บทความจาก หนังสือบุคคลยุคต้นวิชชา

บทความจาก หนังสือบุคคลยุคต้นวิชชา
สมาธิตอนเด็กๆ พูดแล้วก็อัศจรรย์ พอทำอยู่กับหลวงพ่อตรึกอะไรก็ไปได้เลย ตอนนี้สู้ตอนนั้นไม่ได้ พอตอนเช้าๆออกมาทานข้าว คนในโรงครัวกับคนทำวิชชาเขาจะแยกกัน…ขณะที่เราเดิน จิตจะสว่างหมด จะเห็นดวงใสอยู่ในกาย จะมองเห็นหน้าคนไม่ชัด ใจจะติดอยู่แต่ข้างใน หลวงพ่อท่านเห็นว่า หมอเป็นเด็กฉลาดและคล่องแคล่วในตอนแรกเลยนั้น ท่านให้ไปฝึกแก้โรคที่ตรงประชาสัมพันธ์ ฝึกแก้โรคก็ไม่ยากหรอก ท่านบอกว่าพวกนี้มันมีเหตุมาหลายอย่าง มนุษย์เรามี 2 สาย คือสายดำกับสายขาว สายขาวคือสายธรรมะของเราก็พยายามให้แสงสว่างให้มีความสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา สายดำของเขา เขาก็สั่งให้ทำบาป ยิ่งทำเลวร้าย สกปรกโสมม ไปผิดศีล ผิดธรรม เขายิ่งชอบมากเลย สายดำเขาให้กำลังความชั่วอย่างนี้
แต่สายเราสายขาวก็ให้กำลังแต่ธาตุธรรมฝ่ายดี หลวงพ่อจะแยกธาตุท่านจะบอกว่าสายดำมันมาแยกอย่างนี้นะ จะเกิดอะไรขึ้นมาท่านก็ให้ช่วยทำให้สว่างไสว ให้แม่ชีช่วยทำด้วย แต่ทีนี้แม่ชีน้อยเหลือเกิน มีแค่ 30-40 คน ไม่พอ เพราะการทำวิชชาต้องใช้คนเยอะ เวลาทำวิชชาใช่ว่าใจทุกคนจะนิ่งแน่นตลอดหมดทุกคน สามารถดิ่งไปได้เรื่อยๆ มีที่หลับที่ตื่นก็มี หลวงพ่อท่านก็จะคอยปลุก คือท่านจะเรียก เรียกทีไรตื่นทุกที ได้ยินทุกที หลวงพ่อเหมือนท่านจะไม่ได้หลับเลย อยู่ทุกกะ และได้ยินเสียงท่านตลอด
หลวงพ่อจะชื่นชมทุกคน รักลูกทุกคน ท่านเมตตามาก สมัยก่อนที่คณะทำวิชชาจะมีต้นมะม่วงอยู่ 2 ต้น หลวงพ่อท่านก็จะเด็ดใส่กระจาด แล้วให้แม่ชีจับฉลาก หมอก็มักอธิษฐานว่าถ้าลูกมีบุญวาสนาก็ให้จับได้ แล้วก็จับได้เป็นอัศจรรย์ หลวงพ่อท่านมีอะไร ท่านก็จะเอามาแบ่งปันให้ลูกๆทุกคน ตอนที่ทำวิชชาจะไม่เห็นกันนะพระอยู่ฝั่ง ชีอยู่อีกฝั่ง หลวงพ่ออยู่ตรงกลางมีฝากั้น แม้หลวงพ่อท่านจะไม่เห็นลูกๆ แต่ท่านรู้เรื่องของลูกๆหมดเลย …โอ้โห…พอออกไปข้างนอก กลับมาท่านก็จะถามไปไหนมา ท่านทักทีขยาดก็แล้วกัน ท่านรู้หมด หาอย่างหลวงพ่อนี่ไม่มีอีกแล้ว ท่านบริสุทธิ์ผุดผ่องจริงๆ ท่านด่าก็ด่าเจ็บ ว่าก็ว่าเจ็บ เป็นยิ่งกว่าพ่อแม่เสียอีก
