พระราหูในพระพุทธศาสนา บุพกรรมของพระราหู
พระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทรราหู
ในวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาได้เล่าเรื่องพระราหู พระอาทิตย์และพระจันทร์ เกี่ยวกับบุพพกรรมที่ทั้งสามได้เคยสร้างร่วมกันมา จนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องราวแห่งพระราหู พระอาทิตย์และพระจันทร์มาจนทุกวันนี้ เล่าครั้งหนึ่งว่าทั้งสามคือ พระอาทิตย์ พระจันทร์และพระราหูเกิดเป็นพี่น้องกันมีพระอาทิตย์เป็นพี่คนโต พระจันทร์เป็นคนรองพระราหูเป็นน้องเล็ก พระอาทิตย์และพระจันทร์นั้นนิสัยดีชอบทำบุญใส่บาตร เลือกเอาของดีถวายพระภิกษุสงฆ์เสมอๆ แต่พระราหูนั้นนิสัยออกเกเร เป็นนักเลง เจ้าโทสะ ไม่ค่อยประดิษฐ์ประดอยเหมือนพี่ๆเขา ครั้งหนึ่งพระอาทิตย์ชวนน้องทั้งสองใส่บาตร พระอาทิตย์เลือกใช้ขันทอง พระจันทร์เลือกใช้ขันเงิน แต่พระราหูนั้นเลือกเอากะลาเป็นขันใส่ข้าว รวมทั้งทัพพีตักข้าวด้วย
ด้วยกรรมดังนี้พระอาทิตย์ตั้งจิตอธิษฐานให้ตนเองเกิดเป็นสุริยเทพผู้มีรัศมีสองแสงเป็นสีทองส่องสว่างแก่มนุษย์ยามกลางวัน พระจันทร์ตั้งจิตขอไปเกิดเป็นจันทราเทพผู้มีรัศมีเย็นตา ให้ความสว่างแก่มนุษย์ยามกลางคืน ส่วนพระราหูนั้นต้องการมีเดชอำนาจเหนือพี่ทั้งสองด้วยอำนาจจิตดังกล่าวเมื่อสิ้นใจไปแล้วทำให้เกิดเป็นเทพอสูรนามว่า พระราหู มีร่างกายดำทะมึนมีอำนาจสามารถดับความสว่างของพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้ เมื่อใดที่พระราหูเจอพระอาทิตย์พระจันทร์เป็นต้องเข้าไปอมบ้าง ไปหนีบไว้ที่รักแร้บ้าง ซ่อนไว้ใต้คางบ้างเป็นเช่นนี้เสมอไป และลักษณะการบดบังพระอาทิตย์และพระจันทร์ดังกล่าวนี้ ครูบาอาจารย์ชั้นต่อๆมาจึงนำมาวาดเป็นยันต์พระราหู หรือมาแกะลายพระราหูบังพระอาทิตย์ แต่ส่วนมากมักเลือกเอากิริยาที่พระราหูอมพระอาทิตย์พระจันทร์มากที่สุด
มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระราหูได้เคยเข้าจับพระอาทิตย์ บังเกิดเป็นสุริยคราส ครั้งนั้นเทพยดาทั้งหลายทูลขอให้พระพุทธองค์เข้าช่วยด้วยเป็นที่พึ่ง พระพุทธองค์ทรงกล่าวพระพุทธคาถาแก่พระราหู เมื่อพระราหูได้ฟังแล้วบังเกิดขนพองสยองเกล้ารีบคายพระอาทิตย์ออก เพราะศีรษะของตนดั่งว่าจะระเบิดออกมาเป็นเจ็ดเสี่ยง รีบกลับเข้าเมืองอสูรทันใด ไปเล่าให้เพื่อนอสูรของตนฟังว่า พระพุทธเจ้านี้มีฤทธิ์มากนักไม่อาจต้านทานฤทธานุภาพพระพุทธองค์ได้ ตามที่ปรากฎในพระไตรปิฎก ดังนี้
สุริยสูตรที่ ๑๐
[๒๔๖] ก็โดยสมัยนั้น สุริยเทวบุตร ถูกอสุรินทราหูเข้าจับแล้ว ครั้ง
นั้น สุริยเทวบุตร ระลึกถึงพระผู้มีพระภาค ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า
ข้าแต่พระพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่
พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ข้า-
พระองค์ถึงเฉพาะแล้วซึ่งฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็น
ที่พึ่งแห่งข้าพระองค์นั้น ฯ
[๒๔๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงปรารภสุริยเทวบุตรได้ตรัสกะ-
*อสุรินทราหูด้วยพระคาถาว่า
สุริยเทวบุตร ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นที่พึง ดูกร
ราหู ท่านจงปล่อยสุริยะ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้
อนุเคราะห์แก่โลก สุริยะใดเป็นผู้ส่องแสง กระทำความสว่าง
ในที่มืดมิด มีสัณฐานเป็นวงกลม มีเดชสูง ดูกรราหู ท่าน
อย่ากลืนกินสุริยะนั้น ผู้เที่ยวไปในอากาศ ดูกรราหู ท่าน
จงปล่อยสุริยะ ผู้เป็นบุตรของเรา ฯ
[๒๔๘] ลำดับนั้น อสุรินทราหู ปล่อยสุริยเทวบุตรแล้ว มีรูปอัน
กระหืดกระหอบ เข้าไปหาอสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ ครั้นแล้วก็เป็นผู้เศร้าสลด เกิด
ขนพอง ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๔๙] อสุรินทเวปจิตติ ได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืนอยู่ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยคาถาว่า
ดูกรราหู ทำไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบ ปล่อยพระ-
สุริยะเสีย ทำไมหนอ ท่านจึงมีรูปเศร้าสลด มายืนกลัวอยู่ ฯ
[๒๕๐] อสุรินทราหู กล่าวว่า
ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่พึง
ปล่อยพระสุริยะ ศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตกเจ็ดเสี่ยง มีชีวิต
อยู่ ก็ไม่พึงได้รับความสุข ฯ
จบ วรรคที่ ๑
ในพระไตรปิฏกเล่าอีกว่า พระราหูนั้นเคยคิดเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ดำริในใจว่าตนเองนั้นร่างกายใหญ่โต ไฉนเลยจะเข้าไปกราบพระพุทธองค์ได้ พระพุทธองค์สามารถรู้ถึงความคิดของพระราหูทุกประการ ได้เนรมิตร่างกายตนให้ใหญ่กว่าพระราหูหลายร้อยหลายพันเท่า อยู่ในกิริยานอนประทับปางไสยยาสน์ เมื่อราหูมาถึงที่ประทับยังนึกในใจอยู่ว่าพระองค์คงร่างเล็กนิดเดียว ก้มลงมองหาเท่าไหรก็ไม่พบ จนท้อใจคิดจะกลับอยู่แล้วจึงได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสทัก เมื่อมองขึ้นไปจึงพบว่าร่างกายของพระพุทธเจ้าใหญ่โตยิ่งกว่าตนมากมายนัก ทั้งประทับนอนสีหไสยยาสน์ พระราหูจึงเกิดความเกรงในพระพุทธบารมี
นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังได้แสดงปาฏิหาริย์พาอสุรินทราหูขึ้นไป ณ พรหมโลก บรรดาพรหมทั้งหลายที่พากันมาเข้าเฝ้า ล้วนมีร่างกายเล็กกว่าพระพุทธองค์ และต่างพากันเบิ่งตามองอสุรินทราหูเหมือนประหนึ่งมนุษย์จ้องมองมดปลวกตัวเล็ก ๆ แล้วกราบทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญได้พาตัวอะไรมาด้วยหรือพระเจ้าข้า” อสุรินทราหูบังเกิดความกลัวต้องหลบอยู่หลังพระบรมศาสดา นับตั้งแต่นั้นมาก็ลดมานะทิฏฐิเลิกหลงทะนงอวดตัว หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาจึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ไปตลอดชีวิต แล้วจึงกราบทูลลากลับไปยังพิภพ และถือว่าพระรูปปางสีหไสยยาสน์นั้นเป็นปางปราบอสุรินทร์ราหู ผู้ที่มีราหูเข้าแทรกในดวง ได้บูชาพระพุทธรูปปางนึ้จะดีกับตนเองยิ่งนัก
ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ยังได้กล่าวถึงบุพกรรมแต่หนหลังของพระราหูว่า เคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งการบำเพ็ญบารมีของพระราหูทุกภพชาติที่ผ่านมานั้นก็เพื่อพระโพธิญาณนี้และจะสำเร็จแน่นอนในอนาคตกาล พระราหูจะสำเร็จเป็นพระโพธิญาณ หรือ บรรลุเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้พระราหูปลาบปลื้ม พระราหูมีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ยิ่งๆขึ้น และตั้งใจบำเพ็ญเพียรทางพระโพธิญาณให้มากยิ่งๆขึ้น ทั้งพระไตรปิฎกล่าวว่า พระราหูจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านามว่า พระนารทพุทธเจ้า นับเป็นองค์ที่ห้าถัดจากพระศรีอารยเมตไตรพุทธเจ้า จากคติดังกล่าวนี้จึงถือว่าพระราหูนั้นมีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์ และเป็นหน่อเนื้อพระพุทธางกูรแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่น่าเคารพกราบไหว้ของชาวพุทธเรา การกราบไหว้พระโพธิสัตว์นันเป็นคตินิยมอยู่แล้วของมหายาน แต่ฝ่ายหินยานหรือในบ้านเรานั่นรู้จัดเรื่องพระโพธิสัตว์น้อย พระโพธิสัตว์นั้นบางครั้งมีรูปกายสวยงาม บางครั้งในรูปกายน่ากลัว และสามารถบังเกิดในภพภูมิใดก็ได้ อย่างพระราหูเป็นพระโพธิสัตว์ที่รูปกายน่ากลัว และเป็นพระโพธิสัตว์ที่เกิดขึ้นในแดนอสูร ทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนา ให้พรคนดี ย่ำยีคนชั่ว บำเพ็ญบารมีสร้างภพชาติเพื่อสืบพระพุทธวงศ์มิให้สิ้นสูญ โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นมหาบารมีมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่ สมควรที่จะได้รับการกราบไหว้บูชาเช่นเทพยเจ้าองค์อื่นๆ
นอกจานนี้หลายท่านคงไม่เคยทราบว่าคำกล่าวขึ้นต้นก่อนสวดมนต์บทใดๆ ก็ตาม คือ นะโมตัสสะ นั้นเป็นคำกล่าวนอบน้อมพระพุทธเจ้าที่เทพยดาหลายพระองค์ร่วมกันแต่งขึ้น จนกลายเป็นประโยค “นะโม ตัสสะ” ที่เราสวดกัน ในบทดังกล่าวพระราหูเป็นบุคคลสำคัญที่ร่วมรจนาบทคาถา “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหัตโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” โดย คำว่า
“นะโม” ผู้กล่าวคือ พญายักษ์สันตาคีรี
“ตัสสะ” ผู้กล่าวคือ องค์สุรินราหู
“ภะคะวะโต” ผู้กล่าวคือ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้แก่ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์ และท้าวเวสสุวัณ
“อะระหัตโต” ผู้กล่าวคือ พระอินทร์ เป็นคำนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
“สัมมาสัมพุทธะสะ” ผู้กล่าวคือ ท้าวมหาพรหมสหัมปติ
ทั้งหมดนี้ทวยเทพทั้งหลายทั้งหลายทั้งยักษ์ และเทวดาต่างกล่าวนอบน้อมพระพุทธองค์ในวันแรกที่ตรัสรู้ได้อนุตรธรรมคือพระนิพพนานธรรม ดังจะเห็นได้ว่าในบรรดาผู้กล่าวคำกล่าวนอบน้อมนั้นมีอสุรินทร์ราหูร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีพญายักษ์ ที่ชื่อสาตาคิรีอีกหนึ่ง และท้าวเวสสุวัณผู้เป็นจอมยักษ์อีกหนึ่ง ซึ่งท่านเหล่านี้ล้วทรงบุญญาธิการทั้งสิ้น ครูบาอาจารย์ ของผู้เขียนกล่าวผู้ที่ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยดีแล้ว และเคารพในคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเทพเทวดาทั้งหลายเป็นอาทิหากทำการท่องคำว่า “นะโมตัสสะ” ด้วยความเคารพศรัทธาก็สวามารถกันภูตผีปีศาจได้ เพราะเป็นคำกล่าวของพระราหู มีบารมีธรรมแห่งพระรากูอยู่ ภูติผีปีศาจทั้งหลายย่อมเกรงกลัวพระราหูฉันใดผู้ทีมีความเคารพพระราหูย่อมได้บารมีข้อนี้ตามไปด้วย นอกจากนี้นะโมที่เราสวดนั้นยังมีเทพเทวาอีกหลายพระองค์จึงเป็นคำกล่าวที่ศักดิ์สิทธิ์มาก การท่องทุกครั้งหากได้ระลึกถึงเทพเทวาทั้งหลายนี้แล้วย่อมเป็นสิริมงคลสูงสุด
พระโพธิสัตว์ราหูเทพอสุรินทร์
ในบรรดาเทพนพเคราะห์ทั้ง 9 องค์นั้นมีเพียงพระราหูพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพระโพธิสัตว์และได้รับรับการพยากรณ์แล้ว แม้พระอาทิตย์และพระจันทร์ผู้มีบุญญาธิการอันสูงส่ง ก็มิได้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ เช่น พระราหูและยังไปปรากฏเป็นคำพุทธพยากรณ์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นจะมีเพียงอสูรเทพพระราหูเท่านั้นที่มีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์และได้รับพุทธพยากรณ์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน พระบารมีแห่งเทพอสุรินทร์ราหูจึงมีอยู่มากมายมหาศาลบุคคลผู้ที่จะได้รับพุทธพยากรณ์เช่นพระราหูนั้น ถือว่าได้บำเพ็ญบารมีเข้าสู่เส้นชัยแล้ว หมายความว่า บารมีที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลเบื้องหน้านั้นสำเร็จอย่างแน่นอน แสดงว่าบุญบารมีของพระราหูสามารถโปรดผู้ตกทุกข์ได้ยากให้ได้ดีมีสุข พ้นทุกข์พ้นภัย ด้วยอาศัยบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ญาณที่พระราหูได้บำเพ็ญเพียรมานับชาติไม่ถ้วน
การนับถือจึงมิได้หมายความว่าเรากำลังบูชาภูตผีปีศาจแต่อย่างใด แต่เรากำลังบูชาพระโพธิสัตว์ในรูปกายแห่งเทพอสูร อันเป็นคติสอนให้พิจารณาว่า อย่ามองที่รูปกายภายนอก แม้ว่ารูปกายแห่งพระราหูจะดูดุดันน่ากลัว แต่คุณธรรมภายในนั้นกลับตรงข้าม พระราหูเป็นเทพอสูรที่บำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุพระโพธิญาณมานับชาติไม่ถ้วน ภายในจิตใจนั้นมีแต่ความปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์ สิ่งเลวร้ายในชีวิตมนุษย์นั้นไซร์ย่อมเกิดจากผลกรรมเก่าและใหม่ที่ตนก่อไว้ เมื่อถึงเวลา กรรมนั้นย่อมเป็นไปตามกลไกของมัน พระราหูเทพอสุรินทร์เป็นเทพยเจ้าผู้เป็นพยานแห่งการกระทำกรรมของมนุษย์ หาได้ให้ร้ายต่อใครไม่
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.puttha.com
อ.อันติกา http://www.promdeva.com/HoraItemDetail.asp?ItemID=197
http://www.tnews.co.th/contents/200440
เฟซบุ้คแฟนเพจ อ. อันติกา : Master Antiga