นิมิตครั้งแรกถึงหลวงปู่เทพโลกอุดร โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 10 มี.ค.60
หลายครั้งที่ผมได้ยินเรื่องราวที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเดินทางไปเพื่อเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่เก่งๆ เพื่อขอเรียนวิชากับท่าน บางคนก็ได้พบ บางคนก็ไม่ได้พบ แต่บางครั้งผมก็กลับมีความคิดว่าใครตามหาใครกันแน่ ครูบาอาจารย์ท่านตามหาเรา หรือเราไปตามหาครูบาอาจารย์ หรือต่างฝ่ายต่างก็ตามหากัน เพราะเท่าที่ผมได้มีประสบการณ์ก็คือท่านเมตตาตามหาเราจนเจอมากกว่า….
ตอนที่ผมยังหนุ่มๆ อยู่นั้นเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรยังมีการพูดถึงกันน้อยมาก เรื่องราวของท่านอาจจะมีการพูดถึงกันในกลุ่มของพระป่าที่ออกธุดงค์ หรือในหมู่คนที่ปฏิบัติธรรมกันอย่างเอาจริงเอาจังเท่านั้น แต่ยังไม่มีการพูดถึงหลวงปู่กันอย่างกว้างขวางเหมือนในปัจจุบัน สำหรับผมเองในช่วงนั้นก็ยังไม่รู้จักหลวงปู่ด้วยซ้ำ
เหตุการณ์นี้แม้จะล่วงเลยผ่านมาหลายสิบปีแล้วแต่เมื่อนึกถึงครั้งใดก็ยังเกิดปีติทุกครั้งในความเมตตาของท่านที่มีต่อผม ในตอนค่อนรุ่งของเช้าวันหนึ่งผมได้มีนิมิตว่าได้ไปยืนอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีความสวยงามมาก ที่แห่งนั้นเหมือนเป็นสวนดอกไม้ที่อยู่กันเป็นกลุ่มๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ดอกไม้ก็มีสีสันต่างๆ งดงามมาก ระหว่างกลุ่มดอกไม้ก็เป็นสนามหญ้าที่เรียบเนียนยาวเสมอกันงามตาสีเขียวสดใสตัดกับสีดอกไม้ บรรยากาศสดใสเย็นสบายๆ สถานที่แห่งนั้นก็ไม่ใช่ที่เรียบๆ เสมอกันไป แต่เป็นเหมือนเนินดินสูงบ้างต่ำบ้าง เป็นสถานที่สวยงามที่สุดที่ผมเคยเห็นและคงไม่ใช่สถานที่ในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน เพราะสถานที่แห่งนั้นแม้จะมีความสว่างแต่ก็เป็นที่ๆ ไม่มีแดด ไม่มีเงา ความสว่างของแสงสว่างทั่วถึงเท่ากันทุกที่ ไม่รู้แสงนั้นมาจากไหนเพราะไม่มีดวงอาทิตย์ อากาศก็สดชื่นเย็นสบาย (ในภายหลังผมได้ไปกราบเรียนถามหลวงป๋าว่าที่ผมไปในนิมิตนั้นเป็นที่ไหนกันแน่ หลวงป๋าท่านบอกว่าน่าจะเป็นสถานที่ในมิติพิเศษที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเนรมิตขึ้นมา)
ผมมองดูสถานที่แห่งนี้ด้วยความเพลิดเพลิน ขณะที่กำลังเดินชมสวนอยู่นั้นพลันก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งท่านยืนอยู่ตรงหน้าห่างออกไปราว 10 เมตร ท่าทางของท่านสำรวมมาก ท่านยืนอยู่นิ่งๆ มองมาที่ผม เอามือทั้งสองประสานกันที่ด้านหน้าด้วยความสำรวม องค์ท่านสูงราวๆ 180-190 ซม. อายุน่าจะประมาณ 80 ปี ผมของท่านมีสีขาวแซมสีเทา หน้าตาผ่องใสมีสง่าราศีน่าเคารพมาก ห่มจีวรสีกรักเคร่งขรึมแต่ผมรู้สึกได้ถึงความเมตตาที่ท่านแผ่ออกมา ใบหน้าท่านเหมือนอมยิ้มน้อยๆ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร
เมื่อผมเห็นพระที่ไม่รู้จักยืนอยู่ตรงหน้าแต่ก็เกิดความเคารพในองค์ท่านอย่างประหลาด ผมก็เลยรีบเดินเข้าไปหาท่านเพื่อที่จะไปกราบที่เท้าท่าน แต่ระหว่างตัวผมและหลวงปู่มีซุ้มไม้สีขาวรูปตัวยูคว่ำซึ่งเป็นเหมือนการจัดแต่งสวนให้ดูสวยงามตั้งคั่นอยู่ ดังนั้นการที่ผมจะเดินเข้าไปหาท่านได้ก็ต้องเดินลอดใต้ซุ้มไม้รูปตัวยูสีขาวนี้ ขณะที่ผมกำลังจะเดินลอดก็ได้ยินเสียงหลวงปู่ท่านพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องเดินลอดเข้ามา ให้เหาะข้ามมา” ท่านอยู่ค่อนข้างไกลแต่ผมก็ได้ยินท่านพูดชัดเจน ผมเลยตอบท่านไปว่า “หลวงปู่ครับ ผมยังเหาะไม่เป็นเหาะข้ามไปไม่ได้หรอกครับ” หลวงปู่ท่านก็ตอบกลับมาอีกว่า “เอาเถอะ หลวงปู่จะช่วย”
ผมจึงทำจิตให้มีสมาธิกำหนดให้เหาะข้ามไม้รูปตัวยูสีขาวนั้น พลันตัวผมก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นๆ จนสามารถข้ามไม้รูปตัวยูคว่ำนั้นได้ การเหาะขึ้นไปได้นี้ทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินและดีใจมาก ดังนั้นแทนที่ผมจะเหาะลงมาหาหลวงปู่ ผมกลับเหาะต่อไปสูงขึ้นๆ เพื่อท่องเที่ยวดูสถานที่แห่งนั้น แล้วผมก็มองเห็นหลวงปู่ท่านนั้นเหาะตามประกบผมมาที่ด้านหลังเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้ผม เหาะคู่ประกบกันไปเลยท่านเหาะอยู่ข้างหลังผมประมาณ 1 เมตร ท่านคงขำที่ผมเหาะเลยท่านไปแต่ท่านก็เมตตาเหาะพาผมเที่ยวเล่นจนทั่ว อย่างว่าแหละครับคนไม่เคยเหาะได้มาก่อน เมื่อเหาะได้ก็เลยลืมที่จะเหาะลงไปกราบเท้าท่านอย่างที่ตั้งใจแต่แรก
การเหาะในทางฤทธิ์นี้ไม่เหมือนกับที่ผมเคยคิดไว้เลย เพราะเดิมนั้นผมก็คิดว่าเขาเหาะก็จะต้องเหาะในท่าแบบซูเปอร์แมนที่เหาะโดยเอาตัวขนานไปกับพื้น เอามือยื่นไปข้างหน้าแล้วก็เหาะไป นั่นมันเป็นการเหาะที่มนุษย์คิดไปกันเอง แต่การเหาะที่แท้จริงทางฤทธิ์อภิญญาแล้วท่านเหาะโดยอาการยืนนิ่งๆ แล้วตัวเราก็เคลื่อนที่ไปในอากาศ ผมเหาะเที่ยวเล่นอยู่ในดินแดนนั้นนานเท่าใดก็ไม่ทราบ เพราะมันเพลิดเพลินและมีความสุขมากอย่างไม่เคยพบมาก่อน
จนผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่พร้อมกับความปีติที่ได้มีฝันดีแบบนี้ เป็นฝันที่ดีที่สุดที่ผมเคยฝันมาเลย แต่หลวงปู่ที่มานิมิตนี้ผมก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร และในนิมิตผมก็ลืมถามชื่อของท่าน จนมาวันหนึ่งผมได้ไปที่แผงหนังสือจึงได้เห็นรูปของหลวงปู่องค์ที่ผมฝันถึง ท่านก็คือหลวงปู่เทพโลกอุดรนั่นเอง รูปร่างหน้าตา ท่าทางเหมือนกับหลวงปู่ที่ผมเจอในนิมิตไม่มีผิด เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ที่ท่านเมตตามาโปรดผม จนทุกวันนี้ผมก็ยังจำนิมิตครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเป็นที่เคารพอย่างสูงสุดของเหล่าพระป่า เพราะมีเรื่องเล่ากันมาว่าท่านชอบไปช่วยเหลือพระธุดงค์ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยท่านมักจะไปสอนวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ช่วยให้พ้นจากอันตราย ช่วยรักษาโรค ฯลฯ เนื่องจากหลวงปู่ท่านเป็นพระผู้มีหน้าที่ดูแลพระศาสนาในเขตสุวรรณภูมินี้ แม้ทุกวันนี้ผมก็ยังระลึกถึงท่านและมีท่านอยู่ในใจของผมตลอดเวลา และก็ได้มีนิมิตถึงท่านในภายหลังอีกหลายครั้ง ในครั้งหนึ่งท่านจึงได้บอกแก่ผมว่า “เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร” ไม่ผิดองค์แน่นอน
หลายครั้งที่ผมได้ยินเรื่องราวที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเดินทางไปเพื่อเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่เก่งๆ เพื่อขอเรียนวิชากับท่าน บางคนก็ได้พบ บางคนก็ไม่ได้พบ แต่บางครั้งผมก็กลับมีความคิดว่าใครตามหาใครกันแน่ ครูบาอาจารย์ท่านตามหาเรา หรือเราไปตามหาครูบาอาจารย์ หรือต่างฝ่ายต่างก็ตามหากัน เพราะเท่าที่ผมได้มีประสบการณ์ก็คือท่านเมตตาตามหาเราจนเจอมากกว่า….
ตอนที่ผมยังหนุ่มๆ อยู่นั้นเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรยังมีการพูดถึงกันน้อยมาก เรื่องราวของท่านอาจจะมีการพูดถึงกันในกลุ่มของพระป่าที่ออกธุดงค์ หรือในหมู่คนที่ปฏิบัติธรรมกันอย่างเอาจริงเอาจังเท่านั้น แต่ยังไม่มีการพูดถึงหลวงปู่กันอย่างกว้างขวางเหมือนในปัจจุบัน สำหรับผมเองในช่วงนั้นก็ยังไม่รู้จักหลวงปู่ด้วยซ้ำ
เหตุการณ์นี้แม้จะล่วงเลยผ่านมาหลายสิบปีแล้วแต่เมื่อนึกถึงครั้งใดก็ยังเกิดปีติทุกครั้งในความเมตตาของท่านที่มีต่อผม ในตอนค่อนรุ่งของเช้าวันหนึ่งผมได้มีนิมิตว่าได้ไปยืนอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีความสวยงามมาก ที่แห่งนั้นเหมือนเป็นสวนดอกไม้ที่อยู่กันเป็นกลุ่มๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ดอกไม้ก็มีสีสันต่างๆ งดงามมาก ระหว่างกลุ่มดอกไม้ก็เป็นสนามหญ้าที่เรียบเนียนยาวเสมอกันงามตาสีเขียวสดใสตัดกับสีดอกไม้ บรรยากาศสดใสเย็นสบายๆ สถานที่แห่งนั้นก็ไม่ใช่ที่เรียบๆ เสมอกันไป แต่เป็นเหมือนเนินดินสูงบ้างต่ำบ้าง เป็นสถานที่สวยงามที่สุดที่ผมเคยเห็นและคงไม่ใช่สถานที่ในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน เพราะสถานที่แห่งนั้นแม้จะมีความสว่างแต่ก็เป็นที่ๆ ไม่มีแดด ไม่มีเงา ความสว่างของแสงสว่างทั่วถึงเท่ากันทุกที่ ไม่รู้แสงนั้นมาจากไหนเพราะไม่มีดวงอาทิตย์ อากาศก็สดชื่นเย็นสบาย (ในภายหลังผมได้ไปกราบเรียนถามหลวงป๋าว่าที่ผมไปในนิมิตนั้นเป็นที่ไหนกันแน่ หลวงป๋าท่านบอกว่าน่าจะเป็นสถานที่ในมิติพิเศษที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเนรมิตขึ้นมา)
ผมมองดูสถานที่แห่งนี้ด้วยความเพลิดเพลิน ขณะที่กำลังเดินชมสวนอยู่นั้นพลันก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งท่านยืนอยู่ตรงหน้าห่างออกไปราว 10 เมตร ท่าทางของท่านสำรวมมาก ท่านยืนอยู่นิ่งๆ มองมาที่ผม เอามือทั้งสองประสานกันที่ด้านหน้าด้วยความสำรวม องค์ท่านสูงราวๆ 180-190 ซม. อายุน่าจะประมาณ 80 ปี ผมของท่านมีสีขาวแซมสีเทา หน้าตาผ่องใสมีสง่าราศีน่าเคารพมาก ห่มจีวรสีกรักเคร่งขรึมแต่ผมรู้สึกได้ถึงความเมตตาที่ท่านแผ่ออกมา ใบหน้าท่านเหมือนอมยิ้มน้อยๆ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร
เมื่อผมเห็นพระที่ไม่รู้จักยืนอยู่ตรงหน้าแต่ก็เกิดความเคารพในองค์ท่านอย่างประหลาด ผมก็เลยรีบเดินเข้าไปหาท่านเพื่อที่จะไปกราบที่เท้าท่าน แต่ระหว่างตัวผมและหลวงปู่มีซุ้มไม้สีขาวรูปตัวยูคว่ำซึ่งเป็นเหมือนการจัดแต่งสวนให้ดูสวยงามตั้งคั่นอยู่ ดังนั้นการที่ผมจะเดินเข้าไปหาท่านได้ก็ต้องเดินลอดใต้ซุ้มไม้รูปตัวยูสีขาวนี้ ขณะที่ผมกำลังจะเดินลอดก็ได้ยินเสียงหลวงปู่ท่านพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องเดินลอดเข้ามา ให้เหาะข้ามมา” ท่านอยู่ค่อนข้างไกลแต่ผมก็ได้ยินท่านพูดชัดเจน ผมเลยตอบท่านไปว่า “หลวงปู่ครับ ผมยังเหาะไม่เป็นเหาะข้ามไปไม่ได้หรอกครับ” หลวงปู่ท่านก็ตอบกลับมาอีกว่า “เอาเถอะ หลวงปู่จะช่วย”
ผมจึงทำจิตให้มีสมาธิกำหนดให้เหาะข้ามไม้รูปตัวยูสีขาวนั้น พลันตัวผมก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นๆ จนสามารถข้ามไม้รูปตัวยูคว่ำนั้นได้ การเหาะขึ้นไปได้นี้ทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินและดีใจมาก ดังนั้นแทนที่ผมจะเหาะลงมาหาหลวงปู่ ผมกลับเหาะต่อไปสูงขึ้นๆ เพื่อท่องเที่ยวดูสถานที่แห่งนั้น แล้วผมก็มองเห็นหลวงปู่ท่านนั้นเหาะตามประกบผมมาที่ด้านหลังเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้ผม เหาะคู่ประกบกันไปเลยท่านเหาะอยู่ข้างหลังผมประมาณ 1 เมตร ท่านคงขำที่ผมเหาะเลยท่านไปแต่ท่านก็เมตตาเหาะพาผมเที่ยวเล่นจนทั่ว อย่างว่าแหละครับคนไม่เคยเหาะได้มาก่อน เมื่อเหาะได้ก็เลยลืมที่จะเหาะลงไปกราบเท้าท่านอย่างที่ตั้งใจแต่แรก
การเหาะในทางฤทธิ์นี้ไม่เหมือนกับที่ผมเคยคิดไว้เลย เพราะเดิมนั้นผมก็คิดว่าเขาเหาะก็จะต้องเหาะในท่าแบบซูเปอร์แมนที่เหาะโดยเอาตัวขนานไปกับพื้น เอามือยื่นไปข้างหน้าแล้วก็เหาะไป นั่นมันเป็นการเหาะที่มนุษย์คิดไปกันเอง แต่การเหาะที่แท้จริงทางฤทธิ์อภิญญาแล้วท่านเหาะโดยอาการยืนนิ่งๆ แล้วตัวเราก็เคลื่อนที่ไปในอากาศ ผมเหาะเที่ยวเล่นอยู่ในดินแดนนั้นนานเท่าใดก็ไม่ทราบ เพราะมันเพลิดเพลินและมีความสุขมากอย่างไม่เคยพบมาก่อน
จนผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่พร้อมกับความปีติที่ได้มีฝันดีแบบนี้ เป็นฝันที่ดีที่สุดที่ผมเคยฝันมาเลย แต่หลวงปู่ที่มานิมิตนี้ผมก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร และในนิมิตผมก็ลืมถามชื่อของท่าน จนมาวันหนึ่งผมได้ไปที่แผงหนังสือจึงได้เห็นรูปของหลวงปู่องค์ที่ผมฝันถึง ท่านก็คือหลวงปู่เทพโลกอุดรนั่นเอง รูปร่างหน้าตา ท่าทางเหมือนกับหลวงปู่ที่ผมเจอในนิมิตไม่มีผิด เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ที่ท่านเมตตามาโปรดผม จนทุกวันนี้ผมก็ยังจำนิมิตครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเป็นที่เคารพอย่างสูงสุดของเหล่าพระป่า เพราะมีเรื่องเล่ากันมาว่าท่านชอบไปช่วยเหลือพระธุดงค์ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยท่านมักจะไปสอนวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ช่วยให้พ้นจากอันตราย ช่วยรักษาโรค ฯลฯ เนื่องจากหลวงปู่ท่านเป็นพระผู้มีหน้าที่ดูแลพระศาสนาในเขตสุวรรณภูมินี้ แม้ทุกวันนี้ผมก็ยังระลึกถึงท่านและมีท่านอยู่ในใจของผมตลอดเวลา และก็ได้มีนิมิตถึงท่านในภายหลังอีกหลายครั้ง ในครั้งหนึ่งท่านจึงได้บอกแก่ผมว่า “เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร” ไม่ผิดองค์แน่นอน