คุณพนม พ่วงภิญโญ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ได้บันทึกไว้
เมื่อวันอังคารที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๒ คนขับรถมารับผมที่บ้านเช้าผิดปกติ คือมาก่อน ๐๗.๐๐ น. ตามธรรมดามักจะมาระหว่าง ๐๗.๓๐-๐๘.๐๐ น. ขณะนั้นผมกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว และกินยาแก้แพ้ไป ๔ เม็ด ตามที่แพทย์สั่ง
แล้วจึงนั่งรถออกจากบ้านที่ถนนลาดพร้าว ซอย ๘๐ ตัดออกสี่แยกห้วยขวาง พอเข้าตลาดห้วยขวางไปสักครู่หนึ่ง ผมรู้สึกมีอาการแน่นหลังแต่ไม่มาก
ทีแรกคิดว่าคงเป็นเพราะจัดเบาะนั่งไม่สบาย จึงเอนลงแต่ก็ไม่หาย รู้สึกอ่อนเพลียด้วย ขยับตัวอย่างไรก็ไม่หาย ผมคิดว่าโรคหัวใจคงเล่นงานเข้าแล้ว
เมื่อรถผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผมนึกจะแวะโรงพยาบาลราชวิถี แต่ก็เห็นว่ายังเช้าอยู่ บัตรคนไข้ก็ไม่มีและอาการแน่นก็ยังไม่รุนแรงนัก ไม่เจ็บปวด ผมจึงให้คนขับรถขับผ่านไปทางโรงพยาบาลรามา เห็นคนไข้เต็มไปหมด จึงให้คนขับขับไปที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะผมมีบัตรคนไข้ และเคยรักษากับแพทย์ที่นั่น
แต่พอรถติดไฟแดง ผมรู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียลงไปอีก คิดว่าคงไปไม่ถึงโรงพยาบาลศิริราชเป็นแน่ ผมจึงสั่งให้คนขับรถเบนรถออกทางซ้าย เลี้ยวเข้าโรงพยาบาลสงฆ์ทันที เพราะมีน้องภรรยาและหลานเป็นพยาบาลอยู่ที่นั่น ทั้งภรรยาผมก็เคยเป็นพยาบาลอยู่ที่นี่หลายปี มีคนรู้จักพอควร
📂ผมได้เข้าตรวจ EKG ผลออกมาว่าผิดปกติ แพทย์ทางโรคหัวใจนำผมเข้าห้องไอซียูทันที พอนอนลงบนเตียง ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นช้าลงทุกที เป็นจังหวะห่างๆ จึงบอกหมอว่า คุณหมอครับ หัวใจเต้นช้าลงแล้วครับ
ขณะนั้นสายตาผมฝ้าฟาง มองไม่เห็นอะไร หัวใจก็เต้นช้าลงจนเกือบจะหยุด ผมก็บอกคุณหมออีกว่า คุณหมอครับ หัวใจผมจะหยุดแล้วครับ แล้วก็หยุดไป ผมไม่รู้หรอกว่าหมอช่วยกันจับชีพจร พอรู้ว่าไม่เต้นแล้ว วัดความดันก็ไม่ได้ จึงรีบนวดหัวใจทันที
หมอและพยาบาลช่วยกันง้างปาก เพื่อใส่เอ็นโดเครื่องช่วยหายใจ แต่ใสยากมาก เพราะกรามแข็ง ต้องใช้เครื่องขยายออกจึงใส่เข้าไปได้ ทุกอย่างยุ่งยากและใช้เวลานานมาก
ผมรู้สึกว่าความมืดเข้าครอบคลุม หูมีแต่เสียงวิ้วๆ เหมือนเข้าไปอยู่ในถ้ำหรือป่าลึกๆ ร่างกายไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ผมคิดว่าภายใน ๓-๔ นาทีนี้ ถ้าหัวใจไม่เต้น และไม่มีออกซิเจนเข้า ผมต้องตายแน่ๆ
🎴ผมจึงเริ่มคิดถึงชะตาตัวเองว่าจะตายวันนี้หรือเปล่า วันนี้เป็นวันอังคาร วันเกิดของผม เป็นเดือนกรกฎาคม เดือนเกิดของผมอีกด้วย ผมเคยได้ยินคนโบราณว่า คนเรามักจะตายในวันเดือนเกิด ผมคิดแล้วก็เศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนนั้นอายุ ๕๗ ปี เป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
เมื่อคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ ผมก็นึกกราบลาคุณแม่ พี่น้อง ผู้บังคับบัญชา และมิตรสหาย ขออโหสิกรรม ส่วนภรรยาไม่ต้องห่วงอะไร เพราะเขาก็มีเงินบำนาญ มีบ้านอยู่ เราสองคนไม่มีบุตร แล้วผมก็ท่องคาถา สัมมาอะระหังๆๆไปเรื่อยๆ
📙แล้วผมก็เกิดความรู้สึกง่วงนอนเป็นที่สุด มีวงกลมขอบขาวข้างในสีคล้ำ วนเวียนไปมาอยู่ตรงหน้า ผมคิดว่าถ้าผมไล่วงกลมนี้ออกไปได้ ผมคงจะหลับสนิทอย่างเป็นสุขที่สุดในโลก
ผมรู้ดีว่าอาการง่วงนอนอย่างนี้เป็นอาการจะหมดสติ เพราะผมเคยผ่าตัดมาแล้ว ๒ ครั้ง “ผมขอคิดถึงพระเป็นครั้งสุดท้าย ผมคิดถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ผมแขวนคออยู่ พร้อมกับอธิษฐานว่า ถ้าผมฟื้น ผมจะทอดผ้าป่าและบวชถวายท่าน”
📌ทันใดนั้น ผมรู้สึกว่ามีอะไรล่วงเข้าไปในลำคอ รู้สึกคลื่นไส้ ผมก็อาเจียนเอาเศษอาหารออกมา เสียงคุณหมอวันดี โภคะกุล พูดใกล้ๆหูว่า คุณพนม คุณพนมหายใจลึกๆ ผมก็หายใจเข้าปอดเต็มที่ ๒-๓ ครั้ง เสียงเครื่องช่วยหายใจทำงานเสียงดังครืดคราดตามจังหวะหายใจ
เสียงคุณหมอพูดอีกว่า คุณพนมไม่ต้องตกใจนะ หมออยู่ที่นี่ตั้ง ๒ คน ผมรู้สึกว่ามีใครมาเกาหลังมือขวา ผมก็ลืมตาขึ้นเห็นแสงสว่าง ภรรยาผมเองยืนตาแดงๆอยู่ เธอพูดว่าพ่อนาทีวิกฤกตพ้นไปแล้วนะ ใจดีๆ ไว้ เสียงคนพูดกันว่า ฟื้นแล้วๆ
ผมมาทราบภายหลังว่า
ญาติพี่น้องเขากำลังปรึกษากันว่าจะเอาศพผมไปไว้ที่วัดไหนดี ภรรยาผมเล่าว่า
ประมาณตี ๒ ขณะนั่งเฝ้าผม และกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น
ได้ยินเสียงพระพูดจากทางข้างหลังว่า โยม ไม่ต้องห่วงเขาหรอกนะ
นาทีวิกฤกตผ่านพ้นไปแล้ว เขาจะค่อยๆดีขึ้น ภรรยาผมจึงหันไปดู
แต่ก็ไม่เห็นผู้พูด
มองไปรอบๆ ก็เห็นแต่พระภิกษุที่อาพาธหลับหมดแล้ว
ผมอยู่ในห้องไอซีอยู ๑ สัปดาห์ ก็กลับบ้านได้ แล้วผมก็ไปวัดปากน้ำ…ผมไม่เคยรู้จักหลวงพ่อวัดปากน้ำมาก่อนเลย ทั้งๆที่พระผงของท่านแขวนคออยู่ ผมได้มาจากเพื่อนเมื่อ ๑ ปีมาแล้ว เขาบอกว่าเป็นพระหลวงพ่อวัดปากน้ำ ผมก็เข้าใจว่าวัดนี้อยู่สมุทรปราการ
❄เมื่อผมสุขภาพดีแล้ว ก็นำพระองค์นี้ไปให้เพื่อนที่เคยเป็นกรรมการประกวดพระดู เขาบอกว่า เป็นพระหลวงพ่อวัดปากน้ำรุ่น ๑ ผมจึงรีบไปจุดธูปกราบขอบพระคุณท่านอย่างหาที่สุดไม่ได้ หลังจากนั้นผมก็ไปทอดผ้าป่าและบวชถวายกุศลแด่ท่าน
✏เมื่อผมมาย้อนพิจารณาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ผมก็เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้จังหวะกันเหมาะเจาะลงตัวพอดี ที่ผมจะได้รับการรักษาจากคุณหมอวันดี โภคะกุล ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจแห่งโรงพยาบาลสงฆ์ ที่เผอิญวันนั้นก็ไปทำงานแต่เช้า จึงช่วยผมได้ทันท่วงที ผมเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีพระของขวัญรุ่นที่ ๑ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ…
**จากหนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ ฉบับสมโภชพระเจดีย์มหารัชมังคล