ประสบการณ์อานุภาพ พระคำข้าว, พระหางหมาก

พระคำข้าว,พระหางหมาก

เกร็ดความรู้บางอย่างที่หลวงพ่อพูดถึงเกี่ยวกับ “พระคำข้าว”

(คัดลอกจากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๙ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

โพสต์โดย : ศ.ธรรมทัสสี : (868,  8686676,  ลุง.ศ)

หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถ วัดท่าซุง

“…อันดับแรกที่เราจะทำอะไรทั้งหมด ตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นึกถึงด้วยความเคารพ เพื่อหวังพระนิพพานก็ตาม นึกถึงเพื่อขอลาภสักการะก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้าเหมือนกัน อันดับแรกนะ..อย่างมี “พระคำข้าว”

พระคำข้าวน่ะ..หนักไปในทาง ลาภสักการะ อย่างอื่นก็มีหมด แต่ลาภน่ะหนักมาก และก็หยิบขึ้นมาพนมมือ..สาธุ ว่า..”นะโม ตัสสะ” ใช่ไหม..ว่า “นะโม ตัสสะ” ด้วยความเคารพ และอธิฐานว่าวันนี้ต้องการ… (ลาภอย่างไร)

เป็นอันว่า เราอยากจะให้ค้าขายดี ทำราชการดี เมตตาปราณี อะไรก็ตามเถอะ ก็อย่าลืมว่าเวลานั้นเรานึกถึงพระพุทธเจ้า เราขอบารมีจากท่าน อย่างนี้ถือว่าเป็น “ฌาน” ใน “พุทธานุสติกรรมฐาน” ถ้านึกถึงทุกวันน่ะ ถ้าถึงเวลาแล้วต้องทำอย่างนั้นทุกวัน ถ้าไม่ทำแล้วไม่สบายใจ นั่นเป็น “ฌาน” ใน “พุทธานุสติ” เป็นของง่าย ๆ เพราะวันนี้ท่านบอกให้พูดง่าย ๆ ใช้วิธีง่าย ๆ นะ ก็ว่าตามท่าน

ทีนี้เมื่อเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัท นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว อย่าลืมพระที่คอ นี่คือพระพุทธเจ้า อย่าง พระคำข้าว เป็นพระพุทธชินราช อย่าลืมน่ะ คือก็เหมือนกับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งนั่นแหละ เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าท่าน และเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็มาทำ อันนี้ไม่ได้โฆษณานะ พูดให้ฟัง..!

คือเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าทุกองค์เสด็จมาหมด องค์ปฐม เป็นประธาน อยู่ข้างบนใช่ไหม และ องค์ปัจจุบันคุมฉัน ท่านปล่อยกระแสจิตพุ่งสว่างเป็นลำพุ่งมาที่ใจฉัน แล้วบอกเธอนั่งนิ่งๆ อย่าคิดถึงเรื่องอะไรทั้งหมด ห้ามดูอะไรทั้งหมด ให้ทรงอารมณ์เฉยๆ ๑๐ นาที ก็ทำตามท่าน

แล้วท่านก็สั่งว่า ให้ว่า อิติปิโสฯ หลัง ๑๐ นาทีแล้ว ท่านบอกดูได้ พุ่งใจไปที่ของได้ พอพุ่งใจไปที่ของ ที่เห็นเป็นลำ ไม่เห็นของที่ปลุกเลย แสงพระพุทธเจ้ากลบหมด…หนามาก “พระคำข้าว” เด่นทางมหาลาภ มีรูปพระพุทธชินราช (พระพุทธกัสสป) ด้านหน้า และด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อ..”

 

หลวงพ่อปรารภวิธีทำผงสมเด็จพระคำข้าว

(จากหนังสือพ่อรักลูก) โดย ศ.ธรรมทัสสี

…ทำยากเหลือเกินนะ ต้องเสกข้าวถึง ๓ เดือน เลือกกับข้าวที่อร่อยจริง ๆ ในวันนั้น ท่านสั่ง เดี๋ยวนี้ไม่คำเดียวแล้ว ๕ ถ้วยแล้ว บอก ไม่จำเป็นต้องเคี้ยว คือว่าให้ตักข้าวมา ๕ ถ้วย ถ้วยแก้วนะ แล้วท่านชี้กับข้าว กับข้าวท่านชี้ของท่านเองนะ ไอ้นี่อร่อย ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วเสก เสกคาถายาวมาก กว่าฉันจะได้กินข้าวเพล พระเขาอิ่มแล้ว ต้องเสกเดี๋ยวนั้นอย่างนี้ ๓ เดือน แล้วก็ไปทำผง แล้วก็มาเสกใหญ่อีกครั้งนึง เข้าพุทธาภิเษก

พระรุ่นไหนก็เท่ากัน คนเสกคนเดียวกัน บางคนคุยบอกว่า รุ่นแรกหลวงพ่ออมจากปากคายมาเลย เคี้ยว ๆ หน่อยคายมาเลย ฉันเลยบอกพระถ้าใครเขาถามรุ่นหลังนะ บอก อมตั้งแต่เช้ายันเย็น (หัวเราะ) วานซืนมาบอกคาถาให้ ๔ ตัวให้อ่าน บอกอ่านไม่ออก ท่านเลยอ่านให้ฟัง บอกใช้เสกตอนเช้าตอนเย็น นี่หนักกว่าอีก รุ่น ๒ นี่หนัก เพิ่มคาถาให้

ปลุกพระนี่แสงไม่เหมือนกัน ถ้าปลุกแก้วเหมือนกันทุกครั้งนะ มาปลุก พระคำข้าว แสงหนาทึบขาว แสงขึ้นหนามาก แต่ พระหางหมาก นี่ แสงเหมือนกับดวงเทียน ดวงเทียนกับไฟฟ้าใหญ่ ๆ นะ แต่ละองค์สว่างมากไม่เหมือนกัน อานุภาพต่างกันและท่านก็บอกว่า พระหางหมาก นี่หนักในทางป้องกันและสู้…ก็ห้อย ๒ องค์ ตอนเสกต้องเต็มอัตรา คุมอยู่นี่ คุมเลย อารมณ์นี่พลาดนิดไม่ได้ ได้ผลเร็วเป็นอัศจรรย์

ที่บ้านคุณสมบูรณ์ หลวงพ่อปรารภวันปลุกเสกพระคำข้าว วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๓ คำขึ้นต้น…ศัตรูสลาย..ศัตรูพินาศ…โรคบรรลัย….ลาภ….เสกข้าว ๑๐ บทกว่า…เวลาเสกข้าวเห็นภาพพระพุทธเจ้าชัดอยู่ข้างหน้า ไม่งั้นวางข้าวไม่ได้แล้วตากแดด…

…เวลาปลุกเสก มีรัศมีสวยมาก และเป็นคลื่น ไม่เคยเห็นเลย รัศมีขึ้นแบบคลื่นน้ำ แต่ก่อนเป็นรัศมีแบบบาง ๆ พระอย่างอื่น ๆ ทำ ๑๐ ชั่วโมง ก็มากแล้ว นี่พระคำข้าวต้องทำ ๓ เดือน ต้องเห็นพระชัด แล้วว่าคาถา ๑๐ บทกว่า บอกวางได้ จึงต้องวางลง ไปที่อื่นต้องทำด้วยทุกวัน จะคอยเข้าพรรษา ไม่ใช่ว่าไปที่อื่นแล้วไม่เอาไม่ใช่นะ (๑๘ เมษายน ๒๕๓๓)

 

คัดลอกจากหนังสือ “ธัมมวิโมกข์” (ฉบับที่ ๑๔๕ หน้า ๖๓)

โดย:  ศ.ธรรมทัสสี

หลวงพ่อเคยบอกว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ได้ให้ พระพุทธกัสสป, พระพุทธทีปังกร คุมเรื่องลาภ

“…องค์ปฐมก็มา และพระพุทธกัสสปก็มา สมเด็จพระพุทธทีปังกรก็มา…องค์ปฐมท่านบอกว่า เรื่องลาภนะ สมเด็จพระพุทธกัสสป หนักที่สุด และรองลงมาคล้ายคลึงกันคือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร ก็เลยถามท่านว่า

“พระพุทธเจ้ามีบารมีเต็มเหมือนกัน ทำไมแตกต่างกันเรื่องลาภ”

ท่านบอกว่า “สุดแล้วแต่การเริ่มต้น คู่อันไหนแรงกว่ากัน”.. ท่านบอก “ให้พระพุทธกัสสปคุมเพราะลาภมาก” องค์ปฐมบอกว่า…”ลีลาต่างกันนิดหนึ่ง…

…สมเด็จพระพุทธทีปังกร : มีกำลังแข็งมากสู้แรงมาก

…พระพุทธกัสสป : ท่านนิ่มนวลในทางลาภมหาศาล

…แต่ลาภมหาศาลทั้งคู่ : ท่านก็เลยบอกว่าเป็นหน้าที่ของทั้ง ๒ องค์..”

 

ท่านพูดไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ในหนังสือ “ธัมมวิโมกข์”

(ฉบับที่ ๑๒๓ ประจำเดือนพฤษภาคม หน้า ๑๕)

โดย ศ.ธรรมทัสสี

…หลวงพ่อเคยบอกเกี่ยวกับราคาพระคำข้าวในอนาคตว่า อีก ๓๐ ปี พระคำข้าวจะมีค่าบูชาหลายหมื่น นี่ก็ผ่านมาแล้ว ๑๖ ปีครับ ก็ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ครับ…ท่านพูดไว้ดังนี้ครับ

หลวงพ่อ : “ก็ก่อนจะทำ (ทำพระคำข้าว) พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วให้ทำ บอกให้มันรวยทั้งวัดทั้งบ้าน คือว่าเอาไปขึ้นราคานิดหน่อยใชไหม ๑๐๐, ๒๐๐ ไม่หนักนัก อีก ๓๐ ปี หลายหมื่น…

ผู้ถาม : เฉพาะพระคำข้าวนี่หรือครับ ?

หลวงพ่อ : ใช่..ขอยืนยัน..!

อานุภาพพระคำข้าวมหาลาภ

(คัดลอกบางตอนจาก “หนังสือประวัติวัดท่าซุง” และหลวงพ่อพระราชหรหมยาน หน้า ๔๗
โดย พระบุญมา ปภาธโร เจ้าหน้าที่ธัมวิโมกข์ พิมพ์ สิงหาคม ๒๕๔๙)
โดย ศ.ธรรมทัสสี

“..มีเรื่องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ “ศูนย์ศิลปาชีพ” ท่านหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาร่วมอุปสมบทหมู่ถวายพระราชกุศลฯ ที่วัดท่าซุง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เจ้าหน้าที่ท่านนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภาคใต้ ญาติให้พระมาพกติดตัว ๑ องค์ เพราะความเป็นห่วงที่สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ

ปรากฏว่าก่อนเดินทางมาบวชประมาณ ๓ วัน ได้ถูกผู้ร้ายดักยิงจนรถมอเตอร์ไซด์ล้มลง เจ้าหน้าที่ท่านนี้คิดว่าตนเองคงต้องตายแน่ เพราะผู้ร้ายได้มายืนจ่อยิงอีกหลายนัด แต่ไม่เข้าเลยสักนัดเดียว ทำให้เกิดความมั่นใจและนึกด่าผู้ร้าย ปรากฏว่าหลังจากนึกด่า ถูกผู้ร้ายยิงซ้ำอีก ๑ นัด ลูกปืนทะลุเข้าฝังอยู่ใต้ผิวหนัง

ภายหลังแพทย์ได้ลงความเห็นว่าสามมารถเดินทางมาบวชก่อนได้เพราะไม่เป็นอันตราย หากผ่าตัดเอาลูกปืนออกจะต้องรักษาแผลหลายวัน เจ้าหน้าที่ท่านนี้เมื่อมาบวชที่วัดท่าซุง ได้เล่าเหตุการณ์ให้พระพี่เลี้ยงฟัง และได้นำพระที่ห่อกระดาศทิชชูพกอยู่เพียงองค์เดียวมาให้ดู จึงทราบว่าพระที่พกอยู่นั้นเป็น “พระคำข้าว” ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงนี้เอง..”

อานุภาพพระคำข้าว-พระหางหมาก บางอย่าง

โดย : ศ.ธรรมทัสสี

หลายครั้งที่ผมไปทำงานรีบๆ ขับรถไปถึงบริษัทแล้วเพิ่งนึกออกว่าลืมกระเป๋าสตางค์ จะขอยืมใครก็ไม่กล้าเพราะตำแหน่งเรามันไม่ควรยืม…และบังเอิญทุกครั้งนะครับ ต้องมีเหตุได้กินฟรี เจ้านาย พี่ๆ เพื่อนๆ ชวนไปทานข้าวมื้อใหญ่ๆ หรือ บางครั้งผู้บริหารชวนไปเลี้ยงรับรองลูกค้า หรือบางวันเพื่อนขี้ตืดบางคนเกิดอาการครึ้มๆ เลี้ยงเราเฉยเลย

จากที่สังเกตุ ถ้าเราเดินทางไปไหนแล้วลืมกระเป๋าสตางค์ หรือไม่มีเงินโดยเหตุผลใดก็ตาม รับรองไม่อดแน่นอน ไม่ต้องฟันธง ตั้งธงได้เลยไม่อดแน่ๆ

แต่เราจะต้องบูชา เช้า-เย็นด้วยความเคารพ จำภาพพระให้แม่นๆ ขึ้นใจครับ เมื่อเหตุฉุกละหุก ฉุกเฉิน นึกถึงท่านด้วยความเคารพขอบารมีให้ท่านช่วย คือขอบารมีท่านปกหัว ไม่ใช่เห็นท่านเป็นคนใช้นะครับ

เรื่องอานุภาพพระคำข้าว-พระหางหมาก ของคุณเกตุ

(คัดลอกบางตอน จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๒๖๖ )
โดย ศ.ธรรมทัสสี

 

เกล้ากระผม ได้บูชา “พระหากหมาก และ พระคำข้าว” ของหลวงพ่อ ไปเมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๕๓๔ จะเป็นวันเดือนใดจำไม่ได้ ได้เอาพระคำข้าว และพระหางหมาก และเหรียญของหลวงพ่อ มอบให้ลูกเขยคนเล็กชื่อ อนันต์ … อยู่บ้านเลขที่ ๑๘๒๐ ซอยสุขศรีเฉลิมพจน์ ถนนกรุงเทพ-นนท์ เขตดุสิต กรุงเทพฯ

แกเอาพระคำข้าวและพระหางหมาก เหรียญของหลวงพ่อติดตัวไป และวางไว้หน้ารถแท็กซี่ ในขณะขับไป บังเอิญเด็กวิ่งตัดหน้ารถ เบรกไม่ทัน รถแท็กซี่ได้ชนกับเด็ก กระเด็นไป ๔-๕ วา กระโปรงหน้ารถยนต์ฉีก และได้อุ้มเอาเด็กขึ้นรถไปโรงพยาบาล ขอให้แพทย์ช่วยตรวจ และเอ็กเรย์ให้ ปรากฏว่าหมอบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จะฟกช้ำดำเขียว ถลอกก็ไม่มี

นี่เป็นที่น่าอัศจรรย์รถชนขนาดนี้ไม่มีเหลือสักราย หรือมิฉะนั้นก็ป่วยหนักเสียสุขภาพ นี่กลับไม่เป็นอะไรเลย ก็เพราะบุญของหลวงพ่อได้คุ้มครองป้องกัน และเมื่อให้หมอตรวจดูปลอดภัยแล้ว ลูกเขยก็นำขึ้นรถกลับบ้าน และมอบเงินบำรุงขวัญ ๒,๐๐๐ บาท (สองพันบาทถ้วน) แจ้งให้ผู้ปกครองทราบ และก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทั้งนี้เพราะอำนาจศักดิ์ของพระคำข้าว และพระหางหมาก และเหรียญหลวงพ่อคุ้มครอง

 

เรื่อง อานุภาพพระคำข้าว – พระหางหมาก ของคุณเพียร…

(คัดลอกจากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๔๑๘-๔๑๘)
โดย : ศ.ธรรมทัสสี

..เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ ก็ได้เดินทางไปทำงานอยู่ที่ประเทศบาห์เรน ต้นปี ๒๕๓๔ ก็เกิดมีสงครามในอ่าวเปอร์เซีย แต่ก่อนที่จะทำสงคราม ก็รู้ล่วงหน้าว่า กองทัพอเมริกันต้องบอมบ์ซัดดัมแน่ คนไทยในบารห์เรนกลับกันเยอะ ชาวต่างชาติก็หนีกลับบ้านเมืองของตนเองเกือบหมด ข้าพเจ้าอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ เขาลือกันว่าบาห์เรนจะต้องจมทะเล ถ้าอิรัคเข้ายึกซาอุฯ ได้

เพราะว่าบาห์เรนเป็นเกาะเล็กๆ และมีทางออกทางเดียวคือทางที่จะไปซาอุฯ คือระหว่างประเทศบาห์เรนกับซาอุฯ นี้ จะมีสะพานในทะเล เชื่อมถึงกันยาวกี่กิโลข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ว่านั่งรถไปใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ก็ถึงเขตของประเทศซาอุฯ และช่วงสงครามนั้น สนามบินก็ปิด

ข้าพเจ้ามาอยู่ที่บาห์เรน ก็ไม่ได้ทิ้งกรรมฐานที่หลวงพ่อสอนไว้ และข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นไปถามสมเด็จว่า ข้าพเจ้าจะได้รับภัยจากสงครามครั้งนี้ไหม พระองค์ท่านก็ตอบว่าไม่มี แต่ข้าพเจ้ายังมีกิเลสอยู่มาก ก็อดสงสัยไม่ได้

ข้าพเจ้าก็เลยอธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อว่า ถ้าลูกจะได้รับอันตรายจากภัยสงครามครั้งนี้ ก็ขอให้หลวงพ่อดลใจให้ลูกคิดอยากจะกลับบ้านด้วยเถิด ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้สึกกลัวภัยสงคราม และไม่อยากกลับบ้านเลย

พออธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อแล้ว ก็มีความรู้สึกเหมือนเดิมคือไม่อยากกลับบ้าน ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้กลับ ในระหว่างสงครามทุกคืน จะมีสัญญานหวอเตือนภัยดังขึ้น เวลาที่หวอดังนั้นก็ไม่เป็นเวลาคือบางทีก็หัวค่ำ บางทีก็สี่ห้าทุ่ม บางครั้งตอนกลางวันก็ยังมี ประชาชนที่เดินอยู่ตามถนน เมื่อได้ยินเสียงหวอดังขึ้น ทุกคนจะพยายามวิ่งหาที่หลบ ที่คิดว่าปลอดภัย

โดยทางรัฐบาลบาห์เรนเขาได้สอนให้ประชาชนทุกคน รู้ถึงวิธีป้องกันตัวอย่างไร จึงจะพ้นจากสารพิษที่อิรัคจะยิงมา ทุกคนกลัวกันมาก เรื่องสารพิษ แต่พวกลูกๆ ของหลวงพ่อไม่กลัวกันเลย เพราะลูกๆ ของหลวงพ่อทุกคน มี พระหางหมาก ติดตัวกันทุกคน และเมื่อฝ่ายอิรัคยิงระเบิดมาซาอุฯ หรือบาห์เรนเมื่อใด ก็จะมีเสียงหวอเตือนภัยให้ประชาชนได้ทราบ

ข้าพเจ้าคิดแต่เพียงว่า ถึงคราวที่จะต้องตาย ไม่มีใครช่วยข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะตายทุกเวลา แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวตายแล้ว องค์หลวงพ่อช่วยข้าพเจ้าได้แน่ ข้าพเจ้าก็เกิดความอบอุ่นใจไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย

อีกทั้งข้าพเจ้าเคยได้ยินหลวงพ่อพูดว่า อิทธิฤทธิ์ใดๆ ก็ไม่เท่าอิทธิฤทธิ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้ายึด “พุทโธ” เป็นที่พึ่ง ถ้าจะตายก็ตายพร้อมพุทโธ กลางวันเขาก็ทำสงครามกันภาคพื้นดิน กลางคืนเขาก็ทำสงครามกันทางอากาศ

ฝ่ายอิรัคเขาก็ยิงมาที ๒-๓ ลูก หวังจะบอมพ์บาห์เรน แต่ก็ถูกทหารอเมริกันยิงสกัดเอาไว้ได้ ลูกระเบิดก็จะระเบิดกลางอากาศ แล้วก็กระจายตกทะเลไปหมด แต่ก็มีบางครั้ง ที่อิรัคยิงมาหลายลูก ทางทหารอเมริกันสกัดได้ไม่หมด ก็ลงบาห์เรน แต่ไปลงในทะเลทราย

พอสงครามสงบลงบาห์เรนปลอดภัยไม่เป็นอะไร ข้าพเจ้าคิดว่าช่วงสงครามสองเดือนกว่าๆ นั้น บาห์เรนไม่น่าจะรอดมาได้ แต่ด้วย อานุภาพ พระคำข้าว – พระหางหมาก และองค์หลวงพ่อ บาห์เรนถึงปลอดภัยมาได้ เพราะลูกหลานอยู่ที่บาห์เรนมีไว้บูชากันทุกคน ยิ่งช่วงสงครามพากันปลุกพระทุกวัน คนที่ไม่เคยปลุกพระก็ปลุกพระเป็นไปกับเขาด้วย และก็ไม่มีใครทุกข์ใจเกี่ยวกับภัยสงครามเลย

หมายเหตุ : เรื่องนี้ 868 เห็นว่าสิ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าใครอยู่ในภาวะสงครามเช่นนี้ ปกติสภาพจิตใจจะหวั่นไหวหวาดกลัวมาก (มันไม่สนุกเหมือนในหนังนะครับ) การที่ท่านสามารถ ทำใจนิ่งไม่ทุกข์ใจได้นี่ แสดงว่ามั่นคงจริงๆ ครับ ไม่ธรรมดาเลย

อีกอย่างการตัดสินใจว่า “ขอตายพร้อมพุทโธ” หรือ “เมื่อถึงคราวตายก็จะต้องตายไม่มีใครช่วยข้าพเจ้าได้” และการยึดมั่นในพระเครื่องอย่างมั่นคงเมื่อเกิดภัยอันตราย อันนี้ผมคิดว่าคือสิ่งหลวงพ่อต้องการให้เกิดกับลูกหลานครับ

 

อานุภาพพระมหาลาภคำข้าว

(คุณสมศรี … ลูกศิษย์บันทึก ๓ /๕๗๕)
โดย : ศ.ธรรมทัสสี

เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๔ หลังจากข้าพเจ้าเปิดร้านแห่งใหม่ที่ท่าพระ ได้ไม่ถึงเดือน ก็รู้จักเซลส์แมน ของบริษัทขายเสาอากาศคนหนึ่ง คนนี้ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยห้อยพระที่คอเลย เป็นคนไม่ค่อยได้มาทางธรรม แต่พอพูดคุยกับข้าพเจ้า ก็รู้สึกชอบพระที่ห้อยคออยู่ (หลวงพ่อมหาลาภคำข้าวปิดทองอย่างหนาทั้งองค์เลี่ยมทองคำอย่างดี)เขาถาม

ข้าพเจ้าก็เลยได้บรรยายสรรพคุณของ “พระมหาลาภ” รวมทั้งยกตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านเล่าบ้าง ที่ลงธัมวิโมกข์บ้าง ตอนจะกลับ เขาก็ขอพระมหาลาภไปหนึ่งองค์ ข้าพเจ้าก็ได้ให้เลือกไปเองหนึ่งองค์ (ตอนเปิดร้านใหม่ ข้าพเจ้าทำกล่องบรรจุพระมหาลาภไว้แจก เป็นของขัวญแก่ทุกท่านที่มาร่วมงาน มีบางคนมาขอซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายองค์) เขาบอกว่านี่เป็นพระองค์แรกที่จะเลี่ยมห้อยคอ

อีกหนึ่งเดือนต่อมา เขาก็มาหาอีก คราวนี้ข้าพเจ้ากำลังยุ่งอยู่ เขาก็ขอเวลานอก ๒-๓ นาที เขาเล่าเรื่องให้ฟังว่า พอได้พระก็รีบไปเลี่ยมมาห้อยคอทันที พร้อมทั้งโชว์ให้ดูอีกด้วย พอห้อยพระได้ ๒-๓ วันก็เกิดเรื่อง

คือเขาขี่มอเตอร์ไซด์ไปถนนวิภาวดีรังสิต ถึงหน้าโรงเรียนตำรวจสอนสุนัข ก็มีรถเก๋งโตโยต้าวิ่งตัดหน้า ตนเองต้องหักหลบ รถคว่ำหลายตลบ ตนเองลอยละลิ่วไถลไปบนพื้นถนน กางเกงขาดหมด ผู้คนหวีดร้องลั่นไปหมด เขาคิดว่าไม่รอดแน่ๆ ไม่หัวโหม่งพื้นก็ถูกรถแล่นทับตายแน่ๆ

ปรากฏว่ารถเก๋งวอลโว่ เบรคตัวโกร่งพราะวิ่งมาด้วยความเร็วสูง มาจอดตรงหน้า โดยกันชนรถห่างหน้าเขาแค่คืบเดียวเท่านั้น เขาบอกว่ารอดตายคราวนี้ เพราะหลวงพ่อ “สมเด็จพระมหาลาภคำข้าว” แท้ๆ ส่วนแผลที่ขาเมื่อซื้อยามาทาไม่กี่วันก็หาย

อุบัติเหตุคราวนี้ได้เงินมา ๓๐๐ บาท จากคนขับรถวอลโว่ เพราะเขาไม่มีสตางค์เป็นแค่ลูกจ้าง (คนขับรถเท่านั้น) อีก ๒๐๐ บาทต้องเอาไปจ่ายค่าปรับ เนื่องจากจอดรถผิดที่ในที่ห้ามจอดของโรงพัก (ตนเองบาดเจ็บ รถก็ไม่ค่อยสมบูรณ์ จากอุบัติเหตุ) เหลืออีก ๑๐๐ บาท คนขับรถวอลโว่บอกให้ไปซื้อยามาทาบาดแผลก็แล้วกัน แต่ร้อยเวรบอกว่า อย่าเลยเอาไปซื้อสังฆทานถวายพระ เพื่อสะเดาะเคราะห์ดีกว่า เพราะคุณน่ะมีเคราะห์ร้ายจริงๆ …!

ส่วนคนอื่นๆ ก็มีอีกมาก บางคนก็คล้ายๆ บุคคลอื่น ที่เคยลงในธัมวิโมกข์แล้ว สำหรับข้าพเจ้าเอง มีผลมากมาย จากร้านเดิมที่เยาวราชก็ขยายมาเปิดสาขาใหม่ที่ท่าพระ ทั้งๆ ที่ไม่ทุน แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลต่างๆ และเป็นผู้ใหญ่ในธนาคาร เมื่อมีปัญหาการเงินหลวงพ่อท่านก็ช่วยให้รอดพ้นทุกครั้ง มีปัญหาเรื่องบุคลากร หรือคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับงาน ก็ผ่านไปด้วยดีทุกอย่าง

ปัจจุบันข้าพเจ้ามีความสุข จากการได้ทำบุญกับหลวงพ่อทุกเดือน ข้าพเจ้าและครอบครัว ใส่บาตรวิระทะโยทุกวัน ชีวิตทั้งทางโลกทางธรรมดีขึ้นมาก ทุกคนในครอบครัวมีความสุข ความเจริญ เนื่องจากพระพุทธบารมี พระธรรมบารมี และพระอริยสงฆ์บารมีพรหมทั้งปวง มีหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นที่สุด…สาธุ..!

 

อานุภาพการบูชา พระองค์ปฐม พระคำข้าว พระหางหมาก ลูกแก้ว พระคาถาโน้มจิต

โดย : ศ.ธรรมทัสสี

ก่อนที่จะเล่าตัวอย่างประสบการณ์โดยตรง ผมขอสรุปผลจากประสบการณ์ เกี่ยวกับการพูด ในการบูชาดังนี้

๑. พระกริ่งสมเด็จองค์ปฐม ทำให้เกิดความมั่นใจมาก อาจหาญ สง่าผ่าเผย ไม่มีอาการประม่าตื่นเต้นมาก (จนควบคุมไม่ได้ และไม่มีเลย) มีความรู้สึกว่าเรายิ่งใหญ่ เป็นผู้นำ …ต้องอาราธนาขอให้ท่านคลุมบนศรีษะ หรือทั้งตัว เหมือนตอนที่ครูแนะนำมโนมยิทธิ จนเกิดอาการ สั่น ศรีษะมึน และตัวหนัก ร้อนผ่าววูบวาบ ร่างกายเหมือนถูกคลุม หรือเหมือนมีพระนั่งคลุมบนศรีษะ หรือจับเป็นภาพนิมิตให้เห็นชัด (เท่าที่ทำได้)

๒. พระหางหมาก ทำให้การพูดคล่อง ปราดเปรื่อง มีปฏิภาณไหวพริบในการโต้ตอบ หลายครั้งก็ งง ว่าเราพูดได้อย่างไร จะไม่ลืมเรื่องที่เตรียมพูด สมองไม่ว่างเปล่าในระหว่างพูด ไม่ช๊อคเวลาพูดนาน ๆ …อาการจากการอาราธนาก็เหมือนข้อ ๑ แต่จะเบากว่ามาก

๓. พระคำข้าว ได้ลาภแบบเกินคาด แบบงง ๆ เช่น เราขอบารมีพระหางหมากเพื่อเจรจางาน แล้วต่อด้วยขอบารมีพระคำข้าวเจรจาเงินค่าตอบแทน หลายครั้งครับที่ เราตั้งใจจะกำหนดจำนวนเงินเท่านี้ ไว้ในใจ หรือเสนอน้อยไปเขากลับชิงเป็นฝ่ายเสนอก่อน หรือให้เพิ่มเป็นจำจวนเงินสูงกว่าอย่างคาดไม่ถึงแบบเรางง ๆ เราเลยเต็มใจรับที่มากกว่าครับ (แต่อย่าแกล้งโมเมขอเพิ่มขึ้นต่อจากที่เขาเสนอมามากกว่านะครับ เดี๋ยวลาภหายหมด) การขอบารมีก็ เหมือนข้อ ๑ แต่จะเบานุ่มนวลกว่า

๔. ลูกแก้ว มีลาภแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามเหตุตามผล คล้าย ๆ หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแน่นอน แต่จะไม่เป็นศูนย์ การจัดงานบุญ งานเลี้ยงที่มีคนจำนวนมากจะคล่องตัวอย่างคาดไม่ถึง (หลวงพ่อบอกว่ามีผลเลี้ยงคนจำนวนมากได้) ..ส่วนการรักษาโรคนี่ผมเคยเป็นโรคบิด กินยาหมออย่างดีเป็นเดือน ๆ ไม่หายเลยถึงขนาดแค่มองเห็นเม็ดยา หรือซองยานี่อาเจียรเลย…ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยนำเอาลูกแก้วหลวงพ่อมาขอบารมีทำน้ำมนต์ และหายเป็นปลิดทิ้งในหนึ่งวันนี่เรื่องจริงครับ (เกิดขึ้นมาเกือบ ๓๐ ปีแล้ว)

๕. พระคาถา “จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ” ใช้ภาวนาก่อนพูด ระหว่างพูดได้ผลดีมากครับ แต่อาจจะมั่นใจน้อยกว่าพระหางหมาก

 

กรณี ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง…

ช่วงปี ๓๖ ช่วงนั้นผม..เป็นที่กลัวไมค์มาก กลัวการพูดในที่ชุมชน กลัวการนำเสนองานในที่ประชุม มีบ่อยครั้งที่ผมแอบหลบ หรือหาเรื่องหนีงานเพื่อหลีกเลี่ยงการพูด เพราะผมเป็นคนที่ประหม่า ตื่นเต้นชนิดรุนแรง คือมือเย็นเฉี๊ยบ หัวเต้นแรงชนิดได้ยินเสียงเลย ตัวสั่นแรงมาก คอแห้ง ปากสั่น อาการท้องป่วนปั่น ท้องเสีย ปวดปัสสาวะ จะเป็นลมให้ได้…(ความตื่นเต้นมี ๓ ระดับ แต่มีระดับหนึ่งที่รุนแรงจนเป็นอุปสรรคในการพูดคือที่เกิดกับผมเป็นสมบัติติดตัวครับ)

นี่แหละครับ..คืออุปสรรคในความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานมานาน จนเพื่อนแซงหน้าไปหลายคน ถึงแม้ผมจะพยายามไปเข้าโปรแกรมอบรมการพูดที่ชุมชนหลายครั้ง และซื้อตำราเกี่ยวกับการพูดมาอ่านเป็นตั้งๆ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย…คือมันกล้วจริง ๆ นะครับ

ต่อมาโดยเงื่อนไขของความก้าวหน้า ถูกบีบจนหลีกเลี่ยงการพูดไม่ได้ และเมื่อต้องขึ้นพูดจริงๆ คิดว่างานนี้เราคงตายแน่แล้ว ไม่รู้จะทำยังไงดีก็เลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าตายเป็นตาย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าไม่สำเร็จก็เตรียมหางานใหม่ดีกว่า..งานนี้ผมมีเวลาเตรียมตัวเพียง ๑ สัปดาห์

โอ้โห.. ๗ วันนี่มันช่างแสนทรมานสุด ๆ ไม่มีอารมณ์คุยกับลูกเมียเลย มือมันเย็น อึดอัด ตื่นเต้นตลอด รู้สึกโลกมันไม่สดใสเอาเสียเลย ที่เราอบรมมาก็ดี ตำราการพูดก็ดีช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำท่าจะหาเรื่องป่วยในวันพูด แต่มันก็ทำบ่อยแล้วนี่ ก็เลยนึกถึงหลวงพ่อ พระหลวงพ่อ ทั้งพระกริ่งองค์ปฐม พระหางหมาก…พอขอบารมีพระมาช่วยค่อยดีขึ้นหน่อย รู้สึกว่าจิตจะผูกพันกับพระทั้ง ๓ องค์เป็นพิเศษเพราะไม่มีที่พึ่งแล้ว

ต่อมาก็ถึงวันที่จะต้องขึ้นเวทีพูด วันนี้เหมือนจะถูกประหารชีวิตเลย โลกไม่สดใสเอาเสียเลย ความทุกข์เต็มหัวใจไปหมด..ยิ่งไปถึงห้องที่จะบรรยายเห็นห้องเขาจัดไว้หรู ๆ เห็นคนฟังที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่งตัวดี ๆ นั่งรอเต็มห้องเพื่อฟังเรา ยิ่งตื่นเต้นหนักขึ้น ดูหน้าทุกคนเขาก็ปกติดี (เพราะเขาไม่ใช่คนพูดนี่ครับ)

เขาเชิญให้เรานั่งโซฟาสำหรับวิทยากร เขาต้อนรับเราดีมาก แล้วเจ้าภาพเขาก็ชวนเราสนทนาตามปกติ แต่เราพูดกระท่อนกระแท่น หายใจไม่ค่อยทั่วท้อง เจ้าภาพทำท่า งง ๆ เขาเชิญเราดื่มน้ำเราก็ไม่กล้าดื่ม เพราะกลัวน้ำหกมือมันสั่นมากครับ ไม่กล้าจับอะไรเลยเพราะมันสั่นไปหมด ท้องใส้นี่ปั่นป่วน มือเย็นมาก

คิดว่าเราจะทำอย่างไรดี จะหนีคงไม่รอดแน่ หวังพึ่งเจ้านายให้ช่วยพูดนำร่องเพื่อให้เราเครื่องร้อนก่อนพูด เจ้านายก็ (เสือกมีงานด่วน) หนีเราไปปล่อยให้เรานี่เดียวดาย ลืมนึกไปว่าเรามีพระติดตัว โดยเฉพาะพระหางหมากนี่พกไปครั้งละหลายองค์ (กะให้ท่านช่วยกัน)

ในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าห้องน้ำ (หวังอ้างว่าท้องเสียกระทันหันนั่งนานๆ ยาวไปเลย) พอเข้าห้องน้ำก็นึกถึงพระขึ้นมาได้ ตอนนี่ก็รีบปลุกพระใหญ่เลยต่อ เริ่มต้นจับภาพพระกริ่ง สมเด็จองค์ปฐม (รู้สึกภาพจะชัดกว่าทุกครั้ง) เพราะไม่มีที่พึ่ง พร้อมกับอาราธนาขอบารมีว่า คาถา “อิทธิฤทธิ…”

จนเกิดอาการสั่นทั้งตัว รู้สึกหนัก และมึนที่ศรีษะ ความรู้สึกคล้าย ๆ มีคนมาคุม และคลุม ตัวร้อนผ่าว (มือที่เย็นก็หายไป) การหายใจปกติขึ้น ที่หน้าเหมือนมีใครมาจับหน้าบิดเบี้ยวคล้ายคนแก่..ก็มั่นใจว่าเป็นบารมีองค์ปฐมแน่นนอน เลยไม่ตื่นเต้นมาก

หลังจากนั้นก็อาราธนา พระหางหมาก ก็เกิดอาการเหมือนกัน แต่เบากว่า ต่อด้วย พระคำข้าว แต่อาการนุ่มนวลกว่า จากนั้นก็พอดีก็มีคนมาเรียกว่า ได้เวลาพูดแล้ว ก็เลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าตายเป็นตาย เดินขึ้นเวที รู้สึกมั่นใจ อาจหาญ บอกไม่ถูก ไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย

และวันนั้นพูดได้ดีมากครับ คนนี่ฮาตลอด เสียงปรบมือเป็นระยะ ๆ ผมก็รู้สึก งง ๆ ตัวเองมากว่าเป็นไปได้อย่างไร มั่นพูดชัดถ้อยชัดคำ พรั่งพรูมาก บางอย่างเราไม่ได้เตรียมก็มีความคิดแว๊บมาเร็วมาก ไม่มีการหยุดชะงักเลย..

หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหาร เงินเดือนเพิ่มขึ้น และได้รับผิดชอบดูแลหน่วยงานฝึกอบรมทั้งหมด (ทั่วเครือข่ายทั้วประเทศ) ได้มีโอกาสรับเชิญสอนการพูดบ่อยมาก ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษา และเป็นวิทยากรประจำบริษัทจัดอบรมบริษัทหนึ่ง ปัจจุบันผมจะบูชาติดตัวทั้ง ๓ องค์นี้ตลอดครับ แต่ถ้าลืมก็นักจำเอานะครับ..แล้วก็อาราธนาขอบารมี….

 

อานุภาพ “พระหางหมาก – ลูกแก้ว” ช่วยสร้างพระประธาน และสร้างศาลา

โดย : ศ.ธรรมทัสสี

 

ช่วงปี ๒๕๓๒ พวกเราได้ตั้งคณะปฏิบัติธรรมสายหลวงพ่อ เพื่อแบ่งเบาภาระงานสงเคราะห์ของหลวงพ่อ (ทำกันเองครับหลวงพ่อไม่ทราบ ไม่สั่ง แต่ด้วยจิตสำนึก) คณะเราได้สร้าง “พระประธาน” องค์แรก ขนาดหน้าตัก ๕๐ นิ้ว ปิดทอง พร้อมฐานชุกชีประดับกระจกสี อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุเขาน้อย จ.น่าน แต่เนื่องจากไม่มีที่ประดิษฐานองค์พระ จึงจำเป็นต้องสร้างศาลาเอนกประสงค์ ชื่อ “ศาลานวรัตน์ประชาชาอุปถัมถ์” เพื่อประดิษฐานองค์พระ

ปัญหาหลักคือไม่มีเงินคือเริ่มที่ศูนย์ (มีแต่กำลังใจ) ทั้งสร้างพระ และศาลา มูลค่าหลายแสน ผมจึงใช้ “คาถาเงินล้าน” ควบคู่กับ “ลูกแก้ว-พระหางหมาก” (ไม่ทราบว่าเพื่อนร่วมคณะใช้หรือเปล่า) งง..มากครับเงินนี่ไม่รู้มาได้อย่างไร มีคนบริจาคเงินก้อนโตๆ อย่างไม่คาดฝัน (เราไม่หักแม้แต่ค่าน้ำแข็งเปล่า) มีจ่ายค่าพระ ค่าฐานชุกชี และจ่ายค่าศาลาได้ทันเป็นงวด ๆ

ทีนี้เมื่อศาลาเสร็จเราจัดพิธีฉลองใหญ่มาก ดังระดับจังหวัดทีเดียว โดยท่านเจ้าอาวาส “วัดมิ่งเมือง” ท่านให้การสงเคราะห์เป็นพิเศษ ท่านช่วยเหลือได้มาก เพราะท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด..เชิญพระสงฆ์ทั้งจังหวัด (บางวัดก็ส่งตัวแทน) ข้าราชการ ครู นักเรียน (รำต้อนรับตั้งแต่ในตัวจังหวัดเลย แห่คณะเรา จากโรงแรมเทวราชมาที่วัดพระธาตุเขาน้อย (อันนี้ก็ไม่ได้คาดฝันเหมือนกัน เพราะมันเกินที่กำหนด)

ผมได้อัญเชิญ “พระคำข้าวรุ่นแรก” และ “แก้วมณีสายรุ้งรุ่นแรก” ซึ่งมีอยู่องค์เดียว บรรจุไว้ที่ “พระเกตุ” พระประธาน เพื่อจะได้สงเคราะห์ชาวน่าน.. พอใกล้ถึงพิธีมอบพระประธาน และศาลาจะต้องชำระเงินงวดสุดท้ายด้วยปรากฎว่า (ถ้าจำไม่ผิด) ขาดเงินอยู่ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาทแสน ช่างพึ่งแจ้ง..!

คิดว่าหน้าแตกแน่งานนี้แขกเหรื่อก็มากมาย กรรมการทุกคนนี้เริ่มเครียด ความปิติที่มีในการทำบุญเริ่มคลายตัวแล้ว ผมเลยแอบหลบขอบารมี “พระหางหมาก -ลูกแก้วมณี” ที่บรรจุที่พระเกศให้ช่วยสงเคราะห์ ปรากฏว่าคุณหมอท่านหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่ในตัวเมืองน่าน (ซึ่งเป็นแพทย์เช่นกัน ไม่กล้าขึ้นมาร่วมงานเพราะแอบดื่มเบียร์) ว่าขอบริจาคเงินที่ขาดเพื่อปิดบัญชี ๒๐๐,๐๐๐ บาท โอ่โห..อานุภาพท่านจริง ๆ สาธุ..!!!

ที่วัดพระธาตุเขาน้อยนี้ คณะผมก็ได้สร้าง “พระองค์ปฐม” ชำระหนี้สงฆ์อีกองค์ครับ โดยสร้างที่วัดท่าซุง เป็นไฟเบอร์กลาสปิดทอง เป็นบล็อกเดียวกับองค์ปฐมครับ หลวงพี่สามารถ (ขณะนั้น) เป็นผู้สร้างครับ

อ้อ..เกือบลืมครับ ที่เล่าให้ฟังด้วยเจตนาบริสุทธิ์ตรง ๆ ครับ ต้องการให้พวกเราสมาชิกโมทนา เป็นกำลังใจครับ (ผมใช้พระคาถานี่กับตัวเอง จะคล่องตัวน้อยกว่างานสาธารณะ ซึ่งชัดเจนมากแบบ..งง ๆ)

หมายเหตุ : (พืมพ์เท่าที่นึกออก ความแม่นยำของข้อมูลบางอย่างอาจเลือนไปบ้างก็ได้ ต้องขออภัย ความจริงมีข้อมูลในเรื่องนี้มากกว่านี้เยอะ แต่เพื่อป้องกันความผิดเพี้ยนของข้อมูล จึงโพสเฉพาะด้านบน)

แชร์เลย

Comments

comments

Share: