เกิดมาหาแก้ว
เกิดมาหาแก้ว
คุณยายอุบาสิกา ปุก มุ้ยประเสริฐ อายุ 100 ปี ได้บวชชี
ทำวิชชาธรรมกายขั้นสูงควบคู่กับหลวงพ่อตลอดมา
และเคยเป็นครู เป็นหัวหน้าสอนวิชาคุมวิชชาธรรมกาย
เบื้องสูงในสถานที่ทำวิชชา (โรงงาน) ของวัดปากน้ำ
ในสมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ คุณยายปุกปฏิบัติธรรมเจริญวิชชา
ชั้นสูง มีสติมั่นคงสงบหนักแน่น มีญาณละเอียดอ่อน เข้าถึง
วิชชาธรรมกายที่แก่กล้าขั้นสูง ขั้นละเอียดยิ่งในขั้นฝ่ายบุญ
ภาคปราบอันหาศิษย์อื่น ๆ ทัดเทียมได้ยากท่านหนึ่งทีเดียว
คุณยายปุก เคยบอกเล่าเรื่องจักรพรรดิ, กายสิทธิ์ แก่เหล่า
ศิษย์ใกล้ชิดว่า…………
ในปี พ.ศ. 2482 วัดปากน้ำนั้นเคยมีป่าช้าในวัด
ปากน้ำตรงบริเวณตึกคณะเนกขัมม์ในปัจจุบัน ซึ่งในสมัย
นั้น…….. วันดีคืนดีก็มีดวงสว่าง ๆ ลอยขึ้นมาจาก
พื้นดิน บรรดาศิษย์หลวงพ่อ มีแม่ชีต่างก็คอยแอบจ้อง
เพื่อจะจับดวงแก้วที่ลอยขึ้นมานั้นให้ได้ แต่ก็ไม่
สำเร็จ เพราะมีพวกเทวดามาคอยขัดขวาง แต่หลวงพ่อ
ท่านประสงค์ที่จะเอาแก้วจักรพรรดิ (บรมจักร) ดวงนี้ขึ้น
มาเพื่อนำมาช่วยทำวิชชา ช่วยเหลือวัดปากน้ำต่อไป
ในการเลี้ยงพระสงฆ์ สามเณร แม่ชี ผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อส่ง
เสริมการปฏิบัติธรรมให้เจริญรุ่งเรือง วัฒนาถาวรต่อไป
หลวงพ่อท่านจึงสั่งให้แม่ชีต่าง ๆ ที่มีวิชชาสูง นั่งเข้าที่
ทำวิชาเพื่ออัญเชิญแก้วบรมจักรขึ้นมา โดยเอาเข่งครอบพื้น
ดินตรงบริเวณที่บรมจักรอยู่ และเอาผ้าขาวคลุมเข่งไว้
คณะแม่ชีผู้ได้วิชชาธรรมกายก็นั่งสมาธิเข้าที่ทำวิชชา นั่งล้อม
รอบเข่งนั้น ทำวิชชาเพื่ออัญเชิญบรมจักรที่มีฤทธิ์มีอานุภาพให้
แทรกแผ่นดินขึ้นมา แต่ในครั้งนั้นคุณยายบอกว่า …..ของหยาบ
ไม่ขึ้นมา แต่บรมจักรได้แผ่รัศมีขึ้นมาจนจับผ้าขาวออก
แสงสว่างจ้าทีเดียว ตามสำนวนภาษาคนเก่า ๆ พูดว่า
“แสงสว่างจ้าจนแสงเขียวเชียว”
คือแสงสว่างจ้าเย็นตาเย็นใจมากนั่นเอง
ดังนั้นเมื่อของหยาบไม่ขึ้นมา ขึ้นมาแต่ของละเอียด
คณะศิษย์จึงขุด เมื่อขุดพบแล้วก็เอาผ้าขาวหุ้มห่อบรมจักร
นั้น แล้วพระภิกษุรูปหนึ่งก็อุ้มออกจากหลุมนำมาไว้ที่วิหาร
ขาว หลวงพ่อวัดปากน้ำบอกว่าต้องทำวิชชา 3 เดือนจึง
จะเปิดผ้าขาวได้ และเอาดอกมะลิบูชาไว้
แต่ในระหว่างกลางพรรษา มีวันหนึ่งฝนตกหนักชนิดเรียก
ว่าเหมือนฟ้ารั่วตกแทบแผ่นดินจะถล่มทะลาย ตามสำนวนคน
เก่า ๆ พูด ฟ้าก็คำราม คำรน สะเทือน เลื่อนลั่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งฝนทั้งฟ้า เหมือนดังจะถล่มทลายที
เดียว เมื่อเหตุการณ์สงบดีแล้วปรากฏว่า แก้วบรมจักรก้อนนั้น
ได้อันตรธานหายไปทั้ง ๆ ที่ห่อผ้าขาวไว้ ผ้าก็ยังห่ออยู่โดย
ไม่มีรอยแก้วแต่ประการใด
เมื่อหลวงพ่อท่านทราบและตรวจละเอียดดู พบว่า
ประเทศชาติจะต้องเข้าสู่ภาวะสงครามโลก ฝ่ายมารทำผังวิบัติ
สู่แผ่นดินสุวัณณภูมิ และทำวิชชาให้ศาสนาพุทธเรียวลง ๆ
จนหมดไปจากแผ่นดินสุวัณณภูมิ แก้วบรมจักรอยู่บนแผ่นดิน
ไม่ได้ มารจะมาระเบิดให้แตก แก้วบรมจักรจึงแทรกแผ่นดิน
หนีไป หลวงพ่อบอกว่า
” ไม่ต้องตาม ให้ทำวิชชาธรรมกายขั้นสูงกันไป
ถึงเวลาแล้วแก้วบรมจักรจะกลับมาเอง”
นอกจากนี้ยังมีอุบาสิกา โยมอุปถัมภ์วัดอุปัฏฐากหลวงพ่อวัด
ปากน้ำเล่าว่า วันหนึ่งท่านทีธุระเดินผ่านบริเวณใกล้ ๆ วิหาร
ขาว (หอวิปัสสนาปัจจุบันนี้) ขณะนั้นมีฝนตกจนน้ำนอง
อุบาสิกาท่านนี้เห็นดวงแก้วกลมใสขนาดใหญ่ กลิ้งเล่นน้ำฝน
อยู่ แกจึงวิ่งตะครุบ แต่ไม่ทัน แก้วดวงนั้นกลิ้งเลื่อนหายไป
บริเวณใต้วิหารขาว (หอวิปัสสนาวัดปากน้ำในปัจจุบันนี้)
หลวงพ่อได้เอ่ยจากปากของหลวงพ่อเองว่า …
ตำแหน่งนี้ต่อไปจะเป็นศูนย์จักรพรรดิ ศูนย์จักรพรรดินี่แหละ
ต่อไปจะทำให้วัดปากน้ำอุดมสมบูรณ์ เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
เรื่อย ๆ
สงครามโลกครั้งที่ 2 ( พ.ศ.2482 – พ.ศ. 2488 )
หลวงพ่อทราบว่า บัดนี้มารได้ส่งสายปกครองลงมา
เกิด เป็นผู้นำประเทศชาติต่าง ๆ อีกทั้งเทพเจ้าสงครามก็ลง
มาจุติแล้ว เห็นทีสงครามแห่งการล้างเผ่าพันธุ์เชื้อชาติต้องเกิด
ขึ้นแน่ ผู้คนจะล้มหายตายจาก การเข่นฆ่าด้วยอาวุธสงครามที่
ร้ายแรง แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แผ่นดินสุวัณณภูมินี้จะเดือด
ร้อนทุกหย่อมหญ้า พุทธจักร อาณาจักร จะถูกมารเข้ายึด
ครองและทำลายจนไม่เหลือเศษ
และในปี พ.ศ. 2477ต้นธาตุต้นธรรม ได้ขอให้
หลวงพ่อทำวิชชารบกับมาร แยกพระ แยกมาร ให้ออกจากกัน
เก็บภัยสงคราม มารเอาบ้านเมืองมาล่อ เอาความเจ็บความ
ตายมาให้ ต้องปราบมารเหล่านี้ลงเสียได้ มนุษย์ถึงจะอยู่สุข
การรบกับภาคมารนี้ต้องทำอย่างจริงจัง และต่อเนื่องตลอด
เวลา 24 ชั่วโมง อย่างน้อยเป็นเวลา 25 ปี จึงจะชนะหมด
ขอหลวงพ่อท่านจงรับหน้าที่เหล่านี้เถิด เพื่อประโยชน์สุข
แห่งประเทศชาติและประโยชน์อย่างยิ่งแก่พระนิพพาน
ในการดำรงรักษาและสืบอายุศาสนจักร อาณาจักร พุทธจักร
มรรคผล นิพพาน ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว
หลวงพ่อท่านเฝ้าตรึกตรองว่าเมื่อรับแล้วจะกระทำ
ได้หรือไม่ ขณะเดียวกันก็เผยแพร่วิชชาธรรมกายไปอย่างกว้าง
ขวาง มีผู้คนเข้ามาปฎิบัติมากขึ้น ๆ สายธาตุธรรมที่มีหน้าที่ก็
เริ่มเข้ามาอยู่ในสายการปกครองของหลวงพ่อ โดยเฉพาะ
ธาตุธรรมที่ต้องมาทำวิชชารบ เพียงฝึกฝนก็ปฏิบัติได้เป็น
อัศจรรย์ หลวงพ่อท่านคิดว่า
เมื่อจะรับงานต้นธาตุ คำว่าถอยหลัง ไม่เคยใช้
ท่านเฝ้าเคี่ยวกรำหน่วยทำวิชชานี้อย่างเคร่งครัด ชนิดไม่ให้
ไปไหนเลย หรือปฏิบัติอย่างอื่นอย่างใด นอกจากการปฏิบัติ
วิชชาธรรมกายขั้นสูงแต่อย่างเดียว ใช้เวลาทั้งหมด 8 ปี
เมื่อพร้อมที่จะทำงาน พระเดชพระคุณท่านจึงตั้งโรง
งานทำวิชชาขึ้นที่วัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) ใช้คำว่า”โรงงาน”
เพราะต้องผลัดกัน ทำวิชชาเป็นกะ กะละ 3 ชัวโมง ส่งงาน
ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีการหยุดพัก จนกระทั่ง
สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงในปี พ.ศ. 2488
การคำนวณวิชชา 28/11/2485
หลวงพ่อให้ประกอบวิชชา คำนวณว่า วิชชาที่ผ่าน
มาแล้วเท่าไร ยังเหลืออยู่อีกเท่าไรที่จะผลิต่อไปในอนาคต
เมื่อคำนวณรู้ส่งกายมนุษย์ถึงสุดละเอียด คำนวณแยกเป็น
ธาตุส่วนหนึ่ง ธรรมส่วนหนึ่ง แยกพิสดารจนสุดละเอียดที่จะ
คำนวณถึง แล้วเดินเหตุว่าง ดับ ลับ หาย สูญ สิ้นเชื้อ
ไม่เหลือเศษ ปราสาท รส ชาด ไอ แก๊ส แก๊สกรด
รวมเป็น 13 ฐาน ในเหตุ 13 นี้ ก็เดินหล่อเลี้ยง เป็นอยู่
ปราสาท รส ชาด ไอ แก๊ส แก๊สกรด รวมเป็น 8 ฐาน
ใน 8 ฐานนี้ ก็แยกเป็นธาตุส่วนหนึ่ง ธรรมส่วนหนึ่ง
ระหว่างส่วนหนึ่ง ๆ ต้องด้วยกาล เป็น 8 X 3 = 24
และใน 13 ฐาน ก็แยกเป็นธาตุส่วนหนึ่ง ธรรมส่วนหนึ่ง
ต้องด้วยกาล คือ 13 X 3 = 39
ใน 39 และ 24 ก็ให้พิสดารไปทุกศูนย์ทุกส่วนทุกอายตนะ
แยกธาตุสะอาด ฟอกธาตุสะอาด จนถึงหัวแก๊สเซฟทะเล
เหตุทะเล
เมื่อเปิดผังประเทศชาติ พบผังวิบัติด้วยภัยจาก
ฟ้าคือ อาวุธลูกเหล็กปรมาณู ให้ทำวิชชาซ่อนธาตุซ่อน
ธรรม คือ ซ่อนประเทศชาติ โดยการคำนวณธาตุน้ำไว้ข้าง
บน ให้ข้าศึก เห็นเป็นทะเล แล้วรองลงมาก็เป็น
ไฟ ลม วิญญาณ อากาศ นี้เป็นชั้นที่ 2 ซ่อนอีกชั้น
เอาอากาศไว้ข้างบน รองลงไปเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม
วิญญาณ ซ่อนอย่างนี้ ประเทศของเรายกตรึงไว้สุดละเอียด
ของเซฟพระนิพพาน ใครจะมาทำลายล้างผลาญต่าง ๆ
มิได้ ให้ข้าศึกมองเห็นทะเลไปหมด วิชชานี้ทำเป็นพื้นไว้
เสมอ………….
เมื่อเกิดเหตุการณ์สงครามโลกเช่นนี้ หลวงพ่อท่าน
จึงประจักษ์ชัดถึงความสำคัญของภาคผู้เลี้ยง ผู้รักษา ที่มา
ช่วยเหลืองานวิชชาธรรมกาย ซึ่งในสมัยแรก ๆ หลวงพ่อ
ท่านได้เก็บเอาก้อนหินกรวด หินแม่น้ำ มาจำนวนมาก ใส่
ในกระด้ง ๆ ไว้ในหอไตร ที่อยู่กลางน้ำข้างสถานที่ทำวิชชา
ธรรมกาย ด้านทิศเหนือโบสถ์ ให้บูชาด้วยดอกมะลิ หิน
กรวด หินแม่น้ำเหล่านี้เป็นตัวเรือนให้องค์กายสิทธิ์หรือ
จักรพรรดิอยู่อาศัย หินเหล่านี้ทำวิชชากลั่นจนใสเป็นแก้ว
ทำให้มีเดชานุภาพมาก มีกำลังฤทธิ์แรงช่วยในการเดินวิชชา
ธรรมกายได้เร็วมีพลัง มีอานุภาพ
และในการเจริญวิชชาสะสางธาตุธรรม (วิชชารบ)
(วิชชาปราบมาร) เป็นวิชชาสูงสุดยอดของวิชชาธรรมกาย
นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องอาศัยภาคผู้เลี้ยง ผู้รักษา
ช่วยเป็นกำลังสำคัญ เพราะกายมนุษย์นั้นต้องมีการกิน,
การถ่าย,การพักผ่อนหลับนอน , เจ็บไข้ได้ป่วย , บาดเจ็บ
จากการทำวิชชา และพูดง่าย ๆว่ายังมีโอกาสเผลอได้
ส่วนจักรพรรดิในดวงแก้วนั้น ไม่มีการกิน การถ่าย ฯลฯ
แบบมนุษย์ ดังนั้น ผู้เป็นวิปัสนาจารย์ หรือพระโยคาวจร
ผู้ทำวิชชา จะสามารถถ่ายทอดวิชชาปราบมารให้จักรพรรดิ์
ในดวงแก้ว ทำวิชชาแทนกายมนุษย์ได้ดี
ถ้าระเบิดลงจะเลิกวิชชาธรรมกาย
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประตูระบายน้ำอ่างทอง
ประตูน้ำบางยาง ประตูน้ำบางนกแขวก คลองภาษีเจริญ
ล้วนแต่ถูกระเบิดลงหมดทุกแห่ง ระยะนั้นทหารกรมแผนที่
อพยพหลบภัยลูกระเบิดมาอยู่ที่ตึกขาววัดปากน้ำ หลวงพ่อ
วัดปากน้ำท่านพูดว่า……..
“ถ้าวัดปากน้ำและประตูระบายน้ำภาษีเจริญ
ถูกระเบิดลง ท่านจะเลิกวิชชาธรรมกายทันที”
ปรากฏว่าเครื่องบินมาทิ้งระเบิดประตูน้ำภาษีเจริญ
เหมือนกัน แต่แคล้วคลาดพลาดไปลงที่ใกล้เคียง หลังจาก
นั้นหลวงพ่อท่านได้เข้มงวดกวดขันการปฏิบัติกิจภาวนา
วิชชาธรรมกายมากยิ่งขึ้น
แต่ครั้งหลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านได้จัดเวรการเจริญ
วิชชาธรรมกายขั้นสูงในโรงงานทำวิชชา รวม 6 กะ ทำ
วิชชากะละ 3 ชั่วโมง ติดต่อกันมา 30 กว่าปี หลวงพ่อ
ท่าน คำนวณวิชชาให้ทุกกะ ศิษย์ของหลวงพ่อท่านส่วน
ใหญ่เป็นอุบาสิกา แบ่งกลุ่มออกมาได้ 6 ทีม โดยหลวง
พ่อรับเป็นภาระให้ทุกอย่าง ไม่ว่าที่อยู่อาศัย อาหารการกิน
เจ็บไข้ได้ป่วย การเงินการทอง รวมทั้งเป็นอาจารย์อำนวย
การสอนความรู้วิชชาธรรมกายขั้นสูง ติดขัดตรงไหน
หลวงพ่อสอนได้หมด
ในครั้งที่กรมแผนที่ทหาร ซึ่งมีคุณหลวงสำรวจสำเร็จกิจ
เป็นหัวหน้า มาพักที่วัดปากน้ำนั้นคุณหลวงได้บันทึกไว้
ว่า …………..
มีอยู่คืนหนึ่ง คุณหลวงเห็นแสงสว่างลอยมา ทางทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้ ในตอนแรกคิดว่าเป็นแสงจากเครื่องบินที่
จะมาทิ้งระเบิด แต่ไม่ได้ยินเสียงหวอ ดังนั้นพอรุ่งขึ้นได้นำ
เรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงพ่อท่านก็เดิน
เข้าไปในกุฏิ ไปหยิบแก้วกายสิทธิ์ดวงใสสะอาดดวง
หนึ่งมาให้ดู ท่านบอกว่านี่แหละที่คุณหลวงเห็นลอย
มาเมื่อคืน เขามาช่วยท่านทำวิชชา
ภายหลังจากการเสร็จสิ้นภาระกิจการเก็บสงครามโลก
ครั้งที่ 2 และบ้านเมืองเข้าสู่ความปรกติ สงบสุข หลวงพ่อ
ท่านจึงดำริออกธุดงค์ เพื่อจะหาดวงแก้วมาเป็นตัวเรือนให้
เหล่าจักรพรรดิที่มาช่วยทำวิชชา
ในปี พ.ศ. 2490 พระเดชพระคุณท่านธุดงค์ไป
เพื่อหาแก้ว ซึ่งมีแหล่งมากในจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือ
หลวงพ่อท่านธุดงค์เพื่อหาแก้วดังนี้
1.แก้วใส เพื่อเป็นตัวเรือนให้จักรพรรดิที่ให้ความอุดม
สมบูรณ์พูนสุข (ภายหลังได้มาจากทางวังสระประทุม 3
ดวง ปัจจุบันบรรจุอยู่ในรูปปั้นหลวงพ่อองค์ยืน ข้างหีบ
ทองหลวงพ่อ ชั้นสอง หอหลวงพ่อ)
2.แก้วชมพู เพื่อเป็นตัวเรือนให้จักรพรรดิตรีภพฝ่ายปราบ
ซึ่งเป็นจักรพรรดิที่สามารถไปตามกายสิทธิ์จากภพทิพย์
พรหม อรูปพรหม ไม่ว่าจะอยู่ในมนุษย์โลกหรือไม่ก็ตาม
3.แก้วสีชา เพื่อเป็นตัวเรือนให้จักรพรรดิต้นปราบใหญ่
(วิชชารบ)
4.แก้วโตน เพื่อเป็นตัวเรือนให้กายสิทธิ์พระปัจเจกพุทธเจ้า
ที่มาช่วยงาน
5.แก้วก้อ แก้วมณีสีแดงเดชไกรกลบ เพื่อเป็นตัวเรือนให้
จักรพรรดิ สุริยะประภาวิเศษคุณ และ จันทรประภา
ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อตรวจทราบต่อไปว่า บ้านเมือง
ประเทศต่าง ๆ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ จะเปลี่ยน
แปลงการปกครองเป็นระบบคอมมิวนิสต์ (ประมาณ 1 ใน 3
ของโลกทีเดียว) และภัยจักคุกคามเข้ามาถึงประเทศไทย
อย่างแน่นอน
พระเดชพระคุณท่านจึงพยายามคำนวณข้ามยุคทมิฬ
เหล่านี้ออกให้หมด อีกทั้งภายภาคหน้าก็จะมีสงครามโลก
ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นมหันตภัยกว่า สงครามโลกครั้งที่ 1
และ 2 จำเป็นต้องเก็บภัยสงคราม ภัยพิบัติ ให้หมดไป
จากแผ่นดิน แต่ด้วยกำลังหน่วยทำวิชชามีน้อยไม่ถึงร้อยคน
ต้องใช้ภาคละเอียด คือ ภาคผู้เลี้ยง ผู้รักษา มาช่วยทำ
วิชชา
และประการสำคัญคือ การคำนวณข้ามยุคทมิฬ เข้า
ยุคถิ่นกาขาว ไปสู่ยุคชาวศิวิไลซ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
ใช้แก้วมณีซึ่งเป็นภาคผู้เลี้ยง ผู้รักษา แห่งยุคชาวศิวิไลซ์
ที่แท้จริง
ดวงแก้วมณีนี้มีพบในดินแดนขุนเขาทางภาคตะวัน
ออกเฉียงใต้ ของอินเดีย คือชมภูทวีป นั่นเอง
ในครั้งพุทธกาลกรุงราชคฤห์มีภูเขาล้อมรอบ 5 ลูก
คือ
1.เขาวิปุลคีรี 2.เขาเวภาระ 3.เขาตะโปวัน
4.เขารัตนคีรี 5.เขาเสลาคีรี คือ เขาคิชกูฏ
ณ เขาวิปุลคีรีมีดวงแก้ววิเศษ 3 ดวง คือ
1.แก้วมณีโชติ เป็นดวงแก้วกลมขนาดใหญ่ มีบริวารถึง
3,000 ดวง เป็นดวงแก้วคู่บารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ
สามารถเปล่งแสงสว่างไสวในยามค่ำคืนทำให้สว่างดุจ
กลางวัน เพราะในดวงแก้วมีองค์จักรพรรดิกายสิทธิ์มี
ฤทธิ์มาก ดลบันดาลให้มีขึ้น
2.แก้วไพฑูรย์ มี บริวาร 2,000 ดวง
3.แก้วมรกต เป็นแก้วคู่บารมีของพระเจ้าธรรมามิกราช
มีบริวาร 1,000 ดวง
และ ณ เขารัตนคีรี มีดวงแก้วซึ่งเป็นแม่กายสิทธิ์ ซึ่ง
สามารถใช้ตามรัตนชาติต่าง ๆ ซึ่งมีจักรพรรดิ กายสิทธิ์
ให้ปรากฏขึ้นในแผ่นดิน
นี้คือเหตุแห่งการไปธุดงค์หาแก้วที่จังหวัดภาคเหนือ
- อินเดีย – ธิเบต
ระเบิดปรมาณู
แผนที่อาณานิคมชาวต่างชาติที่เข้าครองประเทศในสุวัณณภูมิ
(สงครามโลกครั้งที่ 1 พ.ศ. 2457 – พ.ศ. 2461
สงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2482 – พ.ศ. 2488
หลวงพ่อสด จนฺทสโร วัดปากน้ำ(ภาษีเจริญ)
เกิดวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม ปีวอก พ.ศ 2427
บวช พ.ศ. 2449
เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ พ.ศ. 2459
สำเร็จธรรม ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 พ.ศ. 2460
ต้นธาตุต้นธรรมให้ทำวิชชาปราบมาร พ.ศ. 2477
ต้องทำวิชชาติดต่อกันอย่างน้อย 25 ปี ใช้เวลา 8 ปี เพื่อ
ฝึกฝนทีมทำวิชชาธรรมกายขั้นสูง
ตั้งโรงงานทำวิชชา 24 ชั่วโมง พ.ศ. 2485
ควบคุมดูแลการทำวิชชาอยู่ 17 ปี จึงมรณภาพ
การทำวิชชาไม่ครบกำหนดที่ต้นธาตุต้นธรรมให้มา 25 ปี
ขาดไป 8 ปี ไม่สามารถคำนวณข้ามเข้าสู่ยุคถิ่นกาขาว –
ชาวศิวิไลซ์ได้ แต่เก็บภัยสงครามโลกครั้งที่ 3 และภัย
คอมมิวนิสต์ในประเทศไทยได้สำเร็จ
อายุ 61 ปี จบสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2488
อายุ 63 ปี ธุดงค์สู่ต้นน้ำ พ.ศ. 2490
อายุ 66 ปี สร้างพระของขวัญรุ่น 1 พ.ศ. 2493
ปลงอายุว่า อีก 5 ปีข้างหน้าจะมรณภาพ พ.ศ. 2498
เริ่มอาพาธ พ.ศ. 2499
มรณภาพ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2502 สิริอายุ 75 ปี