มีเรื่องอัศจรรย์เรื่องหนึ่ง คราวนั้นเป็นฤดูหนาว หนาวมากเลย มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ออกมาอยู่แถวๆหน้ากฏิทำวิชชา ดูท่าทางเขาหนาวมาก พอเห็นแล้วก็สงสาร จึงเอาผ้าห่มที่มีอยู่แค่ผืนเดียวของตัวเองให้เขาไป พอบ่ายๆเย็นๆหลวงพ่อก็ถามว่า ใครไม่มีผ้าห่มบ้างวะ เหมือนกับท่านรู้ แล้วท่านก็ส่งผ้าห่มให้ 1ผืน ส่งผ่านมาทางช่องเล็กๆ อย่างที่เล่าให้ฟังว่าห้องทำวิชชาจะมีช่องเล็กๆไว้ยื่นส่งของ วิชชาดับดาวนั้นมีจริงๆ หลวงพ่อท่านไม่อยากให้มีดวงดาว ดวงอาทิตย์ เมื่อมีดวงจันทร์ ดวงดาว ดวงอาทิตย์ ต้องมีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านทำในเหตุ ดับในเหตุ ทำต่อเนื่องกันมา แม้จะมีอีกกี่หมื่นกี่แสนชาติ ท่านก็จะทำ ถ้าเราพูดถึงหลักธรรมะ คือดับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ให้มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ก็ทำ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ท่านต้องการไม่ให้มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านจึงให้ดับความกำหนัด เมื่อเกิดความกำหนัดยินดี ก็เกิดราคะ เมื่อเกิดราคะ ก็เกิดอวิชชา สร้างบาปสร้างกรรมก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย
หลวงพ่อท่านทักอะไรใคร ก็จะเป็นอย่างนั้น เคยสัมผัสมาหลายครั้ง ทั้งเรื่องเจ็บป่วย และเรื่องตาย หมอเคยอยู่ในเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง คือเด็กสมัยก่อนก็บ้าๆบอๆเสียสติ เวลาเรือแล่น สมัยก่อนเรือนั้นจะแล่นเร็วมาก แล้วเด็กจะเกาะเรือตามสายน้ำมาเรื่อย สติไม่ดี ท่านบอกว่ามันไม่หาย มันไม่บ้าแต่มันบอ ไม่หาย แล้วหลวงพ่อท่านจะบอกเอง จะเป็นจะตาย ดีไม่ดีท่านบอกเอง ไม่ต้องไปจุกจิกกับท่าน ท่านรู้ดี ท่านจะไม่ทายส่งเดช และไม่อวดรู้
หลวงพ่อเป็นองค์พระที่ปฏิบัติตนดีมาก พระของขวัญของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ ถ้าใครเอาไปใช้ในทางที่ถูกต้อง สมัยนั้นมีบางคนเอาไปทิ้งทะเล ทิ้งแม่น้ำ หาว่าพระของหลวงพ่อมีกระดูกมีอะไรต่ออะไรผสมอยู่ จริงๆแล้ว ก็จะมีเกศาของหลวงพ่อผสมอยู่ทุกองค์ และดอกมะลิ ดอกมะลินี้ก็มีกายสิทธิ์ กายสิทธิ์นี้ก็มีจริงๆนะ ในลูกหินมีกายสิทธิ์ มนุษย์เราถ้ามีจักรพรรดิ มหาจักรพรรดิยิ่งรวย กายสิทธิ์ก็ยิ่งลูกใหญ่ คนมีบุญถึงจะมีกายสิทธิ์ อย่างพวกแก้วแหวนเงินทอง ก็มีกายสิทธิ์อยู่ทั้งนั้น เรามองไม่เห็น ต่อเมื่อนั่งธรรมะ จึงจะรู้และสัมผัสได้ ตอนท่านทำพระของขวัญ ก็ได้ช่วยหลวงพ่อ ท่านยังบอกเลยว่า เอ็งไม่เอาเหรอ 25 บาท ใครมีพระหลวงพ่อจะได้สมบัติพันล้าน ความนัยของหลวงพ่อที่พูดก็คือ ที่เราสร้าง 25 บาท เงินอันนี้ไปสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม หลังแรกของวัดปากน้ำ ศาลาหลังนี้นะ พระไปเรียนไปศึกษาพระปริยัติธรรม ก็จะได้บุญตลอด แล้วทำไมจะไม่มีพันล้าน จะมีมากกว่าพันล้านอีกจะติดตัวไปเป็นร้อยๆ ชาติ พระของหลวงพ่อ ถ้าเอาไปใช้ในทางไม่ดี ไปจี้ปล้นหลอกลวง ก็ไม่ได้ผล ต้องใช้ในทางกุศลเท่านั้น
ตอนที่ทำพระรุ่น 4 นั้น หลวงพ่อท่านมรณภาพไปแล้ว ตอนที่หมอมีพระของขวัญของท่านก็ไม่ได้รักษา ท่านเคยเตือนว่า ระวังพระจะหายนะ ต่อมาพระก็หายจริงๆ หลวงพ่อท่านจะเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า อย่าประมาท เราจะคว้าขอนไม้หรือจะคว้าดวงแก้ว คนที่ไม่มีธรรมะเหมือนกับขอนต้นไม้ ถ้าเรามีธรรมะเหมือนกับมีดวงแก้วเกาะ เราไม่ไปนรกแน่นอน เพราะถ้าเรามีดวงแก้ว มีดวงธรรม เราก็ไม่กล้าทำบาป เราเห็นแล้วว่าแม้แต่การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่ามดฆ่าปลวก ข้างในเขาก็คือคนเหมือนเราทั้งนั้น ลักทรัพย์แม้แต่บาทหนึ่ง เฟืองหนึ่งเราก็ไม่เอาของเขา
เวลาทำบุญนะ อย่าไปผลัดก่อน ให้รวยก่อนแล้วมาทำ มารอให้รวยก็ตายก่อน มารมาตัดรอนได้ เราต้องให้คู่กันระหว่างโลกกับวัด มีวิชาชีพเราก็ต้องทำ แต่บุญเราก็ต้องทำคู่กันไป จะคอยให้รวยก่อนแล้วค่อยทำไม่ได้ ต้องทำคู่กันไป สมัยที่ทำวิชชาหลวงพ่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ให้อยู่ในวิชชาอย่างเดียว ให้แก้ในเหตุ นิ่งแน่นๆ ละเอียดลงไปๆ แล้วนั่งสมาธิทุกวัน ไม่เบื่อและไม่ต้องเคร่งครัดทำสบายๆ และท่านจะเตือนอยู่เรื่อย ไปถึงไหนแล้วท่านจะรู้ ตอนเย็นตอน 4-5 โมงเย็น ต้องเข้ามานั่งฟังวิชชา เข้าหมดรวมหมดทุกคน หลวงพ่อจะอบรมสั่งสอน มีระเบียบมาก ออกมาข้างนอกให้รีบๆไม่ให้คุย ออกมานานไม่ได้ต้องดิ่งธรรมะ ภารกิจหลวงพ่อจะเยอะมาก แทบไม่ได้พักผ่อน และท่านมีบุญมาก ท่านเป็นต้นธาตุต้นธรรมในกลุ่มพระ ท่านเดินนำพระเป็นร้อยๆองค์
ท่านเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ลักษณะของท่านนะผิวท่านจะขาว เกลี้ยงเกลา ผิวท่านผ่องใส พูดท่านก็ไม่ติดขัดเลย หาต้นธาตุต้นแบบอย่างหลวงพ่อไม่มีอีกแล้ว แต่ก่อนก็มีคนมาโจมตีหลวงพ่อ แต่สิ่งที่โจมตีนั้นไม่จริงนะ มีเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ข้างเคียง หลวงพ่อท่านก็ให้แก้ในเหตุ แก้ให้เป็นดี จะนึกให้หลวงพ่อไปทำร้ายใครนะไม่มีหรอก หลวงพ่อไม่เคยทำร้ายใคร ที่จะบอกให้ทำร้ายมัน ให้เซฟมันไป ไม่มีหรอก มีแต่ให้มันดีขึ้น
ถ้ามีเรื่องกับผู้ชายก็ให้ผู้หญิงไปเจรจา ถ้ามีเรื่องกับผู้หญิงให้ผู้ชายไปเจรจา อย่างเซฟนี้คือเวลาเขาสายดำ ท่านก็จะให้เซฟคืออย่าให้เกิดขึ้นอีก อย่างบางคนที่อยู่คณะทำวิชชาแล้วออกไปจะกลัวมาก หลวงพ่อเซฟหมดเลย คือหลวงพ่อเก็บไม่ให้มันเกิดเลย แต่จริงๆ แล้วหลวงพ่อท่านไม่ให้เก็บหรอก หลวงพ่อไม่เคยทำร้ายใคร แต่ที่เขาตกต่ำ เพราะไม่รักษาธรรมะไว้
ตอนที่เป็นชีนั้น หลวงพ่อตั้งให้เป็นอาจารย์สอนธรรมะ ไปสอนที่สุพรรณ ก็มีลูกศิษย์มาก ต่อมาป่วยและจะสึก หลวงพ่อท่านไม่ให้สึก ท่านบอกว่า เอ็งจะสึกไปแทะกระดูกเหรอ ทางโลกไม่มีอะไรดี ท่านห้ามนะ แต่สุดท้ายหมอก็สึก สึกแล้วก็ยังอยู่ที่วัดตอนนั้นป่วยไม่สบาย ป่วยมากเลย หลวงพ่อก็เลยให้แม่ชีชั้นไปช่วยแก้ สึกแล้วจะลงไปหาญาติ ท่านถามว่าจะไปทำไม ก็บอกว่าจะไปขอเงิน ท่านก็บอกให้เอาไป 30 บาท ไปเบิกกับคุณประยูร ไม่ต้องไป ให้นั่งทำวิชชา แล้วจะลาท่านไปไหนนะ ท่านให้นั่งสมาธิไป พวกรุ่นหมอตอนนั้นก็ประมาณ 10 ขวบ กว่าทั้งนั้นนะก็วัยรุ่นทั้งนั้น ท่านบอกเรานั่งธรรมะแล้ว จะต้องไปหาเขาทำไม ท่านสอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ให้รักสายธรรมะ พอสึกได้สักพัก เรียนหนังสือเพิ่ม แล้วก็มาแต่งงาน มาเจอคุณจุตติตอนกลับบ้าน ตอนบวชเราก็เคยอธิษฐานจิต ขอให้เจอคนที่มีศีลธรรม
พอเจอแฟนคนนี้ก็บอกว่า ถ้าหลวงพ่ออนุญาติให้แต่งก็แต่งนะ คุณจุตติก็ไปขอหลวงพ่อ ครั้งแรกหลวงพ่อก็ไม่ให้ ครั้งที่ 2 ถึงให้ ท่านบอกว่า ออกไปข้างนอกไม่ใช่สบายนะ ต้องไปแทะกระดูก ตอนแต่งงาน หลวงพ่อก็ไปฉันที่บ้านด้วย มีพระมา 9 องค์ พระที่มากับหลวงพ่อรู้สึกว่า ตอนนี้จะไม่เหลือแล้ว มีพระมหาวิชัย อาจารย์เฉลียว ท่านชวลิต แล้วหลวงพ่อท่านก็สอนธรรมะว่าเอ็งนะ ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่าเอาเข้า สมณะชีพราหมณ์นะลูกนะ ใครไม่ให้ช่างเขา เราต้องให้ แล้วให้สร้างสาธารณกุศล ต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง แล้วก็สอนสามีว่า ถ้าทำบุญ ไม่ให้ห้าม เขาจะสร้างบุญสร้างกุศลไม่ให้ห้าม แล้วก็สงเคราะห์ญาติฝ่ายภรรยาและสามี วันแต่งงานท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านก็กลับวัด ท่านไปถามครูญาณีว่า มันจะมีลูกกี่คน ก็บอกว่าจะมี 7 คน แล้วก็มี 7 คนจริงๆตรงตามที่แม่ชีพูดไว้
พอแต่งงานชีวิตก็ยิ่งกว่าทะเลอีก ลำบากมากๆ ตอนนั้น ชีวิตตกต่ำที่สุด เมื่อลำบากหนักเข้าก็นั่งสมาธิ หลวงพ่อท่านก็มาหา มาเข้าฝัน ท่านบอกว่า เอ็งนะ ถ้ามีวิชชาเอ็งจะไม่ลำบากหรอก เราก็บอกหลวงพ่อ วิชชาของลูกเนี่ย ทำสมาธิอยู่ทางโลกลูกไม่เก่ง พอออกมาแล้ว เย็บปักถักร้อยได้ แต่ไม่เก่งเลย ลูกจะเอาวิชาความรู้ที่ไหนมาประกอบอาชีพ ท่านก็บอกเองว่า เอ็งมีวิชชาความรู้จะไม่ลำบาก
ชีวิตลำบากมากเลย สามีตกงานลูกก็เยอะ แล้วสามีก็ป่วยอีก หลวงพ่อก็มาเข้าฝันอีก ตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น ท่านบอกเองตั้งใจให้ดีนะลูกนะ ท่องคาถานี้นะจดจำไว้นะ ต่อไปเองจะได้ไม่จน “สิริวิยะ มหาวิชะ มหาลาภะ” พอตื่นขึ้นมาก็เล่าให้สามีฟัง สามีก็รีบจดแล้วใช้ท่อง สามีป่วยเป็นโรคมาลาเรีย สมัยนั้นไวรัสลงตับ ตายลูกเดียว ตาเหลือง รักษาลำบาก
พอหลวงพ่อบอกเท่านั้น ก็มีคนรู้จักมาแนะนำว่าให้ไปถอนหญ้าคา ก่อนถอนก็บอกว่า พ่อหญ้าคา แม่หญ้าคา ขอให้กินยาแล้วหายขาด หลังได้คาถามา พอมากินยาหม้อนั้นก็หายเลย เพราะหลวงพ่อช่วยไว้ สามีจึงรอดชีวิต
หลังจากนั้นก็สมัครงาน ปรากฏว่ามาได้งานที่การไฟฟ้า แผนกการเงินสอบผ่าน สมัยก่อนต้องผ่านทางด้านกฏหมาย ดูว่าเคยทำอะไรผิดพลาดบ้างไหม ปรากฏว่าผ่าน แล้วชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
เราก็เลยเอาพ่อแม่สามีมาอยู่ด้วย พอมาอยู่ จากที่พ่อของสามีชอบไปจับปลา และทานเหล้า เราก็ห้าม แล้วให้ใส่บาตร วันหนึ่งงูเข้ามาในบ้าน งูนั้นร้ายมากเลย พ่อไปตีจนมันเจ็บ ตอนเย็นไปช่วยพ่อทำกับข้าว งูก็มากัดหมอเลยนะ กัดนิ้วโป้ง กัดไม่ปล่อยเลยนะ คิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ พอกัดได้สักพัก ก็รู้สึกจุ๊บเข้าไปในหัวใจ พิษแล่นขึ้นมาเลย
นึกถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อช่วยลูกด้วย ลูกก็สร้างแต่บุญ ถ้ามาตายด้วยอสรพิษ ลูกก็ไม่เสียดายชีวิตหรอก พอพ่อได้ยินดิฉันร้อง ทั้งพ่อทั้งสามีและคนใช้ ก็เอาไม้มาไล่ตีงู จะฆ่าให้ตายให้ได้ งูนั้นตัวใหญ่มาก แต่ดิฉันไม่ให้ฆ่า ไม่ให้ทำ นึกว่าจะตายก็ตาย จิตก็สัมผัสถึงหลวงพ่อมาตลอด คือพอเรานึกถึงอะไรสิ่งนั้นก็จะมาสัมผัส
นึกถึงหลวงพ่อตลอดทางมาถึงโรงพยาบาลจุฬา พอ 4 ทุ่มคุณหมอก็บอกว่า ต้อง 2 ยามจึงจะพ้นขีดอันตราย พอ 2 ยามก็พ้น กลับบ้านได้ อีก 7 วัน งูตัวนั้นก็มาอีก พ่อก็เอาไม้ตีมันจนตาย หมอกลับไปถึงบ้านรู้สึกเสียวไส้เลยจึงให้พ่อบวช
(เรื่องเล่าโดย คุณหมอจินตนา โอสถ บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 1)
ที่มา https://phramongkoltepmuni.blogspot.com/?m=1
แชร์เลย

Comments

comments

Share: