วันวิสาขบูชา และมาฆบูชา วัดปากน้ำภาษีเจริญ

ศิษย์พระต้นธาตุ Aungkool Anan 

คุณสุธรรม จันทร์กลัด อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ เขียนไว้ว่า

..ในวันวิสาขบูชา และมาฆบูชา ทางวัดปากน้ำภาษีเจริญ ได้จัดให้มีการเวียนเทียนเป็นประจำทุกปี ข้าพเจ้ากับพยอมภรรยามาเวียนเทียนด้วยทุกครั้งมิได้ขาด ตามข่าวที่ว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำอาราธนาพระพุทธเจ้า เสด็จมาให้เห็นได้ตามที่ทราบกันมาก่อนแล้วนั้น ก็มีคนพูดกันในวันเวียนเทียนหลายคน บางคนก็บอกว่าเห็นเป็นองค์พระปฏิมากรยืนบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง มีอยู่เช่นนี้ทุกๆปี ข้าพเจ้าขยับเข้าไปถามคุณยายคนหนึ่งที่อ้างว่าเห็น แกชี้ให้ดูในท้องฟ้าว่า นั่นไงล่ะลอยอยู่กลางอากาศองค์เบ้อเร่อ

ข้าพเจ้ามองตามที่แกชี้มือเห็นมีแต่ท้องฟ้าเปล่าๆ กับดวงจันทร์เท่านั้นไม่เห็นมีอะไร ข้าพเจ้าถามแกว่าอยู่ตรงไหน แกก็ชี้ให้ดูอีก และพูดว่าอยู่นั่นไงล่ะ เห็นออกชัดเจนคุณยังไม่เห็นอีกหรือ ข้าพเจ้าตอบว่าไม่เห็น แล้วข้าพเจ้าถามแกว่า คุณยายเห็นด้วยตานอกหรือตาข้างใน(ตาข้างนอกหมายถึงมองเห็นด้วยตาเปล่า ตาข้างในหมายถึงการนั่งหลับตาเห็นได้ด้วยการภาวนา) แกว่าเห็นด้วยตาที่ลืมอยู่นี่แหละ ข้าพเจ้าพยายามดูเท่าไรๆก็ไม่อาจเห็นได้ จึงจนใจไม่กล้าจะซักถามต่อล้อต่อเถียงกับคุณยายคนนั้นต่อไป ในใจคิดว่าถ้าคุณยายจะโฆษณาเชียร์หลวงพ่อเป็นแน่ หรือจะเป็นด้วยความเคารพนับถือหลวงพ่ออย่างแรงกล้า ทำให้เกิดอุปาทานขึ้นได้ ข้าพเจ้าไม่เชื่ออยู่อีกนั่นแหละ แต่ก็ได้มาเวียนเทียนทุกครั้งและก็มีคนเห็นพระพุทธเจ้าทุกครั้ง

ข้าพเจ้าพยายามมาเวียนเทียนและเฝ้าดูเช่นนี้ถึง 3 ปี ได้ถามและมองดูบนท้องฟ้าก็ได้ความอย่างเดิมทุกครั้ง แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นอยู่นั่นเอง เลยอ่อนใจไม่อยากจะถามอีกต่อไป คิดว่าคงไม่จริงเสียแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าหรือจะมีจริง เพราะคนที่เห็นนั้น เป็นคนอายุมาก ถือศีลเข้าวัดเข้าวากันทั้งนั้น จะมาพูดปดหลอกเราให้เสียศีลเพื่อประโยชน์อะไร ที่เขาเห็นอาจจะเป็นด้วยบุญกุศลเพราะไม่ได้เห็นได้ทุกคน เมื่อมานึกถึงตัวข้าพเจ้าก็ได้ทำบุญกุศลเสมอมิได้ขาด แต่มากบ้างน้อยบ้างตามกำลัง บุญกุศลน่าจะส่งเสริมให้เห็นกับเขาบ้าง

เมื่อคิดได้อย่างนี้ หลังจากเวียนเทียนเสร็จแล้วในปีที่ 3 ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานอยู่ในใจว่า ลูกมาวัดนี้ก็เพื่อจะมาหาอาจารย์ที่เก่งกล้าศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถนำจิตใจไปสู่ความสุขความสงบอันเป็นแก่นแท้ของศาสนา จะมีทางใดบ้างที่จะทำให้ลูกเชื่อได้อย่างมั่นใจเบื้องต้น จะต้องได้เห็นความอัศจรรย์ของหลวงพ่อตามข่าวลือนั้นเสียก่อนว่าจริงหรือไม่ ถ้าลูกได้เห็นพระพุทธเจ้าจริงแล้ว ลูกจะขอถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อตลอดไป

เมื่อตั้งใจอธิษฐานในใจเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปนั่งบนฐานเจดีย์องค์ใหญ่คนเดียว เจดีย์นั้นอยู่ด้านซ้ายของโบสถ์ แต่เดี๋ยวนี้ทางวัดได้รื้อออกไปแล้วเพื่อขยายโบสถ์ให้กว้าง ตอนนั้นหลวงพ่อยังรับแขกและแจกพระของขวัญอยู่ในโบสถ์

ข้าพเจ้านั่งนิ่งทำให้ใจสงบเป็นสมาธิ แต่มิได้หลับตาอยู่พักใหญ่ ก็เห็นดวงจันทร์ขึ้นเต็มดวงลอยบนท้องฟ้าตรงหน้าพระอุโบสถ เยื้องไปขวามือนิดหน่อย ตาก็จ้องดูดวงจันทร์นั้นเฉยอยู่ มิได้คิดว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในดวงจันทร์นั้น ขณะนั้นจิตลอยๆ ว่างเฉยเพ่งมองแล้วก็ย้อนไปถึงสมัยเด็กว่า ภายในดวงจันทร์นั้นผู้หลักผู้ใหญ่บอกว่ามีกระต่ายอยู่ ขณะนั้นภายในดวงจันทร์มีสิ่งมัวๆปรากฏอยู่บางส่วนในดวงจันทร์ ใจก็อยากเห็นว่าสิ่งมัวๆนั้นจะใช่กระต่ายหรือเปล่า เมื่อเพ่งหนักเข้าสิ่งมัวๆนั้นก็ค่อยๆปรากฏเป็นรูปร่างชัดเจนขึ้น แต่รูปนั้นหาใช่กระต่ายไม่ กลับเป็นรูปพระภิกษุอินเดียไว้ผมยาว แต่ม้วนเป็นกลุ่มมุ่นไว้บนศีรษะ มีหนวดเครายาวรุงรัง ห่มผ้าจีวรม้วนเป็นเกลียวตลอดจากไหล่ซ้ายลงมาถึงแขน เห็นเพียงหน้าอก เห็นแล้วรู้สึกตกใจที่ว่าเป็นกระต่าย ทำไมกลายเป็นรูปพระไปได้หรือว่านัยน์ตาเราฝาดไปเอง หรือจิตนึกอะไรต่ออะไรขึ้นมาทำให้มองเห็นเป็นรูปอะไรไปได้ หรืออาจจะเกิดอุปาทานขึ้นมาจึงก้มหน้าขยี้ตาสลัดความนึกคิดต่างๆออกไป แล้วตั้งอกตั้งใจดูใหม่

แต่แล้วก็เห็นเป็นรูปเดิม ยิ่งเพ่งก็เห็นรูปชัดเจนยิ่งขึ้น เห็นจมูกปาก แม้แต่เส้นหนวดเคราก็เห็นได้ชัดเจน นัยน์ตาท่านจ้องมองตรงมายังข้าพเจ้า ทำให้ใจคอเริ่มรู้สึกไม่ใคร่ดี ขนในกายก็ค่อยๆเริ่มลุกเกลียวขึ้นทีละน้อยๆ เหมือนถูกผีหลอกกระนั้น พลันก็คิดว่าถ้าจะเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียแล้วกระมัง พอนึกเท่านั้นจิตใจก็เกิดเชื่อมั่นว่า ใช่แล้วๆ ทันใดขนในกายทุกขุม ตลอดจนบนศีรษะลุกชันเกลียวซู่กันทั้งหมด เกิดความปิติซาบซ่านไปทั่วสารพางค์กาย ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่งว่า เรานี่ยังมีบุญได้เห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเขาได้เหมือนกัน ข่าวลือที่ว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำอาราธนาพระพุทธเจ้ามาให้เห็นนั้นจริงแน่แล้ว

ข้าพเจ้ารีบลงจากฐานเจดีย์นั่งคุกเข่าลงกับพระอุโบสถกราบ 3 ครั้ง ด้วยความเคารพอย่างสูงทันที และดีใจที่ได้มาพบอาจารย์ที่ศักดิ์สิทธิ์สมใจแล้ว เมื่อกราบเสร็จยังมองอยู่อีกว่าจะมีรูปร่างในพระจันทร์จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ รูปนั้นก็คงเดิมแต่ค่อยจางไปจนเหลือแต่ดวงจันทร์มีสิ่งมัวๆเหมือนเห็นครั้งแรกแล้วมานึกเอะใจว่า เอ ทำไมมีดวงจันทร์ 2 ดวง ขณะเวียนเทียนก็ลอยอยู่ตรงศีรษะ 1 ดวง เหตุไฉนจึงมาลอยอยู่ขอบฟ้าอีก 1 ดวงได้ ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นดวงจันทร์ลอยอยู่เหนือศีรษะอย่างเดิม แต่พอหันกลับมาดูดวงจันทร์ที่เห็นรูปพระพุทธเจ้า อ้าว หายไปเสียแล้ว จึงแน่ใจเป็นครั้งที่สองว่า การณ์ได้เป็นไปดังข่าวลือว่าหลวงพ่ออารธนาพระพุทธเจ้ามาให้เห็นได้ โชคดีอย่างยิ่งที่มาพบอาจารย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงรีบเข้าไปในพระอุโบสถเข้าไปกราบที่หน้าตักหลวงพ่อทั้งที่ขนยังลุกเกลียวๆอยู่ แล้วกราบเรียนหลวงพ่อถึงความรู้สึกเดิมก่อนที่จะเห็นรูปพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร หลังจากเห็นรูปแล้วเป็นอย่างไร พร้อมทั้งขอกราบถวายชีวิตเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลวงพ่อยิ้มๆ พูดว่า “เออ เอ็งดีที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ” หลวงพ่อพูดเท่านั้นแล้วไม่พูดอะไรอีก…

หลังจากที่หลวงพ่อท่านแสดงพระธรรมเทศนาเนื่องในวันเวียนเทียนเสร็จและท่านลงจากธรรมาสน์แล้ว ผู้ที่ได้เห็นพระนิพพานมักจะเข้าไปเล่าสิ่งที่ตนพบเห็นถวายหลวงพ่อและแสดงอาการปลาบปลื้มยินดีในลักษณะต่างๆกัน บางคนถึงกับร้องไห้ฟูมฟาย บางคนที่ไม่เคยเชื่อ ไม่เคยศรัทธาเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อมาก่อนแต่มาเวียนเทียนเพราะมีผู้ชวนมาบ้าง อยากจะมาพิสูจน์หลวงพ่อบ้าง บางคนก็เคยวิจารณ์ติเตียนหลวงพ่ออย่างรุนแรงมาก่อน เมื่อได้มาเห็นกับตาตนเองก็เปลี่ยนใจทันที ดังเช่นรายคุณสุธรรม จันทร์กลัดที่เล่าไปแล้ว…

—————————————————————

Cr. หนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อและวัดปากน้ำ

Post by: เพจบารมีธรรม หลวงพ่อวัดปากน้ำ

แชร์เลย

Comments

comments

Share: