พระโพธิสัตว์ 3 ระดับ

– พระโพธิสัตว์ 3 ระดับ

🔮 เรื่องการประกอบการบุญการกุศลนี่ มันต้องสัมปยุตด้วยสติสัมปชัญญะ และปัญญาอันเห็นชอบ รอบรู้บาปบุญคุณโทษ ทางเจริญทางเสื่อมแห่งชีวิต หรือข้อปฏิบัติที่เป็นแก่นสารสาระ และที่มิใช่แก่นสารสาระแห่งชีวิต ตามความเป็นจริง ก็รู้ด้วยปัญญาว่า บุญนำมาซึ่งความสุข นี้โยมฟังให้ดีนะ นำมาซึ่งความสุข นำมาซึ่งกำเนิดหรือเกิดในสุคติภพ ด้วยภูมิจิตที่เป็นบุญ บุญเป็นคุณธรรมเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายน่ะผ่องใสด้วยอำนาจของบุญ

โยมทำบุญ ๓ อย่างเป็นหลักหลักใหญ่

๑. ทานกุศล

๒.ศีลกุศล

๓. ภาวนากุศล

ทานกุศล เป็นการเสียสละเพื่อกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียว การกำจัดตรงนี้มันเป็นชั้นๆไป ตามความแก่กล้าของบุญบารมีของใครต่อของใคร บุญในเบื้องต้น บุคคลกล้าสละสิ่งของที่เรายังไม่ค่อยชอบใจ ของเก่าบ้าง อะไรบ้าง แล้วก็เอาของนั้นไปทำบุญ หรือของที่มีคุณค่าต่ำกว่าเราบริโภคใช้สอยธรรมดา นี่อย่างนี้ ก็เป็นบุญในระดับหนึ่ง

อีกระดับหนึ่งสูงขึ้นมา แม้เครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องใช้สอย ปัจจัย ๔ ในระดับที่เราใช้ ชอบใจระดับนี้แหละ เราใช้ระดับนี้เราก็ทำบุญระดับนี้ ไม่เสียดาย นี่ บุญนี้ขั้นสูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เรียกว่าแก่กล้า ดวงบุญนี่มันจะใสบริสุทธิ์อยู่ตรงกลางโตขึ้น

แก่กล้าไปถึงขนาดว่า ของรักของชอบใจ จะอาหารดีๆ ผลไม้ดีๆ หรือเครื่องใช้ไม้สอยดีๆ ดังนี้ ที่เราเวลาจะบริโภคใช้สอยก็พอใจยิ่งกว่าปกติ เราก็เสียสละได้ ไม่เสียดาย นี้เป็นบุญที่แก่กล้าเต็มรูปแบบในระดับบุญ ในระดับบุญนะ ดวงบุญจะบริสุทธิ์และโตขึ้นอยู่ตรงกลางนี่แหละ แล้วเป็นคุณเครื่องช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปแต่ในทางที่ดีที่ชอบ แล้วก็บุญก็ต่อบุญ เมื่อบุญเกิดผลของบุญนั้น ทำให้สามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เพราะมีอยู่มีกินไม่ลำบาก ไม่แร้งแค้น

และถ้าแก่กล้าไปกว่านั้นล่ะ ของรักของหวงแหน กว่าจะใช้กว่าจะบริโภคใช้สอย ก็ต้องในโอกาสพิเศษ หรืออะไรที่มันพิเศษๆ ก็กล้าเสียสละได้ นี่ ขึ้นมาเป็นบารมี โยมจำไว้นะ บารมีนี่ เป็นคุณธรรมเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใสยิ่งกว่าบุญ นิยามหรือความหมายของบารมีคือ คุณความดีอย่างยิ่งยวด นี่เรียกว่าแก่กล้า กล้าเสียสละของรักของหวงแหน ไม่เสียดาย นี้..ในระดับบารมี

โยมเข้าใจว่าระดับบุญเนี่ย ใช้ไปแล้วถึงระยะเวลาหนึ่ง หมดอายุ เหมือนของหมดอายุ ก็คือว่า บุญน่ะค่อยๆหมดไป ถ้าไม่ทำเพิ่ม ทำเท่านี้ได้ผลบุญมาแล้ว มันก็ใช้ไปเป็นความสุขความเจริญในชีวิตในระดับหนึ่ง แล้วก็นานๆไปมันก็หมดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น บุญนี่ต้องทำบ่อยๆ ให้แก่กล้าเป็นบารมี บารมีนี่นาน ข้ามภพข้ามชาติเยอะเลย หลายภพ เป็นร้อยๆภพ ร้อยๆชาติ เป็นต้น นี่ กล้าเสียสละของรักของหวงแหน

แล้วไม่ใช่แต่สิ่งของนะโยม คำว่าทานนี่ ที่เป็นทรัพย์สิ่งของก็เรียกว่า”อมิสทาน” ยังมีอีก การกล้าเสียสละเวลาที่มีค่าของตนในการประกอบการอาชีพ ก็เสียสละไปช่วยเหลือในการกระทำที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่น มาช่วยเหลือโครงการต่างๆของวัดวาอาราม ด้วยจิตใจบริสุทธิ์ นี้ก็ด้วย นี่เรียกว่า กล้าเสียสละกำลังกาย เสียสละเวลาที่มีค่า เสียสละสติปัญญาความสามารถ ในการที่จะไปประกอบคุณความดี หรือไปร่วมช่วยในกิจกรรมโครงการต่างๆ ก็เสียสละเวลา เสียสละกำลังกาย สติปัญญาความสามารถ ไปช่วยเหลือ ก็มีระดับเดียวกันแบบเดียวกันกับอามิสทาน มีแก่กล้าขึ้นไปเป็นลำดับ เหมือนโยมมานี่ เสียสละเวลาอันมีค่ามาบำเพ็ญบุญกุศล มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล เป็นต้น นี่ ตรงนี้เสียสละ ก็เป็นบารมีนะโยม เป็นบุญและบารมีให้ผล

แล้วแก่กล้าเป็นบารมีแล้วนี่ ถ้ากล้าสละสิ่งที่จำเป็นในชีวิตของตนยิ่งขึ้นไปอีก เช่น สละเลือดเนื้อ เออ! ใครอยากได้ดวงตา..ให้ ใครอยากได้เลือด..ให้ ไปช่วยชีวิตเขา ใครอยากได้ไต ก็อนุญาตให้เขาเอาไปปลูกในคนที่ร่อแร่กำลังจะตาย นี่..สมมุติ ในระดับนี้บุญที่แก่กล้าขึ้นเป็นบารมี ขึ้นมาเป็นอุปบารมี แก่กล้าให้ผลยาวนาน ให้ผลสูงยิ่งขึ้นไปอีก

แต่ว่า ขึ้นเป็นบารมีระดับนี้เนี่ย นำไปสู่ปรมัตถบารมี เป็นบารมีสูงสุด เหมือนพระอรหันต์ก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ หรือ พระพุทธเจ้าก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญกุศลคุณความดีอย่างยิ่งยวด เรียกว่า บารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี มาแล้ว ถึงปรมัตถบารมีนี่ ฟังให้ดีโยม กล้าเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น กล้าเสียสละแม้บุตร-ภรรยาที่รักดั่งดวงใจ เสียสละนี่มีหลายวิธี เสียสละเพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์ผู้อื่น ที่กำลังจะตายก็ช่วยให้เขามีชีวิตต่อไปได้ หรือเสียสละด้วยอาการอย่างอื่น เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นไม่ใช่จำเพาะของตัวเอง ไม่เสียดาย ดังนี้ นั่นเป็นปรมัตถบารมี

ถ้าใครปฏิบัติธรรมเจริญขึ้นไปอย่างนี้ เฉพาะทานบารมีถึงปรมัตถบารมี ก็จะดึงหรือช่วยเสริม ให้การบำเพ็ญบารมีอื่นๆเจริญไปโดยนัยเดียวกัน คือ ต่อจากทานบารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี ก็จะเป็นศีลบารมี เนกขัมมบารมี นี่ ศีลอบรมกาย วาจา ใจ ให้สงบเรียบร้อยดีไม่มีโทษแก่ตนเองและผู้อื่น เนกขัมก็คือ มาปฏิบัติทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล นี่แหละ แล้วให้แก่กล้าเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ให้แก่กล้าเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ศีลอันยิ่ง จิตอันยิ่ง ปัญญาอันยิ่ง นี่ มันจะประกอบกันไปหมด นี้เรียกว่าเนกขัมมะ ไปจนถึงถือศีล ๕ ศีล ๘ สามเณรถือศีล ๑๐ พระถือศีล ๒๒๗ เป็นต้น แต่พระไม่เรียกว่าศีล เรียกว่าพระวินัยพุทธบัญญัติ พระวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ และยังบัญญัติแม้นอกพระปาฏิโมกข์ก็ยังมี นี้ ก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อย่างอุกฤษฏ์ เป็นลำดับไป แล้วก็ปัญญาบารมีก็จะเกิด เออ!ทำอย่างนี้ดีนะ เป็นผลอย่างนั้นนะ

แล้วกำหนดรู้ไปถึงว่า นี่โยมฟังให้ดีนะ เฉพาะเรื่องบารมีนี่ กำหนดรู้ต่อไปว่า ถ้าจะอธิษฐานบรรลุคุณธรรมในขั้นปกติสาวก ก็จะต้องบำเพ็ญบารมีนี่ ขึ้นไปถึงปรมัตถบารมี

ถ้าปรารถนาสูงไปกว่านั้น เช่น เป็นพุทธอุปัฏฐาก พุทธบิดา พุทธมารดา หรือพระอสีติมหาสาวก ต้องบำเพ็ญบารมีไปมากกว่านั้น

ถ้าปรารถนาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องปรารถนาขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปอีก

แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า โดยการบำเพ็ญบารมีมาในลักษณะที่ชื่อว่า ปัญญาธิกะโพธิสัตว์ คำว่าพระโพธิสัตว์ นี่หมายถึง ผู้บำเพ็ญบารมีปรารถนาพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์นี่ ถ้าขณะบำเพ็ญบารมียิ่งด้วยปัญญา และส่วนศรัทธากับวิริยะความเพียรหย่อนหน่อย แต่มีปัญญานำหน้า นี้เรียกว่า ปัญญาธิกะโพธิสัตว์ อันนี้ ใช้การบำเพ็ญบารมีในช่วงสุดท้าย โดยทางไตรทวาร ทั้งกาย วาจา และใจ ๔ อสงไขยกะแสนกัป นี่ พระพุทธเจ้าของเราองค์นี้ มาจากปัญญาธิกะโพธิสัตว์

ถ้าปรารถนาสูงขึ้นไป เป็นศรัทธาธิกะโพธิสัตว์ ก็สองคูณ จาก ๔ อสงไขย ก็เป็น ๘ อสงไขยกะแสนกัป นี่โดยประมาณ

ถ้าเป็น วิริยาธิกะโพธิสัตว์ เพื่อความบรรลุเป็นพระพุทธเจ้านั่น ๑๖ อสงไขยกะแสนกัป ในช่วงสุดท้าย

แต่ในช่วงแรก

เฉพาะปัญญาธิกะโพธิสัตว์นี่นะท่าน พึงเข้าใจ เพียงเมื่อได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า มาเป็นหมื่นเป็นแสนร่วมล้านองค์น่ะมาแล้ว มีจิตศรัทธาปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่แสดงธรรมแก่ตน ปรารถนาจะตรัสรู้ แล้วเอาธรรมะมาสอนญาติโยม ตรงนี้ ดำริปรารถนาอยู่ในจิตใจ เรียกว่ากระทำมโนปณิธาน เฉพาะปัญญาธิกะโพธิสัตว์นี่ เป็นเวลา ๗ อสงไขยกะแสนกัป

แล้วญาณแก่กล้า

ได้ฟังธรรมจากสำนักพระพุทธเจ้า เป็นแสนเป็นล้านองค์แล้ว ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า โดยทั้งมโนปณิธานคือตั้งไว้ในใจ และวจีปณิธานกล่าวออกมาเลย ว่าเราปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็บอกบอกบรรดาศิษยานุศิษย์อะไรทำนองนี้ หรือใบ้ คำว่าใบ้นี่ ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้นะ หมายความว่าแสดงนัยยะให้เห็นว่าปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า หรือบางทีก็กล่าวออกมา นี่เป็นเวลา ๙ อสงไขยกะแสนกัป

๑๖ อสงไขยแล้ว เหมือนพระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ เป็นปัญญาธิกะโพธิสัตว์มาก่อน

มาถึงกาลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร อยู่ในระยะสารมัณฑกัป คือ เป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๔ องค์ องค์สุดท้ายพระนามว่า พระพุทธเจ้าทีปังกร นี่แหละ ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ เล่าลัดตัดความนะ ก็พยากรณ์ให้พระอรหันต์สาวกตั้งเป็นหมื่นที่ได้พบท่านอยู่ในขณะนั้น ก็พยากรณ์ว่า พระมหาบุรุษนี้หรือว่าฤาษีตนนี้ ต่อไปอีก ๔ อสงไขยแสนกัป จะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า

รวมเบ็ดเสร็จนี่ ๒๐ อสงไขยกะแสนกัปนะ ที่จะต้องบำเพ็ญถึงปรมัตถบารมีครบ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี นี่..ยาวนานถึง ๒๐ อสงไขยกะแสนกัป

ทีนี้ ถ้าเป็นพระศรัทธาธิกะโพธิสัตว์ ก็ ๔๐ อสงไขยกะแสนกัป

ถ้าเป็น พระวิริยาธิกะโพธิสัตว์ ก็ ๘๐ อสงไขยกะแสนกัป

นี่..ระยะเวลาบำเพ็ญบารมี เป็นอย่างนี้

ก่อนหน้านี้ ที่จะมีพระมหาโพธิสัตว์ ๓ ระดับ พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมามากกว่านี้ แล้วท่านก็เป็นองค์ต้นๆ ที่สอนพระโพธิสัตว์ใน ๓ ระดับนี้ นี่ก็มีไปในอดีตนับไม่ถ้วน เรียกว่าพระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ องค์ต้นๆที่สอนพระพุทธเจ้าที่กำลังบำเพ็ญบารมี เป็นปัญญาธิกะโพธิสัตว์ ศรัทธาธิกะโพธิสัตว์ และวิริยาธิกะโพธิสัตว์ เพราะการบำเพ็ญบารมีใช้ระยะเวลาน้อยกว่าเดิม แล้วก็บรรลุเร็วขึ้น แต่อานุภาพไม่เท่าพระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ ที่บำเพ็ญบารมีมามากๆ แล้วก็สามารถช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ มด ปลวก อะไรก็เอาไปหมดเลย ถามว่าเอาไปได้อย่างไร ก็แนะนำสั่งสอนมนุษย์ ตั้งแต่มนุษย์ผู้มีปัญญาน้อย ปัญญาปานกลาง ปัญญามาก ก็บรรลุคุณธรรมไปเรื่อยๆ ไอ้มด ไอ้ปลวก นี่ ต่อไปด้วยบุญกุศลที่ทำมา กลับมาเป็นมนุษย์ ก็ได้ฟังธรรม ก็บรรลุคุณธรรมไป จึงว่า รื้อสัตว์ขนสัตว์ หมดทั่วทั้งจักรวาล และอาจจะเพิ่มเป็นแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลไม่มีประมาณก็ได้ ดังนี้ นี่เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ จะได้ทราบ.

___________________

เทศนาธรรมจาก

พระเทพญาณมงคล

หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล

วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

อ.ดำเนินสะดวก

จ.ราชบุรี

___________________

ที่มา

บางตอนจากเทศนาธรรมเรื่อง

“บุญเสริมเติมแต่ง”

___________________

เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า..

แชร์เลย

Comments

comments

Share: