วจีทุจริตนี้ ผลกรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

– วจีทุจริตนี้ ผลกรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย.

การโกหกหลอกลวง การกล่าววาจาหยาบคาย การกล่าววาจาให้เขาแตกแยกกัน และการกล่าววาจาเพ้อเจ้อ มีการนินทาว่าร้ายกันโดยไม่เป็นธรรม เป็นต้น นี้กล่าวในความหมายอย่างกว้าง

คุณความดีที่ตรงกันข้ามกัน ก็คือว่า การกล่าวแต่คำจริง ไม่เจตนากล่าวคำเท็จ มีความจริงใจต่อตนเอง แล้วก็จริงใจต่อผู้อื่น

กล่าววาจาไพเราะอ่อนโยนอ่อนหวานตามฐานะ ผู้ใหญ่พูดกับผู้น้อย ผู้น้อยจะพูดกับผู้ใหญ่ ผู้เสมอกันควรจะพูดอย่างไร นี้..กล่าววาจาที่ดี

และการกล่าววาจาสมานไมตรี ตรงนี้สำคัญนัก การกล่าววาจาสมานไมตรี บางคนชอบพูดให้คนเขาแตกกัน แม้แต่ในครอบครัว บางทีพูดแล้วคนแตกกัน ต้องระวัง ไปจนถึงสังคม ถึงประเทศชาติ

เฉพาะในหมู่สงฆ์นี้ ถ้าพระภิกษุใดยังสงฆ์ให้แตกแยกกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป เรียกว่าให้สงฆ์เขาแตกแยก จนถึงกับไม่ลงทำสังฆกรรมด้วยกัน ดังนี้เป็นต้นแล้ว ก็มีโทษหนัก ถ้าว่าสงฆ์สวด “สมนุภาส” ประกาศให้กลับใจ ๓ ครั้ง แล้วยังไม่กลับใจ ไม่กลับคืนดี ต้อง”อาบัติสังฆาทิเลส” และกรรมชั่วอย่างนั้น ยังนำให้ไปเกิดใน”ทุคคติ” คือ อบายภูมิ #โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงอเวจีมหานรกทีเดียว ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

วจีทุจริตนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่ละข้อ ทุกข้อ ไปถึงข้อนินทาว่าร้าย เหล่านี้เป็นต้น เสียหายมาก

คุณความดีจะทำอย่างไร ก็กล่าวแต่วาจาสมานไมตรี คนที่โกรธกัน เราพูดให้เขาดีกัน คนเราจะดีกันหรือไม่ดีกันนั้น อาจจะมีคนหนึ่งถูก คนหนึ่งผิด หรืออาจจะผิดทั้งคู่ หรือ อาจจะว่าผิดก็ไม่ใช่ จะว่าถูกก็ไม่เชิง แต่ไม่เข้าใจกัน ไม่ทำความเข้าใจกันให้ดี ก็ผิดใจกันได้ แตกกันได้

เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้จักสมานไมตรี ต้องรู้จักแยกแยะผิดและถูก ให้ลึกซึ้ง ให้ถูกต้อง ให้รอบคอบ

ถ้าว่า..ไม่ได้เหตุปัจจัยแห่งความถูกต้อง หรือความผิดที่แท้จริงแล้ว บางทีเราตัดสินใจพูดไป บางทีพลาด พลาดแล้วแทนที่เขาจะดีกัน เลยแตกกันใหญ่เลย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ในสังคมทุกระดับ ตั้งแต่สังคมครอบครัว ไปจนถึงประเทศชาติ และ ทั้งสังคมอย่างเช่นหมู่พระภิกษุสงฆ์

เพราะฉะนั้น แม้แต่ตัวอย่างเรื่องในประเทศชาติ มีการใส่ไฟ มีการปัดแข้งปัดขา อะไรต่อมิอะไรกันในคณะบุคคลต่างๆ ทำให้แตกแยก และรวมกันไม่ติด อย่างนี้มีโทษมาก ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ในหมู่พระภิกษุสงฆ์ก็ทำให้พระธรรมวินัยที่ตั้งไว้ดีแล้วแต่คนปฏิบัติไม่ดี ก็เลยพลอยทำให้แตกแยกเสียหาย จึงมีโทษมาก

#เพราะฉะนั้นการกล่าววาจาสมานไมตรี เราจะต้องดูที่เหตุว่า คนเราแตกกันเพราะอะไร เราอย่าไปตอกลิ่มให้แตกลงไปอีก เราต้องดูว่าอะไรผิดอะไรถูกอย่างแท้จริง อย่าเดา

เมื่อได้ความจริงที่แท้จริงแล้วเราจึงค่อยว่า ถ้าใครผิดเราค่อยๆแนะนำ ว่านี้ตามที่เป็นจริงเธอผิดอย่างไร

แต่ต้องรู้จักวิธีพูด หาโอกาสพูดตามความเหมาะสม เพราะคู่กรณีอาจจะเป็นผู้ใหญ่ อาจจะเป็นผู้เสมอกัน อาจจะเป็นผู้น้อย เมื่อเรารู้เหตุรู้ปัจจัยที่ทำให้เขาแตกกันอย่างนั้นแล้ว เราค่อยสมานไมตรีได้

แล้วเราก็พยายามทำให้คนผิด ให้กลับตัวเป็นคนถูก คนถูกอยู่แล้วให้รู้จักให้อภัย คนผิดก็ให้รู้จักว่าตนผิด ตามที่เป็นจริงอย่างไร ไม่ใช่ตะบี้ตะบันผิดต่อไปอีก อย่างนี้เป็นต้น

แต่ถ้าคู่กรณีเอาทิฏฐิเข้าหากัน สังคมนั้นเป็นสังคมที่จะต้องลุกเป็นไฟ เพราะการที่บุคคลไม่เข้าใจกันอย่างนี้ มีปัญหามากในสังคมทุกระดับ แม้แต่ในวัด ในครอบครัว และในสังคมประเทศชาติ

เพราะฉะนั้น ข้อนี้ให้สังวรไว้มากๆ

ตลอดไปจนถึงเรื่อง การกล่าววาจาเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไร้สาระ #ต้องพูดแต่สิ่งที่มีสาระประโยชน์#ไม่เอะอะคอยแต่จะนินทากันอย่างโน้นอย่างนี้ นินทาไปทำไม หยุดทำชั่วทางปาก อย่าไปพูดเลอะเทอะเลย

#การพูดเลอะเทอะนี้ ปากต่อปาก ค่อยๆหลุดออกจากความเป็นจริงไปทุกทีๆ จนกระทั่งหาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ เหล่านี้เป็นต้น หนักๆเข้าก็กลับกลายเป็น ทำให้คนแตกกันอีกแล้ว นินทาว่าร้ายทำให้คนแตกกันได้

เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ เรามาปฏิบัติธรรมแล้วให้ลึกซึ้งลงไป ต้องเข้าใจว่า ความดีอยู่ตรงไหน ความชั่วอยู่ตรงไหน ต้องให้มีความสังวรวะวัง.

_______________

เทศนาธรรมจาก

พระเทพญาณมงคล

หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล

วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

อ.ดำเนินสะดวก

จ.ราชบุรี

________________

ที่มา

ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ

แชร์เลย

Comments

comments

Share: