ปู่ทองทิพย์ขี่พญานาคข้ามโขง
ก่อนที่หลวงปู่ทองทิพย์จะมาสร้างวัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร ท่านเดินทางข้ามโขงไปสปป.ลาวและธุดงค์ไปตลอดทางผจญภัยกับสัตว์ร้ายต่างๆพบกับอาถรรพ์สิ่งเร้นลับจนถึงดินแดนมิติอันลึกลับภูเขาควายและได้มีโอกาสพบพ่อปู่ฤาษีมาลัยโกฎิ (ปู่สิงห์) ได้ศึกษาเล่าเรียนสรรรพวิชาอันถือว่าสุดยอดในสรรพวิชาของพระเหนือโลก(เป็นวิชาของพระมหาโพธิสัตว์ที่มีบารมีเป็นปรมัตถ์) โดยแท้ จนสำเร็จจึงเดินทางกลับฝั่งไทย
ในครั้งนั้นคราวที่หลวงปู่ท่านข้ามแม่นำ้โขงมานั้น มีชายผู้หนึ่งที่มีบุญตาได้เห็นอภินิหารของท่านโดยบังเอิญ แกชื่อ”ตาแสง” และได้เล่าเรื่องราวนี้ให้หลานหลวงปู่ฟังว่า ในวันนั้นแกเดินมาเล่นที่ริมโขงสายตาทอดยาวไปข้างหน้า เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งอยู่บนผิวนำ้ระยะห่างประมาณสี่ห้าร้อยเมตรพอใกล้เข้ามาเรื่อยๆแกสังเกตุเห็นสิ่งที่พระรูปนั้นนั่งทับอยู่เหมือนงูแต่ใหญ่กว่าหลายเท่าขนาดลำตัวเท่ากับตุ่มแกว่างั้น สีดำเมื่อว่ายตัดผ่ากลางกระแสนำ้ที่ไหลเชี่ยวกรากมาก พอถึงฝั่งไทยพระรูปนั้นก้าวเท้าขึ้นฝั่ง งูใหญ่หรือที่แท้ก็คือ”พญานาค”ที่มาส่งเพิ้นก็ดำหายลงใต้น้ำโขง ส่วนพระรูปนั้นก็เดินหายเข้าป่าไป
สมัยนั้นมีแต่ป่าทั้งนั้นไม่มีบ้านเรือนมากมายเหมือนสมัยนี้ วันนั้นแกเก็บความสงสัยในใจว่าพระรูปนั้นมาจากไหนหนอ พอวันรุ่งขึ้นแกก็ออกเดินทางค้นหาเข้าป่าบริเวณที่พระรูปนั้นเดินหายเข้าไปจนแกเดินมาเรื่อยๆจนถึง “ดงพิพวย” (พิพวยคือผักชนิดหนึ่งปัจจุบันคือวัดป่าสีพระรามลักษณ์รัตนโคตร) แกก็เห็นพระรูปหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่แกก็รอจนพระภิกษุรูปนั้นออกจากสมาธิ จึงเข้าไปสอบถามพร้อมเล่าเรื่องราวที่ตัวเองประสบพบมาเมื่อวานให้ฟัง ว่ากำลังตามหาพระองค์นั้นอยู่ไม่ทราบว่าพระคุณเจ้าพอจะทราบไหม พระรูปนั้นก็ตอบตาแสงว่า “ก็เฮาเองแหละ”คำตอบของพระรูปนี้ทำให้ตาแสงแกแทบช็อก นิ่งไปพักหนึ่งพอแกได้สติแกก็กราบหลวงปู่ประหลกๆ พร้อมเกิดศรัทธาปสาทะได้สร้างกระต๊อบมุงหลังคาด้วยหญ้าแฝกถวายหลวงปู่ และนับแต่นั้นเป็นต้นมาแกก็แวะเวียนมาถวายจังหันหลวงปู่ไม่ขาด ถือว่าโยมแสงผู้นี้เป็นอุปฐากคนแรกภายหลังจากที่ปู่ข้ามจากลาวก็ว่าได้
จวบจนกระทั่งท่านมรณภาพตาแสงก็ไม่เข้ามาวัดป่าสีดาอีกเลย ปัจจุบันตาแสงอายุราว ๙๐ ปีหูไม่ค่อยจะได้ยินเวลาพูดต้องตะโกน อยู่บ้านสีกายติดริมโขง ตาแสงแกว่าในสมัยนั้นหากหลวงปู่ทองทิพย์จะแสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้องค์ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังแค่ไหนก็ย่อมได้สบายมาก ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ท่านเลือกใช้ชีวิตปฏิบัติแบบสมถะ เรียบง่ายไม่สนใจโลกธรรมแปด ท่านว่าใครมีบุญสัมพันธ์กับท่าน เดี๋ยวเขาก็เข้ามาเองแหละ ท่านได้ประพฤติปฎิบัติให้ลูกศิษย์ลูกหาได้เห็นดั่งคำที่ปู่พรำ่สอนเป็นอมตวาจาที่ว่า “ดีบ่อดัง ดังบ่อดี” ให้เห็นเป็นสัจจธรรมดั่งว่านั้นโดยแท้ ขอน้อมคารวะ”พระผู้เป็นดั่งมหาโพธิสัตว์เจ้าแห่งลุ่มนำ้โขง”…..สาธุเด๋อ….หลวงปู่