มิจฉาทิฏฐิ
ใครกระทำความผิดศีล ผิดธรรม ด้วยมิจฉาทิฐิอย่างนี้ แม้มีชีวิตอยู่ในภพชาตินั้น ก็ยังจะได้รับโทษเป็นความทุกข์เดือดร้อน จากผลของกรรมนั้น มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับทั้งๆที่อยู่ในภพชาติปัจจุบันนี้ หนีกรรมไม่พ้น
และแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ต้องรับโทษจากกรรมที่ทำ ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกในชั้นต่างๆตามกรรม ชั้นสุดท้ายก็คืออนันตริยกรรม ผู้มิจฉาทิฐิน่ะไปได้รับโทษตรงนั้นก่อน และพ้นจากนั้น พ้นนี่..ไม่ได้ว่าพ้นหมดนะ มิจฉาทิฏฐิยังอยู่ นั่นแหละ นำไปสู่ความบังเกิดขึ้นในอายตนะโลกันต์
สัตว์โลกที่เป็นไปอย่างนี้ ด้วยมิจฉาทิฏฐินี่ เป็นกรรมหนักยิ่งกว่าอนันตริยกรรม รับผลก่อนทั้งหมด พอไปถึงโลกันตนรกดังที่ได้กล่าวแล้ว เมื่อเป็นสัตว์นรกนี่ ต้องตกลงไปในทะเลน้ำกรดแล้วๆเล่าๆ นานเท่านาน เพราะฉะนั้น เชื้อแห่งคุณความดีที่เคยทำในระดับมนุษยธรรม ถูกกัดกินละลายหายไปๆๆ จนไม่สามารถที่จะเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพสามอีก มนุษย์ก็คือในกามภพ ในโลกมนุษย์อีกไม่มี
อย่างดีก็แค่มาเกิดเป็นสัตว์ชั้นต่ำ สัตว์เซลล์เดียว เช่น พวกไฮดรา อะมีบา พวกเชื้อโรค พวกไวรัสต่างๆ นี่..มาจากนี้ส่วนมาก
และถ้าร้ายกาจไปกว่านั้น
ก็จะไปเป็นธาตุธรรมของภาคมาร
ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับภาคพระ คือพระนิพพาน อยู่ตรงกันข้ามกัน
อันนี้ให้เข้าใจ ที่อาตมายกตรงนี้มากล่าว เพื่อจะให้เข้าใจว่า ขณะนี้ในประเทศชาติของเรา ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ แต่คนไม่รู้บาปบุญคุณโทษมากขึ้น เพราะไปรับเอาความเจริญทางวัตถุมาบำบัด หรือมาสนองความต้องการของตน และก็หลงเพลิดเพลินติดอยู่ในทรัพย์สมบัติ ในอำนาจราชศักดิ์ต่างๆ จนมีผลให้ตนเองมีความเห็นผิด แล้วไปคิดทำลายล้างผู้อื่น ให้เกิดโทษ เกิดความทุกข์เดือดร้อน อยู่ในยุคปัจจุบันนี้มากมาย
ก็เพื่อให้ทราบว่า ให้ท่านระวัง ความเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ใช่เกิดอยู่กับเฉพาะคนนอกศาสนาที่หลงผิดไป คนนอกศาสนาที่พอจะเข้าใจถูกก็มีนะ แต่ที่หลงผิดไปก็มี แต่..ในพุทธของเราที่หลงผิดไปก็มี เป็นมิจฉาทิฐิได้ และก็เป็นไปอย่างนั้นด้วย
อย่าไปทนงว่า พอขึ้นชื่อว่าเป็นพุทธแล้ว เป็นมิจฉาทิฐิไม่ได้ ไม่จริง!! คิดอย่างนั้น ทําอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น เหมือนปลูกมะพร้าว ออกลูกมาเป็นมะพร้าวแน่นอน มันไม่ออกมาเป็นลูกหมาก หรือมาเป็นอะไรๆอย่างอื่น มะม่วงอะไรอย่างนี้ ไม่ได้!! ฉันใดฉันนั้น
หลวงป๋า