก็ได้มาพบกับหนองน้ำแห่งหนึ่ง มองเห็นน้ำในบ่อใสแจ๋ว เมื่อมองสำรวจดูก็ตกตะลึงเพราะเห็นเป็นก้อนทองคำมากมายกองอยู่ที่ก้นบ่อนั้น ดูแล้วบ่อน้ำนี้ก็ไม่ลึกมาก ท่านเกิดความคิดขึ้นมาว่าเราธุดงค์เดินป่ามาก็นานมากแล้วยังไม่ได้อะไรเลย ถ้าหากเราเอาทองคำนี้สักก้อนสองก้อนกลับไปที่วัดเพื่อขายเอาเงินไปช่วยหลวงป๋าสร้างวัดก็น่าจะดี ท่านเลยตัดสินใจกระโดดลงบ่อเพื่อดำน้ำไปเอาทองคำ ขณะที่กำลังจะเอามือคว้าก้อนทองคำก็เกิดรู้สึกว่าถูกไฟฟ้าช็อตเข้าอย่างแรงจนหมดสติไป
ท่านนอนสลบไปไม่รู้ว่านานเท่าใดก็ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย มองดูที่รอบๆ ตัวก็ไม่เห็นว่ามีบ่อน้ำและก้อนทองคำแต่อย่างใด แต่เป็นที่ดินธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาก็เพราะมีกองกระดูกมากมายพร้อมกับบาตรพระ อ้าวนี่ท่านโดนอาถรรพ์ของป่าเข้าไปอย่างจังเลยไม่ตายก็ดีแล้ว พระธุดงค์หลายท่านต้องมาตายที่ตรงนี้ก็เพราะความโลภอยากได้ก้อนทองคำนี่เอง ดีแต่ท่านมีใจคิดว่าจะนำก้อนทองนี้เพื่อเอาไปทำบุญสร้างวัดไม่ได้คิดว่าจะนำไปใช้ส่วนตัว ถ้าท่านคิดโลภจะเอาไปใช้ส่วนตัวท่านก็คงไม่รอดต้องตายเป็นกระดูกกองทบเพิ่มเข้าไปอีกเป็นแน่
ขณะที่กำลังงัวเงียลุกขึ้น พลันท่านก็ได้ยินเสียงถามขึ้นมาว่า “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ หิวข้าวไหม” หลวงพี่หันไปมองหาที่มาของเสียงนั้น ท่านก็เห็นว่าบนโขดหินมีผู้ชายชรารูปร่างผอมๆ ผมและหนวดเครายาว ห่มผ้าสีขาวมอๆ ขาดกระรุ่งกระริ่งนั่งอยู่ หลวงพี่จึงตอบกลับไปว่า “หิวมากเลยครับเพราะไม่ได้ฉันข้าวมาหลายวันแล้ว ท่านเป็นพระหรือเป็นคนครับ”
ชายชรา “พระหรือคนเขาดูกันที่สีผ้าหรือดูกันที่ใจล่ะ”
หลวงพี่ “ดูกันที่ใจครับ”
ชายชรา “แล้วมาถามทำไม เอ้า…ถ้าหิวก็ตามมาทางนี้”
ว่าแล้วพระชราท่านก็พาเดินลัดเลาะไปตามทางแคบๆ ของป่าทึบ เดินไปนานพอสมควรจนถึงปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง ท่านก็บอกให้หลวงพี่นั่งรออยู่ก่อนท่านจะไปนำอาหารมาให้ แล้วท่านก็เข้าไปในถ้ำสักครู่หนึ่งก็ออกมาพร้อมกับยื่นชามใบเล็กใส่ข้าวต้มปลามาให้ หลวงพี่ท่านหิวจนตาลายรีบฉันข้าวต้มปลากลิ่นหอมฉุยไปจนอิ่ม แต่ก็แปลกที่ฉันไปตั้งมากแล้วข้าวต้มปลาก็ยังไม่หมดชามสักที พระชราจึงถามว่าอิ่มแล้วหรือ ถ้าอิ่มแล้วต่อไปจะทำอะไรเพราะท่านอุตส่าห์ธุดงค์มาจนถึงที่แห่งนี้แล้วอยากเรียนรู้อะไรบ้างไหม หลวงพี่นึกอยู่แป๊บหนึ่งก็ตอบไปว่า “กระผมอยากเรียนวิชาอักษรขอม จะได้นำเอาไปใช้ประโยชน์แก่พระศาสนาครับ” พระชราท่านก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้ตามท่านเข้าไปในถ้ำ หลวงพี่ลุกขึ้นเพื่อจะเดินตามท่านไป แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นชามข้าวที่ท่านเพิ่งฉันอิ่มไป ในชามข้าวนั้นเห็นมีแต่น้ำกับใบไม้เท่านั้น
ทางเข้าถ้ำนี้ค่อนข้างเล็ก แต่เมื่อเข้าไปในถ้ำก็เห็นว่าข้างในนั้นมีห้องเล็กห้องน้อยอยู่หลายห้อง เป็นถ้ำที่สลับซับซ้อน จนเมื่อท่านเข้าไปถึงห้องหนึ่งก็ต้องตกตะลึงเพราะเป็นห้องโถงใหญ่ที่สามารถจุคนได้เป็นร้อย ตรงกลางห้องมีก้อนหินตั้งอยู่มองดูเหมือนแท่นตั้งใบเสมา รอบๆ ผนังห้องนี้ก็เป็นหลืบมีแท่นหินที่คนสามารถขึ้นไปนั่งได้ มองดูแล้วเป็นเหมือนห้องประชุมใหญ่ พระชราท่านนั้นจึงบอกว่าที่แห่งนี้เรียกว่า “ธรรมสภา” ใช้เป็นที่ประชุมพระผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาพระศาสนา จะมีการประชุมกันทุกวันพระ แล้วท่านก็พาหลวงพี่เข้าไปในห้องๆ หนึ่งที่เป็นที่เก็บใบลานตำราต่างๆ กองซ้อนกันอยู่ในห้องนั้น แล้วพระชราท่านก็หยิบผูกใบลานขึ้นมาปึกหนึ่งแล้วส่งให้หลวงพี่ “เอ้านี่เป็นตำราภาษาขอม เอาไปเรียนเอาเอง” ว่าแล้วท่านก็พาหลวงพี่เดินออกมาเพื่อเข้าไปในอีกห้องหนึ่งที่ใช้เป็นห้องเรียน “เธอเรียนวิชาภาษาขอมในห้องนี้นะ” ว่าแล้วท่านก็เดินออกไปทิ้งให้หลวงพี่อยู่ในห้องเพียงลำพัง
มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะเมื่อท่านเริ่มเปิดดูใบลานผูกนั้นก็ปรากฏว่าตัวหนังสือในใบลานได้วิ่งไปปรากฏที่ผนังถ้ำเห็นตัวหนังสือเหล่านั้นสว่างเหมือนแสงนีออน เมื่อตัวหนังสือใดปรากฏก็จะมีเสียงอ่านให้ทราบว่านี้คือตัวอักษรอะไรอ่านว่าอย่างไร เหมือนกับการเรียนในสมัยใหม่ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ฉายออกทางหน้าจอโปรเจคเตอร์ตามห้องประชุมสมัยใหม่เลย ฉายตัวหนังสือไปพร้อมกับมีเสียงอ่านสอนไปด้วย มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ
การเรียนการสอนจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว หลวงพี่บอกว่าเรียนภาษาขอมใช้เวลาเพียงไม่กี่วันท่านก็เรียนจบแล้ว สมองมันจำได้หมดเลย ท่านก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมท่านจึงจำได้ มันไม่เหมือนกับการเรียนการสอนที่เคยเรียนมาที่กว่าจะจดจำอะไรได้ก็ต้องใช้การท่องจำ แต่ในที่แห่งนี้เมื่อเรียนไปก็จะจดจำได้ในทันที อาจเป็นเพราะสถานที่นี้ไม่เหมือนกับโลกภายนอก เพราะที่แห่งนี้เป็นที่พิเศษของเหล่าพระอภิญญาท่าน เป็นที่ๆ ฝ่ายมารไม่สามารถส่งอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายเขาเข้ามาบดบังห่อหุ้มจิตใจเราได้ เราจึงสมารถเรียนรู้และเข้าใจวิชาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาที่เหลือหลวงพี่ก็ยังขอเรียนวิชาอื่นๆ เพิ่มเติมอีก แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าท่านได้เรียนวิชาอะไรมาบ้าง
ในระหว่างนั้นเมื่อถึงวันพระ ในห้องธรรมสภาก็จะมีพระที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาพระศาสนามาร่วมประชุมกัน พระที่มาร่วมประชุมมีมากมายทั้งที่ท่านรู้จัก (เคยอ่าน-เคยเห็น) ก็มี พระที่ท่านไม่รู้จักก็มาก พระที่ยังมีชีวิตและที่ท่านละสังขารไปแล้วก็มา ไม่รู้ว่าท่านมาได้อย่างไร หรือท่านสามารถอธิษฐานปรุงกายเนื้อขึ้นมาใหม่ได้ (กายพิเศษ) เนื้อตัวท่านก็เหมือนกับคนธรรมดา จับดูก็จับได้มีเนื้อมีหนังเช่นเดียวกับคนธรรมดานี่เอง นี่แหละที่เขาเรียกกันว่าพระอภิญญา คือท่านสามารถทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเรา ทำในสิ่งที่เป็นเรื่องอจินไตยคาดเดาไม่ได้ หลวงพี่ท่านได้เห็นหลวงพ่อสดและหลวงปู่เทพโลกอุดร ทั้ง 2 ท่านนี้ประชุมทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิด เราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าหลวงพ่อสดและหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านรู้จักกัน เพราะไม่เคยมีใครบอกไม่เคยมีคนพูด แต่สำหรับตัวผม (อู๋) นั้นไม่แปลกใจเลยเพราะท่านทั้งสองคือครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพรักอย่างสูง มีแต่ท่านทั้ง 2 องค์นี้แหละที่มาคอยช่วยเหลือเมื่อผมมีปัญหา ผมจึงเชื่อมานานแล้วว่าท่านทั้ง 2 มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ไม่ใช่มีแต่เพียงหลวงพ่อสดและปลวงปู่เทพโลกอุดรเท่านั้น หลวงพี่ท่านเห็นหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี หลวงปู่ทองทิพย์ (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) หลวงปู่สรวง (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) หลวงปู่สุภา (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) ฯลฯ นอกจากพระแล้วก็ยังมีพระฤๅษีอีกมาก ที่จริงแล้วพวกเราชอบแยกพระและพระฤๅษีออกจากกัน แต่ตามจริงแล้วพระในป่านั้นเขาไม่ได้แยกกัน เขานับถือกันที่คุณธรรม ดังนั้นพระกับพระฤๅษีจึงไม่ได้แตกต่างกันอย่างที่เราคิด ในการประชุมนั้นหลวงพี่ท่านไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย แต่ก็เห็นว่ามีพระมาร่วมประชุมมากมาย บางท่านก็นั่งอยู่ที่พื้นห้อง บางท่านก็นั่งอยู่ตามหลืบผนังถ้ำ ลดหลั่นกันไปตามบารมีของแต่ละท่านเพราะท่านไม่ได้นับอาวุโสกันแล้ว แต่นับถือแบ่งลำดับกันตามบารมีที่ได้สร้างกันมา
เมื่อหลวงพี่ว่างจากการเรียนท่านก็ได้มีโอกาสเดินสำรวจถ้ำ ท่านเล่าว่าเมื่อเดินไปถึงมุมหนึ่งที่หลวงพ่อสดท่านนั่งอยู่ประจำนั้น ปรากฏว่าที่ผนังถ้ำนั้นมีเหมือนยางดำเหนียวๆ แปะอยู่ เมื่อกำหนดจิตดูก็ทราบในทันทีว่าเป็นเหล็กไหลชั้นหนึ่ง เนื้อของเหล็กไหลนี้มองดูเผินๆ จะเห็นเป็นสีดำแต่แท้จริงแล้วเป็นสีเขียวเข้มปีกแมลงทับ เหล็กไหลองค์นี้เป็นเหล็กไหลที่ยังเป็นอยู่ ยังไม่ตาย (ถ้าตายแล้วเขาจะแข็งตัว) หลวงพี่ก็เคยคิดไว้ในใจว่าเมื่อถึงวันกลับออกไปจะมาแงะเอาเหล็กไหลองค์นี้กลับไปด้วย
ธรรมสภาแห่งนี้เราจะอยู่นานไม่ได้ เพราะไม่สะดวกที่จะหาอาหารและขับถ่ายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ ผู้ที่จะอยู่ได้คือผู้ที่สำเร็จแล้ว ไม่ต้องกิน ไม่ต้องถ่ายของเสีย ไม่ต้องนอน หมดกิเลสแล้ว นึกจะไปนึกจะมาก็ทำได้เพียงแค่ลัดนิ้วมือ ใครทำได้ก็ไปอยู่ได้ พอถึงวันกลับหลวงพี่จึงได้เดินไปที่เหล็กไหลองค์นั้น พอท่านเอื้มมือเข้าไปเพื่อจะเด็ดเหล็กไหลก็ได้ยินเสียงดังเตือนเข้ามา “อย่าเอามือแตะเหล็กไหลนะ อันตรายมาก เอามือออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงที่เตือนเข้ามายืนอยู่ที่ด้านหลังท่านก็คือหลวงพ่อสดวัดปากน้ำนั่นเอง ไม่รู้ว่าท่านมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วหลวงพ่อสดท่านก็ถามว่า “อยากได้จริงๆ หรือ” พูดจบท่านก็เอามือไปปลิดเหล็กไหลองค์นั้นออกมาได้จำนวนหนึ่ง แล้วก็ถามว่ามีอะไรเตรียมมาใส่หรือเปล่า หลวงพี่จึงนำตลับออกมาจากย่ามส่งไปให้หลวงพ่อสดเพื่อใส่เหล็กไหลองค์นั้นลงไป แล้วหลวงพ่อสดก็สั่งว่า “เอาไปให้ครูของเธอด้วยนะ” ท่านหมายถึงว่าให้เอาไปแบ่งให้หลวงป๋าได้ใช้ด้วยนั่นเอง (เหล็กไหลองค์นี้ต่อมาจึงทราบว่าท่านชื่อหลวงปู่สิงห์พระฤๅษีอภิญญาแห่งธรรมสภา ตามที่ท่านมาบอกผมในนิมิต)
เรื่องนี้ผมทราบมานานนับ 10 ปีแล้วแต่เพิ่งนำมาเล่าให้ฟังกัน เพื่อจะได้เป็นกำลังใจให้แก่เพื่อนๆ ที่ได้อ่านให้ได้พากันสร้างบุญบารมีกันยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าท้อแท้กับการสร้างบุญบารมี เพราะในโลกใบนี้ไม่มีใครสร้างบุญบารมีโดยที่ไม่มีอุปสรรค เราทุกคนเกิดมาไม่นานก็ต้องตาย ก่อนตายขอให้รีบสร้างบุญบารมีกันนะครับ ผมยังไม่ได้ขออนุญาตหลวงพี่ เพราะถ้าผมขออนุญาตท่านก็คงไม่อนุญาตอยู่แล้วครับ…
แชร์เลย

Comments

comments

Share: