ชีวประวัติสังเขป พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำ
ชาติภูมิ
หลวงพ่อวัดปากน้ำ องค์ปฐมบรมครูแห่งวิชชาธรรมกายในยุคปัจจุบัน เดิมชื่อ สด นามสกุล มีแก้วน้อย ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2427 ตรงกับวันแรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก ฉศก จุลศักราช 1246 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ณ บ้านสองพี่น้อง ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่สองของนายเงินและนางสุดใจ มีแก้วน้อย มีพี่น้องร่วมมารดาบิดา 5 คน
การศึกษาเมื่อเยาว์วัย
ท่านเรียนหนังสือกับพระภิกษุน้าชายของท่าน ณ วัดสองพี่น้อง เมื่อพระภิกษุน้าชายลาสิกขาบทแล้ว ท่านก็ได้มาศึกษาอักษรสมัย ณ วัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ปรากฏว่าท่านเรียนได้ดีสมสมัย คือตั้งใจเรียนจริงๆ ไม่ยอมอยู่หลังใคร
การอาชีพ
เมื่อเสร็จการศึกษาแล้ว ออกจากวัดช่วยมารดาบิดาประกอบอาชีพเกี่ยวกับการค้าขาย โดยซื้อข้าวบรรทุกเรือล่องมาขายให้แก่โรงสีในกรุงเทพฯ บ้าง ที่นครชัยศรีบ้าง เมื่อสิ้นบุญบิดาแล้ว ได้รับหน้าที่ประกอบอาชีพสืบต่อมา เป็นคนรักงานและทำอะไรทำจริง ทั้งขยันขันแข็ง อาชีพการค้าจึงเจริญโดยลำดับ จนปรากฏในยุคนั้นว่า เป็นผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง
เมื่ออายุ 19 ปี ระหว่างที่ทำการค้าอยู่นั้น ความคิดอันประกอบด้วยความเบื่อหน่ายเกิดแก่ท่าน โดยเกิดธรรมสังเวชขึ้นในใจว่า “การหาเงินเลี้ยงชีพนั้นลำบาก บิดาของเราก็หามาอย่างนี้ ต่างไม่มีเวลาว่างกันทั้งนั้น ถ้าใครไม่รีบหาให้มั่งมี ก็เป็นคนชั้นต่ำ ไม่มีใครนับหน้าถือตา เข้าหมู่เพื่อนบ้านก็อับอาย ไม่เทียมหน้าเขา บุรพชนต้นสกุลก็ทำมาอย่างนี้เหมือนกัน จนถึงบิดาเราและตัวเราในบัดนี้ ก็คงทำอยู่อย่างนี้ ก็บัดนี้บุรพชนทั้งหลายได้ตายไปหมดแล้ว แม้เราก็จักตายเหมือนกัน เราจะมัวแสวงหาทรัพย์อยู่ทำไม ตายแล้วเอาไปไม่ได้ บวชดีกว่า” เมื่อได้โอกาส ท่านได้จุดธูปเทียนบูชาพระ อธิษฐานว่า “ขออย่าได้ตายเสียก่อนเลย ขอให้ได้บวชก่อน เมื่อบวชแล้วจะไม่ลาสิกขา ขอบวชไปจนตลอดชีวิต” ท่านบอกว่าเริ่มอธิษฐานมาตั้งแต่อายุ 19 ปี หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อตกลงใจบวชไม่สึกแล้ว จิตคิดเป็นห่วงมารดาเกิดขึ้น จึงขะมักเขม้นทำงานสะสมทรัพย์ เพื่อให้มารดาเลี้ยงชีพไปจนตลอดชีวิต
อุปสมบท
เดือนกรกฎาคม 2449 ต้นเดือน 8 ขณะมีอายุย่างเข้า 22 ปี ท่านได้อุปสมบท ณ วัดสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี มีฉายาว่า จนฺทสโร
พระอาจารย์ดี วัดประตูศาล อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และพระอาจารย์โหน่ง อินทสุวณโณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ คู่สวดทั้งสองรูปอยู่วัดเดียวกัน คือวัดสองพี่น้อง
เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านเริ่มปฏิบัติสมถวิปัสสนากับองค์อนุสาวนาจารย์นับแต่วันบวช เมื่อบวชแล้วพอรุ่งขึ้นอีกวัน หลวงพ่อก็เริ่มลงมือปฏิบัติพระกรรมฐานต่อกับพระอาจารย์เนียม วัดน้อย อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ได้จำพรรษาอยู่วัดสองพี่น้อง 1 พรรษา หลังจากออกพรรษาที่วัดสองพี่น้องแล้ว หลวงพ่อก็ได้เข้าพำนักประจำอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพื่อแสวงหาความรู้ให้แตกฉานกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งในด้านปริยัติและปฏิบัติ
สิบปีผ่านไปนับแต่หลวงพ่อเริ่มบวช ท่านมีความรู้ภาษาบาลีแตกฉานพอที่จะอ่านมหาสติปัฏฐานสูตรในคัมภีร์บาลีได้สมความตั้งใจแล้ว ท่านจึงวางธุระการศึกษาฝ่ายภาษาบาลีลง และใช้เวลากับวิปัสสนาธุระ เพื่อการเจริญพระกรรมฐานโดยเต็มที่
บรรลุธรรมกาย
ย่างเข้าพรรษาที่ 12 ของท่าน ประมาณปี พ.ศ.2460 เมื่อหลวงพ่อได้กำหนดใจที่จะปฏิบัติสมถวิปัสสนาอย่างเต็มที่แล้ว ท่านได้กราบลาเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม ธมฺมสโร) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ ไปจำพรรษาที่ 12 ณ วัดโบสถ์ (บน) บางคูเวียง ริมคลองบางกอกน้อย นนทบุรี อันเป็นสถานที่สงบวิเวก
ท่านได้อยู่ประจำ ณ พระอุโบสถวัดโบสถ์ บางคูเวียง และปฏิบัติธรรมตลอดเวลาที่อำนวย จากเช้าตลอดค่ำคืน ครั้นย่างกึ่งพรรษา ท่านก็ได้ตรึกนึกถึงความตั้งใจครั้งแรกเมื่อได้ขอบวชจนตลอดชีวิต เวลาก็ล่วงมาถึง 14 ปี บวชเป็นพรรษาที่ 12 แล้ว ท่านยังไม่บรรลุ ยังไม่เห็นธรรม ดังที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาท่านได้ทรงตรัสรู้และทรงเห็นเลย ท่านจึงเริ่มกำหนดใจว่า จะเจริญพระกรรมฐานโดยสุดกำลังในครั้งนี้ แม้จะตายระหว่างปฏิบัติพระกรรมฐานก็จะยอม ด้วยมีค่ามากกว่าตายก่อนบวช หรือไม่ได้ปฏิบัติภาวนาเลย
ท่านตั้งใจเด็ดขาดแล้วก็เข้าสู่พระอุโบสถวัดโบสถ์ บางคูเวียง แต่เย็นวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ตั้งสัจจาธิษฐานมั่นคงมอบกายถวายชีวิตเพื่อพระรัตนตรัยอันประเสริฐสุดว่า เมื่อนั่งลงแล้ว หากมิได้บรรลุธรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงเห็นทรงตรัสรู้แล้ว ก็จะไม่ขอลุกขึ้นจากที่อีกจนตลอดชีวิต เมื่อใจท่านตั้งมั่นแล้ว ก็เริ่มปรารภนั่ง และกราบทูลอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงโปรดประทานธรรมที่พระองค์ทรงเห็น ทรงตรัสรู้ แม้เพียงส่วนน้อยที่สุด ซึ่งแม้นหากการบรรลุธรรมนั้นแล้วจะเป็นโทษแก่พระศาสนา ก็ขออย่าได้ทรงประทานเถิด ท่านจะรับเป็นทนายแก้ต่างพระศาสนาต่อไปจนตลอดชีวิต
เมื่อได้อธิษฐานในยอมสละชีวิตเป็นพุทธบูชาแล้ว ท่านก็ขัดสมาธิเข้าที่นั่งเจริญภาวนาพระกรรมฐาน เวลาผ่านไปจนดึก ใจของท่านหยุดสงบนิ่ง ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ เข้ามารวมหยุดที่จุดเดียวกัน ณ ศูนย์กลางกาย ได้ส่วนพอดีแล้ว ท่านได้เห็น ดวงปฐมมรรค หรือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานอันเป็นดวงกลมโตใสบริสุทธิ์ ขนาดฟองไข่แดงของไก่ ที่ศูนย์กลางกาย ดวงยิ่งใสสว่างมากขึ้นและใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ สุกใสสว่างยิ่งนัก ได้เห็นดังนั้นแล้ว ท่านจำต้องตรึกว่า สมควรจะทำอย่างไรต่อไปอีก
ขณะนั้น ท่านได้มาถึงจุดแห่งการเริ่มค้นพบพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทางสายเอกสายเดียวสู่มรรคผลนิพพานแล้ว ในระหว่างที่ได้หยุดใจนิ่ง พิจารณาดวงปฐมมรรคนั้น ท่านใจบันดาลตรึกถึง มัชฌิมาปฏิปทาสายกลางขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา ที่ศูนย์กลางกลมใสสว่างนั้นปรากฏมีจุดเล็กเรืองแสงสว่างไสวยิ่งกว่า ท่านจึงได้เลือกดำเนินตามทางสายกลางและทุ่มความรู้สึกทั้งหมดเข้าไว้ในจุดศูนย์กลางดวงทันที จุดนั้นก็ขยายขึ้นมาแทนที่ดวงเดิมซึ่งหายไป ท่านจึงได้รวมความเห็น จำ คิด รู้ ดิ่งเข้าไปในกลางของกลางต่อไปอีก โดยอาการฉะนี้ ท่านก็ได้เห็นดวงเก่าหายไป มีดวงสุกใสยิ่งขึ้นหยุดจากศูนย์กลางกายนั้นขึ้นมาแทนที่ ประดุจฟองอากาศผุดจากน้ำขึ้นมาแทนที่กัน โดยต่อเนื่องไม่ขาดสายและยิ่งใสสว่างขึ้น
โดยการหยุดในหยุดและเข้ากลางของกลางนี้ ท่านก็ได้เห็นดวงต่างๆ และกายผุดขึ้นมาโดยต่อเนื่องกันคือเห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ และจึงเห็นกายมนุษย์ละเอียด ท่านเมื่อได้ทุ่มความรู้สึกเข้าไปในกลางของกลางต่อไปอีก ก็เห็นดวงทั้ง 6 และกายของกายที่ละเอียดยิ่งขึ้น ปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับในเบื้องต้นนั้นทั้ง 18 กาย ได้แก่ กายในภพสามนี้ 8 กาย คือ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม และกายอรูปพรหมละเอียด และกายที่พ้นภพสามหรือกายโลกุตตระ 10 กาย คือ กายธรรม กายธรรมละเอียด กายพระโสดา กายพระโสดาละเอียด กายพระสกทาคา กายพระสกทาคาละเอียด กายพระอนาคา กายพระอนาคาละเอียด กายพระอรหัต และกายพระอรหัตละเอียด
กายธรรม หรือ ธรรมกาย และกายโลกุตตระอื่นดังกล่าว ปรากฏขึ้นที่ศูนย์กลางกายของท่านนั้น เป็นองค์พระปฏิมาเกตุดอกบัวตูม ใสบริสุทธิ์ยิ่งกว่าอัญมณีใดๆ งดงามหาที่ติมิได้ กายโลกุตตระล้วนเป็นกายที่ละเอียดยิ่งนัก และพ้นจากอาณัติแห่งพระไตรลักษณ์ เป็นวิสังขารแห่งความสุขที่แท้จริง
ธรรมและของจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหลวงพ่อได้ค้นพบ ได้รู้ ได้เห็น และเป็นในคืนวันเพ็ญสำคัญนี้ลึกซึ้งถึงปานนี้ เกินวิสัยของบุคคลจะคาดคิดคะเน แม้ใครยังตรึกนึกคิดอยู่ก็เข้าไม่ถึง หลวงพ่อได้สอนไว้ในภายหลังว่า “ที่จะเข้าถึงต้องทำให้รู้ตรึก รู้นึก รู้คิดนั้น หยุดเป็นจุดเดียวกัน แต่พอหยุดก็ดับ แต่พอดับแล้วก็เกิด ถ้าไม่ดับแล้วไม่เกิด ตรองดูเถิด ท่านทั้งหลาย นี้เป็นจริง หัวต่อมีเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่ถูกส่วนดังนี้ก็ไม่มี ไม่เป็นเด็ดขาด”
การค้นพบได้รู้ได้เห็นได้เป็นพระสัทธรรมของท่านในคืนวันเพ็ญนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องแท้จริงให้หลวงพ่อปฏิบัติแสวงหาที่สุดแห่งธรรม ท่านตรึกใจดิ่งลึกลงไปที่ศูนย์กลางกายธรรมที่สุดละเอียดอยู่ตลอดเวลา นับแต่นั้นเป็นต้นมา โดยมิได้มีการถอยกลับและหยุดยั้งอีกเลย ท่านยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นทุกที
เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
กลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าครั้งนั้นเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต เผื่อน ติสสทัตตมหาเถระ วัดพระเชตุพนฯ พระอาจารย์องค์หนึ่งของท่าน ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นท่านเจ้าคุณพระศากยยุตติวงศ์ เจ้าคณะอำเภอภาษีเจริญ เล็งเห็นความเป็นผู้นำของหลวงพ่อ ซึ่งครั้งนั้นเป็นพระฐานานุกรมที่พระสมุห์สด จนฺทสโร เจ้าประคุณได้มอบหมายท่านให้จำต้องยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ ซึ่งเป็นพระอารามหลวงเก่าแก่แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และในขณะนั้นชำรุดทรุดโทรมมาก เป็นกึ่งวัดร้าง มีพระประจำวัดอยู่เพียงสิบสามรูป
ในปี พ.ศ.2464 ตรงกับ ร.ศ.140 เป็นปีที่ 12 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า พระครูสมุห์สด จนฺทสโรก็ได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสมณธรรมสมาทาน ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ด้วยความเป็นผู้นำอย่างเยี่ยมยอดและความอดทนอย่างยิ่งยวด หลวงพ่อก็ได้ทำนุบำรุงวัดปากน้ำภาษีเจริญขึ้นใหม่จนเป็นอารามหลวงที่สำคัญและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง มีพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาที่อยู่ในความอุปการะของท่านที่วัดในระยะนั้นจำนวนเป็นร้อยเป็นพัน มีทั้งพระสงฆ์จากต่างประเทศ เช่นจากประเทศอังกฤษ มาบวชเรียนกับหลวงพ่อ สมจริงแล้วดังปณิธานของท่านที่ตั้งใจไว้ว่า “บรรพชิตที่ยังไม่มาขอให้มา ที่มาอยู่แล้ว ขอให้เป็นสุข“
ลุสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ในปี พ.ศ.2490 อันเป็นปีที่ 2 แห่งรัชกาล ท่านได้รับตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ ต่อมาในปี พ.ศ.2492 ได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระภาวนาโกศลเถร และอีกสองปีภายหลัง ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเสมอพระราชาคณะเปรียญ ถึงปี พ.ศ.2498 ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระมงคลราชมุนี ในปีฉลอง 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ.2500 ตรงกับ ร.ศ.176 เป็นปีที่ 12 แห่งรัชกาลปัจจุบัน ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพมีพระราชทินนามว่า พระมงคลเทพมุนี นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ธรรมปฏิบัติวิชชาธรรมกาย
วิชชาธรรมกาย ดังที่หลวงพ่อได้บรรลุ รู้ เห็น และเป็น นั้น ลึกซึ้ง คมกล้า ทางค่า ทรงคุณ และหิตานุหิตประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุด วิชชาธรรมกายนี้แม้นดำรงอยู่ครั้งพุทธกาลและสืบทอดกันมาอีกระยะหนึ่ง แต่ก็ว่างเว้นไป มิได้มีผู้สอนวิชชานี้อีกนับเป็นระยะเวลายาวนาน จวบจนถึงสมัยที่หลวงพ่อได้บรรลุและนำมาเผยแผ่สอนใหม่ ให้มีผู้เข้าถึง รู้ เห็น และเป็น สืบพระพุทธศาสนากันต่อๆ ไปอีก อย่างถูกต้องโดยสัมมาทิฏฐิ ตรงตามความเป็นจริงและสัมฤทธิ์ผลโดยกว้างขวาง ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติจนเห็นธรรมนั้นย่อมจักต้องเห็นพระพุทธเจ้า ด้วยว่าธรรมกายนั้นคือพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าคือธรรมกาย ย่อมเห็นธรรม ตรงตามพระพุทธพจน์ว่า “โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ – ดูกรวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม” และดังพระพุทธพจน์ว่า “ตถาคตสฺส วาเสฏฺฐ เอตํ ธมฺมกาโยติ วจนํ – ดูกรวาเสฏฐะ ธรรมกายนี้เป็นชื่อของตถาคต” วิชชาธรรมกายจึงเป็นหัวใจของการสอนและปฏิปทาที่หลวงพ่ออุทิศให้แก่พระพุทธศาสนาโดยสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ในวัตรปฏิบัติของท่านปรากฏเป็นจริยา
ท่านจะดูแลกำกับการเจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูงที่กระทำโดยต่อเนื่องนั้นอย่างใกล้ชิดมาก โดยอำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณประกอบกับเหตุปัจจัย ธรรมย่อมปราบอธรรมลงเสียได้ การกำจัดทุกข์ภัยไข้เจ็บ ของชนผู้สมาทานศีลอยู่ในธรรมย่อมจะพออยู่ในวิสัย การเจริญวิชชาธรรมกายนั้น จึงเป็นกิจเพื่อการปราบทุกข์เข็ญและยังสันติสุขให้งอกงามไพบูลย์จริง การประชุมกระแสจิตที่บริสุทธิ์อันแรงกล้าด้วยการเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูง จึงกระทำเพื่อช่วยผดุงชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และทวยราษฎร์ในทศพิธราชธรรมอันบริสุทธิ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การเจริญวิชชานี้ดำเนินไปต่อเนื่องเป็นที่น่าอัศจรรย์ แม้ในภาวะมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดตกลงมาลูกแล้วลูกเล่า เพื่อทำลายจุดยุทธศาสตร์ เช่น สะพานพุทธ บริเวณใกล้เคียงวัดปากน้ำ แต่หลวงพ่อและคณะศิษย์ผู้เจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูงมิได้ปลีกออกจากวัดเพื่อหลบภัยนั้นเลย ท่านกลับยิ่งเด็ดเดี่ยวกวดขันบัญชาการเจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูงที่ห้องภาวนาที่ท่านเรียกใช้คำง่ายๆ ว่า โรงงาน นั้น ให้เร็วและแรงขึ้น และประเทศชาติก็ผ่านพ้นมหาภัยสงครามนั้นมาได้ด้วยดี
หลวงพ่อของปวงชน
การสั่งสอนและสืบบวรพระพุทธศาสนาของหลวงพ่อนั้น ท่านอุทิศให้หมดด้วยทั้งกาย วาจา ใจ เราย่อมสัมผัสได้ถึงความใสบริสุทธิ์ของกระแสธรรมเทศนาและปฏิปทาของท่านนี้ เป็นกระแสแห่งความสงบ สุข ร่มเย็น อบอุ่น ทรงพลังลึกซึ้ง หยั่งเข้าถึงใจจากองค์พระสมณะ ผู้พึงกราบสักการบูชา
หลวงพ่อจะให้ความอุปการะแก่ผู้สมควรได้รับเสมอ ซึ่งท่านได้สอนถึงการอุปการะนี้ว่า “เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เมื่อกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์แล้ว ย่อมมีสิทธิใช้มรดกของพระพุทธเจ้าได้ และใช้ได้จนตลอดชาติ ถ้าไม่บริสุทธิ์แล้ว แม้จะเอาไปใช้ก็ไม่ถาวรเท่าไร” ความใจดี มีเมตตากรุณาอันเป็นธรรมค้ำจุนโลก ดังที่ท่านเจริญโดยตลอดเวลา ซึ่งเห็นและสัมผัสโดยง่ายนั้นเป็นอัธยาศัยหนึ่งที่คนทั้งหลายบูชาท่านนัก
มรณภาพ
หลวงพ่อถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.2502 เวลา 15.00 น. ณ ตึกมงคลจันทสร เมื่อท่านมีอายุย่าง 75 โดยปี รวมพรรษาได้ 53 พรรษา กาลนั้นเปรียบเสมือนการพักชั่วครูของอมตบุรพาจารย์ และย่อมเป็นเครื่องมือเตือนจิตสะกิดใจแก่คนทั้งหลายผู้วันหนึ่งกาลกิริยาจะมาถึง มิให้ประมาทและให้ขวนขวายทำหน้าที่ต่อตนเองและผู้อื่นในอริยมรรค คำสอนของหลวงพ่อจะยังคงดำรงอยู่ประกาศสัจจธรรมฝ่ายบุญฝ่ายสัมมาทิฐิ โดยส่วนเดียวสืบไป