ภาค.๓. ตำนาน..จำปาสี่ต้น … สี่กุมาร

555. หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ”หน่อพุทธางค์กูร

          ภาค.๓. ตำนาน..จำปาสี่ต้น … สี่กุมาร

..ก่อนจะเล่าเรื่องนี้..ขอเรียนให้ผู้อ่านบางท่าน  ที่อาจสงสัย และอาจจาบจ้วงหลวงปู่..ที่ท่านสวมแหวนทุกนิ้ว สวมสายสินณ์เต็มข้อมือ..ว่า..ผิดวินัย..ใช่พระหรือไม่  บางท่านถึงกล่าวว่า..ลัทธิไหน?….ข้าพเจ้าใคร่ชี้แจง  เพื่อ.ไม่ให้เป็นโทษกับผู้อ่าน..ด้วยความไม่รู้  ..

หลวงปู่ทองทิพย์ ท่านเป็นพระมหาโพธิสัตว์ บารมีเต็ม๓๐ ทัศน์  ในสายปฏิบัติ สายอภิญญา ทุกท่านจะรู้ทั้งนั้น  แม้แต่หลวงพี่เล็ก  วัดท่าขนุน  ท่านให้ความเคารพ..การกระทำ กิริยาของพระระดับนี้  ลึกซึ้ง เกินที่คนธรรมดาอย่างเรา จะเข้าใจ และไปจับผิดท่าน..ท่านมีอธิศีล อธิปัญญา อธิบารมี ครบถ้วนแล้ว  ท่านเคยเป็นทั้งพระจักรพรรดิ มาไม่รู้กี่ครั้ง..ท่านจะมาติดอะไร กับ  แหวนธรรมดาพวกนี้..

..เรื่องแหวนที่หลวงปู่สวมใส่  เกิดจากญาติโยมที่ต้องการวัตถุมงคลเพื่อเป็นกำลังใจ ในการประกอบอาชีพ  จึงนำแหวนธรรมดา มาให้หลวงปู่พุทธาภิเษก  หลวงปู่ท่านเมตตาสูง  จึงสวมใส่นิ้ว ยังความปิติแก่ลูกศิษย์  สัก ๒-๓ วัน  ก็ถอดแหวนคืนไป  ทีนี้คนที่ได้รับแหวนแล้ว  มีประสบการณ์ที่ดี  จึงบอกต่อ  จนคนรุ่นหลังพากันนำแหวนมาให้หลวงปู่ปลุกเสก..โดยไม่ต้องทำพิธีอะไร  เพียงสัมผัสที่นิ้วกระแสบารมีก้หลั่งไหลไปในแหวนแล้ว….หาใช่หลวงปู่จะติดวัตถุ  ติดแหวนไม่….เหมือน  หลวงปู่บุดดา สิงห์บุรี ที่ทาแป้งเต็มหน้า  หรือมีคนถวายแป้งให้ท่าน  แล้วท่านก็ทาแป้งให้  จนเป็นที่มาของแป้งมงคล…หรือ ที่คนนำแผ่นทอง  มาติดที่ขาหลวงปู่ดู่..แล้วเคราะห์กรรมจะบางเบา  ด้วยบารมีพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม  ด้วยมหาเมตตา

..วินัยของพระ ล้วนเป็นสิ่งดีงาม เพื่อยังให้พระภิกษุมีศีลกำกับ เพื่อเจริญในปัญญาต่อไป  ในพระมหาโพธิสัตว์ ท่านมี”อธิศีล” เต็มหัวใจ ยิ่งกว่า”ศีลเป็นข้อๆ” ต้องดูว่า..การกระทำของท่าน..เพื่อสนองตัณหาตัวเอง..หรือเพื่อ.”.โปรดสรรพสัตว์”  ให้ดุตรงนั้น..อย่าไปจับผิดสิ่งภายนอกบางอย่าง…ข้าพเจ้าลงเรื่องราวธรรมมะ  เพื่อหวังให้ผู้อ่าน  มีศรัทธาในพระธรรม ในบารมีหลวงปู่ครูอาจารย์  เป็นกำลังใจ  เป็นต้นแบบในการเดินทาง  ทำไม..เราไม่สร้างกุศลในจิต  โดยการโมทนาบุญกับท่านล่ะ…ทำไม..จะต้องไปเสี่ยงกับกรรมปรามาสพระโพธิสัตว์ให้เป็นบาปกรรมทำไม?….

…สายสิณฑ์ ที่พันเต็มข้อมือ  มาจากประเพณีอีสาณ  ในการผูกเสี่ยว  แสดงความเคารพซึ่งกันและกัน  แสดงความจริงใจ  และเป็นการขอพร ให้พร  ลูกศิษย์ท่าน  จึงขอผูกข้อมือหลวงปู่…ด้วยมหาเมตตาท่านก็ให้ผูก  และใส่อยู่อย่างนั้น  ทำให้ลูกศิษย์รู้สึกปิติ  ที่สายสิณฑ์ที่ผูก  ยังอยู่ติดร่างกายหลวงปู่  ทำให้เกิดความเคารพ  เกิด “สังฆานุสสติ” ล้วนดีงาม  “หาใช่งมงายไม่!”

** ขออนุญาติเล่าเรื่องราวหลวงปู่ต่อ…

    ..ในตำนาน จารึกบนใบลานด้วยอักษรไทยน้อย  ที่.อ. อรัญประเทศ….พอสรุปย่อๆว่า..พบกุมารที่เป็นเจ้าชายทั้งสี่..ถูกฝังในไห ลอยน้ำมา จนตายายนำมาเลี้ยงดู  ต่อมาถูกศตรู. ให้กินยาพิษจนกุมารทั้ง๔ตาย
 ..สองตายายเศร้าโศกเสียใจ  จัดการเผาศพกุมารทั้งสี่  พอรุ่งสาง ได้เกิดต้นจำปาสี่ต้นเกิดอยู่ตรงที่เผานั้นแทน  ต่อมาจำปาสี่ต้น ถูกนำไปลอยน้ำปรากฏว่า เทวดาอินทร์ พรหม ครุฑนาค ได้บันดาลให้จำปาไหลทวนน้ำขึ้นไปพบกับฤๅษีตาไฟ และได้ทำพิธีชุบชีวิตกุมารทั้งสี่ให้คืนชีพมาอีกครั้ง และตั้งชื่อกุมารทั้งสี่ ดังนี้ คนที่ ๑ ชื่อ เสกราชกุมาร คนที่ ๒ ชื่อ ปัตตะราชกุมาร คนที่ ๓ ชื่อ สุวรรณกุมาร คนที่ ๔ ชื่อ เพชรราชกุมาร ปรากฏว่าคนน้องเป็นผู้มีฤทธิ์เดชมาก
เมื่อพระฤๅษีชุบชีวิตคืนมาแล้วปรากกว่านิ้วมือข้างขวาของเพชรราชกุมารเกิดด้วนไม่สมบูรณ์ พระฤๅษีต้องทำพิธีปลุกเสกใหม่นิ้วที่ด้วนจึงกลายเป็นนิ้วมงคลเพชร ชี้คนเป็นให้ตาย ชี้คนตายให้ฟื้น
มีผู้บอกว่า…สี่กุมารในอดีตคือ…หลวงปู่ใหญ่(เทพโลกอุดร), หลวงปู่ยี วัดดงตาก้อน, หลวงปู่บุญหนัก, และ หลวงปู่ทองทิพย์ 

++..ใน  วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร   จะมีต้นโพธิ์ เรียก “โพธิ์พระศรีย์  ..จุดนี้..ว่า
 เป็น”ประตูมิติ” มีหลายภพภูมิซ้อนๆกันอยู่  เป็นประตูเชื่อมต่อของภพภูมิ ทั้งปู่ พระอินทร์ เมืองบาดาลพ่อปู่ศรีสุทโธก็ . พระอภิญญาจากภูเขาควาย ใช้เป็นจุดลงมา

   หลวงปู่เล่า  ถึงสถานที่ควรที่จะกราบ  คือพระธาตุเชิงชุม  ในพระธาตุเชิงชุมจะมีรอยพระบาท สี่รอย ประทับอยู่ เมื่อไปถึงก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมากรรมต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำด้วยใจที่นอบน้อมบูชา

ก่อนที่ปู่จะฉันจังหัน  ท่านแบ่งข้าวเหนียว กับข้าว น้ำกระดาษทิชชู่ใส่ในบาตร หรือถาดเล็ก แล้ววางไว้ข้างๆจัดเป็น จนลูกศิษย์ถาม  ท่านตอบว่า” โต๋บ่อเห็น ก็มีคนมากินน่ะซี”

   หลวงปู่ทองทิพย์ท่านเคยบอกลูกหลานว่า  ถ้าพระแก้วมรกต พระคู่เมืองไทย ว่า.”ถ้าหายไปไม่ว่าจะถูกขโมย หรือพระแก้วไม่อยู่ที่วัด หรือมีข่าวย้ายพระแก้ว “ ท่านบอกว่าให้เตรียมตัวออกจากกรุงเทพได้เลย เพราะจะเกิดภัยพิบัติใหญ่กรุงเทพจะจมน้ำ…ท่านยังบอกอีกว่าในสงครามภายหน้า ” ให้นำทรายใส่ถุงพลาสติกเล็กๆแล้วเยี่ยวใส่ทรายที่อยู่ในถุงแล้วดม..เวลามีพวกสารกัมมันตะรังสีปลิวมา” 

 (จริงแล้ว..อดีตชาติหลวงปู่คือพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช  กษัตริย์ลาว ที่อัญเชิญพระแก้วมรกต ไปประดิษฐานที่เวียงจันทร์ นั่นเอง) ..ดังประวัติคร่าวๆ..ดังนี้

 ประมาณ ๔๗๐ ปีที่ผ่านมา  มีพระเจ้าไชยเชษโฐแห่งล้านนา  ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดบุปผาราม เชียงใหม่ รวมทั้งพระพุทธสิหิงค์ (พระสิงค์) และพระแก้วขาวไปที่ล้านช้าง  พระองค์เป็นกษัตริย์มหาราชองค์ที่ 2 ของลาว
 พระองค์  สร้างองค์พระธาตุหลวงขึ้นมาใหม่  และได้สร้างวัดในกำแพงเมืองอยู่ประมาณ 120 วัด และยังได้สร้างวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ที่นำมาจากเมืองเชียงใหม่

  ได้สร้างเจดีย์ “พระธาตุศรีสองรัก” ในอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เพื่อเป็นอนุสรณ์ แห่งความเป็นพี่เป็นน้องกัน ของสองอาณาจักรไทยลาว
 ได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงทองมาอยู่ที่เวียงจันทน์ ได้ประดิษฐานพระแก้วมรกต และ พระพุทธสิหิงค์   ไว้ที่เวียงจันทน์ 

พระองค์ได้ทรงสร้างพระธาตุหลวง  พระพุทธรูป พระเจ้าองค์ตื้อ   พระเสริม พระสุก พระใส พระอินทร์แปลง พระองค์แสน ทรงสร้างวัดพระธาตุ ที่จังหวัดหนองคาย และพระธาตุที่จมน้ำโขงอยู่ พระธาตุบังพวน อำเภอเมืองหนองคาย สร้างวัดศรีเมือง จังหวัดหนองคาย และพระประธานในโบสถ์  พระธาตุอิงรัง  พระธาตุศรีสองรัก(เลย)  และทรงปฏิสังขรณ์พระธาตุพนม

++ รออ่านภาค ๔ นะ  ++

แชร์เลย

Comments

comments

Share: