พระเตชวัน มณีวรรณวรวุฒิ

ลุงเตชวัน มณีวรรณวรวุฒิ อดีตสามเณรจุลณี ตอนที่ 1

“หลวงพ่อ ไม่ทิ้งเอ็งหรอก” ถ้อยคำนี้ยังก้องอยู่ในใจของลุงเตชวัน มณีวรรณวรวุฒิ ซึ่งมีอายุได้ ๖๒ ปีแล้ว อยู่ตลอดเวลา แม้จะผ่านช่วงวัยของชีวิต จากวันนั้นถึงวันนี้มาร่วม ๔๐ กว่าปีแล้วก็ตาม

แต่ภาพต่างๆ ครั้งเคยเป็นลูกเณรของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ผู้ที่ลุงเคารพบูชาสุดในชีวิตก็ไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำ เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า เป็นการตายแล้วเกิดใหม่ นั่นยิ่งตอกย้ำความทรงจำของลุงให้สนิทแนบแน่นยิ่งขึ้น

เริ่มแรกนั้น ยายผมชื่ยายเพิ่ม ไปบวชเป็นชีอยู่ที่วัดปากน้ำ ผมจะเรียกยายติดปากว่า “แม่ครู” ยายผมมีความศรัทธาในหลวงพ่อวัดปากน้ำมาก สมัยนั้นวัดยังไม่เจริญ แม้แต่บริเวณก็ไม่มาก ไม่เจริญเท่าปัจจุบันนี้

เมื่อยายบวชเป็นชี แม่ก็พาผมมาเยี่ยมยายที่วัดอยู่เป็นประจำตอนนั้นอายุประมาณ ๑ ขวบ บ้านอยู่ที่ดำเนินสะดวก นั่งเรือมาจากดำเนินสะดวก สมัยนั้นเรียกกันว่า “เรือแดง”

นั่งเรือแดงมาจนถึงบางยาว แล้วก็ต่อเรือจากบางยาวมาขึ้นที่กระทุ่มแบน แล้วต่อรถยนต์มาลงตลาดพลู ใช้เวลาเดินทางจากบ้านมาถึงวัดก็ประมาณ ๑ วัน ออกจากบ้าน ๘ โมงเช้า มาถึงวัดปากน้ำทุ่มกว่าถึง ๒ ทุ่ม

จำได้ว่าแม่เอาผ้าป่ามาทอดด้วย ปีหนึ่งก็มาทอดครั้งหนึ่งตอนออกพรรษา ทางวัดก็จะมีการตักบาตรเทโวฯ วันนั้นหลวงพ่อท่านก็จะเปิดโลก คนก็จะมาสักการะบูชา มาเวียนเทียน หลวงพ่อท่านก็จะเทศน์เปิดโลกให้เทวดาและมนุษย์มาฟัง วันนั้นถ้าใครที่มีสมาธิกล้า มองขึ้นไปบนฟ้า ก็จะเห็นเทวดามากันเต็มไปหมด มีคนเห็นกันเยอะ

ต่อมาผมก็ได้รับพระของขวัญกับหลวงพ่อ พอรับพระเสร็จหลวงพ่อท่าน ก็จะสอนวิชชาธรรมกาย เราก็ปฏิบัติตามท่าน ทีนี้พอแม่ไปๆมาๆ ที่วัดบ่อยเข้า แม่ก็อยากให้บวช พอจบ ป๔ แม่ก็ให้บวชเลย ตอนนั้น อายุ ๑๔ ปี (พ.ศ.๒๔๙๖) โตแล้วจำทางได้ สามารถเดินทางมาวัดคนเดียวได้แล้ว

ตอนก่อนที่จะบวช หลวงพ่อท่านก็จะเรียกเข้าไปนั่งสมาธิในโบสถ์ แล้วท่านก็ถามว่า เป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ จิตถึงไหนแล้ว ไหนเล่าให้หลวงพ่อฟังสิ เราก็รายงานให้ท่านฟัง

ก่อนเข้าพรรษา ๒วัน ก็ได้บวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้วหลวงพ่อก็ให้เข้าไปทำวิชชาในโรงงานทำวิชชา โรงงานทำวิชชาจะเป็นห้องเล็กๆ ไม่ใหญ่ มีพระนั่งอยู่ ๒๓ แถว มีเณรนั่งอยู่ ๒ แถว มีห้องของหลวงพ่อ อยู่อีกห้องหนึ่งตรงกลาง ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นห้องของแม่ชีมองไม่เห็นกัน มีฝากั้นได้ยินแต่เสียง

จะมีช่องให้ได้ยินเสียงของหลวงพ่อ พระจะมองเห็นหลวงพ่อ แต่แม่ชีไม่เห็นหลวงพ่อท่านก็จะสั่งให้ใช้ธรรมกาย แก้ไขทุกข์มนุษย์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ รบกับมาร เราต้องรบกับมาร ไม่ชนะไม่ได้ เราต้องเอาชนะให้ได้ ทำกันตลอดเวลา ได้พักตอนช่วงฉันเช้ากับฉันเพล พอบ่าย ๓ โมง หลวงพ่อท่านก็เรียกเข้าโรงงานทำวิชชาต่อ

ในโรงงานทำวิชชานั้น หลวงพ่อเรียกผมว่า จุลณี ซึ่งความจริง ตอนแรกผมมีชื่อว่าประเสริฐ แต่หลวงพ่อเรียกว่าจุลณี ชื่อนี้เป็นชื่อในอดีตชาติของผม หลวงพ่อท่านก็จะให้ไปดู ท่านต้องการให้เรารู้ว่า ชาติที่ผ่านมา ทำบาปทำกรรมอะไรมา แล้วชาติก่อนที่จะมาเกิดนี้ เป็นอะไรมา ท่านก็ตามไปดูกับเราด้วย ไปคู่กันเลย คอยคุมคอยดูเราไว้ ดูตั้งแต่สมัยโน้นนะ สมัยที่เป็นแผ่นดินมาดูเป็นหมื่นๆ ชาติชื่อจุลณีนี้เป็นชื่อเจ้าเมือง คอยควบคุมคนปกครองคน แบบอัยการศึก คือเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ ไม่ได้มาปกครองทั้งประเทศอย่างนี้

การเห็นภาพภายในหมายถึงตอนที่เราระลึกชาตินั้น เราจะเห็นเหมือนเราแสดงหนังแล้วมาฉายให้เราดู เหมือนการกรอหนังกลับ บางชาติเกิดเป็นผู้หญิงก็มี ชาติก่อนเราเป็นเจ้าใช่ไหม แล้วก็สร้างกรรมเอาไว้ เขาเอาผู้หญิงมาให้ นี่กรรมนี้ทำให้เราเกิดเป็นผู้หญิง

ก่อนที่จะไปเป็นผู้หญิงก็ไปเกิดเป็นสุนัข เป็นสัตว์เดรัจฉานมากมาย พอจากชาตินั้นแล้ว ใช้กรรมจนหมดแล้ว ก็มาเกิดเป็นผู้ชายแท้ นี่ถ้าหลวงพ่อท่านอยู่ คงเล่าได้มากกว่านี้ แต่หลวงพ่อไม่อยู่ เล่ามากไม่ได้ เพราะถ้าเล่าไปแล้วคนไม่เชื่อก็จะเป็นบาป

หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจะสอนอยู่เสมอว่า ให้เราทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้านะ อันนี้ท่านย้ำมาก บอกอยู่บ่อย แต่เราทำไม่ค่อยได้ ท่านบอกว่าต้องทำเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าเข้าใจไหม

เราเป็นเด็กก็ยังไม่เข้าใจ แล้วท่านก็อธิบายว่า เหมือนเขาเอาไม้มาตีเรา แล้วถามว่าเราเจ็บไหม ก็เจ็บนะ แล้วเราจะตีเขาตอบไหม เราจะโกรธไหม ถ้าโกรธนั้นแหละตัวกรรม ถ้าเขาตีเรา แล้วเราอโหสิให้ เราจะได้แสงรัศมีของความอดทน เราจะได้บารมีตรงนี้

โดย : สิงหล

ลุงเตชวัน มณีวรรณวรวุฒิ อดีตสามเณรจุลณี เล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ ตอนที่ 2

นี่ตอนท่านสอนใหม่ๆ สอนไป ก็ทำวิชชาไป ท่านสอนอยู่เรื่อยๆ หลวงพ่อท่านจะเอาใจใส่ดูแลลูกวัดอย่างใกล้ชิด ในวันพระท่านก็จะลงปาติโมกข์ พอลงปาติโมกข์เสร็จก็อบรมพระเณร ถ้าไม่อบรมตอนนี้ ก็จะมีตอนเช้าไปฉันที่ศาลา ก่อนจะเข้าโบสถ์ไหว้พระ 

ผมอาศัยอยู่กับพระครูพิพัฒน์ธรรมคณีในโบสถ์ ทีนี้รู้สึกว่ามันคับแคบก็เลยออกมานอนกับเณรองค์หนึ่งซึ่งบวชทีหลัง แล้วหลวงพ่อก็สั่งให้มาทำวิชชาด้วยกันนะ ๒ องค์เป็นเพื่อนกัน ปกติก่อนจะนอนก็ต้องกันมุ้งแล้วสวดมนต์นั่งสมาธิ มีอยู่วันหนึ่งวันนั้นเณรองค์นี้ที่มาอยู่ทีหลังไม่ได้กันมุ้ง ขี้เกียจ ก็นอนเลย พอต่อมาหลวงพ่อฉันเช้าเสร็จท่านก็มาสวดมนต์ในโบสถ์แล้วก็ขึ้นอบรม ท่านพูดเลยว่า 

“ เมื่อคืนนี้..มีอัศจรรย์ ทำไมน้อ มันไม่สวดมนต์ ไม่นั่งสมาธิ เสร็จแล้วพอจะนอนมันก็ไม่กันมุ้งกันอีก เณรอีกองค์ก็บอกให้เขากันมุ้ง แต่มันกลับเอาตีนกันมุ้งชะนี่ 

”โอ้โอ…ตอนนั้นเป็นเณรกลัวเลย เพราะหลวงพ่อท่านรู้ ทีหลังเราก็ไม่กล้า ท่านพระครูพิพัฒน์ธรรมคณี จะเอาคำพูดที่หลวงพ่อพูดในโบสถ์มาเตือนพระเตือนเณร เรื่องของเณรที่ต้มข้าวต้มกินก็มีนะ เป็นเณรในกุฏิเนกขัมมะ แอบไปเที่ยวด้วย “ เหลืองไม่อยู่ส่วนเหลือง ต้มข้าวต้มกินยังไม่พอ ยังไปดูหนังชะอีก ” หลวงพ่อท่านจะเอามาตักเตือนในโบสถ์ แต่ไม่บอกว่าใคร ใครทำคนนั้นก็รู้เอง ท่านก็ว่า “ แล้วอย่างนี้ ศีลมันจะเหลือรึ ยังไม่พอไปดูหนังอีก ” แล้วผิดศีลข้อไหนอีก ท่านก็ไล่ดูเลยนะ ผิดศีลข้อไหนบ้าง เณรรู้มั้ย ไม่มีใครกล้าตอบเลย ถ้าทำอีกนะหลวงพ่อจะเรียกออกมาประกาศชื่อให้พระ และญาติโยมได้รู้ ผมโดนหลวงพ่อเตือนตรงๆ อยู่ครั้งหนึ่ง 

วันนั้นหลวงพ่อไม่อยู่ พระครูฯก็ไม่อยู่ เราก็แอบไปปีนชมพู่มะเหมี่ยวตอนกลางคืน กัดไปแล้วนะด้วยความหิว พอเคี้ยวไปคำสองคำ ก็มาคิดว่า เอ๊ะ…เราจะกินดีมั้ยนะ พอคิดได้ เราก็โยนชมพู่ทิ้ง ที่เคี้ยวอยู่ก็กลืนลงไป ต่อมาหลวงพ่อท่านลงรับแขกท่านก็มองหน้าผม คือผมจะมีหน้าที่คอยปูอาสนะให้หลวงพ่อ ตอนที่ท่านจะรับแขก พอแขกไปหมดแล้ว ท่านก็พูด ตอนนั้นมียายอยู่ ๒ คน ยังไม่กลับ ท่านเอี้ยวตัวหันมาทางผม แล้วพูดว่า 

“ เมื่อคืนนี้เอ็งไปปีนชมพู่ใช่ไหมวะ แหมพอเอ็งกินเข้าไปแล้ว เอ็งนึกได้ก็ค่อยทิ้ง แล้วอย่างนี้ที่กลืนๆ ลงไป ศีลมันจะเหลือหรือวะ ” ท่านพูดอย่างนี้เลยเหมือนท่านอยู่ในเหตุการณ์เลย ผมนี้หน้าชา อายโยมมากเป็นหนเดียวเท่านั้นที่ทำ 
โดย : สิงหล เพจบุคคลยุคต้นวิชชา

รู้ความประพฤติลูกศิษย์..ด้วยญาณทัสสนะ

แม้ในวัดปากน้ำมีพระ เณร และแม่ชีจำนวนมาก แต่ถ้าลูกศิษย์ แอบไปทำอะไรไม่ดี ก็ไม่สามารถปกปิดหลวงปู่ได้ เพราะท่านรู้ได้ด้วยญาณทัสสนะ

เรื่องนี้ ลุงเตชวัน มณีวรรณวรวุฒิ ท่านเล่าให้ฟังว่า ในครั้งที่ลุงเตชวันเคยบวชเป็นเณรอยู่กับหลวงปู่วัดปากน้ำ มีวันหนึ่งที่หลวงปู่ไม่อยู่ ลุงเตชวันได้ไปแอบเก็บชมพู่ม่าเหมี่ยวตอนกลางคืน แล้วกัดกินกลืนลงไปด้วยความหิว แต่พอจะกัดลงไปคำที่สอง ก็คิดได้ว่า เอ๊ะเราจะกินดีไหมนะ และพอคิดได้ตอนนั้น..ก็โยนชมพู่ที่เหลือทิ้งทันที

เรื่องที่ลุงเตชวันแอบกินชมพู่ตอนบวชเป็นเณรนั้น ไม่มีใครรู้ใครเห็นเลย แต่ก็หนีไม่พ้นญาณทัสสนะ หรือความหยั่งรู้ของหลวงปู่ เพราะวันต่อมา..ขณะที่หลวงปู่ลงรับแขก ลุงเตชวันก็ได้ไปปูอาสนะให้หลวงปู่ตามปกติ แต่วันนี้หลวงปู่ได้มองหน้าลุงเตชวัน และพอหลวงปู่ใกล้จะรับแขกเสร็จ คือ เหลือแขกอยู่ 2 คน เป็นยายแก่ ๆ หลวงปู่ท่านก็เอี้ยวตัวมาถามลุงเตชวัน (ซึ่งขณะนั้นเป็นเณร) ว่า “เมื่อคืน..เอ็งไปปีนชมพู่ใช่ไหมวะ แหม..พอเอ็งกินเข้าไปแล้ว.. นึกขึ้นได้ค่อยทิ้ง แล้วอย่างนี้ ที่กลืน ๆ ลงไป ศีลมันจะเหลือหรือวะ !!”

และเมื่อลุงเตชวันฟังดังนั้น ก็หน้าชาทันที เพราะอายโยมทั้ง 2 คนนั้นมาก เพราะหลวงปู่พูดเหมือนอยู่ในเหตุการณ์เลย แถมหลวงปู่ยังรู้ความคิดทั้งหมดของลุงเตชวัน ประดุจเป็นตัวลุงเตชวันเองอีกด้วย และนับจากวันนั้น..ลุงเตชวันก็ไม่กล้าทำผิดอย่างนั้นอีกเลย…

Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ

บูชาบุคคลที่ควรบูชา
หล่อรูปเหมือนหลวงปู่วัดปากน้ำด้วยทองคำ
            “พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)  หรือที่กล่าวถึงท่านว่า  หลวงปู่วัดปากน้ำ  ภาษีเจริญ    ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย  แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และนำมาเผยแพร่ด้วยวิธีการง่าย ๆ   กับคำสอนที่ว่า  “หยุดเป็นตัวสำเร็จ”   เมื่อค้นพบแล้วนำมาเปิดเผยสั่งสอน มีลูกศิษย์  ผู้ปฏิบัติตามจนเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติตามมาในภายหลังเป็นจำนวนมาก   ท่านเป็นพระนักปฏิบัติผู้มีธรรมอันบริสุทธิ์  ใจของท่านหยุดสนิทแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัยภายในอยู่ตลอดเวลา  จึงทำให้ท่านเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์   ซึ่งบรรดาบุคคลผู้ใกล้ชิด และลูกศิษย์  ในยุคที่หลวงปู่ท่านยังมีชีวิตอยู่ได้พบเห็นด้วยตัวเองอยู่เสมอ” 
           พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ  ระหว่างท่านยังมีชีวิตอยู่  ท่านจะติดอยู่กับธรรมะและปฏิบัติตนเป็นพระแท้  นำธรรมะมาเผยแพร่สั่งสอนทั้งพระภิกษุสามเณร  ศิษยานุศิษย์  ญาติโยม  เป็นที่พึ่ง   เข้าช่วยแก้ทุกข์ไขภัยภิบัติรักษาโรค  ช่วยขจัดภัยแก่ชาติบ้านเมือง  เป็นต้น  ดังที่ปรากฏจากผู้อยู่ร่วมสมัยกับท่าน

ความลับไม่มีในโลก 
            เป็นที่ทราบกันดีในเหล่าลูกศิษย์สมัยหลวงปู่ว่า  ไม่มีอะไรที่หลวงปู่ไม่รู้ ไม่เห็น ความลับไม่มีสำหรับท่าน  อีกทั้งท่านยังใส่ใจหมั่นตรวจตราลูกศิษย์ของท่านอยู่เสมอ  ในเรื่องนี้ลูกศิษย์ของท่านตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร   ชื่อคุณลุงเตชวัณ มณีวรรณวรวุฒิ  ได้เล่าว่า       “วันนั้นหลวงพ่อไม่อยู่ เราก็แอบไปปีนต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวตอนกลางคืน  กัดไปแล้วด้วยนะ  ด้วยความหิว  พอเคี้ยวไปคำสองคำก็มาคิดว่า  เอ๊ะ..เราจะกินดีมั้ยนะ  พอคิดได้ก็โยนชมพู่ทิ้ง ที่เคี้ยวอยู่ก็กลืนลงไป  วันต่อมาหลวงพ่อท่านลงรับแขกท่านมองหน้าผม  คือ  ผมจะมีหน้าที่ปูอาสนะให้หลวงพ่อตอนที่ท่านจะรับแขก  พอแขกไปหมดแล้วท่านเอี้ยวตัวหันมาทางผม แล้วพูดว่า  เมื่อคืนนี้เอ็งไปปีนชมพู่ใช่ไหมวะ  แหม..พอเอ็งกินเข้าไปแล้วเอ็งนึกได้ค่อยทิ้ง  แล้วอย่างนี้ที่กลืนๆๆลงไปศีลมันจะเหลือหรือวะ  ท่านพูดอย่างนี้ เหมือนท่านอยู่ในเหตุการณ์” 
            คุณป้าจินตนา โอสถ อดีตแม่ชีที่เคยทำวิชชาอยู่กับหลวงปู่  ในโรงงานทำวิชชาสมัยนั้น เล่าเรื่องที่คล้ายกันนี้ให้ฟังว่า  “คราวนั้นเป็นฤดูหนาว อากาศหนาวมากเลย มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งออกมาอยู่แถวๆ  ห้องทำวิชชา ดูท่าทางเขาหนาวมาก พอเห็นแล้วป้าก็สงสาร จึงเอาผ้าห่มที่มีอยู่แค่ผืนเดียวของตัวเองให้เขา พอช่วงเย็นๆ หลวงพ่อก็ถามว่า ใครไม่มีผ้าห่มบ้างวะ เหมือนกับท่านรู้ แล้วท่านก็ส่งผ้าห่มมาให้ 1 ผืน ส่งผ่านช่องเล็กๆ  ห้องทำวิชชาจะมีช่องเล็กๆ ไว้ยื่นส่งของ”

หยั่งรู้อนาคตได้
                 
คุณลุงสมจิตร ฉ่ำรัศมี  อดีตสมาเณรวัดปากน้ำเล่าว่า  “แต่ก่อนหลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า  ต่อไปยุคเอ็งจะได้เห็นปราสาท 3 ฤดู  เราก็หัวเราะเพราะไม่เชื่อ  ต่อมาเดี๋ยวนี้มีคอนโดติดแอร์ขึ้นมา หลับสบายเหมือนปราสาท 3 ฤดู ให้ร้อนก็ได้ ให้หนาวก็ได้  ท่านกำหนดรู้ไปหมด  คลองจะเป็นถนน ถนนจะเป็นเส้นขนมจีนนะ  หม้อดินต่อไปจะไม่ต้องหุง  มีหม้อทิพย์ เปิดปุ๊บติดปั๊บ  จะมีหูทิพย์ตาทิพย์  ..เดี๋ยวนี้มีหม้อหุงข้าวเปิดปุ๊บติดปั๊บ  โทรทัศน์ก็มี อยากดูช่องไหนก็เปิดดู  เหมือนเรามีตาทิพย์  หูทิพย์ก็มี โทรศัพท์ติดต่อสื่อสารกันได้  ฮัลโหลๆ  พูดกันรู้เรื่องแล้ว”

แก้ไขภัยพิบัติและรักษาโรค
           
  พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์ทั้งหลายในทุกเรื่อง  แก้ไขภัยพิบัติต่าง ๆ ของประเทศหรือแม้แต่ความเจ็บไขได้ป่วย  ใครมีโรคภัยใดๆ มักจะนำมาให้หลวงปู่รักษาอยู่เสมอ  แต่วิธีการรักษาท่านไม่ต้องใช้ยา  ท่านรักษาด้วยวิชชาธรรมกาย  โดยสั่งให้ผู้ที่ได้ธรรมกายช่วยแก้โรคให้คนที่มารักษาต้องนั่งสมาธิด้วย  เพื่อให้กระแสจิตเชื่อมถึงกันจึงจะได้ผล  แม่ชีทวีพร เลี้ยบประเสริฐ  ซึ่งทำวิชชาธรรมกายอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงปู่เล่าว่า  “เรื่องของการทำวิชชานั้น  หลวงพ่อให้ทำวิชชาแก้เภทภัยของประเทศและรักษาโรค  มาขอให้หลวงพ่อเรียกฝน  เป็นคนทำนาแถวๆ สุพรรณบุรี  ให้ทำนา ทำสวน ทำไร่กันได้  แล้วฝนก็ตกจริงๆ  ..คนป่วยที่จะให้รักษาต้องเขียนชื่อ สกุล ที่อยู่ เป็นโรคอะไร แล้วส่งให้หลวงพ่อ  ท่านก็สั่งให้แม่ชีแก้อีกครั้งหนึ่ง  บางคนใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะหาย  และเมื่อกลับบ้านแล้วต้องปฏิบัติธรรมและถือศีลด้วย  ต้องนั่งธรรมะ (นั่งสมาธิ) 10 – 20 นาที  อย่างโรคภัยไข้เจ็บ อาการบ่งบอกว่าจะตายในระยะเท่านั้นเท่านี้ พอหลวงพ่อส่งคนไปรักษา  คนนั้นก็ไม่ตาย  วิธีการรักษาก็ไม่ต้องกินยา  ใช้กายองค์พระธรรมกายกลั่นธาตุธรรมให้ใสให้สะอาด”

ดับเดือน ดับดาว
           
ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า  แม้จะเดินทางไปให้ถึงยังแสนยากเย็น  แต่ในยุคของพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านสามารถดับดาวได้  เรื่องนี้แม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉาย เล่าว่า  “ชีวิตจิตใจของหลวงพ่อไม่มีอะไรมากไปกว่าวิชชาธรรมกาย 24 ชั่วโมง  หลวงพ่อไม่เคยห่างทำวิชชาตลอด  ครั้งหนึ่งมีญาติโยมมานั่งกันเต็ม  ช่วงกลางคืน  คืนนั้นดาวเต็มท้องฟ้า  ท่านก็ให้เณรที่อยู่ใกล้ๆ ท่าน (หลวงพ่อเล็ก)  ดับดาวบนท้องฟ้า จะเห็นดาวดับเป็นแถบๆ เลย  เพื่อให้รู้วิชชาธรรมกายสามารถทำได้  ไม่ใช่เพื่อเหตุผลอย่างอื่น”

ปัดลูกระเบิดสมัยสงครามโลก
            ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2  ถือเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานของประเทศไทย  มีการทิ้งระเบิดไม่เว้นแต่ละวัน  ด้วยความอัศจรรย์ในวิชชาธรรมกาย พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านแก้ไขเหตุร้ายต่างๆให้ลุล่วงไปได้  ในเรื่องนี้ ได้รับคำยืนยันจากคุณลุงประคอง ทับจ้อย  อดีตศิษย์ที่ใกล้ชิดของท่านได้เล่าว่า “วิชชาของหลวงพ่อวัดปากน้ำนี่ท่านดีจริง  ถ้าวิชชาของหลวงพ่อไม่แน่  ตอนนี้วัดปากน้ำเหลือแต่ดุ้นฟืน เพราะตามหลักจริงๆ แล้ว  วัดปากน้ำเป็นจุดที่ระเบิดลงเลยแหละ  ประตูน้ำบางคลองนี่ไม่เหลือ  ตั้งแต่ประตูน้ำบางนกแสก  ประตูน้ำอ่างทอง  ประตูน้ำบางยาง  เหลือเพียงแต่ประตูน้ำภาษีเจริญที่ไม่เป็นอะไรเลย  ช่วงนั้นหลวงพ่ออยู่ในโบสถ์  ไม่ออกจากโบสถ์เลย  นั่งทำวิชชาของท่านอย่างเดียว  นั่งปัดลูกระเบิดอย่างเดียว  แล้วบางคนก็วิ่งมาที่วัดปากน้ำเพราะมั่นใจว่าอย่างไรก็ปลอดภัยที่สุด  ..ตอนสงครามโลก  ช่วงนั้นมีมดแดงกัดกัน แปลก! มันกัดกันตายกองเป็นเข่งเลย  ก็ไปบอกหลวงพ่อว่า  หลวงพ่อมดมันกัดกันตายเต็มถนนไปหมด  หลวงพ่อท่านก็บอก  อือ..อีก 7 วัน  สงครามโลกจะเลิก  หลังจากหลวงพ่อท่านพูดก็เลิกจริงๆ  อีก 7 วัน สงครามเลิกเลย”

      ด้วยอานุภาพอันน่าอัศจรรย์ต่างๆ เหล่านี้ ได้คัดเลือกมาจากหนังสือ “บุคคลยุคต้นวิชชา”       เป็นคำบอกเล่าของเหล่าศิษย์ในยุคของหลวงปู่  ที่พบเห็นด้วยตาของตนเอง               ให้มหาชนประจักษ์ถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์   ของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำอย่างจะนับประมาณมิได้        ซึ่งเกียรติคุณของท่านยังคงเลื่องลือมาจนกระทั่งปัจจุบัน
            ในวันที่ 10 ตุลาคม  พ.ศ. 2551  ที่จะถึงนี้  เหล่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย    มีความเคารพเลื่อมใสศรัทธา      จะได้ร่วมกันหล่อรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่ด้วยทองคำ เพื่อประดิษฐาน ณ มหาวิหารพระมงคลเทพมุนี   ไว้ได้กราบไหว้บูชา  ได้ศึกษาประวัติชีวิตปฏิปทา  และเจริญรอยตามท่าน   เพื่อเข้าถึงความรู้ในพระพุทธศาสนา  จนกระทั่งได้รับมรรคผลแห่งชีวิตมนุษย์อันเป็นที่สุดได้.                                                                
(ติดตามเพิ่มเติมได้ที่  www.dmc.tv)

ลุงเตชวัน  มณีวรรณวรวุฒิ

หลวงพ่อวัดปากน้ำ  ท่านจะสอนอยู่เสมอว่า  ให้เราทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้านะ  อันนี้ท่านย้ำมากบอกอยู่บ่อย  แต่เราทำไม่ค่อยได้  ท่านบอกว่าต้องทำเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าเข้าใจไหม  เราเป็นเด็กก็ยังไม่เข้าใจ  แล้วท่านก็อธิบายว่า  เหมือนเขาเอาไม้มาตีเรา  แล้วถามว่าเราเจ็บไหม  ก็เจ็บนะ  แล้วเราจะตีเขาตอบไหม  เราจะโกรธไหม  ถ้าโกรธนั้นแหละตัวกรรม  ถ้าเขาตีเรา  แล้วเราอโหสิให้  เราจะได้แสงรัศมีของความอดทน  เราจะได้บารมีตรงนี้  นี่ตอนท่านสอนใหม่ๆ สอนไป  ก็ทำวิชชาไป  ท่านสอนอยู่เรื่อยๆ

หลวงพ่อท่านจะเอาใจใส่ดูแลลูกวัดอย่างใกล้ชิด  ในวันพระท่านก็จะลงปาติโมกข์  พอลงปาติโมกข์เสร็จก็อบรมพระเณร  ถ้าไม่อบรมตอนนี้ก็จะมีตอนเช้าไปฉันที่ศาลา  ก่อนจะเข้าโบสถ์ไหว้พระ

แชร์เลย

Comments

comments

Share: