บางคนชอบตำหนิสมถะ ไปตำหนิก็เท่ากับคุณเอาน้ำร้อนสาดหน้าตัวเอง เป็นกรรมนะ

– บางคนชอบตำหนิสมถะ ไปตำหนิก็เท่ากับคุณเอาน้ำร้อนสาดหน้าตัวเอง เป็นกรรมนะ.

ในยามต้นแห่งราตรี ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงระลึกชาติได้ เห็นสัตว์โลกตายเกิด ตายเกิด แล้วไปทุคติภูมิ นี่ เห็นนรกนะ ทุคติภูมิ ไปเกิดเป็นเปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปเกิดในทุคติภูมิอย่างนี้มากต่อมาก แต่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์น้อยเหลือเกิน หรือจะกลับไปเกิดเป็นเทพยดาน้อยนัก

พระพุทธองค์ถึงกับตรัสสอนพระภิกษุว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์โลกตายแล้วจากความเป็นมนุษย์นี่ จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกน้อยนัก แต่ไปเกิดในนิรยภูมิมากต่อมากนัก ก็คือ ไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มากต่อมาก

ตรงนี้ เป็นวิชชาที่หนึ่ง ที่สำคัญ ที่บุคคลทั้งหลายไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริง เพราะไม่รู้เห็นนรก ไม่รู้เห็นสวรรค์ ตามความเป็นจริง ไม่รู้เห็นการเวียนว่ายตายเกิด ก็หลงคิดว่า เรานี่สบายแล้ว ตายแล้วก็เดี๋ยวกลับมาสบายใหม่ ไม่มีทางถ้าคุณไม่ทำความดี และหลีกหนีความชั่ว

ต้องทำความดีหลีกหนีความชั่ว เพราะความชั่วนำไปสู่นิรยภูมิ ไปเกิดในทุคติภูมิ ในภพชาติปัจจุบันก็ต้องลำบาก ลำบากในภพชาติปัจจุบันนี่แหละ กรรมมันตามสนองทุกคนแหละ แต่ว่าเรื่องกรรมตรงนี้ยังไม่พูด พูดว่าไปเกิดในทุคติภูมิ

บุคคลที่กระทำความชั่วมากๆ ก็มีอาการเหมือนสัตว์โลกในทุคติภูมิ บางคนก็เหมือนเปรต บางคนก็เหมือนอสุรกาย บางคนก็เหมือนสัตว์เดรัจฉาน บางคนก็เหมือนสัตว์นรก ร้อนรุ่มมากมายก่ายกอง แสดงอาการต่างๆเหมือนสัตว์นรก ใช่ไหม นั่นความทุกข์นะ ตัวเองยังไม่รู้ บางคนก็หลงทำ

ทีนี้ ต่อไป อาตมาภาพนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ (นี่ ในยามกลางแห่งราตรี ทรงเจริญฌานสมาบัติถึงจตุตถฌาน) บริสุทธิ์ผ่องแผ่วไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่งาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ รู้อุบัติรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย และอาตมาภาพนั้นย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติและกำลังอุบัติ เลว ปราณีต มีผิวพรรณดีมี ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์

คือ เห็นกฏแห่งกรรม ญาณที่สอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น คนไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธ พึงสำเหนียก รู้ตัวซะ ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรม กรรมชั่วติดตามเหมือนเกวียน ล้อเกวียนกระทบเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉันใดฉันนั้น แต่คนทำดีเหมือนมีเงาติดตามตัวไปทุกหนทุกแห่ง ให้ผลเป็นความเจริญสันติสุขในชีวิต กรรมชั่วหนัก กรรมดีเบา หรือเรียกว่าบุญ ก็คือธรรมชาติที่ชำระจิตใจให้ผ่องใส เพราะคนจะทำดีก็ด้วยจิตใจที่มันผ่องใสนั่นแหละ ผ่องใสจากกิเลส ใช่ไหม

นี่ ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูก่อนราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สองที่อาตมาภาพได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี (คือ ในยามกลางแห่งราตรี) อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่อาตมาภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว แลอยู่ (ก็คือว่า ดำเนินไปอย่างนั้น)

ในยามปลายแห่งราตรี อาตมาภาพนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ (นี่เจริญฌานสมาบัติขั้นที่ ๔ อีกครั้งหนึ่ง) บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่งาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวอยู่อย่างนั้น ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ได้รู้ชัดความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ เหล่านี้อาสวสมุทัย เหล่านี้อาสวนิโรธ เหล่านี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา

เอาล่ะ ตรงนี้คือ เห็นแจ้งในอริยสัจตามความเป็นจริง โดยญาณสาม สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ดังได้กล่าวมาแล้ว และก็รู้เหตุแห่งทุกข์ นั่นคือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน กิเลสตกตะกอนนอนเนื่องในจิตสันดานอย่างไร ที่ไหน ตรงนี้นะ ผู้เจริญภาวนาถูกส่วนจะรู้จะเห็นได้ ตามรอยบาทพระพุทธองค์ จะรู้เห็นอย่างนี้ได้

(บางคนชอบตำหนิสมถะ) ทรงใช้อยู่แล้ว คุณไปตำหนิก็เท่ากับคุณเอาน้ำร้อนสาดหน้าตัวเอง เป็นกรรมนะ

เมื่ออาตมาภาพนั้นรู้เห็นอย่างนี้จิตก็หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็มีญาณหยั่งรู้ ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูก่อนราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สาม ที่อาตมาได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมาภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว แลอยู่.

นี่ พระพุทธเจ้าท่านยังเจริญภาวนาสมาธิ นี่อาการตรัสรู้เลย แล้วใครปฏิเสธสมาธิคุณเป็นอะไร คุณเป็นอะไร คุณจะละเว้น แล้วมาตำหนิสมาธิน่ะ ถ้าใครตำหนิสมาธิน่ะ คุณเป็นอะไร.

______________

เทศนาธรรมจาก

พระเทพญาณมงคล

หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล

วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

อ.ดำเนินสะดวก

จ.ราชบุรี

_______________

ที่มาจากเทศนาธรรมเรื่อง “ปฏิบัติให้เข้าถึง”

_______________

เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.

แชร์เลย

Comments

comments

Share: