พระอรหันต์จกบาตร (ปางภัตตกิจ)

พระอรหันต์จกบาตร (ปางภัตตกิจ)
วันนี้วันดี ผมขอเล่าเรื่องพระอรหันต์จกบาตรนี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบไว้ พระรุ่นนี้เป็นพระกรุวังหน้าเนื้อชินตะกั่วนี้มีอายุประมาณ 200 กว่าปี นับเป็นพระวังหน้าพิมพ์ที่หายากมากพิมพ์หนึ่ง และเชื่อกันว่าเป็นพระพิมพ์พิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแก่เจ้านายฝ่ายใน หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะพิมพ์มีความสวยงามและประณีตยิ่งนักเป็นฝีมือการออก แบบและสร้างโดยช่างสิบหมู่ของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ (บุญมา) ที่ทรงมีฝีมือทางการรบเป็นเยี่ยม ทั้งยังมีวิชาอาคมระดับเสกใบมะขามให้เป็นต่อเป็นแตน แล้วสั่งให้ไปต่อยทหารพม่าจนต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาแล้ว เชื่อกันว่าเสด็จวังหน้าพระองค์นี้ก็คือศิษย์เอกฝ่ายฆราวาส และเป็นผู้ตั้งพระนามให้แก่พระอาจารย์ผู้เป็นอมตะของท่านว่า “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นั่นเอง
ในสมัยนั้นเข้าใจว่าเมื่อเสร็จสิ้นสงครามใหญ่ที่เรียกกันว่าสงครามเก้าทัพ กับพม่าแล้ว โลหะต่างๆ คงจะเป็นของหายากเนื่องจากต้องนำไปใช้ทำเป็นอาวุธต่างๆ พระที่สร้างในสมัยนั้นจึงเป็นพระเนื้อดินหรือเนื้อผงเป็นส่วนมาก พระเนื้อชิน (โลหะ) มีเป็นส่วนน้อย ข้าพเจ้าเคยสอบถามท่านผู้รู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปิดกรุวังหน้า ท่านเล่าว่าพระที่พบในกรุมักเป็นพระเนื้อดินเผา จะมีพระเนื้อชินในกรุเพียงไม่ถึง 100 องค์ในแต่ละกรุเท่านั้น จึงไม่เป็นการกล่าวเกินเลยไปว่าพระพิมพ์นี้ซึ่งมีอยู่น้อยตั้งแต่ในกรุนั้น คงจะสร้างขึ้นเสำหรับเจ้านายฝ่ายในเท่านั้น
ข้าพเจ้าได้พระชุดนี้องค์แรกจากเพื่อนผู้หนึ่งเมื่อประมาณปี 2536 เมื่อไปกราบพระตามที่ต่างๆ ก็จะแขวนไปด้วยเสมอ และหลายครั้งที่ได้พบกับพระหรือฆราวาสที่ท่านมีคุณวิเศษหูทิพย์ตาทิพย์ เช่น หลวงพ่อเอียด จ.พัทลุง อาจารย์รังษีญาณ หลวงน้าอ๊อดย่ามแดง ปู่โทน หลำแพร ฯลฯ ท่านมักจะพูดกับข้าพเจ้าว่า “แขวนพระอะไรมาล่ะรัศมีเป็นฉัพพรรณรังสีเชียวนะ” หรือไม่ก็จะพูดว่า “ทำไมต้องแขวนพระหลายองค์ด้วย แขวนพระองค์กลางองค์เดียวก็พอ” ทั้งนี้เพราะบางครั้งข้าพเจ้าก็แขวนไปพร้อมกันทีเดียว 3 องค์ แต่ก็จะแขวนพระชุดนี้ไว้เป็นองค์กลางเสมอ หรือบางท่านก็พูดปนประหลาดใจว่า “เอ๊ะนี่พระของหลวงปู่เทพโลกอุดรนี่” ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยไปพูดหรือถามนำก่อนเลย โดยเฉพาะอาจารย์รังษีญาณ พงษ์สัจจา นั้นท่านเคยดูให้แล้วบอกตรงๆ เลยว่าเป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดร
ครั้งนั้นท่านดูให้ในราวปี พ.ศ. 2539 ที่บ้านของท่านย่านถนนราษฎร์บูรณะ ฝั่งธนบุรี วันที่พบกันครั้งแรกนั้นข้าพเจ้าก็ได้ทำการทดสอบท่านก่อน โดยการนำรูปรูปหนึ่งที่พกติดตัวอยู่เสมอคว่ำหน้าลงกับพื้นโต๊ะ ให้เห็นแต่กระดาษขาวหลังรูปอันว่างเปล่าเท่านั้น แล้วขอให้ท่านเอามือมาทาบสัมผัสหลังรูปนั้น โดยขอให้ท่านบอกว่ารู้สึกอย่างไรกับกระดาษแผ่นนี้ เมื่อท่านเอามือแตะที่หลังรูปเพียงครู่เดียวก็พูดออกมาว่า “นี่เป็นรูปของพระอรหันต์ผู้ไม่ตาย คือหลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งก็คือผู้ที่แผ่ญาณคุ้มครองคุณอยู่นั่นเอง” ข้าพเจ้าฟังแล้วถึงกับขนลุกซู่น้ำตาไหลเพราะรู้สึกทั้งดีใจทั้งซาบซึ้งใจที่ ได้รู้ และได้พบกับผู้ที่มีญาณทัศนะอันแม่นยำเช่นนี้
นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังเคยขอให้พระองค์หนึ่งที่ข้าพเจ้ารักและเคารพมาก มีความสนิทสนมมานานกว่า 40 ปี (วัดอยู่ในอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี) ทั้งทราบดีว่าท่านเป็นผู้ที่มีญาณทัศนะดีมากให้ช่วยตรวจดูพระองค์นี้ว่าเป็น อย่างไร ท่านบอกว่า “เท่าที่เห็น จะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เมื่อมองเข้าไปในองค์พระ ได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมีลักษณะดีน่าเคารพมาก ท่านยืนในท่าสำรวมมือประสานกันที่ด้านหน้า ยืนอยู่บนเนินเตี้ยๆ ที่ปูลาดไปด้วยลานหญ้าที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี พระองค์นี้คือหลวงปู่เทพโลกอุดร เข้าใจว่าท่านจะอยู่ในแดนพิเศษที่ท่านเนรมิตขึ้น” ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เกิดอาการปีติขนลุกทีเดียวเพราะท่านพูดตรงกับที่ข้าพเจ้า เคยมีนิมิตเห็นหลวงปู่เทพโลกอุดรก่อนหน้านั้นไม่ผิดเพี้ยน ทั้งลักษณะของหลวงปู่และภูมิประเทศโดยรอบ
ท่านยังบอกอีกว่ารัศมีของพระชุดนี้เป็นฉัพพรรณรังสี ส่วนตรงกลางมีดวงกลมรัศมีสีทองสุกสว่างแตกต่างจากพระทั่วไปอีกด้วย ทั้งนี้พระส่วนใหญ่แต่ละองค์ก็จะมีรัศมีเพียงสีเดียว เช่น สีแดง สีขาว สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า ฯลฯ แต่ละสีก็มีพุทธคุณแตกต่างกันไป แต่องค์นี้องค์เดียวกลับมีอยู่ทุกสี
เมื่อประมาณปี 2541 ข้าพเจ้าและเพื่อนได้ไปกราบหลวงปู่สรวง เทพเจ้าแห่งบ้านละลม ต.ละลม อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งท่านมักจะอาศัยอยู่บนแคร่ไม้ตามเชิงนา โดยไม่สนใจต่อสายลม สายฝน และแสงแดด มูลเหตุที่ข้าพเจ้าดั้นด้นไปกราบท่านก็เพราะข้าพเจ้าเคยไปพบปู่โทน หลำแพร ที่บ้านทรงไทย อ.ตาคลี (ใกล้สถานีรถไฟตาคลี) จ.นครสวรรค์ ซึ่งทราบกันดีว่าท่านก็เป็นลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านหนึ่ง แล้วได้ถามท่านว่าในปัจจุบันนี้ปู่คิดว่าใครเป็นผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมและ ทรงวิชาสูงที่สุดในประเทศไทยที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจึงบอกพวกข้าพเจ้าว่า “คิดว่าเป็นหลวงปู่สรวงแห่งบ้านละลมนะ ถ้ามีโอกาสก็ให้ไปกราบซะ” ข้าพเจ้าจึงถามที่อยู่ของท่าน แต่ปู่โทนบอกว่าที่อยู่ที่แน่นอนนั้นไม่รู้ เพราะหลวงปู่สรวงอยู่ไม่เป็นที่ แต่มักจะอยู่ที่เชิงนา ให้ลองไปสอบถามชาวบ้านดูเอาเอง ท่านเป็นพระชาวเขมรเข้ามาอยู่ในไทยนานแล้ว
ข้าพเจ้าและเพื่อนก็ไม่รอช้า เมื่อมีเวลาว่างก็นั่งรถ บขส.ไปลงที่ อ.ขุขันธ์ แล้วตามหาหลวงปู่สรวงจนพบ เมื่อกราบท่านเสร็จคุณนคร ศิลปศาสตร์ เพื่อนของข้าพเจ้าก็รีบเอากล้องถ่ายรูปออกมาถ่าย แต่กดชัตเตอร์ไม่ลง กดอย่างไรก็กดไม่ลง ตกลงถ่ายรูปไม่ได้ยืนงงอยู่ จนลูกศิษย์คนอื่นๆ ทราบก็เลยบอกให้ขออนุญาตหลวงปู่ก่อน เมื่อขออนุญาตแล้วจึงถ่ายได้เป็นที่น่าอัศจรรย์

ข้าพเจ้าเมื่อกราบท่านเสร็จก็ถวายเครื่องสังฆทานท่านพร้อมกับซองปัจจัย ท่านก็นั่งเฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายเพียงแต่ทำทีให้รู้ว่ารับแล้ว หลังจากนั้นท่านก็แกะพลาสติกที่หุ้มถังสังฆทานออกแล้วแจกจ่ายของออกเดี๋ยว นั้นเลย เงินที่ถวายให้ท่านท่านก็ให้แก่ชาวบ้าน (เจ้าของที่นาที่ท่านมาอาศัยอยู่) ไม่เก็บเอาอะไรไว้เป็นของท่านเลย ข้าพเจ้าเห็นเป็นโอกาสดีจึงได้ถอดพระองค์นี้ (เลี่ยมทองมาอย่างดี) ออกจากคอเพื่อให้หลวงปู่อธิษฐานจิตเพิ่มพลังให้ ในวันนั้นข้าพเจ้าแขวนไปเพียงองค์เดียว จึงได้พูดขอกับท่านว่า “หลวงปู่ครับช่วยเป่าเพิ่มให้ผมด้วยครับ” พร้อมกับยื่นพระส่งให้ท่านรับไว้ ท่านกลับไม่เป่าให้แต่หยิบพระขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ เสร็จแล้วก็เอามือถือสร้อยไว้ปล่อยให้พระห้อยลงมา ยกขึ้นยกลงพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วจึงมองมาทางข้าพเจ้าพร้อมกับทำทีว่าขอพระองค์นี้นะ
ข้าพเจ้ารักพระองค์นี้มากเพราะเป็นองค์แรกและได้มาโดยยากทั้งแขวนติดตัวเป็น ประจำ แต่ก็อยากได้บุญและเห็นเป็นโอกาสดีที่พระระดับนี้มาขอกับข้าพเจ้าโดยตรงต่อ หน้าคนนับสิบคนจึงตอบไปว่า “ถ้าหลวงปู่อยากได้ผมก็ยินดีถวายครับ” พอพูดขาดคำท่านก็หย่อนพระของข้าพเจ้าลงกระเป๋าเสื้อที่หน้าอกท่านทันที พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ตามเอกลักษณ์ของท่าน (วันนั้นหลวงปู่ใส่เสื้อขาวบางๆ แล้วห่มด้วยจีวรพระทับอีกชั้นหนึ่ง) พวกลูกศิษย์ต่างก็แปลกใจไปตามๆ กัน เพราะไม่เคยเห็นท่านขอพระจากใครเลย แม้แต่ปัจจัยสิ่งของต่างๆ ท่านก็ไม่ขอจากใครแต่กลับมาขอพระกับข้าพเจ้าทั้งที่มากราบท่านเป็นครั้งแรก ทั้งยังไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดของท่านถือว่าเป็นเรื่องแปลกทีเดียว จึงได้เข้ามารุมสอบถามข้าพเจ้าเป็นการใหญ่ว่าเป็นพระอะไรมีดีอย่างไรที่หลวง ปู่ถึงได้ขอไว้ เป็นอันว่าพระชุดนี้องค์แรกของข้าพเจ้าได้ถวายกับหลวงปู่สรวงไปแล้ว
ตอนขากลับข้าพเจ้าได้เข้าไปกราบลาท่านพร้อมกับขอให้ท่านเป่ากระหม่อมให้ (นึกในใจ) ข้าพเจ้าจึงก้มหน้าอยู่แต่ก็เหลือบตามองท่านก็เห็นท่านนั่งอยู่เฉยๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ปรากฏว่าได้มีกระแสไอเย็นพุ่งเข้ามาที่กลางกระหม่อม แล้วแทรกเข้าไปในลำตัวของข้าพเจ้าทันที (กระแสเย็นนั้นพุ่งเข้ามาเป็นลำเหมือนท่อนไม้ขนาดกว้าง 6-7 นิ้วเลยทีเดียว) นับเป็นครั้งแรกของข้าพเจ้าที่ได้มีประสบการณ์เช่นนี้ ทั้งที่ได้ไปกราบพระมาแทบจะเรียกได้ว่าทั่วประเทศ แต่ก็ไม่เคยมีท่านใดเป่ากระหม่อมข้าพเจ้าจนเป็นกระแสไอเย็นลำขนาดใหญ่เช่น นี้เลย มีแต่เพียงทำให้เกิดปีติขนพองขึ้นเท่านั้น สมกับที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลวงปู่สรวงองค์นี้มีภูมิจิตภูมิธรรมเป็นอันดับ หนึ่ง และอายุท่านก็ไม่รู้ว่ากี่ร้อยปีแล้ว เพราะบางคนบอกว่า 280 ปี บางคนบอกว่าเกิน 300 ปี พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็โชคดีหลังจากกลับมาก็ถูกรางวัลล็อตเตอรี่งวดนั้นพอ หอมปากหอมคออีกด้วย (อายุจริงเมื่อละสังขารร่างนี้น่าจะ 514 ปี)
เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับอาจารย์วิทิต พูลสุวรรณ ซึ่งท่านเป็นผู้มีความสามารถพิเศษทางตาทิพย์และสามารถติดต่อกับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกได้ โดยข้าพเจ้าได้ถอดพระชุดนี้ออกจากคอ (คนละองค์กับองค์แรก) แล้วถามอาจารย์วิทิต โดยไม่ได้มีการบอกรายละเอียดเกี่ยวกับองค์พระแต่อย่างใดเลย เพียงถามว่า “พระองค์นี้เป็นอย่างไรบ้างครับ” ท่านเงียบไปเพียงครู่เดียวก็พูดออกมาว่า “หลวง
พ่อจงท่านว่าเป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดรมีพุทธคุณชั้นหนึ่ง หายากมาก เป็นพระผิดพิมพ์ (แปลว่าคนทั่วไปไม่รู้จัก) คุณต้องรักษาไว้ให้ดีนะเป็นของดีมาก ดีทุกทาง แขวนเพียงองค์เดียวก็พอ” และอาจารย์วิทิตยังได้พูดถึงภูมิหลังของข้าพเจ้าได้อย่างถูกต้อง ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีคุณวิเศษจริงน่าเชื่อถือได้
ลักษณะของพระอรหันต์จกบาตรชุดนี้ ถ้าสังเกตดูให้ดีจะพบว่า โดยเฉพาะใบหน้าและรูปร่ามีความละม้ายคล้ายคลึงกับพระเนื้อผงของพระกรุวัง หน้า (บุญมา) พิมพ์พระอรหันต์เล็ก พระอรหันต์กลาง พระอรหันต์ใหญ่ และพิมพ์อธิษฐานฤทธิ์ ซึ่งพระผงชุดนี้เป็นพระที่นิยมและรู้จักกันอย่างดีในหมู่ผู้เคารพในองค์หลวง ปู่เทพโลกอุดรเป็นอย่างมากอยู่แล้ว (พระผงชุดนี้มีทั้งหมดประมาณ 14 พิมพ์) และพระอรหันต์จกบาตรพิมพ์นี้ก็มีรูปร่างได้สัดส่วนสวยงาม สามารถมองเห็นหน้าตาคิ้วหูจมูกปากได้อย่างชัดเจน แม้พระรุ่นปัจจุบันก็ยังไม่เห็นมีพิมพ์ไหนงดงามเท่า
เมื่อสังเกตดูที่ใต้ฐานก็จะพบว่ามีตุ่มโลหะเนื้อเดียวกันอยู่ตุ่มหนึ่ง ผู้ที่ไม่รู้ก็จะบอกว่าเป็นตุ่มช่อแกน (ก้าน) ของกิ่งที่ทำไว้ให้โลหะวิ่งเข้าองค์พระในขั้นตอนการหล่อพระ แล้วช่างตัดไม่หมดเหลือเป็นตุ่มเอาไว้ ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะช่างหลวง (ช่างสิบหมู่) ระดับนี้จะปล่อยให้งานไม่เรียบร้อยออกไปได้อย่างไร จะเสียเวลาอีกเพียงเล็กน้อยในการขัดแต่งใต้ฐานพระให้เรียบร้อยไม่ได้เชียว หรือ แต่ที่น่าจะเป็นก็คือใต้ฐานพระนี้เขาเจาะรูไว้เพื่อบรรจุผงวิเศษ ซึ่งเล่าต่อๆ กันมาว่าเป็นผงที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านนำมาบรรจุเองมีพุทธคุณเป็นเลิศ แล้วจึงอุดฐานพระนี้ด้วย “ลูกหยอด” ผงวิเศษนี้เพียงเล็กน้อยก็คุ้มครองได้สารพัด ผู้มีไว้สามารถเดินทางเข้าป่าได้โดยไม่มีอันตราย พระชุดนี้จะต้องมีลูกหยอดทุกองค์
นอกจากนั้นยังมีผงอัฐิของทหารกล้าของไทยที่ตายในสนามรบอีกด้วย ซึ่งเข้าใจว่าส่วนใหญ่จะตายลงในศึกสงครามเก้าทัพ ทุ่งลาดหญ้า เมืองกาญจนบุรี โดยฝ่ายไทยภายใต้การนำทัพของเสด็จวังหน้าได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดจนพม่าไม่ กล้ามาย่ำยีไทยอีกเลย แม้ว่าเราจะมีกำลังน้อยกว่าพม่าเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นก็ตาม โดยฝ่ายไทยใช้ทหารเพียง 30,000 คนเข้าตะลุมบอนกับทหารพม่าถึง 100,000 คน
จากประสบการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้าก็ได้เคยสัมผัสกับจิตวิญญาณ (เทพ) ที่อยู่ในองค์พระหลายครั้ง จึงเชื่อว่าตำนานที่รู้มานี้คงจะเป็นเรื่องจริง ซึ่งทหารเหล่านี้จะแต่งกายด้วยชุดขาวและมักจะคอยช่วยคุ้มครอง หรือมีนิมิตเตือนเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ แต่ในบางครั้งก็จะแต่งกายเป็นทหารโบราณมีดาบยาวพาดหลัง 2 เล่ม ทำหน้าที่เป็นเทพประจำองค์พระ เชื่อกันว่าผู้ไม่มีศีลจะไม่สามารถเอาพระชุดนี้ไปบูชาได้เลยต้องรีบนำเอาไป ถวายวัด แต่สำหรับผู้มีศีลมีธรรมแล้วจะกลับกัน เพราะจะรู้สึกรักในองค์พระมองดูไม่รู้เบื่อกับพุทธศิลป์ชั้นเลิศ ใช้แล้วดีมีกินมีใช้ ไม่มีคำว่าอด
เมื่อตอนที่ข้าพเจ้าจะได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกนั้น ข้าพเจ้าได้มีนิมิต (ฝัน) เห็นเจ้าของเดิมเดินมาหาข้าพเจ้าพร้อมทั้งยื่นมือที่ถือพระอรหันต์จกบาตรมา ให้แล้วพูดว่า “พระเป็นของคุณ” ข้าพเจ้ารับพระองค์นั้นไว้พร้อมกับพนมมือขึ้นเหนือเกล้าด้วยความปีติอย่าง ยิ่งแล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นในช่วงเช้ามืด ในวันนั้นเองเจ้าของพระเดิมก็โทรมาหาข้าพเจ้า พร้อมทั้งบอกว่าได้ตัดสินใจที่จะมอบพระให้ข้าพเจ้าแล้วหลังจากที่เคยให้ สัญญาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากนั้นประมาณ 3-4 วันข้าพเจ้าก็ได้พระองค์นั้นมา ซึ่งก็มีเรื่องที่ขอเล่าแถมท้ายว่า เช้าตรู่ของวันที่จะได้พระมานั้นข้าพเจ้าก็มีนิมิต (ฝัน) ตอนเช้ามืดอีกว่า ได้เข้าเฝ้าในหลวงองค์ปัจจุบันภายในพระราชวังเป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย ซึ่งโดยทั่วไปการที่ได้ฝันถึงองค์ในหลวงเขาก็ถือกันว่าเป็นฝันดีจะมีโชคอะไร ทำนองนั้น ในส่วนของข้าพเจ้าก็ถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่จะได้เป็นเจ้าของพระอรหันต์ จกบาตรในวันนั้น (เป็นองค์เดียวกับที่ถวายลป.สรวง)
คืนแรกที่ได้มาข้าพเจ้าก็ทำการทดสอบเลย โดยการนั่งสมาธิกำหนดจิตให้นิ่งแล้วก็อธิษฐานขอเข้าไปดูในองค์พระว่ามีอะไร บ้าง นั่งอยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่เห็นอะไรเลยเลิกนั่ง พอล้มตัวลงนอนเพียงไม่นานเท่านั้นจิตก็วิ่งวูบเข้าไปที่องค์พระ เหมือนโดนดูดเข้าไปด้วยความเร็วรู้สึกเสียวแวบเดียวก็เหมือนเข้าไปยืนอยู่ ที่ๆ หนึ่ง รอบๆ ตัวมองไม่เห็นอะไรเพราะเป็นความมืด แต่ด้านหน้าที่มองเห็นนั้นมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งเป็นผู้ชายนั่งอยู่รอบโต๊ะไม้ ที่ใช้ประชุมกัน มีกันอยู่ประมาณ 4-5 คน นั่งมองมาทางข้าพเจ้าเหมือนรอข้าพเจ้าอยู่อย่างนั้น ทุกคนแต่งตัวด้วยชุดขาวหน้าตาเข้มแข็งน่าเกรงขาม ทั้งหมดอยู่ในวัยกลางคน บางคนไว้หนวดดูดุดัน บางคนก็ยิ้มแย้มท่าทางดีใจที่ได้พบรู้จักกันเป็นครั้งแรก แต่ที่แปลกก็คือข้าพเจ้าเห็นมีผู้หญิงท่านหนึ่งยืนอยู่ที่หัวโต๊ะตรงข้ามกับ ข้าพเจ้าด้วย หน้าตาสะสวยท่าทางเป็นผู้ดีซึ่งก็แต่งตัวด้วยชุดสีขาวเช่นกัน แต่ในใจนั้นบอกว่าท่านผู้นี้ไม่ได้เป็นทหารเหมือนท่านอื่นๆ ที่นั่งล้อมวงอยู่ ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระทุกองค์ในชุดนี้จะต้องมี “จิตวิญญาณ (เทพ ) ของเหล่าทหารกล้ารักษาอยู่ทุกองค์”
แม้ท่านอื่นก็เคยบอกข้าพเจ้าว่าในองค์พระมีจิตวิญญาณทหารสถิตอยู่ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บอกก่อนแต่อย่างไร อย่างเช่นคุณต๊ะ (อ.พงศ์พันธ์ พุ่มพวง) เพื่อนรุ่นน้องของข้าพเจ้าคนหนึ่งมีอาชีพรับราชการทหาร แต่เขามีจิตสัมผัสสิ่งต่างๆ ได้เคยตรวจพระชุดนี้ให้ข้าพเจ้า เมื่อเขาตรวจไปได้ประมาณ 5 นาที เขาก็ร้องไห้ออกมาทำให้ข้าพเจ้าตกใจมากเพราะอยู่ดีๆ ทำไมจึงร้องไห้น้ำตาไหลพรากอย่างนั้น เขาบอกข้าพเจ้าว่า “พี่อู๋รู้ไหมในพระองค์นี้มีจิตวิญญาณทหารนักรบโบราณของไทยอยู่ เขาพาผมไปดูการรบในสมัยนั้นเห็นกำลังตะลุมบอนกันจนฝุ่นฟุ้งไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร ได้ยินเสียงดาบกระทบกัน เสียงร้องของคนที่ถูกดาบฟัน เสียงม้า เสียงอะไรต่ออะไรดังแข่งกันไปหมด” ทำให้เขารู้สึกสะท้านใจ และคิดถึงบุญคุณคนไทยสมัยนั้นที่ยอมสละชีวิตป้องกันประเทศชาติจนตัวตาย ทำให้เราได้มีแผ่นดินอยู่อย่างสุขสบายทุกวันนี้
นอกจากนั้นในบางครั้งเมื่อคุณต๊ะตรวจพุทธคุณพระชุดนี้ก็จะลุกขึ้นพรวดพราด แล้วก็ออกร่ายรำเพลงดาบกระบี่กระบองให้ชมเหมือนอย่างการแสดงหน้าพระที่นั่ง ท่าร่ายรำฟาดฟันก็ทำได้อย่างงดงามรวดเร็วไม่เคยได้เห็นจากที่ใดจะงามเช่นนี้ เลย แสดงว่าผู้ร่ายรำเพลงดาบจะต้องเป็นผู้ที่มีทักษะการฟันดาบเป็นอย่างดี นับเป็นบุญตาของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และในบางครั้งก็ลุกขึ้นร่ายรำแม่ไม้มวยไทยให้ชม การชกมวยในสมัยนั้นก็จะมีท่าทางแปลกไปจากปัจจุบันมาก เพราะมีการนั่งย่อตัวลงและกระโดดตัวลอยขึ้นสูงเพื่อรุกกระทำฝ่ายตรงข้าม ทั้งสับศอกตีเข่าอย่างดุดันอีกด้วย (สมัยนี้เห็นมีแต่ท่ายืนเพียงอย่างเดียว) การไหว้และการคลานเข่าก็ดูนอบน้อมนุ่มนวลรวดเร็วแสดงถึงการได้รับการฝึกฝน อบรมมาเป็นอย่างดี

 

 

เพื่อนรุ่นน้องของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่งชื่อคุณอำนาจ กลิ่นหอม (คุณอ้วน) ได้เล่าว่าอดีตนายทหาร คือพล.ท.ธวัช นรินทรางกูร (บุนนาค) ก็มีพระอรหันต์จกบาตรนี้ใช้อยู่เช่นกัน (ขอประทานโทษที่เอ่ยนามของท่านก่อนได้รับอนุญาต) โดย พล.ท.ธวัชเล่าให้ฟังว่าได้พระนี้มาจากพระธุดงค์ที่ไม่รู้จักในป่าแห่งหนึ่ง ท่านได้มอบไว้ให้ถึง 3 องค์ด้วยกัน นับแต่นั้นท่านก็นำมาบูชาติดตัวตลอดซึ่งก็ได้เคยช่วยชีวิตท่านไว้หลายครั้ง โดยครั้งแรกที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ท่านถูกผู้ก่อการร้ายลอบยิงข้างหลังถึง 7 นัด ปรากฏว่าลูกปืนตกลงก่อนที่จะถูกตัวท่านทั้ง 7 นัด ครั้งที่สองท่านก็ถูกยิงด้วยปืนเอ็ม 16 ที่ในประเทศลาวอีก แต่ปรากฏว่าลูกปืนไม่เข้าคงติดอยู่ที่ผิวหนังคล้ายก้อนดิน ท่านจึงรักและหวงพระชุดนี้มากใครมาขอเช่าท่านก็ไม่ให้ แม้แต่คุณอำนาจเองไปขอเช่าท่านก็ยังไม่ให้เลย ตอนหลังคุณอำนาจจึงได้เล่าให้ท่านฟังว่าพระชุดนี้เป็นของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ได้ปลุกเสกไว้ ท่านจึงดีใจมากเพราะที่ผ่านมาหลายปีก็ไม่ทราบว่าเป็นพระของใครสร้าง ปัจจุบัน (ปี 2544) ท่านเป็นนายทหารนอกราชการมีอายุได้ 70 กว่าปีแล้ว
นอกจากนั้นคุณอำนาจยังเล่าให้ฟังอีกว่าหลังจากที่ได้พระอรหันต์จกบาตรจาก ข้าพเจ้าไป 1 องค์ ท่านก็อธิษฐานขอลาภ (หวย) จากองค์พระเพื่อจะได้นำเงินไปทำบุญและเลี่ยมทอง ท่านขออยู่เกือบ 2 เดือน ก็ปรากฏว่าในวันหนึ่งขณะนั่งอยู่บนรถเมล์ มีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ทางด้านหน้าของท่านได้ควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแล้วก็ หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งมาขยำๆ แล้วก็โยนทิ้งมาที่พื้นรถหน้าคุณอ้วน คุณอ้วนไม่รู้นึกอย่างไรก็เอามือหยิบเศษกระดาษนั้นใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ พอกลับมาถึงบ้านก็คลี่กระดาษนั้นออกดูก็เห็นเป็นล็อตเตอรี่ วันนั้นเป็นวันออกสลากพอดีก็เรียกภรรยาให้เอาใบประกาศผลมาตรวจดู ปรากฏว่าถูกรางวัลที่ 5 จำนวน 2 ใบ ได้เงินมาสองหมื่นบาท (เข้าใจว่าเจ้าของเดิมทิ้งล็อตเตอรี่เพราะคิดว่าไม่ถูกรางวัล) คุณอำนาจจึงนำเงินไปเช่าพระขนาดประมาณ 19 นิ้ว นำไปถวายแก่หลวงปู่กอง จันทวังโส วัดสระมณฑล (มรณะแล้วเมื่อปี 2546) อ.เมือง จ.อยุธยา 1 องค์ และเงินอีกส่วนหนึ่งก็นำไปเลี่ยมทองพระอรหันต์จกบาตรองค์นั้น ทำให้คุณอำนาจเชื่อมั่นศรัทธาต่อพระอรหันต์จกบาตรและหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็น อย่างสูง ไปไหนมาไหนก็ต้องนำติดตัวไปด้วยเสมอ
หลังจากนั้นประมาณเดือนพฤศจิกายน 2545 คุณอำนาจได้ไปทำบุญกับหลวงพ่อมโนธรรม มนธัมโม สำนักสงฆ์สหบุญญาราม บ้านปางวุ้น ต.ผักขวง อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ หลวงพ่อมโนธรรมท่านนี้นับเป็นผู้ที่มีความผูกพันกับหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็น อย่างมากองค์หนึ่ง เพราะตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้วที่หลวงปู่เทพโลกอุดรได้มาพบและช่วยเหลือท่าน หลายครั้ง ทั้งยังได้เคยติดตามหลวงปู่เข้าไปในถ้ำอันลึกลับแห่งหนึ่ง อันเป็นถ้ำที่หลวงปู่ใช้สอนลูกศิษย์ของท่านนับสิบๆ องค์อีกด้วย วันนั้นนับเป็นครั้งแรกที่คุณอำนาจได้ไปทำบุญที่วัดแห่งนี้ เมื่อไปถึงก็ก้มลงกราบหลวงพ่อพอเงยหน้าขึ้นยังไม่ทันจะพูดอะไร หลวงพ่อมโนธรรมก็พูดขึ้นมาก่อนเลยว่า “มีพระอรหันต์จกบาตรด้วยหรือ อาตมาก็เคยมีนะ เมื่อก่อนมีถึง 9 องค์ แต่ได้นำไปถวายไว้ที่วัดต่างๆ หมดแล้ว” นอกจากนั้นท่านยังบอกอีกว่าให้ใช้เพียงองค์เดียวก็พอ คุณอำนาจประหลาดใจมากเพราะใส่พระเอาไว้ในเสื้อหลวงพ่อท่านรู้ได้อย่างไร และวันนั้นท่านก็สวมสร้อยที่มีพระ 3 องค์ในสร้อยเส้นเดียวกัน โดยห้อยพระอรหันต์จกบาตรไว้เป็นองค์กลางถูกต้องตามคำบอกของหลวงพ่อมโนธรรม ทุกประการ
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2544 ในงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่จัดขึ้นที่วิทยาลัยรัชต์ภาคย์ ซอยรามคำแหง 21 กทม. ข้าพเจ้าได้พบกับอาจารย์อรุณ พิมพ์งาม ซึ่งท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงว่ามีญาณวิเศษสามารถล่วงรู้เรื่องราวต่างๆ ได้จริง หลังจากทักทายกันได้พักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็นำพระอรหันต์จกบาตรที่ห้อยคออยู่นั้นยื่นส่งให้ท่านดู โดยบอกท่านเพียงว่าช่วยพิจารณาดูให้หน่อยว่าเป็นอย่างไร ท่านดูเพียงครู่เดียวก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ของผม (ลพ.โอภาสี) บอกว่าพระองค์นี้สร้างโดยอาจารย์ของอาจารย์ เป็นของที่ศักดิ์สิทธิ์มากจนเรียกได้ว่าเป็นของวิเศษ เพราะสร้างโดยพระอภิญญาที่ชื่อว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร คุณนำขึ้นห้อยคอเพียงองค์เดียวเดี่ยวๆ ได้เลย” ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าพระอรหันต์จกบาตร กรุวังหน้านี้จะต้องเป็นพระที่ปลุกเสกโดยหลวงปู่เทพโลกอุดรแน่นอน เพราะผู้มีญาณทัศนะที่เป็นที่ยอมรับกันว่าเก่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์รังษีญาณ พงษ์สัจจา อาจารย์วิทิต พูลสุวรรณ และอาจารย์อรุณ พิมพ์งาม ต่างก็พูดตรงกันว่าเป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดร โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้ถามนำหรือให้ข้อมูลใดๆ ก่อนเลย
หลังจากนั้นอ.อรุณจึงได้เล่าว่า ท่านเองก็เคยพบหลวงปู่เทพโลกอุดรมาแล้วอย่างไม่คาดฝัน โดยพบครั้งแรกในนิมิตขณะที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ที่มูลนิธิโลกทิพย์ (ประมาณปี 2543) โดยท่านเห็นพระหนุ่มองค์หนึ่งมาบอกว่าให้เริ่มสร้างพระใหญ่ที่ อ.เชียงคาน จ.เลย ได้แล้ว ไม่ต้องกังวลอะไรท่านจะช่วย และจะสอนการทำ “ตัว พ” (พ่อ คือพระพุทธเจ้า) ให้เพื่อเป็นของสมนาคุณแก่ผู้มาร่วมสร้างพระ “ตัว พ” นี้ท่านก็เคยสอนให้แก่พระเย็นที่วัดระฆัง (ลป.เย็น ผู้สร้างวัดสระเปรียญ จ.ชัยนาท) มาแล้ว เมื่อท่านสอนเสร็จอ.อรุณจึงได้ลืมตาขึ้นก็ปรากฏว่ามี “ตัว พ” อยู่หน้าท่าน 1 ตัวจริงๆ แต่ในใจของท่านก็ยังคงอดสงสัยไม่ได้ว่านิมิตนี้จะเป็นของจริงหรือไม่
พอวันรุ่งขึ้นขณะที่ท่านกำลังดูโชคชะตาให้คนที่มูลนิธิโลกทิพย์อยู่นั้น ก็ได้มีพระองค์หนึ่งมานั่งรอคิวคล้ายจะมาให้ดูโชคชะตาเช่นคนอื่นๆ พอถึงคิวท่านท่านก็มานั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าอ.อรุณพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เธออย่าสงสัยอีกเลย ฉันมาสอนเธอให้ทำ “ตัว พ” จริงๆ และที่มาในวันนี้ก็เพื่อจะบอกให้เธอแน่ใจเรื่องนี้เท่านั้น” เมื่อท่านพูดจบอ.อรุณถึงกับตกใจและหกล้มตกจากเก้าอี้ทันที ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นต่างหันมามองเป็นจำนวนมากเพราะคิดว่าอ.อรุณไม่สบาย หลวงปู่เทพโลกอุดรจึงพูดกับ อ.อรุณว่ารีบขึ้นมานั่งที่เก้าอี้เถอะจะได้ไม่เป็นที่สนใจของคนอื่น แล้วท่านก็บอกว่าจะกลับล่ะ อ.อรุณจึงลุกขึ้นไปส่งท่านถึงประตู พอย่างเท้าผ่านประตูเท่านั้นท่านก็หายไปต่อหน้าเลย
ลพ.ขาว พุทธรักขิโต วัดป่าคูณคำวิปัสสนา บ้านกลาง ต.กุดให อ.กุดบาก จ.สกลนคร ซึ่งได้พบหลวงปู่เทพโลกอุดรหลายครั้งตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และต่อมาหลวงปู่ได้พาขึ้นไปอยู่บนภูเขาควาย ประเทศลาวเพื่อฝึกสมาธิและเรียนวิชากับท่าน ลพ.ขาวได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านได้เคยถามหลวงปู่เทพโลกอุดรถึงพระ เครื่องของหลวงปู่ที่ถกเถียงกันมานานว่ามีจริงหรือไม่ กรุนี้กรุนั้นเป็นของท่านใช่ไหม ท่านได้เมตตาเล่าว่า “ท่านสร้างพระไม่เป็น ท่านสร้างเป็นแต่พระนิพพาน ส่วนใหญ่จะเป็นลูกศิษย์สร้างไว้และนำไปฝังหรือบรรจุไว้ตามถ้ำตามป่าตามเขา ในภายหลังถูกค้นพบก็นำมาให้เช่าบูชากัน ซึ่งท่านบอกว่าท่านไม่ได้อธิษฐานจิตให้ ยกเว้นพระเครื่องวังหน้าที่วังหน้าสร้างขึ้นนั้นท่านอธิษฐานจิตให้จริง” หลวงปู่ใหญ่ท่านมักจะเรียกเสด็จวังหน้าว่า “วังหน้า” เฉยๆ และลพ.ขาวคิดว่าเสด็จวังหน้าพระองค์นี้ก็คือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ (บุญมา) ในรัชกาลที่ 1 นั่นเอง
มีพระองค์หนึ่งที่สนิทสนมชอบพอกับข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าขอเรียกท่านเพียงว่า “หลวงพี่” เพราะท่านขอไม่ให้เอ่ยนามท่านให้ผู้อื่นรู้ ท่านอายุได้ประมาณ 52 ปี (ปี 45) ท่านเป็นพระไม่อยากดัง หลวงพี่องค์นี้เป็นผู้มีนิสัยทำอะไรทำจริง ทำจนกว่าจะสำเร็จไม่อย่างนั้นไม่หยุดทำ ท่านเคยเดินทางเข้าไปศึกษาวิชาในถ้ำแห่งหนึ่งชื่อว่า “ถ้ำธรรมสภา” ที่ภูเขาควายในประเทศลาว (ภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองเวียงจันทน์ อยู่กลางป่าอันเร้นลับ) ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่างลาวและเวียดนาม ท่านบอกเหตุที่เขาเรียกกันว่าภูเขาควายก็เพราะเมื่อมองดูขุนเขาลูกนี้จากภาย นอก จะมองดูคล้ายควายนอนหมอบอยู่ และนอกจากนั้นภายในถ้ำอันลึกลับแห่งนี้ยังมีเขาควายสีดำอยู่ 2 เขา แต่ละเขายาวเกือบ 2 เมตรทีเดียว คงจะเป็นเขาของควายในสมัยโบราณอันเป็นที่มาของชื่อภูเขาควาย
ในครั้งแรกที่ข้าพเจ้ารู้จักกับหลวงพี่องค์นี้เป็นครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้าก็แขวนพระองค์นี้ไว้ด้านนอกเสื้อ เมื่อคุยกันไปคุยกันมานานพอสมควร ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นว่าท่านชอบจ้องมองมาที่องค์พระของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่าเคยเห็นพระแบบนี้มาบ้างไหม ท่านบอกข้าพเจ้าว่า “อาตมาเคยเห็นพระแบบนี้มาแล้ว มีอยู่ในถ้ำที่ภูเขาควายประเทศลาว” อันเป็น “ตักศิลาของเหล่าพระอภิญญา” ซึ่งมีพระผู้ทรงวิทยาคมแต่ต้องการความสงบอยู่มากมาย และท่านใดก็ตามที่สามารถ “สอบผ่าน” ถ้ำแห่งนี้ได้ก็นับว่าเป็นพระที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ต่อมาในภายหลังข้าพเจ้าได้ถวายพระอรหันต์จกบาตรนี้แด่หลวงพี่ด้วย 1 องค์ พอ 1 อาทิตย์ผ่านไปข้าพเจ้าก็ได้พบกับท่านอีกครั้งจึงได้ถามท่านว่า “หลวงพี่ครับพระที่ผมถวายไปเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านตอบมาว่า “เป็นพระที่ดีมากที่สุดเลยโยม อาตมาดีใจมากที่โยมถวายให้ และขอยืนยันว่าพระนี้ปลุกเสกโดยหลวงปู่เทพโลกอุดรจริง สามารถใช้เป็นสื่อสำหรับติดต่อกับหลวงปู่เทพโลกอุดรได้เป็นอย่างดี ในบางวันก็มีทหารโบราณมายืนอยู่ด้านนอกกุฏิเต็มไปหมด”
และล่าสุดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ข้าพเจ้าได้ไปกราบพระยกพล โรจนธัมโม วัดหนองดง ต.หัวทะเล อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ ท่านได้เล่าถึงเรื่องที่ได้ออกธุดงค์ในป่าแถบจังหวัดชัยภูมิและเพชรบูรณ์ โดยไปพร้อมกับเณร 2-3 รูป เมื่อเข้าไปอยู่ในป่าลึกปรากฏว่าไม่มีบ้านคนอยู่เลย เดินธุดงค์อยู่หลายวันทั้งๆ ที่ไม่ได้ฉันอาหาร ท่านบอกว่าสงสารพวกเณรมากที่หิวข้าวจนเป็นลม ส่วนตัวท่านเองแม้จะหิวปานใดก็ไม่ได้ย่อท้อ จนมาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งทุกคนเดินทางต่อไปไม่ไหวแล้ว ปรากฏว่าได้พบกับท่านฤๅษีองค์หนึ่ง (อยู่ในร่างผ้าขาว) ได้นำอาหารมาให้ ท่านเลยขอให้เณรได้ฉันก่อนส่วนท่านขอฉันส่วนที่เหลือจากเณร ทำให้ฤๅษีองค์นั้นเห็นว่าท่านมีจิตใจเด็ดเดี่ยวจึงได้พาท่านเข้าไปในถ้ำแห่ง หนึ่งที่เรียกว่า “ถ้ำหอม” ต่อมาจึงได้ทราบว่าฤๅษีท่านนี้มีชื่อว่า “ฤๅษีโสดา” หนึ่งใน 2 ฤๅษีที่รับใช้หลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งฤๅษีอีกองค์หนึ่งมีชื่อว่า “ฤๅษีสิงขร” นอกจากนั้นก็ยังมีศิษย์ฆราวาสชื่อว่า “ปู่โทน” อีกท่านหนึ่ง

ท่านและเณรจึงได้อยู่ปฏิบัติธรรมในถ้ำแห่งนั้นอย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องพะวงกับของขบฉันอีก ในเวลาต่อมาท่านจึงมีโอกาสได้ไปเข้าไปเรียนวิชาใน “ถ้ำวัวแดง” ซึ่งเป็นที่พำนักของหลวงปู่เทพโลกอุดร (ไม่ใช่ถ้ำวัวแดงที่ อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ แต่ก็สามารถเข้าไปถึงถ้ำวัวแดงที่แท้จริงได้เช่นกันโดยต้องเข้าทาง “ถ้ำน้ำ” ท่านบอกว่าทางเข้าถ้ำวัวแดงที่แท้จริงนั้นเข้ากันคนละด้านกับถ้ำวัวแดงแห่ง นี้เลย) จนทุกวันนี้ท่านก็ได้ถวายงานตามคำแนะนำของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ใช้ให้ท่านไปทำนุบำรุงวัดต่างๆ โดยห้ามอยู่นานเกินแห่งละ 3 ปี และเมื่อถึงเวลาก็จะต้องกลับไปที่ถ้ำวัวแดงเพื่อฝึกปฏิบัติในขั้นสูงต่อไป ในวันนั้นข้าพเจ้าสวมพระอรหันต์จกบาตรไปด้วยจึงได้ถอดส่งให้ท่านพระยกพลดู และได้ถามท่านว่า “เคยเห็นพระแบบนี้บ้างไหมครับ” ท่านดูอยู่ไม่นานก็ตอบมาว่า “เคยเห็นพระแบบนี้มาแล้วมีอยู่ในถ้ำวัวแดง ทั้งยังมีเนื้อดินอีกด้วยนะ” เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้ความรู้ใหม่ว่าพระชุดนี้มีเนื้อดินอีกด้วย
ยังมีพระที่ข้าพเจ้าเคารพมากอีกหนึ่งองค์ ท่านเป็นพระผู้ชราภาพมากแล้ว มีตำแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดอยู่แถวฝั่งธนบุรี (ท่านก็คือหลวงพ่อภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ) ท่านมีลักษณะที่เด่นแปลกไปจากพระองค์อื่นๆ ก็คือใบหูของท่านเหมือนใบหูของพระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน คือเรียวยาวไม่กลมป้อมเหมือนคนทั่วไป ติ่งหูก็ยาวมาก ท่านเป็นพระผู้ที่มีญาณทัศนะชั้นเยี่ยมคือรวดเร็วและแม่นยำ สมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนหนังสืออยู่ที่จุฬานั้น เวลาที่ไปพบท่านในแต่ละครั้ง ข้าพเจ้าก็จะนั่งสมาธิหน้ากุฏิท่านแล้วส่งกระแสจิตบอกท่านว่าผมมาพบทั้งนี้ เพราะเป็นปกติที่ท่านจะปิดประตูอยู่แต่ภายในกุฏิแบบเดียวกับท่านเจ้าคุณนร แต่ก็เป็นเรื่องแปลกมากที่ภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที ท่านก็จะเปิดประตูออกมาทุกครั้งแล้วถามว่า “วันนี้มามีธุระอะไรอีกล่ะ” เสียงท่านจะเข้มๆ ทำให้เด็กอย่างข้าพเจ้ากลัว แต่ก็รู้สึกทึ่งในญาณทัศนะของท่านเสมอเพราะเป็นพระองค์เดียวที่ข้าพเจ้าไม่ ต้องเคาะประตูเลย
เมื่อไม่นานมานี้ (พค.48) มีท่านผู้หนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พระผู้ชราท่านนี้ได้พระอรหันต์จกบาตรจากพระองค์หนึ่งที่นำไปถวายท่าน ทันทีที่ท่านเห็นพระอรหันต์จกบาตรก็พูดขึ้นมาเลยว่า “นี่เป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดร พระชุดนี้มีอยู่ 2 พิมพ์ อีกพิมพ์หนึ่งเป็นพิมพ์พระสังกัจจายน์ ต่อไปจะเป็นพระที่มีราคาแพง และก็จะมีพระปลอมออกมาต้องระวังให้ดีนะ”
ดังนั้นหากท่านใดได้พบพระพิมพ์นี้ก็ขอให้รีบเก็บไว้โดยเร็ว เพราะท่านจะได้มีไว้ซึ่งพระที่ดีที่สุดองค์หนึ่ง ดีทั้งในแง่พุทธศิลป์และในแง่พุทธคุณ ทั้งยังได้ภูมิใจว่าได้มีพระที่หาได้ยากยิ่งพิมพ์หนึ่งไว้ในครอบครองอีกด้วย พระชุดนี้มีผู้พบว่าขึ้นที่กรุวังหน้าบ้าง กรุวัดเชิงท่าบ้าง วัดในอยุธยาบ้าง ในถ้ำกลางป่าเขาบ้าง อย่าได้แปลกใจเลยว่าทำไมมีขึ้นในหลายกรุหลายที่ ทั้งนี้พระเก่าในสมัยโบราณเขาก็นิยมฝากกรุกันหลายที่เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญเราจะต้องเลือกพระที่มี “ลูกหยอด” ที่ฐาน อันแสดงว่าพระองค์นั้นได้รับการเจาะฝังผงวิเศษและอัฐิวิญญาณทหารกล้า (เทพประจำองค์พระ) เอาไว้ภายในองค์พระเรียบร้อยแล้ว หากใครอยากได้ไว้บูชาก็สามารถมาทำบุญสร้างพระมหาเจดีย์ที่วัดหลวงพ่อสดก็จะ ได้รับพระอรหันต์จกบาตรไว้เป็นที่ระลึก ได้บุญด้วยและได้ของดีไว้ติดตัวด้วยครับ

ขอขอบคุณภาพจากคุณ ปิยะ ศรีทองคํา
แชร์เลย

Comments

comments

Share: