สุวรรณสังขชาดก

สจฺจํ กิเรวมาหํสูติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อนาถปิณฺฑิกสฺสาราเม อตฺตโน วราย ปริสกนฺตํ เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิ

สตฺถา สมเด็จพระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อันเป็นอารามของอนาถปิณฑิกคฤหบดี ทรงพระปรารภภิกษุเทวทัต ผู้ขวนขวายอยู่เพื่อจะปลงพระชนม์ของพระองค์เป็นมูลเหตุ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มว่า สจฺจํ กิเรวมาห ดังนี้เป็นอาทิ ดำเนินความในนิทานวจนะว่า

กิร ดังได้สดับฟังมาว่า ภิกษุเทวทัตนั้นเป็นโอรสแห่งสุปพุทธสากยราช ครั้นบรรพชาในพุทธศาสนาแล้ว พยายามคอยจะฆ่าพระผู้มีพระภาคเจ้า คราวหนึ่งพระภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากัน ณ โรงธรรมสภาดังนี้ว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเทวทัตเป็นผู้หยาบช้าสาหัสนัก คิดจักพยายามฆ่าพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา สมเด็จพระศาสตาจารย์เจ้าเมื่อประทับอยู่ ณ คันธกุฏี ทรงสดับกถาเรื่องนั้นด้วยทิพโสตธาตุ จึ่งเสด็จออกจากคันธกุฏีไปประทับ ณ บวรพุทธาอาสน์แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายประชุมพูดกันด้วยเรื่องอะไร พระภิกษุทั้งหลายจึ่งกราบทูลว่า ข้าพระบาททั้งหลายประชุมพูดกันด้วยเรื่องเทวทัตพยายามจะฆ่าพระองค์อย่างนี้ จึ่งมีพุทธดำรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเทวทัตจะได้พยายามฆ่าตถาคตแต่ในเดี๋ยวนี้ก็หาไม่ ถึงในกาลปางก่อนเธอก็พยายามตามฆ่าตถาคตมาแล้ว ตรัสดังนี้แล้วจึ่งนำเรื่องราวที่ภพน้อยใหญ่กำบังไว้มาอ้าง ดังปรากฏต่อไปนี้ว่า

อตีเต ภิกฺขเว พฺรหฺมนคร ฯลฯ รชฺชํ กาเรสิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลที่ล่วงมาแล้วนาน มีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า พรหมทัต ดำรงราชสมบัติอยู่ ณ พรหมนคร พระเจ้ากรุงพรหมทัตนั้น มีราชกัญญาเป็นอัครมเหสีซ้ายขวาสององค์ มเหสีขวานั้นพระนามว่าจันทาเทวี มเหสีซ้ายนั้นยังไม่ปรากฏว่านามใด ราชกัญญาซ้ายขวานั้นเป็นที่โปรดปรานของพระราชายิ่งกว่านารีอื่นๆ คราวนั้นพระบรมโพธิสัตว์ยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสารวัฏ จุติจากเทวโลกแล้วได้เกิดในครรภ์แห่งมเหสีขวาของพระเจ้ากรุงพรหมทัต

วันที่พระโพธิสัตว์มาปฏิสนธินั้น พระนางจันทาเทวีบรรทมหลับอยู่ ณ แท่นที่สิริไสยาสน์ พอเวลาจวนจะใกล้รุ่งสว่างนางทรงพระสุบินไปว่า พระอาทิตย์เปล่งรัศมีแผ่ไปในทุศานุทิศแล้ววนเวียนสิเนรุบรรพตสามรอบ มาตกต้องพระทรวงของพระนางจันทาเทวี ๆ ก็ตกพระทัยตื่น ครั้นเวลาราตรีสว่างแล้ว พระนางจันทาเทวีจึงสรงน้ำชำระกายเสร็จแล้วก็เข้าไปสู่ที่เฝ้า ถวายบังคมแล้วทูลเล่าความฝันนั้นให้ทรงทราบ ในคืนวันเดียวกันนั้น พระมเหสีซ้ายบรรทมหลับเหนือที่สิริไสยาสน์ พอเวลาจวนจะใกล้สว่างนางก็ทรงสุบินไปว่าท้าววาสพเจ้าพิภพดาวดึงส์ ทรงประทานดอกจำปาทองให้แก่นางเทวีแล้วก็เสด็จกลับไป นางเทวีรับดอกจำปาทองนั้นไว้แล้วก็เชยชมชื่นชูพระทัย นางเทวีตื่นขึ้นแล้วสรงน้ำชำระกายเสร็จแล้วจึ่งเข้าไปสู่ที่เฝ้า ถวายบังคมแล้วทูลเล่าเรื่องความฝันนั้นให้ทรงทราบ พระเจ้ากรุงพรหมทัตทรงสดับความฝันของราชเทวีทั้งสองนั้นแล้ว รับสั่งให้หาตัวเนมิตกาจารย์เข้ามาเฝ้า เล่าลักษณะความฝันสองเรื่องนั้นให้ฟัง เนมิตกาจารย์จึ่งพยากรณ์ถวายว่า ซึ่งพระนางจันทาเทวีฝ่ายขวา ฝันเห็นพระอาทิตย์เปล่งรัศมีวนเวียนสิเนรุบรรพตสามรอบ แล้วกลับมาตกต้องพระทรวงพระราชเทวี พระสุบินข้อนี้ส่อให้เห็นว่า พระราชเทวีนั้นจักได้ราชโอรส ทรงพระรูปโฉมงามเลิศหาผู้ใดจะเสมอมิได้ ก็ส่วนพระราชเทวีซ้ายนั้นฝันเห็นพระอินทร์ประทานดอกจำปาทองให้เทวี ความฝันข้อนี้ส่อให้เห็นว่า พระราชเทวีซ้ายจักได้พระราชธิดาทรงรูปสิริโสภาหานารีอื่นจะเสมอเหมือนมิได้ แต่นั้นมาพระราชเทวีซ้ายนั้น จึงมีนามปรากฏว่าสุวรรณจัมปากเทวี ด้วยประการฉะนี้แล

พระเจ้ากรุงพรหมหัตทรงพระโสมนัส ตรัสประทานเรือนหลวงเป็นที่สบายให้แก่ราชเทวีสององค์ ด้วยพระประสงค์จะให้ราชเทวีรักษาครรภ์ไว้ให้ดี ต่อนั้นมาพระเจ้ากรุงพรหมทัตมีพระประสงค์จะให้สร้างเบญจกกุธภัณฑ์ไว้ท่า สำหรับจะได้ทำราชาภิเษกพระราชบุตร (ต่อเมื่อมีชันษาอันสมควร) แล้วพระองค์รำพึงต่อไปอีกว่า ​กุมารที่มาเกิดนี้จักได้สืบวงศ์สกุลต่อไป ทรงดำริแล้วจึงรับสั่งให้พนักงานจัดสร้างเบญจกกุธภัณฑ์ไว้พร้อมเสร็จทุกอย่าง

คราวนั้น สุวรรณจัมปากเทวีมเหสีฝ่ายซ้ายเมื่อได้สดับคำเนมิตกาจารย์ทำนายสุบินว่าตนจะได้ราชธิดา กลับมานอนตรึกตรองไปว่า ทำอย่างไรเราจะให้พระราชาขับไล่นางจันทาเทวีเสียได้หนอ เราคนเดียวไม่มีคู่คิดที่ไหนจะอาจคิดอุบายเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ คิดแล้วจึ่งไปหาท่านปาลกเสนาบดีเล่าความเรื่องนั้นให้เสนาบดีฟังว่า เนมิตกาจารย์เขาทำนายไว้ว่านางจันทาเทวีตั้งครรภ์แล้ว สัตว์อยู่ในครรภ์นั้นจะเป็นราชโอรส ส่วนดิฉันตั้งครรภ์แล้วทารกซึ่งอยู่ในครรภ์นั้นจะเป็นราชธิดา ถ้าว่าเป็นจริงเหมือนดังว่านี้ไซร้ พระราชาจักทำความรักใคร่นางจันทาเทวีมากกว่าดิฉันถึงร้อยเท่าพันเท่า ดิฉันจักไม่เป็นที่เอิบอาบพระหฤทัยของพระราชา ดิฉันจักทำอุบายอย่างไรดีจึงจะตั้งอยู่ในขัตติยวงศ์และดำรงอยู่ในราชสมบัติ เมื่อใดดิฉันจักมีอิสริยยศปรากฏแล้ว เมื่อนั้นตัวท่านก็จักได้เป็นมหาเสนาบดี ท่านจงช่วยคิดหาอุบายให้ดิฉันด้วย ทำไฉนจักให้พระราชาขับไล่นางจันทาเทวีไปเสียจากราชนิเวศน์ได้ ดิฉันได้เป็นอิสระในขัตติยวงศ์แล้ว ดิฉันจักอุปถัมภ์ให้ท่านได้ยศและกิตติศัพท์อย่างสูงสุด ปาลกเสนาบดีจึงทูลสนองราชเทวีฝ่ายซ้ายว่า พระนางเธออย่าพรั่นพรึงเลย ข้าพเจ้าจะหาอุบายไห้พระราชาขับไล่นางจันทาเสียให้ได้ การที่จะขับไล่นางจันทานี้ไม่ยากเลย เรื่องนี้เป็นภารธุระของข้าพเจ้าเอง นางสุวรรณจัมปากเทวีปรึกษาตกลงกันแล้วจึงกลับมายังที่อยู่ของตนตามเดิม

อยู่มาวันหนึ่ง ท่านปาลกเสนาบดีเข้าไปสู่ที่เฝ้าพระเจ้าพรหมหัตถวายบังคมแล้วจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระนางจันทาเทวีจะมีใจซื่อตรงต่อพระองค์ก็หาไม่ ย่อมไปเสพกามคุณกับชนชาติต่ำช้า พระนางจันทาเทวีนั้นประพฤติการณ์การหาสมควรไม่ เมื่อลับหลังพระองค์ไปแล้วประพฤติอนาจารเหมือนหญิงรุ่น ๆ สาวบ้าง เหมือนหญิงหม้ายบ้าง และหาเกรงกลัวพระราชอาญาฝ่าพระบาทไม่ เห็นว่าพระนางจันทานั้นไม่ควรจะให้อยู่ในราชนิเวศน์ต่อไป เมื่อท่านปาลกเสนาบดีทูลยุยงอย่างนี้แล้วก็กลับไป พระนางสุวรรณจัมปากเทวีจึ่งสวนเข้าไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคมแล้วทูลยุยงเสริมคำเสนาบดีอีกว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้อยคำของปาลกเสนาบดีที่กราบทูลนั้นหาเหลวไหลไม่จริงทีเดียว นางจันทาเทวีนั้นจะตั้งใจบำเรอพระองค์ตามธรรมดาหามิได้ มักทำกรรมลามกด้วยบุรุษคนเลว นางจันทาเทวีมีครรภ์นั้น จะได้เกิดด้วยอำนาจสัมภวของพระองค์​เดียวหามิได้ ย่อมสาธารณ์ทั่วไปกับบุรุษชาวเมืองด้วยกัน พระเจ้ากรุงพรหมทัตทรงสดับถ้อยคำปาลกเสนาบดีและนางสุวรรณจัมปากเทวีทูลบรรยายนั้น หาทรงวิจารณ์โทษของนางจันทาเทวีให้ได้ความเท็จจริงก่อนไม่ ทรงกริ้วกราดเป็นกำลัง จึ่งรับสั่งให้ขับไล่นางจันทาเทวีไปให้เสียจากนิเวศน์เรือนหลวง

พระนางจันทาเทวีนั้นหาที่พึ่งบ่มิได้ ดำเนินพลางทางกรรแสงไห้ว่า แต่ก่อนเราทำอกุศลกรรมสิ่งใดไว้ จึงได้มาเสวยความทุกข์อย่างใหญ่ฉะนี้ พวกนักสนมและพนักงานทั้งหลาย สดับฟังสำเนียงพระนางจันทาเทวีปริเทวนาดำเนินจากอิฏฐคารกาลครั้งนั้น พากันร้องไห้ล้มกลิ้งเกลือกอยู่ไปมา เหมือนไม้รังอันถูกลมยุคันธวาตพัดผันให้ล้มระเนนไปฉะนั้น พระนางจันทาเทวีจึ่งทำอัญชลีกรแก่เทพดาผู้รักษาราชนิเวศน์แล้ว จึ่งมีเสาวนีย์ตรัสแก่พวกหญิงผู้สัมพันธวงศ์ของตนว่า ท่านทั้งหลายจงอยู่ดีกินดีและอย่ามีความประมาท ดิฉันขอลาท่านทั้งหลายไปเสวยมหันตทุกข์ตามกรรมที่เราทำไว้ นางกล่าวรำลาดังนี้แล้วดำเนินไปแต่ผู้เดียวอนาถาหาที่พึ่งและเพื่อนมิได้

น่าสมเพชเวทนาพระนางจันทาเทวี เมื่อครั้งยังอยู่ในราชนิเวศน์อันสะพรั่งพร้อมด้วยอิฏฐาคาร พระนางเธอเคยทรงสุวรรณปาทุกาและสีวิกากาญจน์ อนึ่งเล่า พระนางเธอเคยประพรมสรีรกายด้วยน้ำหอมและจุณจันทร์ และเสยสางพระเกศด้วยน้ำมันหอมประดับกายงามสง่า ตั้งแต่นางถูกขับไล่ออกมา หามีเครื่องหอมประปรุงไม่ มีกายอันเหม็นสาบเหงื่อไหลอาบทั่วสรีราพยพ ขมุกคะมอมไปด้วยละอองผงธุลี ดำเนินพลางปริเทวนาไปจนได้พบตายายสองคนเข้า

ตายายสองคนนั้นครั้นเห็นพระนางจันทาเทวี จึงพากันเข้าไปใกล้ไต่ถามว่า แน่ะนางผู้เจริญ แม่อยู่ที่ไหนทำไม่จึ่งอนาถามาคนเดียวนี่จะไปไหนต่อไป พระนางจันทาเทวีจึงบอกว่า ข้าแต่ท่านตายายดิฉันเป็นมเหสีฝ่ายขวาของพระเจ้าพรหมทัต ๆ โปรดปรานข้าพเจ้ามาก นางสุวรรณจัมปากเทวีฝ่ายซ้าย เห็นดิฉันเป็นที่โปรดปรานของพระราชา แกล้งทูลยุยงให้พระราชาขับไล่ดิฉันเสียจากราชนิเวศน์ ตายายทราบเหตุแล้วนึกสมเพชและนึกดีใจ จึ่งพาพระนางจันทาเทวีมาเลี้ยงไว้ยังเรือน พระนางจันทาเทวีอาศัยตายายอยู่ต่อมาจนทรงครรภ์ได้หกเดือน

​ครั้งนั้นแล พระบรมโพธิสัตว์เมื่ออยู่ในครรภ์พระมารดาพิจารณาดูมารดา เห็นพระมารดาเสวยความทุกข์มากนัก จึ่งดำริว่าพระมารดาของเราพลัดพรากจากเมืองมาเป็นผู้อนาถาหาญาติพี่น้องมิได้น่ากรุณานัก ถ้าหากว่าเราจะพึงเกิดด้วยสัณฐานเป็นรูปทองไซร้ พระมารดาจักเลี้ยงเราลำบากกว่าก่อนได้ร้อยเท่าพันเท่าส่วน ถ้ากระไรเราควรจักแปลงกายให้เป็นรูปหอยสังข์เสียเถิด คิดแล้วก็ทำสัจจาธิษฐานกลายไปเป็นรูปสังข์ทอง เมื่ออยู่ในครรภ์มารดาครบสิบเดือน รูปสังข์ทองนั้นจึ่งออกจากครรภ์มารดางดงามยิ่งนัก พระนางจันทาเทวีจึงชำระคัพมลทินด้วยวารีแล้ว จึ่งรักษาพระมหาสัตว์อยู่สิ้นกาลนาน

วันหนึ่งจึ่งพระนางจันทาเทวีเสด็จไปสู่ป่าด้วยกิจอันหนึ่ง พระสุวรรณสังข์โพธิสัตว์ออกจากรูปหอยสังข์แล้ว ทำการปัดกวาดเรือนและที่นอนของมารดาแล้วก็เข้าไปยังที่อยู่แห่งรูปหอยสังข์ตามเดิม ครั้นพระนางจันทาเทวีกลับจากป่า เห็นเรือนอันกวาดปัดไว้ดีมีจิตโสมนัสจึงกำหนดนิ่งไว้ในหทัย หาได้บอกให้ใคร ๆ รู้ไม่ วันหนึ่งจึงนางจันทาเทวีเสด็จไปป่าด้วยกิจอันหนึ่งอีก พระบรมโพธิสัตว์จึ่งออกจากรูปหอยสังข์ปัดกวาดที่นอนในห้องเรือนและเก็บจำสิ่งของที่กระจาย ลำดับไว้ในที่อันสมควรแล้วก็กลับเข้าไปยังที่อยู่ของตน พระนางจันทาเทวีเมื่อกลับมาเห็นดังนั้นก็อัศจรรย์ใจ ไม่รู้จักเหตุที่โอรสกระทำไว้ให้จึ่งดำริว่า นี่อัศจรรย์นักอะไรจักมีแก่เรา คิดแล้วก็หาได้บอกให้ใครรู้ไม่ วันหนึ่งจึ่งพระนางจันทาเทวีทำอาการเหมือนจะไปป่า แง้มประตูเรือนไว้หน่อยหนึ่งแล้วก็ไป แล้วนางหวนกลับมาซ่อนตัวอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เพื่ออยากจะรู้ซึ่งเหตุนั้น

คราวนั้นพระสุวรรณสังข์เห็นมารดาไปแล้ว จึ่งออกจากที่อยู่ของตนไปปัดกวาดเรือนและที่นอนของมารดา พระนางจันทาเทวีเห็นโอรสออกจากรูปสังข์แล้วกวาดที่เรือนอยู่ ทรงรูปโฉมงามยวดยิ่งหาคนอื่นเสมอมิได้ เกิดความดีใจวิ่งมาโดยเร็ว ตรงเข้ากอดจุมพิตโอรสแล้วตรัสว่า พ่อสุวรรณสังขกุมาร พ่อเป็นโอรสของพระราชา พระราชบิดาของพ่อมีมเหสีสองนาง พระราชเทวีมารดาเลี้ยงนั้นอิจฉามารดา ทูลยุยงให้พระราชาขับไล่มารดาเสียจากราชนิเวศน์ พระนางจันทาเล่าเรื่องราวให้โอรสฟังแล้วดำริว่า ถ้าหากว่าโอรสของเราจักเป็นหอยสังข์อยู่อย่างนี้ คนเราจักพูด ๆ กันไปต่าง ๆ นานา คิดแล้วจึงเอาหอยสังข์นั้นทุบเสียให้แตก เก็บเอาเปลือกหอยเผาไฟเสีย

​พระสุวรรณสังขกุมารเห็นมารดาทำอย่างนั้น จึ่งพูดว่า ข้าแต่พระมารดาเหตุไร พระมารดาจึ่งทุบหอยสังข์ซึ่งมีของทิพย์อยู่ภายในเสียเล่า ถ้าหากว่าภัยจักมีแก่ข้าพเจ้าไซร้ ใครจักเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าได้ พระนางจันทาจึ่งชี้แจงเรื่องราวให้โอรสฟังว่า พ่อบุตรสุดที่รักของมารดา ตัวพ่อพร้อมด้วยรูปลักษณะมีบุญมากนัก ใคร ๆ จักไม่อาจผจญพ่อได้ เพราะเหตุไรเล่า เพราะเหตุว่าเมื่อแรกพ่อมาปฏิสนธิมารดาได้ฝันเห็นเป็นเครื่องมั่นใจ นางจึ่งเล่าความฝันตั้งต้นจนถึงเนมิตกาจารย์ทำนายไว้แล้ว พระนางเธอจึงตรัสปลอบเอาใจโอรสว่าพ่อมีรูปงามสูงสุดเป็นยอดเยี่ยม มนุษย์ใคร ๆ จักไม่ชนะพ่อไปได้ จำเดิมแต่นั้นมา พระนางจันทาเทวีก็ตั้งใจถนอมเลี้ยงพระบรมโพธิสัตว์ไว้มิให้อนาทร

คราวนั้นประชาราษฎร เห็นสังขราชกุมารผู้รูปงามหาคนอื่นจะเหมือนมิได้ พากันสรรเสริญยกย่องว่าประเสริฐในโลก กิตติศัพท์นั้นก็เลื่องลือไปถึงพระกรรณพระเจ้ากรุงพรหมหัต ๆ ทรงพระโสมนัสจึ่งตรัสบังคับพวกอำมาตย์ว่า ท่านทั้งหลายจงประดับม้าสินธพด้วยสรรพากรณ์ แล้วพร้อมด้วยพลนิกรออกไปรับโอรสกับราชเทวีของเราเข้ามา ณ บัดนี้ อำมาตย์ทั้งหลายจึ่งพากันออกไปจัดการเสร็จตามกระแสรับสั่ง พระนางจันทาเทวีเสด็จมาถึงพร้อมด้วยพระสุวรรณสังข์ ก็เสด็จประทับอยู่ ณ ราชวังเหมือนดังก่อนเก่า พระเจ้ากรุงพรหมหัตรับสั่งให้เชิญพระสุวรรณสังข์เข้ามาเฝ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ ทรงกอดและให้ประทับบนพระเพลา จุมพิตเศียรเกล้าแล้วภิรมย์ขมเชยยิ่งนักหนา

ส่วนสุวรรณจัมปากเทวี เห็นพระราชาทรงปรีดาภิรมย์ด้วยราชโอรส นางก็มีจิตริษยาตั้งหน้าพยายามแสวงหาโทษแก่พระโพธิสัตว์และนางจันทาเทวี ประสงค์จะให้ถึงความพินาศ วันหนึ่งนางสุวรรณจัมปากเทวีทราบว่าพระโพธิสัตว์เกิดภายในหอยสังข์ นางนึกขึ้นได้ว่าได้อุบายเรื่องนี้มีแก่เราหละ แล้วนางก็เข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่เทวดา นางจันทาเทวีเป็นหญิงกาลกัณณีออกลูกเป็นหอยสังข์ ฝ่ายปาลกเสนาบดีก็ทูลซ้ำใส่โทษต่าง ๆ แก่พระนางจันทาเทวีต่อหน้าพระที่นั่งอีก

พระเจ้ากรุงพรหมทัตหามีปรีชาไม่ หลงเชื่อถ้อยคำเสนาบดีและนางสุวรรณจัมปากเทวี ทรงพระพิโรธอย่างใหญ่จึ่งบังคับรับสั่งอำมาตย์ว่า พวกอำมาตย์จงช่วยกันผูกแพให้ใหญ่ เอานางจันทากับกุมารใส่ไว้ในแพไปลอยเสียในแม่น้ำคงคา ฝ่ายพระนางจันทาเทวีและชนชาวบุรีทราบเหตุนั้นแล้วก็พากันร่ำร้องไห้ยกใหญ่

เตน วุตฺตํํ เพราะเหตุนั้น พระบรมศาสดาพระองค์ได้ถึงสัมโพธิญาณแล้ว จึ่งนำเหตุเรื่องนั้นมาแสดงธรรมแก่พระสารีบุตรอันมีใจจริยาปิฎกปกรณ์ว่า

ดูกรธรรมเสนาบดีสารีบุตร เมื่อกาลครั้งก่อนเราผู้ตถาคตยังเสวงหาพระโพธิญาณอยู่ ได้เกิดเป็นราชโอรสแห่งพระเจ้าพรหมทัต ณ พรหมบุรีนคร พระราชานั้นหลงเชื่อถ้อยคำราชเทวีผู้ใจบาป นำเราตถาคตกับพระมารดาไปลอยแพเสียในกระแสน้ำคงคา คราวนั้นพวกอำมาตย์และราษฎรทั้งหลายประชุมกัน ณ หน้าพระลานหลวง พากันทูลขอพระบรมโพธิสัตว์ไว้ พระราชาก็มิได้ประทานให้ พากันร้องไห้ล้มลง ณ ปฐพี เหมือนป่ารังอันถูกลมยุคันธวาตพัดให้ล้มลงฉะนั้น กาลเมื่อใดพวกอำมาตย์เข้าจับเราตถาคตกับมารดาใส่เข้าไว้ในแพใหญ่ กาลเมื่อนั้นมหัศจรรย์ก็เกิดเป็นโกลาหล เมทนีดลอันหน้าได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็เกิดหวั่นไหวปานประหนึ่งว่าจะโศกเศร้า พระยาเขาสิเนรุเป็นที่พึ่งของโลกก็อ่อนเอนอยู่ไปมา เปรียบดังยอดหวายฉะนั้น ฝนก็ตกลงมาแต่เบื้องบน สาครก็คำรณร้องก้องสนั่น เหมือนดังช้างอันเมามันฉะนั้น บรรดาหมู่สัตว์ดิรัจฉานทั้งปวงก็เกิดความกรุณาใหญ่ ด้วยประการฉะนี้

โส อุลุมฺโป ความว่าแพนั้นลอยไปตามกระแสน้ำคงคาช้านานด้วยบุรพกุศลกรรมของพระราชเทวีและพระโพธิสัตว์ มีลมพายุใหญ่พัดทำให้แพแตกออกไป พระนางจันทาเทวีได้ไม้ที่แพแตกนั้นท่อนหนึ่งเกาะลอยไป ทอดพระเนตรเห็นไม้ต้นหนึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งมียอดประลงมาใกล้น้ำ นางจึงพยายามว่ายไปด้วยกำลังแรง จับยอดไม้นั้นไว้ได้มั่นค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปถึงคบไม้ นั่งนึกถึงโอรสแล้วทรงโสกายกใหญ่ นางก็เลยนั่งอยู่ ณ ต้นไม้ที่ฝั่งคงคาใกล้มัททราชบุรี

คราวนั้น เศรษฐีคนหนึ่งนามว่าธนญชัยมีสมบัติมากอยู่ในมัททราชบุรี วันนั้นทาสีของธนญชัยเศรษฐี ไปเที่ยวตามฝั่งคงคาด้วยกิจธุระอย่างหนึ่ง ไปพบพระนางจันทาเทวีร้องไห้อยู่บนคบไม้ จึงเดินเข้าไปใกล้ร้องถามว่า แม่ทำไมจึ่งนั่งร้องไห้อยู่ที่นี้ แน่ะแม่ดิฉันเป็นมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตเจ้าเมืองพรหมบุรี นางเทวีจึงเล่าเรื่องราวทั้งปวงให้ทาสีนั้นฟังตามลำดับแต่ต้นมา ทาสีนั้นทราบเรื่องราว จึ่งรับพระราชเทวีนำมายังมัททราชบุรี ครั้นถึงจึ่งเล่าเรื่องราวให้ธนญชัยเศรษฐีนายของตนฟัง ธนญชัยเศรษฐีสดับทราบความ​แล้วบอกให้ทาสีพาตัวพระราชเทวีมาแล้วทำความต้อนรับด้วยวาจาน่ารักใคร่ ชวนให้พระราชเทวีอยู่ด้วยกันกับตน พระนางจันทาเทวีรับรองว่าสาธุแล้วก็อยู่ในเรือนเศรษฐีนั้นต่อไป ธนญชัยเศรษฐีจึงตั้งพระราชเทวีให้เป็นแม่ครัวของตน แต่นั้นมาพระนางจันทาเทวีอาศัยเศรษฐีนั้นเลี้ยงชีพอยู่เป็นสุขทุกทิวาราตรี

คราวนั้น พระโพธิสัตว์หน่อพระพุทธเจ้า เมื่อลอยมากับแพถูกลมร้ายพัดแพแตกแล้ว ได้พลัดจากกันกับมารดาเสวยทุกขเวทนาอยู่ในมหาสมุทร ด้วยเดชบุญของพระมหาบุรุษนั้น นาคพิภพแสดงความร้อนปรากฏขึ้น พระยานาคเจ้าของพิภพขึ้นจากนาคพิภพไปยังมหาสมุทร นิรมิตเรือทองขึ้นลำหนึ่งจัดแจงแต่งเรือนมียอดเจ็ดยอด (บุษบก) ไว้ในท่ามกลางเรือทอง นำเรือนั้นไปใกล้พระมหาสัตว์ อุ้มพระมหาสัตว์ขึ้นเรือได้ให้นั่งอยู่ในกูฎาคาร แล้วปล่อยให้เรือนั้นลอยไป สุวรรณนาวาลอยไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง เกาะนั้นมีต้นไม้ดกดาดไปด้วยดอกและผลน่ารื่นรมย์ ระงมไปด้วยเสียงมยุรโกญจาเสนาะเพราะจับใจ อาจเปลื้องความโศกออกเสียได้เมื่อมีผู้มาเห็น

พระสุวรรณสังขกุมารขึ้นจากสุวรรณนาวาได้แล้ว ดำเนินชมไม้ต่าง ๆ ออกจากที่นั้นไปเห็นสระแห่งหนึ่ง สะพรั่งไปด้วยบัวแดงและบัวขาว ฝูงเต่าปลาแหวกว่ายอยู่คลาคล่ำ ชมดอกไม้ที่ริมฝั่งนทีแล้วดำเนินแต่นั้นไป จึงได้พบพระฤษีองค์หนึ่งนั่งเจริญจตุพรหมวิหารอยู่ ณ อาศรม จึ่งดำเนินเข้าไปใกล้ยกหัตถ์ไหว้นั่งอยู่ส่วนหนึ่ง พระฤษีนั้นครั้นเห็นสุวรรณกุมารก็ดีใจจึ่งซักถามว่า พ่อมาณพคนเดียวโดดอนาถามาธุระสิ่งไรหรือ พระโพธิสัตว์ทำการปราศรัยแล้วแจ้งว่า ข้าแต่พระฤษีผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นราชโอรสพระเจ้าพรหมทัต ณ พรหมบุรีนคร พระราชานั้นจับข้าพเจ้ากับมารดาใส่ในแพใหญ่ลอยเสียในคงคา เมื่อแพลอยมาถูกลมพัดแพแตก พลัดกับมารดาลอยมาตามกระแสคงคา พญานาคมีความกรุณามายกข้าพเจ้าขึ้นไว้ในเรือทอง ข้าพเจ้ามาถึงสำนักพระผู้เป็นเจ้าด้วยเรือทองลำนั้น ถ้าหากว่ามรรคาที่จะเดินไปยังเมืองทั้งปวงมีอยู่ไซร้ พระผู้เป็นเจ้าจงโปรดบอกมรรคานั้นให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

พระดาบสจึ่งพูดว่า ถ้าหากว่าพ่อจักไปทางเมืองพาราณสีมรรคาก็มีไป แต่มรรคานั้นเป็นที่อยู่ของหมู่ยักษ์ พระดาบสผู้เจริญ ถ้ามรรคาใดไปสวัสดีไซร้ ขอท่านบอกมรรคานั้นให้ข้าพเจ้า พ่อมาณพผู้เจริญ ถ้าหากว่าพ่อจะไปเมืองพาราณสีไซร้ พ่อจงไปตาม​ทางกระแสน้ำก่อนแล้ว พ่อจักไปพบเมืองยักษินีในระวางทาง ยักษินีเหล่านั้นพบพ่อแล้วจักลงมาจับเอาพ่อไป แต่ไม่อาจทำอันตรายแก่พ่อได้ บอกแล้วจึ่งพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ไปถึงเรือทองซึ่งจอดอยู่ท่าน้ำให้พระโพธิสัตว์นั่งในกูฎาคารแล้วปล่อยลอยไปตามกระแสคงคา ไม่นานนักก็บรรลุถึงเมืองยักษ์ ในรัฐประเทศนั้นพญายักษ์เจ้านายของพวกยักษ์ทำกาลกิริยาไปแล้ว นางยักษินีผู้เทวีได้รักษาเมืองอยู่กับยักษินีบริวาร พวกยักขินีเหล่านั้นพบพระโพธิสัตว์ลอยมาตามกระแสคงคา จึ่งพากันลงน้ำเพื่อจะจับเอาพระโพธิสัตว์มากิน แต่หาอาจกินพระโพธิสัตว์ได้ไม่ มหานทีก็กำเริบเป็นคลื่นใหญ่ ท่วมทับยักษินีทั้งหลายให้กระเด็นไปไกลได้พันวา (ถึงแก่ความตายเสียเป็นอันมาก) นางยักษินีพวกที่เหล็กจากตายสะดุ้งตกใจกลัวนัก พากันไปสู่สำนักยักขเทวีแล้วบอกเล่า พระแม่เจ้า สุวรรณนาวากับกุมารน้อยลอยมาในคงคา พวกข้าพเจ้าทั้งปวงรีบลงน้ำจะไปจับกุมารนั้นมาปรารถนาจะให้แก่แม่เจ้า น้ำในคงคากำเริบเป็นคลื่นใหญ่ นางยักษินีจมน้ำตายเสียเป็นอันมากด้วยกำลังน้ำพัดไป

ยักษินีเทวีนั้นครั้นได้ฟังแล้วจึงคิดว่า เมื่อก่อนๆ ราชสามีของเรายังครองราชสมบัติอยู่ ไม่เคยมีอัศจรรย์เลย เมื่อราชสามีทิวงคตไปแล้วมีอัศจรรย์ขึ้นได้ ควรเราจักไปที่ท่าน้ำตรวจเหตุการณ์นั้นดู คิดแล้วก็ไปยังท่าน้ำเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ ณ กูฎาคาร สมบูรณ์ด้วยสิริวิลาสเลิศหาผู้อื่นจะเสมอมิได้ นางยักษินีมีความรักใคร่เหมือนลูกอันเกิดในอุทร จึ่งโดดลงไปในคงคารับเอาพระโพธิสัตว์นำมาเลี้ยงไว้ในราชนิเวศน์สิ้นกาลช้านาน

วันหนึ่ง ยักขเทวีเคล้าคลึงบุตรเลี้ยงให้นั่งเหนือตักแล้วปลอบว่า พ่อลูกรักของมารดา มารดาเลี้ยงพ่อไว้ให้ประดับเครื่องประดับเหล่านี้ และจะให้สตรีพันนางอภิบาลพ่อไว้ในราชนิเวศน์เป็นนิจมิได้คิดจะให้พ่อไปที่อื่น พูดดังนี้แล้วจึ่งเก็บสมบัติทั้งปวงที่มีอยู่ ณ ปราสาทซ่อนไว้เสียให้ดี จึ่งส่งสุวรรณวลัยกับแหวนก้อยให้พระโพธิสัตว์ประดับแล้วกล่าวว่า พ่อลูกรักของมารดา พ่อจงเจริญสิริสวัสดิ์อยู่ในเมืองยักษ์จนถึงอายุได้ร้อยยี่สิบปีเถิด มารดาไม่เห็นคนอื่นนอกพ่อผู้เดียวแล้วที่จะรับกเลวรของมารดาไว้ได้ แต่นั้นมายักขเทวีให้โอวาทแก่พระโพธิสัตว์ว่า พ่อลูกรักของมารดา พ่ออย่าไปภายนอกปราสาทและมรรคาสวนทิศอุดร พ่ออย่าจรไปเล่น ณ ปราสาทชั้นบนเลยเป็นอันขาด แล้วเรียกสตรีทั้งหลายมาสั่งว่า เราจักไปป่าพวกเจ้าอยู่ข้างหลังจงระวังลูกเราให้ดี สั่งแล้วก็ลงจากปราสาทไปสู่ป่าจับสัตว์ต่าง ๆ กินเป็นอาหาร

​พระสุวรรณสังขกุมาร เมื่อยักขเทวีผู้มารดาเลี้ยงไปแล้วจึงดำริว่า มารดาเราห้ามไม่ให้เราไป ณ ปราสาทชั้นบนด้วยเหตุอย่างไร กับสั่งไว้ไม่ให้เราไปสวนด้วยเหตุอย่างไร คิดดังนี้แล้วครั้นถึงเวลาเย็นก็ดำเนินไปชมสวนเล่น เห็นกระดูกที่ยักษินีกินเนื้อแล้วกองอยู่เกลื่อนกลาดก็เกิดความสลดจิตยิ่งนัก พระโพธิสัตว์กลับจากสวนแล้วก็เลยขึ้นไปยังปราสาทชั้นหน เห็นบ่อเงินบ่อทองล้วนเป็นน้ำทิพย์ใส และได้เห็นเกือกทองทั้งคู่กับเกราะรูปคนป่า (รูปเงาะ) อันน่าเกลียดน่ากลัว กับเห็นพระขรรค์ด้ามแก้ว แล้วคิดว่า ทิพาภรณ์ที่เราประดับนี้เป็นของเลว คิดแล้วจึงสวมรูปเงาะป่าเข้ากับกาย แล้วเหน็บพระขรรค์เข้ากับเอวเอาเกือกทองสวมเข้ากับเท้า ทำเหมือนท่ากุมารเหาะเล่นในปราสาทนั้น เมื่อจะกลับจึ่งเปลื้องเครื่องประดับเสียแล้วเดินออกมาทางเก่า จึ่งเอานิ้วก้อยจุ่มลงในบ่อน้ำทอง นิ้วก้อยนั้นก็เป็นสีทองไป ขัดสีเท่าใดก็หาหายสีทองไม่ ยิ่งถูก็ยิ่งผ่องหนักไป พระโพธิสัตว์จึ่งเอาผ้าขี้ริ้วพันนิ้วก้อยไว้ประสงค์จะไม่ให้คนอื่นรู้ แล้วก็ลงจากปราสาทชั้นบนไปยังที่อยู่ของตน

ครั้นถึงเวลาเย็น ยักขเทวีกลับมาแต่ป่าจึงถามสตรีพี่เลี้ยงว่า แน่ะพวกสาวใช้ เมื่อเราไปแล้วกุมารถูกของเราเขาไปเที่ยวที่ไหนบ้างหรือไม่ ข้าแต่แม่เจ้า กุมารนี้กล้าหาญนัก ตั้งแต่แม่เจ้าไปแล้วก็เที่ยวไปในที่ต่าง ๆ กุมารนี้เกรงกลัวแม่เจ้าผู้เดียวเท่านั้น พวกข้าพเจ้าห้ามเท่าไรก็ไม่ฟังเสียง นางยักขเทวีจึงเรียกพระสุวรรณสังข์เข้ามา เห็นนิ้วก้อยพันผ้าขี้ริ้วอยู่จึ่งถามว่า เหตุไรพ่อจึ่งเอาผ้าขี้ริ้วพันนิ้วก้อยไว้ นิ้วของข้าพเจ้าถูกมีดน้อยบาด จึงเอาผ้าขี้ริ้วพันไว้ ไหนจงแก้ออกดูที ความทุกขเวทนาอันใดมีเราจักพิจารณาดูทุกขเวทนานั้น พูดแล้วนางยักขเทวีจึ่งแก้ผ้าพันออกเห็นนิ้วก้อยนั้นมีสีเป็นทอง นางจึ่งถ่มน้ำลายรดนิ้วก้อย ๆ ที่มีสีทองนั้นก็หายไปทันที

ตั้งแต่นั้นมา นางยักขเทวีพร่ำสอนพระโพธิสัตว์ให้ตั้งอยู่ในโอวาท และตั้งใจอภิบาลทำรุงไว้สิ้นกาลนานนักหนา จนนางมีกายาซูบผอมเพราะอดอยากลำบากด้วยไม่ค่อยได้เนื้อสดมากิน วันหนึ่งจึ่งยักขเทวีเรียกพระโพธิสัตว์มาสั่งว่า พ่อลูกรักของมารดา ๆ จะไปป่าเที่ยวหาอาหาร พ่อจงอยู่เป็นสุขเถิดหนา พ่ออย่าเที่ยวซนไป สอนสั่งแล้วก็ไปป่าแสวงหาเนื้อเพื่อเป็นอาหาร

คราวนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อยักขินีไปป่าแล้วจึ่งคิดว่า เมื่อเราอยู่ที่นี้จะมีประโยชน์อะไร เราจักประดับกายด้วยทิพาภรณ์แล้วหนีมารดาเลี้ยงไปเสียดีกว่าอยู่ ​คิดแล้วจึ่งขึ้นไปบนปราสาทชั้นบนลงอาบน้ำทิพย์ในบ่อทอง สกลกายก็ผุดผ่องเป็นทองไปหมด แล้วสวมเกราะรูปเงาะป่าเข้ากับกาย เหน็บพระขรรค์ด้ามแก้วแล้วสอดเท้าเข้าในเกือกทอง จึ่งเหาะออกไปตามช่องสีหบัญชรลอยไปในอากาศ จนบรรลุถึงแว่นแคว้นแดนเมืองตักสิลา ได้เห็นบรรณศาลาหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ณ ฝั่งฝากโน้นใกล้แม่น้ำแห่งหนึ่งจึงเหาะข้ามนทีไปอาศัยอยู่ ณ บรรณศาลานั้น

นางยักขเทวีแสวงหาอาหารในป่า ถึงเวลาเย็นก็กลับมายังปราสาทของตน ไม่เห็นสุวรรณสังข์บุตรเลี้ยงแล้วถามว่า แน่ะสาวใช้ ลูกของเราหายไปไหน ข้าแต่แม่เจ้า พวกข้าพเจ้าไม่รู้ว่ากุมารไปข้างไหน ยักขเทวีสดับคำสาวใช้บอกดังนั้น มีหฤทัยเร่าร้อนไม่อาจดำรงกายอยู่ได้ ร้องไห้หาไปในอุทยานแล้วกลับขึ้นมาค้นที่ปราสาทชั้นบนก็มิได้เห็น นางนึกว่าลูกของเราเห็นจักหนีเราไปแล้ว นางจึ่งตรวจดูของทิพย์สามอย่าง คือ เกราะรูปเงาะป่า ๑ เกือกทองทั้งคู่ ๑ พระขรรค์ด้ามแก้ว ๑ หายไปมิได้เห็น จึงเข้าใจชัดว่าลูกรักของเราหนีไปจริงแล้ว นางทั้งรักทั้งแค้นแสนอาลัยร้องไห้หาแล้วเหาะติดตามมาทางอากาศจนถึงนที (คือฟากนี้เป็นแดนของยักษ์) นางมองไปเห็นพระสุวรรณสังข์เธอนั่งอยู่ศาลาฝั่งน้ำโน้น (คือฝั่งโน้นเป็นแดนมนุษย์เมืองตักสิลา) ยักขเทวีก็มิอาจเหาะข้ามแม่น้ำนั้นได้ นั่งอยู่ในฝั่งนทีฟากนี้แล้วปลอบลูกด้วยปิยวาจาว่า พ่อลูกรักของแม่ดังดวงใจ เชิญพ่อกลับไปกับมารดาเถิด พ่อโกรธเคืองมารดาด้วยข้อไรจึงได้หนีมา มารดาตั้งใจจะรับรองกเลวระของพ่อไว้ และตั้งใจจะยกสรรพสมบัติและสาวใช้ทั้งปวงให้แก่พ่อ พ่อจะได้ดำรงวงศ์ประเพณีของมารดาต่อไป

ในที่นี้มีคำถามเข้ามาว่า ยักขเทวีมีฤทธิ์มาก เหตุไรจึ่งไม่อาจเหาะข้ามนทีไปได้ มีคำแก้ว่า ยักขเทวีนั้นเหาะไปได้เท่าที่เขตแดนของตนเท่านั้น ไม่อาจเหาะไปนอกเขตแดนของตนได้ นางจึ่งนั่งร้องไห้อยู่ที่ฝั่งนทีฟากนี้ พระสุวรรณสังขกุมาร ได้สดับเสียงยักขมารดาร้องไห้และวิงวอนให้พระองค์กลับ พระองค์จึ่งร้องตอบว่า ข้าพเจ้าไม่อาจอยู่กับมารดาได้ เชิญมารดากลับเสียเถิด ข้าพเจ้าเคยมาเป็นบุตรของมารดาเท่านี้เอง ถ้าหากว่าข้าพเจ้ากลับไปก็จักได้ความละอายในสำนักพวกสาวใช้ มารดาจงกลับไปเสวยสมบัติปกครองชาวรัฐวาสีให้เป็นสุขสำราญเถิด ข้าพเจ้าจักไม่กลับไปกับมารดาจริงแล้ว พ่อลูกรักของแม่ ถ้าหากว่าพ่อไม่กลับไปกับแม่ไซร้ แม่ก็จักตายอยู่ที่นี้ พ่อจงมาเรียนเอาทิพมนต์ไป แม่จะให้ทิพมนต์แก่พ่อ จะได้เอาไปไว้เป็นที่พึ่งต่อไปภายหน้า

​พระสุวรรณสังขกุมาร สดับฟังมารดาบอกให้เรียนทิพมนต์ก็ดีใจ จึ่งให้ยักขเทวีบอกคัมภีร์มนต์เรียนได้แล้วจึ่งถามว่า มนต์นี้มีประโยชน์อย่างไร ดูกรพ่อ มนต์นี้มีอิทธิวิธีวิเศษนัก ถ้าหากว่าพ่อต้องการปลาหรือเนื้อไซร้ พ่อจงร่ายมนต์เป่าไปอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด จะเป็นปลาก็ดีเนื้อก็ดีบรรดามีในน้ำและในป่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าว่ามีกรรมได้ทำไว้แล้วจงมาสู่สำนักเรา ถ้าว่าไม่ได้ทำกรรมไว้และไม่ควรจะตายจงพากันหนีไปเสียที่อื่น พระสุวรรณสังขกุมารเรียนมนต์ได้ก็บอกลายักขเทวีผู้มารดาว่า ข้าแต่มารดา เชิญมารดากลับไปเมืองจงมีอายุเจริญยิ่งนาน ข้าพเจ้าจักพรากจากมารดาแล้ว แต่นี้ไปนานลูกแก้วจักไม่ได้กลับมาเห็นมารดาอีกต่อไป พระสุวรรณสังขกุมารลามารดาแล้วก็เหาะลอยไปในอากาศ

ยักขเทวีเห็นพระสุวรรณสังข์กำลังเหาะไป เกิดความโศกใหญ่จนถึงตายไปในที่นั้น ครั้นตายแล้วก็ได้ไปเกิดในวิมาน ณ ดาวดึงส์สถานเทวโลก ในที่นี้มีคำถามว่า ยักขเทวีนั้น ประพฤติลามกฆ่าสัตว์กินจนตลอดชีวิต ตายแล้วได้ไปเกิดในเทวโลกเพราะเหตุไร พระอรรถถถาจารย์กล่าวแก้ว่า ยักขเทวีนั้นมีบุญได้ทำไว้ในปางก่อน และได้มาสโมสรกับพระโพธิสัตว์ผู้เป็นสาธุสัปบุรุษผู้บำเพ็ญบารมี และยักขเทวีผูกพันฉันทสิเนหากับพระโพธิสัตว์มั่นจนถึงวันตาย เพราะเหตุนั้น ยักขเทวีจุติจากอัตตภาพยักษ์แล้วจึงไปบังเกิดในดาวดึงส์เทวโลกด้วยประการฉะนี้

คราวนั้น พระโพธิสัตว์เห็นยักขินีมารดาตายแล้ว จึ่งกลับมาดูรู้ว่าตายจริง จึงเก็บเอาฟืนทำจิตรกรยกศพมารดาขึ้นบนจิตรกรแล้วจึ่งเอาไฟเผากเลวระของมารดาจนไหม้ ทำปทักษิณสามรอบเสร็จก็เสด็จลอยไปในอากาศ ทรงตรวจดูเมืองน้อยเมืองใหญ่ เห็นเมืองพาราณสีเกษมสุขด้วยโภชนาหารดี จึ่งลงจากอากาศดำเนินไป ถึงบ้าน ๆ หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ เมืองพาราณสี เข้าไปหานายคามโภชกในบ้านนั้น นายคามโภชกเห็นพระโพธิสัตว์มีรูปเหมือนเงาะป่าจึงถามว่า แน่ะหลานน้อย พ่อมาแต่ไหน ข้าแต่นายคามโภชก ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้เที่ยวมาหาเลี้ยงชีพ แน่ะหลานน้อย พ่ออย่าไปที่อื่นเลย จงอยู่กับเรา ๆ จะรับเลี้ยงพ่อไว้ นายคามโภชกจัดแจงโภชนะให้พระโพธิสัตว์บริโภคแล้ว จึ่งห่อข้าวให้กับพระสุวรรณสังขกุมารห่อหนึ่ง แล้วให้ไปเลี้ยงโคกับเด็กเลี้ยงโคทุกวัน พวกเด็กเลี้ยงโค​เห็นพระสุวรรณสังขกุมาร รูปแปลกเหมือนเงาะป่า บางคนก็หมิ่นประมาท บางคนก็กล่าวท้าทายว่า เจ้ามาณพรูปชั่วช้า เจ้าจงมาเล่นขลุบกับพวกเรา พวกเด็กเลี้ยงโคเล่นขลุบอยู่กับพระโพธิสัตว์ แม้แต่คนหนึ่งก็ไม่อาจทำให้พระโพธิสัตว์แพ้ได้ ครั้นเวลาเย็นพากันกลับมาบ้านแล้ว ไปชวนพระโพธิสัตว์เล่นขลุบอีก ต้องการจะให้พวกตนชนะ เมื่อเล่นขลุบกันก็ไม่อาจทำให้พระโพธิสัตว์แพ้ได้ ก็เกิดโทมนัสน้อยใจทุกคน

วันหนึ่งพวกเด็กเลี้ยงโคไปหาพระโพธิสัตว์พูดว่า เจ้าฉลาดในการเล่นขลุบ ขอให้พวกเราเรียนบ้าง พวกเราเรียนได้ชำนาญแล้ว แต่นี้ไปเราไปเลี้ยงโคแล้วจะให้ข้าวห่อเจ้ากินทุกวันๆ พระโพธิสัตว์นั้นยอมให้โคปาลทารกเรียนวิชาเล่นขลุบ ทำให้ฉลาดดี โคปาลทารกก็ดีใจ เมื่อไปยังที่เลี้ยงโคแล้วจึ่งแบ่งห่อข้าวของตนให้เป็นสองส่วน แล้วให้พระโพธิสัตว์บริโภคส่วนหนึ่งทุก ๆ วัน

คราวนั้นแล พระราชาองค์หนึ่งครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองพาราณสี สมบูรณ์ด้วยเกียติยศและบริวารยศหาพระราชาองค์อื่นจะเสมอมิได้ พระราชานั้นมีพระราชธิดาเจ็ดนางทรงรูปโฉมงามเลิศล้ำนารี พระเชฏฐาชธิดาหกนางนั้นมีภัสดาแล้ว แต่พระกนิษฐาธิดาสุดท้องนั้นยังหามีภัสดาไม่ พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงดำริว่า ธิดาของเราหกนางมีภัสดาไปหมดแล้ว แต่นางคันธาเทวีลูกสุดท้องของเรายังหามีภัสดาไม่ เราจักทำอาวาหมงคลให้นางคันธาเสียและจักทำชนชาวนครชนบทปราศจากมลทิน (คือจะไม่ให้ใครนินทาต่อไปในภายหน้าได้ ) ดำริแล้วจึ่งรับสั่งให้หาตัวมหาเสนาและราชโอรสนัดดาท้าวพระยา บรรดาอยู่ในราชอาณาจักรมาประชุมกันแล้วจึ่งดำรัสว่า ท่านทั้งหลายจงประดับกายให้เหมือน ๆ กัน พาพวกเสนาพลนิกายออกจากนครต่างๆ มาประชุมกัน ณ หน้าพระลานที่เมืองนี้ (เราจักให้ราชธิดาเลือกภัสดาเอาตามชอบใจ)

มหาชนมีราชโอรสเป็นต้น ก็มีความโสมนัสหรรษาปรารถนาจะได้ราชเทวีเป็นมเหสี ต่างก็ตกแต่งประดับกายแล้วมาประชุมกัน ณ หน้าพระลานหลวง พระเจ้ากรุงพาราณสีให้เชิญราชธิดาคันธาเทวีมากับนารีบริวารแล้วรับสั่งให้เลือกสามีตามชอบใจ ราชธิดาคันธาเทวีเมื่อจะเลือกสามีนั้น เห็นมหาชนมีราชโอรสเป็นต้นก็ไม่ชอบใจตน จึ่งทูลพระราชบิดาว่า ข้าแต่เทวดา มหาชนบรรดาที่มาประชุมกันเหล่านี้ หาเป็นที่รักใคร่อาบใจของหม่อมฉันไม่ พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงได้ฟังดังนั้น ก็กริ้วยกใหญ่ตรัสตวาดว่า ​อีหญิงทมิฬหีนชาติ เราปรารถนาจะทำอาวาหมงคลให้ ได้เรียกมหาชนมีราชโอรสเป็นต้น มีรูปร่างโสภณมามากมาย เจ้าจะเลือกเอาสักคนหนึ่งก็ไม่ได้เจียวหรือ

พระเจ้ากรุงพาราณสีจึ่งตรัสถามพวกชาวเมืองว่า พวกชาวเมืองได้เห็นและได้รู้ว่าบุรุษคนใดหนึ่ง ซึ่งมาแต่ที่อื่นมาอยู่เมืองนี้มีข้างหรือไม่ ข้าแต่พระมหาราช มีทุคตบุรุษคนหนึ่งรูปผิดมนุษย์ธรรมดา สกลกายาวิกลน่าชังรูปเหมือนเงาะป่า บัดนี้อาศัยนายคามโภชกเลี้ยงชีวิตด้วยกิจรับจ้างเลี้ยงโค พระเจ้ากรุงพาราณสีจึ่งตรัสบอกกะราชธิดาว่า ดูกรคันธาเทวี เดี๋ยวนี้มีบุรุษคนหนึ่งรูปร่างพิกลน่าชังอาศัยนายคามโภชกเลี้ยงชีวิต ถ้าเจ้าไม่ขอบใจมหาชนมีราชโอรสเป็นต้นไซร้ เราจะให้นำเจ้าเงาะป่านั้นมาทำให้เป็นภัสดาของเจ้าจะเอาหรือไม่ ราชธิดาคัณธาเทวีสดับโองการดังนั้น ให้มีจิตรักใคร่ในพระโพธิสัตว์จึงตอบโองการว่า ขอพระองค์จงให้รับตัวเจ้าเงาะป่ามาเถิดพระเจ้าข้า พระราชาจึ่งสั่งอำมาตย์ว่า พวกเจ้าจงไปนำเอาตัวเจ้าเงาะป่ามาให้เรา ณ บัดนี้ อำมาตย์ถวายบังคมแล้วก็พากันไป

ในกาลเมื่ออำมาตย์จะไปรับเอาตัวพระโพธิสัตว์มา คืนวันนั้นเวลาจะใกล้รุ่ง พระโพธิสัตว์ฝันเห็นว่าพระองค์ได้ลงไปอาบน้ำในสระอโนดาต พระโพธิสัตว์ตื่นขึ้นแล้วก็คิดว่า ความฝันที่เราเห็นแล้วนี้เป็นมงคลดีนักหนา พวกอำมาตย์พากันไปถึงบ้านนั้นแล้วจึ่งเข้าไปหานายคามโภชกแจ้งว่า แน่ะนายคามโภชก พระราชารับสั่งให้นำตัวเจ้าเงาะป่าลูกจ้างของท่านไป จะทรงให้ราชธิดาเลือกหาสามีเอาตามชอบใจ ใช่จะให้ตัวเงาะป่าไปแต่คนเดียวก็หาไม่ ชาวเมืองนี้และราชโอรสราชนัดดาท้าวพระยาทั้งปวง ก็รับสั่งให้ไปประชุมเลือกด้วย

พระสุวรรณสังขกุมารได้ฟังอำมาตย์พูดดังนั้นจึ่งตอบว่า ข้าพเจ้าผู้อนาถาถึงซึ่งความอันผู้อื่นจะกรุณา และหามารดาบิดา ญาติสาโลหิตบ่มิได้ ทั้งรูปร่างก็พิกลเหลือเดนมนุษย์ ไม่ควรจะเอาไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ดูกรพ่อรูปทุรพล ชื่อว่าพระราชามีอำนาจร้ายกาจนัก ท่านไม่ควรจะปฏิเสธว่าตัวเป็นเดนบุรุษดังนี้ ท่านจงมาไปกับพวกเราเถิด พระโพธิสัตว์นึกถึงความฝันแล้วดำริว่า ภัยหน่อยหนึ่งหามีแก่เราไม่ ดำริแล้วก็รับคำว่าจะไปกับพวกอำมาตย์ นายคามโภชกร้องห้ามพระโพธิสัตว์ไว้ว่า พ่อรูปทุรพล พ่อไปกับเขาแล้วเขาก็จักไม่ทำประโยชน์ให้แก่พ่อได้ เมื่อพ่ออยู่ในที่นี้จักเลี้ยงชีพให้เป็นสุข​ด้วยรับจ้างเลี้ยงโค พระสุวรรณสังขกุมารจะได้ฟังคำคามโภชกก็หาไม่ แล้วไปยังนครกับด้วยพวกอำมาตย์

ครานั้นเป็นเวลาราตรีกาล นางคันธาราชเทวีไสยาสน์หลับไปได้ฝันเห็นว่า มีเทพบุตรองค์หนึ่งนำเอาผลไม้ทิพย์มาให้ราชเทวี ผลไม้ทิพย์นั้นมีกลิ่นหอมแค่นๆ ไม่เป็นที่พอใจของนรชน ราชเทวีจึ่งผ่าทิพย์ผลด้วยมีด ทิพย์ผลนั้นก็ปรากฏเป็นแก้วเจ็ดประการ ราชเทวีจึ่งนำเอาแก้วนั้นมาประดับกาย ราชเทวีตื่นแล้วก็สรงพักตร์แล้วเสวยกระยาสุทธาโภชนะพินิจนึกถึงเรื่องฝันว่า น่าอัศจรรย์ความฝันข้อนี้จักให้สำเร็จผลแก่เราแน่ คิดแล้วก็เผยพระแกลแลไป เห็นรูปเงาะเดินตามอำมาตย์มา ณ หน้าพระลานหลวง ทรงสำรวลหน่อยหนึ่ง จึงเกิดความเยื่อใยในพระโพธิสัตว์เหลือเกิน

ในกาลครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เหลือบแลไปเบื้องบนปราสาทเห็นนางคันธาเทวี ก็มีจิตรักใคร่ทำยิ้มย่องต้องหฤทัย แท้จริงในกาลปางก่อน พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญกุศลร่วมกับนางคันธาเทวีไว้มากแล้ว แต่พอมาเห็นซึ่งกันและกันเข้าก็มีจิตปฏิพัทธต่อกัน นางคันธาเทวีนั้นเห็นพระโพธิสัตว์แล้วจึ่งดำริว่า คืนนี้เราฝันไปเราจักได้กราบสามีอันรอบรู้ศิลปศาสตร์หาผู้อื่นจะเทียมถึงบ่มิได้ พระโพธิสัตว์ดำเนินมาถึงหน้าพระลานหลวงแล้ว จึ่งถวายบังคมพระราชา ๆ ตรัสว่า วันพรุ่งนี้เช้าเจ้าจงมารับพวงมาลาที่นี้แล้วจึงตรัสถามต่อไปว่าเจ้ามาณพมาแต่ไหน ประมาณกี่วันจึ่งถึงเมืองเรา ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระบาทมาไกลประมาณเดือนหนึ่งจึ่งมาถึงเมืองของพระองค์ พระโพธิสัตว์กราบทูลแล้วก็ถวายบังคมลาไปยังที่ตนอยู่

คราวนั้น พระราชารับสั่งกะอำมาตย์ทั้งหลายว่า พวกท่านจงให้พนักงานเอานันทเภรีไปตีประกาศว่า วันพรุ่งนี้เช้าพระราชาจะให้นางคันธาเทวีโยนพวงมาลาเสี่ยงทายหาราชสามี ถ้าหากว่าพวกมาลานั้นลอยไปสวมมือบุรุษคนใด พระราชาจะอภิเษกบุรุษคนนั้นกับราชธิดา ให้เป็นราชภัสดาและพระชายาซึ่งกันและกัน พวกอำมาตย์รับราชดำรัสแล้วก็พากันไปจัดการเสร็จตามกระแสรับสั่ง ครั้นรุ่งเช้าชาวนครทั้งหลายมีอำมาตย์เป็นต้น พากันจัดแจงแต่งตนด้วยสรรพาภรณ์ออกจากเรือนของตน ไปประชุมพร้อมกัน ณ หน้าพระลานหลวง

พระราชารับสั่งให้หาตัวนางคันธาเทวีมาแล้วตรัสว่า แน่ะแม่ลูกรักของบิดา เธอจงโยนพวงมาลาไปในอากาศ ถ้าหากว่าในกาลปางก่อน บุรุษคนใดเคยได้ทำบุญสมภาร​ไว้กับเธอ ขอให้พวงมาลานั้นไปสวมในมือของบุรุษคนนั้น บิดาจักทำอภิเษกบุรุษคนนั้นกับเธอให้เป็นภัสดาและชายาซึ่งกันและกัน นางคันธาเทวีรับราชดำรัสว่า สาธุกระนี้แล้ว ประทับนั่ง ณ ที่อันสมควร ส่วนพระโพธิสัตว์รูปเหมือนเงาะป่าเข้ามานั่งเฝ้าพระราชาอยู่ส่วนหนึ่ง จึงพวกมหาชนทั้งหลายพากันตวาดพระโพธิสัตว์ว่า เจ้าอย่ามานั่งตรงนี้ที่ตรงนี้เราจะนั่ง พระราชเทวีเธอจักโยนพวงมาลา ถ้าหากว่าพระราชเทวีเห็นเจ้าแล้ว เธอจักทรงพระสรวลและจักไม่ทำสัจจาธิษฐาน เจ้าจงหลีกไปนั่งเสียที่อื่น พระโพธิสัตว์ถูกมหาชนบ่นด่าว่าดังนั้นเธอก็นั่งนิ่งอยู่ในที่นั้น

พระนางคันธาเทวีจึงทำสัจจาธิษฐานต่อหน้าพระที่นั่งและต่อหน้ามหาชนว่า ข้าแต่ฝูงเทพดาผู้เจริญ ท่านทั้งหลายคือคนธรรพ์และนาคครุฑก็ดี ท้าวโกสีย์และมหาพรหมก็ดี เทพดาผู้รักษาแผ่นดินและรักษาพระนครก็ดี จงมาพร้อมกันสดับฟังสัจจกิริยวาจาของข้าพเจ้า ๆ จักทำเสี่ยงทายด้วยพวงมาลานี้ ถ้าหากว่าบุรุษคนใดเคยได้อยู่ร่วมกับข้าพเจ้ามาในกาลปางก่อนไซร้ ขอให้พวงมาลานี้จงลอยไปสวมหัตถ์ของบุรุษคนนั้นเถิด นางทำสัจจกิริยาแล้วก็ยกพวงมาลาขึ้นทูลเศียรแล้วก็โยนไปในอากาศ พวงมาลานั้นลอยไปทำปทักษิณปราสาทสามรอบแล้ว ก็ลอยลงจากอากาศเข้าไปสวมหัตถ์ขวาของพระมหาสัตว์ด้วยประการฉะนี้ มหาชนทั้งหลายมีอำมาตย์เป็นต้น เห็นพวงมาลาลอยมาสวมพัตถ์พระโพธิสัตว์ดังนั้น พากันเข้าไปจะแย่งเอาพวงมาลานั้นก็ไม่อาจแย่งเอาไปได้ พากันร้องติเตียนพระนางคันธาเทวีว่า พวงมาลานี้สวมมือเจ้าเงาะป่าเสียแล้ว ในชาติปางก่อน พระราชเทวีอาศัยกรรมที่เธอทำไว้จึ่งมาได้สามีรูปทุรพล

พระราชาทอดพระเนตรเห็นพวงมาลามาสวมหัตถ์พระโพธิสัตว์แล้วตรัสว่า ตามบุญตามกรรมของลูกเราเขาทำไว้แล้วในกาลปางก่อน พระองค์จึงให้เตรียมพิธีสรงน้ำราชาภิเษกตามเยี่ยงอย่างที่เคยมีมาแล้ว จึ่งบังคับพระโพธิสัตว์จะให้สรงน้ำราชาพิเษก พระโพธิสัตว์จึ่งดำริว่า ถ้าเราจักสรงน้ำราชาภิเษกไซร้ มหาชนเห็นร่างกายของเราเป็นสีทองแล้วก็จักรู้ว่าเรามีบุญสมภารมาก ดำริแล้วก็มิได้สรงน้ำราชาภิเษก ถึงพระราชาจะอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่สรง พระราชาทรงกริ้วยกใหญ่จึ่งขับไล่สองกษัตริย์นั้นไปเสีย

คราวนั้น พระนางคันธาเทวีกับพระโพธิสัตว์ไม่อาจขัดรับสั่งพระราชาได้ ชวนกันออกไปจากนครหาทาสและทาสีที่จะตามไปบ่มิได้ ไปอาศัยที่แห่งหนึ่งอยู่​ส่วนหนึ่งต่างหาก พระโพธิสัตว์กับนางคันธาเทวีเมื่ออยู่ในที่นั้น ชาวเมืองทั้งหลายไม่มีใครไปหาเลย พระสุวรรณสังขกุมารกับนางคันธาเทวีอยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น เหมือนมนุษย์ผู้อนาถาหาที่พึ่งมิได้

คราวนั้น ภัสดาของราชธิดาทั้งหกพากันติเตียนด้วยเหตุต่าง ๆ ว่า บุรุษผู้นี้รูปร่างชั่วช้าลามกไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบใจของมหาชนทำความครหาให้เกิดขึ้นแก่พวกเราท้าวสามนตราชทั้งหลาย พากันนำดอกไม้เงินทองมาถวายพระราชาของเรา เขาเห็นบุรุษทรพลคนนี้เข้าเอาจักติเตียนได้ กิตติศัพท์ก็จักระบือไปต่าง ๆ แม้พระนครก็จักถึงความพินาศไป พากันติเตียนดังนี้แล้วก็ชวนกันไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ผัวของนางคันธาเทวี รูปชั่วช้าลามกไม่เหมือนคนเมืองนี้เลย (เป็นกาลกิณี) แม้พระนครจักถึงความพินาศไปเพราะผัวนางคันธาเทวี

พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า พ่อเขยทั้งหก เราจักคิดทำอย่างไรกะเจ้าบุรุษรูปพิกลผัวลูกสาวของเรา ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์จงขับไล่ผัวเมียสองคนไปอยู่เสียไกล ๆ พระราชาก็ให้ขับไล่พระโพธิสัตว์กับนางคันธาเทวีไปตามถ้อยคำอำมาตย์กราบทูล กษัตริย์ภัสดาและชายาทั้งสองพากันไปอยู่ที่ไกลเมืองออกไปมาก เมื่ออาศัยอยู่ที่นั้นได้ความคับใจและถึงทุกขเวทนามากนัก พระโพธิสัตว์จึ่งปลอบนางคันธาเทวีด้วยปิยวาจาว่า แน่ะท้าวนางผู้เจริญ พระนางอย่าโทมนัสน้อยใจเลย พระนางเสวยทุกขเวทนาก็เพราะอาศัยกุสลากุสลกรรมที่ทำไว้ พี่หาใช่คนชั่วช้าลามกไม่ พี่สมบูรณ์แล้วด้วยบุญญาธิการ มหาชนทั้งปวงหารู้จักเราไม่

ครั้งนั้น พระเจ้ากรุงพาราณสีนึกถึงพระโพธิสัตว์ขึ้นมาให้ละอายพระทัยนัก จึ่งดำริว่า มาณพรูปทรพลคนชั่วช้าผู้นี้ เมื่อยังอยู่กับธิดาของเรา ๆ ขายหน้าประชาชนนัก ถ้าเราจักฆ่ามันเสียเงียบ ๆ ความครหาก็จักมีแก่เรา เราจักทำอุบายให้โทษผิดปรากฏขึ้นแล้วจึงฆ่าเสีย ดำริแล้วจึ่งปรึกษากับราชบุตรเขยทั้งหกว่า เราจักคิดหาอุบายแกล้งฆ่าเจ้าเงาะป่าเสีย ท่านทั้งหลายจะเห็นอย่างไร ข้าแต่สมมติเทวดา พระองค์จงทำพวกข้าพระบาทเหมือนจะไม่ปรานีเช่นดังเจ้าเงาะป่า จึ่งจะพ้นความครหา พระราชาทรงฟังดังนั้นจึ่งรับสั่งให้หาตัวเงาะป่าเข้ามาเฝ้า แล้วบังคับราชบุตรเขยทั้งเจ็ดว่า เราอยากจะกินเนื้อมฤค ท่านทั้งเจ็ดจงไปจับเนื้อมาให้เราคนละตัว ถ้าหากว่าท่านทั้งเจ็ดหาเนื้อมาให้เรา​ไม่ได้ไซร้ เราจะฆ่าเสียสิ้น ฝ่ายราชบุตรเขยทั้งเจ็ดรับราชดำรัสว่าสาธุแล้ว ถวายบังคมลามาบ้านเรือนของตน บุตรเขยหกคนนั้นหารือกันว่า พวกเรามีบริวารมากทั้งอาวุธก็มีพร้อมจักหาเนื้อได้ดี หารือกันแล้วก็ชวนกันไปป่า เที่ยวเสาะหาเนื้อสิ้นวันยังค่ำก็ไม่พบเนื้อ เหน็ดเหนื่อยเข้าแล้วจึ่งชวนกันหยุดพักเสวยอาหารแล้วหารือกันอีกว่า ถ้าหากว่าพวกเราไม่ได้เนื้อไปถวายพระราชาไซร้ พระราชาจักฆ่าพวกเราเสีย (เราจักแก้ไขอย่างไรดี)

พระโพธิสัตว์กลับจากเฝ้าแล้วเดินนึกไปว่า เราจักหาเนื้อถวายพระราชาให้จงได้ ครั้นมาถึงที่พักแล้วจึ่งบอกกะคันธาเทวีว่า บัดนี้พระราชบิดารับสั่งหาตัวพี่ไปเฝ้าบังคับให้พี่หาเนื้อถวาย พระบิดาจะพระราชทานทรัพย์ให้เป็นรางวัล ถ้าหากว่าพี่หาเนื้อถวายไม่ได้พระราชบิดาจักให้ฆ่าพี่เสีย พี่จะลาน้องไปป่าเที่ยวหาเนื้อถวายพระราชบิดาให้ได้ ข้าแต่ภัสดา พระภัสดาจักไปป่าองค์เดียวกระไรได้ ธรรมดาว่าป่ามากไปด้วยเสือและช้างภูตปีศาจ อันตรายก็มีมาก หม่อมฉันขอตามพระองค์ไปเป็นเพื่อนด้วย นางน้อยอย่าไปกับพี่เลย พี่จะได้กลัวเสือช้างภูตปีศาจก็หาไม่ พระน้องอย่าไปกับพี่เลยฟังพี่ว่า

เมื่อพระโพธิสัตว์ห้ามดังนี้แล้ว จึงทรงฉลองพระบาททองและพระขรรค์แก้ว แล้วสวมเกราะรูปเงาะป่ากับกายเหาะไปในอากาศงามราวกะว่าสุวรรณราชหงส์เสด็จไปถึงป่า จึงลงประทับนั่งเหนือแผ่นศิลาแห่งหนึ่ง เปลื้องรูปเงาะป่าออกวางไว้ พระฉวีวรรณสรีระกายงามผ่องใสดุจทองคำ รัศมีนั้นแผ่ข่านสว่างไปทั่วป่า ทรงร่ายทิพมนต์ซึ่งนางยักขินีมารดาเลี้ยงให้ไว้ เรียกฝูงเนื้อทั้งหลายมาประชุมกันแล้วอธิษฐานว่า เนื้อเหล่าใดยังไม่ถึงอนิจกรรมเนื้อเหล่านั้นจงหนีไปเสีย เนื้อเหล่าใดถึงอนิจจมรณะแล้วเนื้อเหล่านั้นจงตายเฉพาะหน้าเรา ครั้นนั้นเนื้อเหล่าใดยังไม่ถึงมรณะเนื้อเหล่านั้นก็พากันหนีไป เนื้อเหล่าใดถึงอนิจจมรณะแล้วเนื้อเหล่านั้นก็ถึงมรณะเฉพาะหน้าพระโพธิสัตว์ ด้วยอำนาจอธิษฐานบารมี

ทีนั้นราชบุตรเขยหกองค์เที่ยวเสาะหามฤคไปในป่า จะได้พบเนื้อแม้ตัวหนึ่งก็หาไม่ เที่ยวค้นไปข้างทิศอุดรเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ ณ แผ่นศิลา เปล่งรัศมีงามดุจทองคำก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวปรึกษากันว่า ผู้นี้หาใช่มนุษย์ไม่จักเป็นเทพดาแน่ทีเดียว ปรึกษา​กันแล้ว จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์กราบไหว้แล้วถามว่า ท่านเป็นพรหมมินทรหรือครุฑนาคและคนธรรพ์ ไฉนท่านมาอยู่ที่นี้เล่า ท่านจงกรุณาให้เนื้อแก่พวกข้าพเจ้าคนละตัวเถิด ข้าพเจ้าทั้งหลายจะนำไปถวายพระราชา ถ้าหากว่าได้เมตตาให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า ๆ จักได้รางวัลเป็นอันมากแต่ราชสำนัก ถ้าหากว่าท่านไม่เมตตาให้เนื้อแก่พวกข้าพเจ้า ๆ จักถึงซึ่งความตายเที่ยงแท้

พระโพธิสัตว์จึ่งตรัสว่า ตัวเราหาใช่ท้าวสักกะหาใช่คนธรรพ์ไม่ เราเป็นมนุษย์อยู่แว่นแคว้นเมื่อพาราณสี พวกท่านมาขอเนื้อกะเรา ๆ จักให้แก่พวกท่าน ๆ จักบูชาเราด้วยสิ่งอันใด พวกข้าพเจ้าจะบูชาท่านด้วยแก้วเจ็ดประการบ้าง ด้วยโคและกระบือทั้งหลายบ้าง เราไม่ต้องการสิ่งของเหล่านั้น เราต้องการใบหูของท่านคนละหน่อย ท่านจะให้พวกข้าพเจ้าตัดใบหูบูชา พวกข้าพเจ้าไม่อาจอดกลั้นทุกขเวทนาได้ ถ้าหากว่าพวกท่านทำไม่ได้อย่างนั้นไซร้ เราก็ให้เนื้อแก่พวกท่านไม่ได้เหมือนกัน กุมารราชบุตรเขยทั้งหกจึ่งปรึกษากันว่า ถ้าหากว่าพวกเราไม่ให้ใบหูแก่เขาๆ ก็ไม่ให้เนื้อแก่พวกเรา เราพร้อมยอมกันให้ใบหูแก่เขาเถิด ปรึกษากันแล้วก็ตัดใบหูออกคนละหน่อยส่งให้พระโพธิสัตว์ ๆ ก็ปล่อยฝูงเนื้อให้กุมารทั้งหก ๆ ได้เนื้อแล้วนำมาถวายพระราชา

พระเจ้ากรุงพาราณสี ทอดพระเนตรกุมารทั้งหกนำเนื้อมาถวายแล้วตรัสถามว่า พวกท่านทั้งหกได้เนื้อที่ไหนมา ข้าแต่สมมติเทวดา พวกข้าพระพุทธเจ้าเที่ยวเสาะหาเนื้อไปในป่าทางทิศอุดรพบพระอินทรนั่งอยู่ ณ แผ่นศิลา พร้อมกันขอต่อพระอินทร ๆ ท่านประทานเนื้อให้คนละตัว พวกข้าพระพุทธเจ้าจึงได้เนื้อมาถวายพระองค์ พระราชาทรงทราบแล้วก็โสมนัส ตรัสชมเชยกุมารทั้งหกโดยอเนกปริยาย

ฝ่ายพระโพธิสัตว์นึกแต่ในใจว่า บัดนี้หกกษัตริย์จักไปถึงพระนครเข้าเฝ้าพระราชา เราจักไปเฝ้าพระเจ้ากรุงพาราณสีบ้าง นึกแล้วจึ่งใส่รองพระบาททองสวมเกราะรูปเงาะเหน็บสอดพระขรรค์ แล้วร่ายมนต์เรียกผูงเนื้อให้มาสู่สำนักของตน ฝูงเนื้อก็พากันไปสู่สำนักพระโพธิสัตว์ๆ จึงเลือกคัดจับตัวหนึ่งผูกมั่นคงแล้วจูงมายังพระนคร ผูกไว้ในที่ใกล้ปราสาทแล้วเข้าเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระบาทได้เนื้อตัวหนึ่งมาถวายผูกไว้ใกล้ปราสาท พระองค์จงโปรดให้ราชบุรุษไปผูกเสียให้มั่นคง พระโพธิสัตว์ก็ถวายบังคมลากลับไปยังที่อยู่ของตน

​พระเจ้ากรุงพาราณสีสดับคำพระโพธิสัตว์ทูลดังนั้นนึกอัศจรรย์พระทัย รับสั่งให้อำมาตย์ไปตรวจดูเนื้อที่พระโพธิสัตว์นำมาถวายนั้น อำมาตย์ทั้งหลายพากันไปตรวจดูตามกระแสรับสั่ง เนื้อตัวนั้นเห็นราชบุรุษมากมายก็ตื่นตกใจกลัว เพราะไม่เคยเห็นพวกมนุษย์ จึงโดดทะลึ่งด้วยกำลังแรงเชือกที่ผูกไว้ก็ขาดเลยวิ่งหนีเข้าป่าใหญ่ไปได้

พระเจ้ากรุงพาราณสีแกล้งใส่โทษแก่พระโพธิสัตว์ไม่ได้แล้วจึ่งคิดหาอุบายอีกต่อไป เราจักฆ่าเจ้าเงาะป่าด้วยอุบายบังคับให้หาสุกรมาให้เราเถิด ดำริแล้วจึงรับสั่งให้หาหกกษัตริย์ (คือบุตรเขยทั้งหก) เข้ามาบังคับว่า เธอทั้งหกจงไปหาสุกรให้เราคนละตัว ถ้าหากว่าหามาให้เราไม่ได้ไซร้ เราจะให้ลงราชอาชญาแก่พวกเธอ ตรัสกับหกกษัตริย์แล้วจึ่งรับสั่งให้ราชบุรุษไปบอกแก่พระโพธิสัตว์ เหมือนกับที่บังคับหกกษัตริย์ไว้แล้วนั้น หกกษัตริย์เรียกบริวารมาพร้อมแล้วผูกสอดเบ็ญจาวุธเสร็จเสด็จไปสู่ป่า ก็ไม่พบสุกรที่จะนำไปถวายแต่สักตัวหนึ่งเลย

พระโพธิสัตว์นึกว่าเวลานี้เป็นเวลาควรที่เราจะไปป่า จึ่งทรงปาทุกาและพระขรรค์แก้วแล้วเหาะไป ครั้นถึงป่าใหญ่ได้ลงนั่งประทับเหนือแผ่นศิลา งามโสภาเหมือนรูปหล่อด้วยทองคำทั้งแท่งสังวัทธผายมนต์อันวิเศษชื่อมณีจินดา เรียกฝูงสุกรให้มาสู่สำนักของตน ฝูงสุกรก็พากันมาสู่สำนักพระโพธิสัตว์พร้อมกัน พระโพธิสัตว์จึงทำสุกรเป็นและสุกรจะตายให้อยู่เป็นแผนกกัน ด้วยอำนาจสัจจกิริยาเหมือนนัยดังกล่าวมาแล้วนั้น

หกกษัตริย์ (คือหกเขย) เหล่านั้นครั้นเที่ยวหาสุกรไปตามป่าได้พบพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ ณ แผ่นศิลาเปล่งรัศมีงามดุจทองคำ จึงพากันเข้าหาพระโพธิสัตว์กราบไหว้วิงวอนขอสุกร พระโพธิสัตว์ถามหกกษัตริย์ว่า ท่านทั้งหลายอยากได้สุกรไปทำอะไร ข้าแต่เทวดา ข้าพเจ้าทั้งหลายอยากได้สุกรไปถวายพระราชา พระราชาต้องประสงค์จะฆ่าเจ้าเงาะป่า ทรงบังคับข้าพเจ้าทั้งหลายให้มาหาสุกรกับเจ้าเงาะป่า เมื่อพวกข้าพเจ้าไม่ได้สุกรไปถวายพระราชา พระราชาจักฆ่าพวกข้าพเจ้าเสีย ถ้าหากว่าพวกท่านต้องการสุกรไซร้เราจักให้สุกรแก่พวกท่าน พวกท่านจักบูชาเราด้วยสักการะอะไร ท่านต้องการสิ่งใดพวกข้าพเจ้าจักบูชาท่านด้วยสิ่งนั้น เราต้องการนิ้วมือของท่านทุกคน หกกษัตริย์ปรึกษาเห็นพร้อมกันยอมให้นิ้วมือของตน จึ่งตัดนิ้วมือของตนคนละหน่อยทำบูชาพระโพธิสัตว์ ๆ ก็ให้สุกรแก่หกกษัตริย์ไปตนละตัว หกกษัตริย์นำสุกรไปถวายพระราชา

​เมื่อหกกษัตริย์ไปแล้ว พระโพธิสัตว์จึ่งนำเอาสุกรซึ่งตายแล้วตัวหนึ่ง ไปทูลถวายพระราชายังนครที่หลังหกกษัตริย์ พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า เจ้าได้สุกรมาด้วยอาการอย่างไร ข้าแต่สมมติเทวดา ข้าพระบาทเที่ยวไปในป่า พบสุกรตัวนี้เข้าจึงนำเอามาถวายพระองค์ พระโพธิสัตว์กราบทูลลาแล้วก็ทูลลากลับไป ในที่นี้มีคำถามว่า เหตุไรพระโพธิสัตว์จึ่งกราบทูลพระราชาง่ายดายอย่างนี้เล่า มีคำแก้ว่า พระโพธิสัตว์กราบทูลพระราชาง่ายดายอย่างนี้ ก็เพื่อจะให้เห็นบุญสมภารของพระองค์มีมาก ด้วยประการฉะนี้

พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงรำพึงไปว่า เราคิดอุบายจะให้เจ้าเงาะป่าตายถึงสองครั้งแล้วก็ไม่สมประสงค์ ที่นี้เราจะบังคับให้เจ้าเงาะป่าไปหาปลา ความปรารถนาของเราจักสำเร็จแน่ เพราะเหตุไรเล่า เพราะเหตุว่าเจ้าเงาะป่าไม่รู้จักดำน้ำหาปลา ครั้นรุ่งขึ้นเช้าหกกษัตริย์มาเข้าเฝ้าจึงบังคับว่า วันนี้เธอทั้งหกจงไปหาปลาให้ได้คนละมากๆ มาให้เรา ถ้าหากว่าพวกเธอไม่ได้ปลามาให้เรา เราจักลงราชอาชญาแก่พวกเธอ ตรัสกับหกกษัตริย์แล้วจึ่งรับสั่งให้ราชบุตรนำราชดำรัสไปบอกแก่พระโพธิสัตว์ เหมือนนัยที่กล่าวมาแล้ว

ฝ่ายหกกษัตริย์รับราชดำรัสแล้ว พร้อมด้วยบริวารมากด้วยกันไปยังนทีแห่งหนึ่ง จึ่งเที่ยวเสาะหาปลาในทิศานุทิศตามลำนทีสิ้นวันยังค่ำก็หาพบปะปลาไม่ จึ่งได้ประชุมกันในที่หนึ่ง ทำพลีกรรมแก่เทวดาว่า ข้าแต่เทวราช ขอเทวราชจงประทานปลาให้พวกข้าพเจ้าเถิด

ฝ่ายพระโพธิสัตว์รับราชดำรัส ถึงเวลาอันสมควรก็ด่วนแต่งกายด้วยสรรพาภรณ์เสร็จ เหาะไปตามฝั่งนทีลงประทับนั่ง ณ ศิลาปัฏน์ใกล้ๆ หกกษัตริย์ ร่ายมหาจินดามนต์กระชิบเรียกฝูงปลาและอธิษฐานว่า ปลาเหล่าใดยังไม่ถึงอนิจจภาพความตาย ปลาเหล่านั้นจงหนีไปเสียให้พ้น ปลาเหล่าใดควรถึงความตายแล้ว ปลาเหล่านั้นจงมาตายอยู่ในที่นี้ หกกษัตริย์เที่ยวหาปลาไปตามกระแสน้ำข้างบน พบพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ ณ ศิลาปัฏน์ริมฝั่งนทีเปล่งรัศมีงามดุจทองคำ นึกแปลกใจว่า บุรุษผู้นี้เป็นพระอินทร์แน่ เมื่อคราวก่อนเคยให้เนื้อสุกรแก่พวกเรา พวกเราจักขอปลาต่อพระอินทร์อีกจะดี คิดตกลงกันแล้วจึ่งเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ กราบไหว้วิงวอนขอปลา พระโพธิสัตว์ถามหกกษัตริย์ว่า เราจะให้ปลาแก่พวกท่านๆ จะให้อะไรแก่เราบ้าง ท่านต้องการสิ่งใดพวกข้าพเจ้าจะให้สิ่งนั้นแก่ท่าน เราต้องการนาสิกของพวกท่านคนละนิด พวกท่านจะพร้อมใจกันให้ได้หรือไม่

หกกษัตริย์พร้อมใจยอมตัดปลายนาสิกของตนคนละนิดให้พระโพธิสัตว์ แล้วหาบเอาปลากลับมายังนครทูลถวายปลาแก่พระเจ้าพาราณสี

​พระเจ้าพาราณสีทรงตรัสถามหกกษัตริย์ว่า เธอได้ปลามาแต่ที่ไหน ข้าพระพุทธเจ้าขอต่อพระอินทร์จึงได้ปลามาถวาย พระอินทร์ได้ประทานเนื้อและสุกรกับปลาแก่พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งสามครั้ง พระราชาทรงฟังก็โสมนัสตรัสสรรเสริญหกกษัตริย์ว่า บุตรเขยของเราทั้งหกมีบุญได้ไปพบท้าวอินทราทั้งสามหน ครั้งนั้นราชธิดาหกนางเห็นหกกษัตริย์มีใบหูและนิ้วมือและปลายจมูกขาดไป หาได้ถามกับตัวหกกษัตริย์เองไม่ ไพล่ไปถามพวกอำมาตย์เมื่อไปตามหกกษัตริย์มาว่า หกกษัตริย์ถูกตัดใบหูและนิ้วหัตถ์และนาสิกด้วยเหตุอะไร ข้าแต่แม่เจ้า หกกษัตริย์ภัสดาของแม่เจ้า เมื่อไปหาเนื้อก็ถูกตัดใบหูครั้งหนึ่ง เมื่อไปหาสุกรก็ถูกตัดนิ้วหัตถ์มาครั้งหนึ่ง เมื่อไปหาปลาก็ถูกตัดนาสิกมาครั้งหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นทั้งสามครั้ง แต่ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร

คราวนั้นหกกษัตริย์กลับจากหาปลาแล้ว พระโพธิสัตว์หาบเอาปลาไปถวายพระราชาเหมือนกับหกกษัตริย์ แล้วก็กลับไปยังที่พักของตน พระเจ้ากรุงพาราณสีจึงปรึกษากับอำมาตย์ว่า เราบังคับให้เจ้าเงาะหาเนื้อหาสุกรหาปลามาให้ เจ้าเงาะก็หามาได้ทุกอย่างสมประสงค์ของเรา บัดนี้เราจักฆ่าเจ้าเงาะป่าด้วยอุบายอย่างไรดี อำมาตย์ก็ไม่รู้จะทูลอย่างไร

คราวครั้งนั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์แห่งท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการร้อนผิดปรกติ ท้าวเทวราชทรงใคร่ครวญก็รู้เหตุนั้นสิ้น จึ่งทรงดำริว่า พระเจ้ากรุงพาราณสีหาอุบายจะใคร่ฆ่าพระโพธิสัตว์ ถ้ากระไรเราจะไปมนุษยโลกแล้วถามปัญหากับพระราชา จะข่มขี่พระราชาเสียแล้วยกย่องพระโพธิสัตว์แล้วจึงกลับมา ดำริแล้วออกจากวิมานมาประดิษฐานอยู่ ณ อากาศ ใกล้สีหบัญชรของพระราชา ถามปัญหาสองข้อกับพระราชาดังนี้ว่า ข้าพเจ้าคือท้าวอินทรา จักถามปัญหาแก่พระองค์สองข้อ ข้อที่หนึ่ง แสงสว่างอย่างยิ่งจะได้แก่สิ่งอะไรในโลกนี้ ข้อที่สอง ความมืดมัวอย่างยิ่งจะได้แก่สิ่งอะไรในโลกนี้ พระองค์จงแก้ปัญหาสองข้อนี้ให้ได้ภายในเจ็ดวัน ถึงวันคำรบเจ็ดพระองค์จักเหาะมาตีคลีกับข้าพเจ้ากลางอากาศ ถ้าหากว่าพระองค์ไม่อาจแก้ปัญหาสองข้อได้ และไม่อาจตีคลีกับข้าพเจ้ากลางอากาศได้ไซร้ พระองค์จงเสาะหาคนอื่นให้เขาแก้ปัญหาและตีคลีแทนพระองค์ให้จงได้ ถ้าหากว่าพระองค์เองไม่อาจแก้ปัญหาและตีคลีกลางอากาศได้ไซร้ ในวันคำรบเจ็ดเวลาตะวันเที่ยง ข้าพเจ้าจักประหารพระเศียรพระองค์ด้วยฆ้อนเหล็ก ท้าวสักกเทวราชขู่ตวาดพระราชาแล้วก็กลับไปยังที่อยู่ของพระองค์

​พระเจ้ากรุงพาราณสี สดับเทวราชดำรัสแล้วสะดุ้งตกพระทัยยิ่งหนักหนา ครั้นรุ่งขึ้นเช้าจึงรับสั่งให้หาตัวเสนาคุตอำมาตย์และราชกุมารทั้งหกเข้ามาเฝ้า ตรัสเล่าเรื่องราวทั้งปวงนั้นให้ราชเสวกมีหกกษัตริย์เป็นต้นฟังแล้วตรัสถามว่า ใครจะอาจเหาะไปแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์ในอากาศได้บ้าง ราชเสวกมีหกกษัตริย์เป็นต้นกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ใครๆ ก็ไม่อาจแก้ปัญหาสองข้อนี้ได้เลย เพราะอะไรจึงไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได เพราะเหตุว่าชนทั้งปวงยังหนาแน่นอยู่ด้วยกิเลศกามและวัตถุกามมากนัก เพราะเหตุนั้นจึงจักไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได้ เว้นไว้ก็แต่บรรพชิตท่านผู้ลุฌานวิเศษแล้ว นั่นแหละท่านอาจเหาะไปแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะสนองพระเดชพระคุณได้ก็เพียงชั้นพื้นดินเท่านั้น พระเจ้าข้า

พระเจ้ากรุงพาราณสี สดับถ้อยคำราชเสวกมีอำมาตย์เป็นต้นทูลดังนั้น มีหฤทัยเร่าร้อนเหมือนถูกไฟเผา จึ่งรับสั่งให้อำมาตย์นำเนื้อความไปบอกแก่ชาวนครและชาวนิคมชนบท ให้รู้ทั่วกันดังนี้ว่า ใครคนใดเหาะไปแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้ เราจะให้ราชสมบัติแก่ผู้นั้นทั้งหมด อำมาตย์ได้จัดการตามรับสั่งแล้ว จะหาใครคนหนึ่งอาจเข้ามารับอาสาก็มิได้มี พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงทราบว่าหาคนรับอาสาไม่ได้ก็เศร้าพระหฤทัย จึงไปปรับทุกข์กับอัครมเหสีว่า ถึงวันคำรบเจ็ดพี่ก็จักต้องตาย เพราะเสาะหาคนที่จะแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศไม่ได้ ตรัสแล้วก็ทรงพิลาปร่ำไรอยู่ในปราสาท

พระราชเทวีจึงกราบทูลพระราชสามีว่า ข้าแต่สมมติเทวา พระองค์ทรงพิลาปไปทำไมหาควรไม่ พระองค์ให้ไปเรียกตัวเจ้าเงาะป่าเข้ามาหารือดู เจ้าเงาะป่านั้นเขามีบุญฤทธิจริงๆ พระองค์ทรงบังคับให้เขาเอาเนื้อและสุกรและปลามาให้ เจ้าเงาะป่าตัวคนเดียวเขายังหามาถวายได้ เจ้าเงาะป่าเขาฉลาดในอุบายปัญหา สามารถจะแก้ปัญหาและรบกับพระอินทร์ได้แท้ หกกษัตริย์และพวกอำมาตย์ก็พากันหัวเราะแล้วทูลทัดทานขึ้นต่อหน้าพระที่นั่งว่า พระแม่เจ้าข้า เจ้าเงาะป่าเป็นมนุษย์เหมือนรูปหุ่น ไม่สามารถจะแก้ปัญหาและรบกับพระอินทร์ได้เลย พระราชเทวีมีเสาวนีย์ตรัสว่า พ่อพวกอำมาตย์เจ้าเงาะป่ามีฤทธิ์มาก ท่านอย่าห้ามไว้เลยจงรีบไปตามตัวมาประชุมเดี๋ยวนี้ พระราชาทรงฟังเสาวนีย์เทวีตรัสดังนั้น จึ่งบังคับพวกอำมาตย์ว่า พวกท่านจงไปเรียกตัวเงาะป่ามาให้พร้อมกับนางคันธาเทวี ณ บัดนี้ พวกอำมาตย์รับราชดำรัสแล้ว ก็รีบไปนำตัวพระโพธิสัตว์กับนางคันธาเทวีมาถวายพระราชา

​พระราชากับราชเทวี ทอดพระเนตรพระโพธิสัตว์แล้วตรัสว่า ดูกรลูกรักของบิดา บิดาไม่มีความสุขเลยเพราะเหตุพระอินทร์มาถามปัญหาและท้าให้บิดาตีคลีกันบนอากาศ บิดาและประชาชนก็หมดความสามารถที่จะแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์ได้ ถึงวันคำรบเจ็ดพระอินทร์ก็จะเสด็จมาตีศีรษะบิดาด้วยฆ้อนเหล็ก พระราชาเล่าเนื้อความของปัญหาสองข้อ และเหตุการณ์ทั้งปวงให้พระโพธิสัตว์ฟังถ้วนถี่ทุกประการแล้วตรัสว่า ถ้าหากพ่อช่วยเปลื้องเหตุการณ์ที่บิดาเล่าให้ฟังนี้ได้ไซร้ บิดาจะยกราชสมบัติให้พ่อ พระราชายังดูหมิ่นพระโพธิสัตว์อยู่ แต่รับสั่งอย่างนี้ด้วยยำเกรงต่อพระราชเทวีเท่านั้น พระโพธิสัตว์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ถ้าหากว่าใครๆ เขาไม่อาจทำปฏิการแด่พระองค์ได้ไซร้ ข้าพระบาทอาจแก้ปัญหาและเหาะไปตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศสนองพระคุณได้ พระองค์อย่าทรงวิตกไปเลย วันนั้นเป็นวันคำรบหกเวลาเย็น พระโพธิสัตว์จึ่งถวายบังคมลากลับไปยังที่พักของตนก่อน ฝ่ายหกกษัตริย์กับมหาชนมีอำมาตย์เป็นต้นพากันกล่าวว่า เจ้าเงาะป่ากล้ารับอาสาแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์ได้น่าอัศจรรย์นัก แล้วพากันสรรเสริญพระโพธิสัตว์โดยประการต่าง ๆ ด้วยประการฉะนี้

ครั้นรุ่งขึ้นเช้าเป็นวันที่เคารบเจ็ด พระเจ้ากรุงพาราณสีมีหฤทัยหวาดเสียวราวกับว่าจะแตกออกไปได้เจ็ดภาค จึ่งบังคับอำมาตย์ผู้หนึ่งให้ไปเรียกเจ้าเงาะมาเร็วๆ อำมาตย์ผู้นั้นรับราชดำรัสแล้วก็ไปบอกพระโพธิสัตว์ว่า พระราชารับสั่งให้หาตัวท่านไปเดี๋ยวนี้ พระโพธิสัตว์คิดว่า เวลานี้ควรเราจะเข้าไปเฝ้าพระราชา จึงบอกกับนางคันธาเทวีว่า เวลานี้พี่จะไปเฝ้าพระราชา จึ่งพานางคันธาเทวีมาเฝ้าด้วยกัน แล้วนั่งอยู่ ณ ที่อันสมควรส่วนหนึ่ง พระเจ้ากรุงพาราณสีทอดพระเนตรพระโพธิสัตว์นั่งอยู่พร้อมกับนางคันธาเทวีแล้วตรัสว่า พ่อเงาะจงแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์แทนเรา ถ้าพ่อยังช้าเกินเวลาไปอีกนิดเดียวบิดาก็จักตายเดี๋ยวนี้

พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าว่าพระองค์ทรงบังคับให้ข้าพระพุทธเจ้าแก้ปัญหา และตีคลีกับพระอินทร์ไซร้ พระองค์จงบอกให้พวกอำมาตย์และประชาชนให้มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ก่อน พระราชาจึ่งให้พนักงานเอาเภรีไปตีประกาศให้พวกอำมาตย์และประชาชนมาประชุมพร้อมกันตามคำพระโพธิสัตว์ เมื่อพวกอำมาตย์และประชาชนประชุมกันแล้ว พระโพธิสัตว์จึงร้องประกาศแก่พวกอำมาตย์และประชาชนว่า ​บัดนี้ไม่มีผู้ใดอาจจะรับธุระแทนพระราชาได้ พระราชาทรงเจาะจงตัวเราให้ช่วยทำธุระแทนพระองค์ ถ้าหากพระอินทร์แพ้เราไซร้ พระราชาจะยกราชสมบัติให้แก่เราสิ้น มหาชนจงรู้เห็นเป็นพยานแก่เราด้วย ประกาศแล้วก็ถอดรูปเงาะป่าออกจากกาย ทรงฉลองพระบาททิพยรัตน์และทรงจับพระขรรค์แก้วด้วยหัตถ์เบื้องขวา เหาะขึ้นบนอากาศงามโอภาสดังสุวรรณราชหงส์ ทรงประทับลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ พวกอำมาตย์และอาณาประชาราษฎรทั้งปวง เห็นพระโพธิสัตว์ทำอาการอย่างนั้น พากันประณมมือและให้สาธุการชมเชยพระโพธิสัตว์โดยอเนกปริยาย

ท้าวมัฆวานจึ่งเข้าใกล้พระโพธิสัตว์ถามปัญหาว่า แน่ะพ่อปราชญ์ สภาวธรรมสิ่งไรย่อมทำให้มืดในโลกนี้และโลกหน้า พ่อปราชญ์จงวิสัชนาความข้อนี้ให้แจ้งชัดแก่พวกเทวดาและมนุษย์ซึ่งมาประชุมกัน ณ พื้นดินถึง ณ พื้นอากาศ พระโพธิสัตว์เมื่อจะกล่าวแก้ปัญหาจึ่งทูลว่า ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช บุคคลผู้ใดทำโทษแก่ผู้อื่นที่ไม่มีความผิด ทำคนอื่นให้วิวาทซึ่งกันและกันและทำปัญจานันตริยกรรม มีฆ่ามารดาเป็นต้น ไม่ฟังธรรมคำสอนของปราชญ์กอร์ปด้วยบาปจิต บุคคลผู้นั้นชื่อว่าทำความมืดในโลกนี้และโลกหน้า ข้าแต่เทวราช พระองค์จงทราบเนื้อความอย่างนี้แล ทีนั้นสรรพเทวามีท้าวสักกะเป็นต้น ทำบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยข้าวตอกและดอกไม้ และให้สาธุการเสียงสนั่นหวั่นไหว

ท้าวสหัสสนัยจึ่งถามปัญหาที่สองว่า แน่ะพ่อปราชญ์ สภาวธรรมสิ่งไรเป็นแสงสว่างในโลกนี้และโลกหน้า พ่อปราชญ์จงวิสัชนาความข้อนี้ให้แจ้งชัด พระโพธิสัตว์จึ่งทูลว่า ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช บุคคลผู้ใดตั้งอยู่ในศีลห้าศีลแปดและบริจาคทานแก่ยาจก หมั่นสดับธรรมคำสอนของนักปราชญ์ มีจิตเมตตาปรานีแก่สัตว์ทั่วไป ตั้งอยู่ในคุณพระรัตนตรัยตลอดถึงมรรคผล บุคคลผู้นั้นชื่อว่าสว่างไฟโรจน์ในโลกนี้และโลกหน้า อนึ่งบุคคลผู้ใดเจริญจตุพรหมวิหารได้เป็นนิตย์ มิได้ปลงชีวิตสัตว์ให้ตกไป บุคคลผู้นั้นชื่อว่าสว่างไพโรจน์ในโลกทั้งสองคือโลกนี้และโลกหน้า เมื่อพระโพธิสัตว์แก้ปัญหาทั้งสองจบลงครั้งนั้น เทพดาและมนุษย์ทำบูชาและให้สาธุการเหมือนนัยหนหลัง

พระโพธิสัตว์วิสัชนาสองข้อเสร็จแล้ว จึงตีคลีกับพระอินทร์ ณ อากาศ รัศมีแห่งท้าวสักกเทวราชและพระโพธิสัตว์ทั้งสอง ก็แผ่ซ่านสว่างทั่วไปทั้งอากาศ เหมือนดังหยาดน้ำตาอันไหลจากนัยนาฉะนั้น สรรพเทพดาและมนุษย์เห็นแล้ว ก็ทำเสียงสาธุการ​แก่พระโพธิสัตว์เป็นโกลาหล โถมนาการชมเชยตลอดถึงพรหมโลกเป็นที่สุด ท้าวสุชัมบดีตีคลีกับพระโพธิสัตว์แพ้แล้วก็หนีไปยังเทวโลก พระโพธิสัตว์ไล่ตามพระอินทร์ไปหน่อยหนึ่ง จึงกลับลงมาถวายบังคมพระราชา ประชาราษฎรและอำมาตย์ราชกุมารทั้งหก ได้เห็นพระโพธิสัตว์กอร์ปด้วยสิริวิลาศ มีอังคาพยพงามโอภาสเหมือนรูปหล่อด้วยทองคำทั้งแท่ง จึงซุบซิบพูดกันว่า เงาะป่ารูปร่างน่าเกลียดชังนัก กลับมีบุญญานุภาพมากได้ เงาะป่านี้หลอกลวงพวกเราเพื่อจะเอาราชสมบัติของพระราชา

พระโพธิสัตว์สดับพจนกถาหกกษัตริย์จึ่งตรัสว่า แน่ะท่านหกกษัตริย์ เมื่อพระราชบิดารับสั่งให้พวกเราไปหาเนื้อถวาย ท่านทั้งหกพบเรานั่งอยู่ ณ แผ่นศิลาขอเนื้อกับเรา แล้วตัดใบหูบูชาเราคนละหน่อย เราก็ให้เนื้อแก่พวกท่านคนละตัว วันหนึ่งท่านทั้งหกไปหาสุกรในป่าพบเราเข้าอีก ได้ตัดนิ้วมือคนละหน่อยบูชาเรา ๆ ก็ให้สุกรแก่พวกท่านคนละตัว วันหนึ่งท่านทั้งหกไปหาปลาพบเราเข้า ได้ตัดปลายจมูกคนละหน่อยบูชาเรา ๆ จึงให้ปลาแก่พวกท่าน ข้อเหล่านี้จริงหรือไม่ ข้าพเจ้าทั้งหกได้บูชาแก่ท่านจริง พระโพธิสัตว์จึ่งนำใบหูและนิ้วมือและจมูกออกให้ดูแสดงให้ปรากฏแก่พระราชา และราชกุมารทั้งเสนาบดี

พระเจ้ากรุงพาราณสีทอดพระเนตรสิ่งของมีใบหูเป็นต้น ทรงกริ้วหกกษัตริย์ยกใหญ่ขู่ว่า เมื่อก่อนเธอทั้งหกบอกแก่เราว่าไปพบพระอินทร์ พระอินทร์ท่านประทานเนื้อและสุกรกับปลาให้จึ่งได้นำมาให้เรา เธอทั้งหกช่างหน้าด้านหาความละอายมิได้ ราชธิดาหกนางสดับคำพระโพธิสัตว์แล้วก็อายใจ ขึ้งโกรธภัสดาของตนแล้วต่อว่าเธอทั้งหกเป็นอันธพาล ลวงหม่อมฉันด้วยเหตุต่างๆ พากันทำได้ช่างไม่อับอายขายหน้าบ้างเลย หกกษัตริย์สดับวาจาปราศรัยก็ยิ่งอายใหญ่ พากันหมอบลงแทบบาททูลพระโพธิสัตว์ขอสมาโทษโดยนัยต่าง ๆ

พระโพธิสัตว์มากด้วยความกรุณา ให้โอวาทสั่งสอนแก่มหาชนมีพระราชาและอำมาตย์เป็นต้นซึ่งประชุมกันอยู่ที่นั้นว่า แน่ะท่านทั้งหลายผู้เจริญ ท่านทั้งหลายจงทำจิตใจให้เลื่อมใสในกุศลธรรมมีทานและศีลเป็นต้น จงเป็นผู้เคารพนับถือผู้ใหญ่ในตระกูลที่ควรเคารพมีมารดาบิดาเป็นอาทิ บุญกุศลย่อมให้สำเร็จผลในโลกนี้และโลกเบื้องหน้า อนึ่งนรชนเหล่าใดสมาทานศีล ๕ มั่น นรชนเหล่านั้นย่อมมีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า มหาชน​มีพระราชาและเสนาบดีเป็นต้น สดับธรรมของพระโพธิสัตว์มีจิตโสมนัสเลื่อมใสยกมือไหว้ ให้สาธุการชมเชยโดยอเนกนัย

พระเจ้ากรุงพาราณสีรับสั่งให้มหาเสนาและราชปุโรหิตเป็นต้น มาประชุมพร้อมกัน ณ ปราสาท จึ่งเชิญพระโพธิสัตว์กับนางคันธาเทวีให้ขึ้นนั่งเหนือรัตนราสีกองแก้ว แล้วสรงน้ำมุรธาภิเษกมอบราชสมบัติแล้วอวยพรชัยว่า เธอทั้งสองผู้มีบุญมากจงเป็นอิสรภาพทั่วสากลทวีป และจงขอให้มีชนมายุยืนนานนิราศโรคภัย บิดามารดาจะขออาศัยพึ่งโพธิสมภารอยู่เป็นสุขต่อไป พระโพธิสัตว์ได้ดำรงราชสมบัติ ณ พาราณสีนคร พระนามปรากฏว่าสุวรรณสังขราชา มีเกียรติยศและเกียรติคุณแผ่ไปในสากลทวีป ตั้งแต่ครั้งนั้นมาเมืองพาราณสีบริบูรณ์ไปด้วยวัตถาภรณ์ อุดมไปด้วยข้าวกล้าฝนฟ้าก็ตกตามฤดูกาล ทั้งบริบูรณ์ด้วยแก้วเจ็ดประการ ทวยราษฎร์ก็เบิกบานอยู่เป็นสุข มีการมหรสพครึกครื้นทุกคืนวัน

เมื่อพระมหาสัตว์ครองราชสมบัติอยู่เป็นสุขสำราญ ทรงระลึกถึงพระมารดาขึ้นมาจึงดำริว่า เราพลัดพรากจากมารดามานาน ยังไม่ทราบเหตุว่ามารดายังชนม์ชีพอยู่หรือสิ้นชนม์ชีพเสียแล้ว ถ้ากระไรเราจักไปสืบถามตามนิคมและราชธานี เมื่อพบปะพระชนนีแล้ว จะได้รับกลับมาเสวยราชย์เป็นสุขต่อไป ดำริแล้วจึ่งตรัสกะนางคันธาเทวีว่า บัดนี้พี่กับน้องนางเถวยราชสมบัติอยู่เป็นสุขแล้ว แต่พระมารดาของพี่ท่านจะสิ้นชีพเสียแล้วหรือยังจะอยู่ที่ไหนพี่ไม่ทราบเลย พระน้องนางจงอยู่เสวยราชสมบัติไปก่อน พี่จะขอลาไปสืบหาพระมารดาพบแล้วจะได้พาท่านกลับมาเสวยราชสมบัติ ณ เมืองนี้ด้วยกัน พระโพธิสัตว์ลาพระนางคันธาเทวีแล้ว เสด็จลงจากปราสาทไปเฝ้าพระเจ้าพาราณสีทูลเล่าเหตุนั้นให้ทราบแล้ว ทูลลาออกจากนครสัญจรไปตามมรรคาจนบรรลุถึงมัททราชธานี พระองค์เสด็จเข้าไปในนครสืบถามชาวเมืองก็หาได้ความไม่ จึงดำเนินต่อไปถึงบ้านธนญชัยเศรษฐี ธนญชัยเศรษฐีเห็นพระโพธิสัตว์เจ้าผู้กอร์ปด้วยสิริวิลาศนึกประหลาดใจจึ่งถามว่า พ่อมาณพรูปงาม พ่อมาแต่ไหนจึงได้มาถึงบ้านข้าพเจ้าจะต้องการอะไรหรือ ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้ามาหาท่านประสงค์จะพบพระนางจันทาเทวีมารดาข้าพเจ้า ท่านรู้จักตัวพระนางจันทาเทวีบ้างหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระนางจันทาเทวีเลย ธนญชัยเศรษฐีนึกแต่ในใจว่ามาณพผู้นี้รูปร่างดีหาใช่คนเลวไม่จักเป็นคนมีตระกูล จึ่งบอกกับแม่ครัวว่าท่านจงจัดแจง​หาโภชนาหารมาให้มาณพนี้บริโภค พวกแม่ครัวมีพระนางจันทาเทวีเป็นหัวหน้าพากันจัดแจงอาหารเสร็จแล้ว ยกออกมาให้เศรษฐี ๆ จึ่งเชิญให้พระโพธิสัตว์เสวยอาหาร พระโพธิสัตว์เสวยอาหารมีโอชารสกลิ่นหอมฟุ้งเหมือนทิพาหารพระองค์จึ่งสันนิษฐานว่า พระมารดาของเราจักเป็นแม่ครัวอยู่ในเรือนเศรษฐีนี้แน่แล้วถามเศรษฐีนั้นว่า ใครเป็นผู้สำหรับจัดแจงอาหารให้ท่าน อาหารชนิดนี้น่าจักเป็นของอันคนอิสรภาพบังคับให้ทำ อาหารอย่างนี้จึ่งมีโอชารสยิ่งนักหนา พ่อมาณพรูปงามหญิงผู้หนึ่งมาแต่อื่นได้อาศัยอยู่กับข้าพเจ้า ๆ ให้เขาเป็นแม่ครัวจัดหาอาหารให้ ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้าอยากเห็นตัวแม่ครัวของท่าน ธนญชัยเศรษฐีให้หาตัวแม่ครัวผู้มารดาของพระโพธิสัตว์นั้นมาให้พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตร

พระโพธิสัตว์เห็นพระมารดานั่งอยู่ก็จำไม่ได้ เพราะพลัดพรากจากกันมานานแต่เมื่อพระองค์ยังเด็กเล็กนัก พระองค์จึ่งถามว่าแม่อยู่เมืองไหน จึ่งได้มาเป็นแม่ครัวของเศรษฐี พระนางจันทาเทวีจึ่งเล่าความหลังให้ฟังว่า พ่อมาณพรูปงาม ตัวดิฉันอยู่เมืองพรหมบุรี เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต มีโอรสนามปรากฏว่าสุวรรณสังข์ นางสุวรรณจัมปากมเหสีฝ่ายซ้าย คบคิดกับปาลกเสนาบดีแกล้งทูลยุยงแต่พระราชาว่า ราชโอรสเป็นอุบาทว์เมืองไม่สมควรจะให้อยู่ในเมือง ให้เอาโอรสใส่แพกับมารดาลอยน้ำเสีย พระเจ้าพรหมหัตหลงเชื่อจึ่งเอาตัวดิฉันกับโอรสใส่แพลอยน้ำไป ภายหลังแพก็แตกดิฉันกับโอรสก็พลัดกัน ดิฉันขึ้นฝั่งน้ำได้แล้วจึ่งเลยมาเป็นแม่ครัวของเศรษฐีอยู่ที่นี้ แต่สุวรรณสังขกุมารโอรสนั้น จะเป็นหรือจะตายดิฉันไม่ทราบเลย

พระสุวรรณสังขราชาทราบชัดว่าเป็นมารดาของพระองค์แน่แล้วจึ่งตรัสว่า พระมารดาเจ้าข้า หม่อมฉันนี่แหละเป็นโอรสของมารดามีนามว่าสุวรรณสังข์ พระนางจันทาเทวีทรงฟังดังนั้นก็ตรงเข้าสวมกอดพระโอรสไต่ถามถึงความทุกข์ยากแล้วพิลาปร่ำไร เมื่อสองกษัตริย์บรรเทาความโศกเสียได้แล้ว พระสุวรรณสังขราชาจึ่งรับสั่งกับเศรษฐีว่า ท่านมหาเศรษฐี เราจะขอลาเอามารดาของเราไปให้ท่านเสวยราชสมบัติในเมืองพาราณสี ข้าแต่พระสุวรรณสังขราช พระมารดาของพระองค์มาอยู่กับข้าพระบาท ๆ มิได้รู้ว่าเป็นพระมารดาของพระองค์เลย พระองค์จงรับพระมารดาไปตามพระทัยประสงค์เถิด พระเจ้าข้า พระสุวรรณสังขราชาอำลาเศรษฐีแล้วพาพระมารดามาจนถึงเมืองพาราณสี ทรงเสวยราชสมบัติกับพระราชมารดาเป็นบรมสุข ด้วยประการฉะนี้

​พระเจ้ากรุงพาราณสีทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์พาพระมารดามาถึงแล้ว ทรงพระโสมนัสตรัสเรียกอำมาตย์และเสนาบดีปุโรหิตมาสั่งว่า บัดนี้สุวรรณสังขราชกุมารโอรสของเรา เขาตามหามารดาพบแล้วพามาถึงราชธานี บัดนี้เราจักอภิเษกพระนางจันทาเทวีสถาปนาให้เป็นพระราชชนนีพันปีหลวง ดำรัสแล้วจึ่งพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ ให้พระนางจันทาเทวีสรงน้ำมุรธาภิเษกสถาปนาไว้ในอัครสถานที่ราชชนนีพันปีหลวง

พระสุวรรณสังขราชาเสวยราชสมบัติเป็นสุขสถาพร ทรงสั่งสอนมหาชนมีอำมาตย์เป็นต้นให้ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม มหาชนตั้งอยู่ในราโชวาททรงไว้ซึ่งจตุพรหมวิหารธรรม และกุเลเชฏฐาปจายิกธรรมมิได้ละเลยล่วงราโชวาท พระสุวรรณสังขราชาครองราชสมบัติ ณ เมืองพาราณสีประเสริฐเลิศยิ่งกว่าพระราชาอื่น ๆ ในพื้นชมพูทวีป พระนครพาราณสีนั้นเกษมรื่นรมย์ อุดมไปด้วยหิรัญสุวรรณรัตนะเสมอด้วยสมบัติในเทวนคร ฝูงอาณาประชาราษฎรทุกถ้วนหน้าพากันสรรเสริญคุณของพระราชา กิตติศัพท์กถาก็ปรากฏไปถึงพรหมบุรีของพระเจ้าพรหมทัตซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระสุวรรณสังขราชา

ประชาชนชาวเมืองพรหมบุรีทราบเหตุนั้น แล้วคิดปรึกษากันว่า พระสุวรรณสังขราชกุมารยังไม่สิ้นชีพ กลับได้เป็นยอดกษัตริย์ครองราชสมบัติเมืองพาราณสี ถ้าหากว่าพวกเราขืนอยู่เมืองนี้ต่อไปไซร้ก็จักถึงวินาศไม่ต้องสงสัย พระราชาหาตั้งอยู่ในราชธรรมไม่ ช่างเอาพระปิโยรสของพระองค์ลอยแพเสียได้ พวกเราไม่ควรอยู่ด้วยเลย พวกเราพากันหนีไปเสียจากเมืองนี้เถิด ปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้วก็พาบุตรภรรยาไปเมืองพาราณสี อาศัยพึ่งโพธิสมภารของพระโพธิสัตว์อยู่เป็นสุขทุกทิวาราตรี

ยังมีอำมาตย์ข้าละอองพระบาทของพระเจ้าพรหมทัตผู้หนึ่งเที่ยวตรวจตราพระนคร เห็นประชาราษฎรร่วงโรยน้อยไปจึงนึกว่าพระนครพรหมบุรีนี้ปราศจากสิริสุขสมบัติด้วยเหตุไร ด้วยเหตุว่าพระราชาหลงเชื่อถ้อยคำปาลกเสนาบดีและนางจัมปากเทวีมเหสีซ้าย ทูลยุยงปรักปรำว่าพระสังราชกุมารเป็นกาลกิณี จึงเอาพระโอรสกับมารดาใส่แพลอยน้ำเสีย แต่นั้นมาพระนครพรหมบุรีจึ่งเสื่อมโทรมไปมีมนุษย์อยู่น้อยนักไม่เหมือนแต่ก่อน พระนครน่าจักวินาศเสียเป็นแน่ เราจะไปทูลเรื่องนี้กะพระราชา ให้ไปรับพระราชกุมารกลับมาให้เสวยราชสมบัติที่เมืองนี้ๆ ก็จะเจริญรุ่งเรืองเหมือนดังแต่ก่อน คิดแล้วก็เข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระบาทไปตรวจการทั่วไปได้เห็นพระนครเกือบจะพินาศ​เสียแล้ว เพราะเหตุไร เพราะเหตุพระองค์ให้เอาพระโอรสใส่แพลอยน้ำเสีย พระโอรสนั้นก็หาถึงสิ้นพระชนม์ไม่ บัดนี้ได้เสวยราชสมบัติ ณ เมืองพาราณสี หามีพระราชาองค์อื่นจะเสมอมิได้ คนชาวเมืองนี้ชักชวนกันไปเมืองพาราณสีเสียมากนักหนา บัดนี้เมืองพาราณสีคับคั่งไปด้วยหญิงชายมากมายนัก ขอเชิญพระองค์เสด็จไปเมืองพาราณสี รับเอาพระโอรสกลับมาให้เสวยราชสมบัติเมืองนี้เถิด พระนครของพระองค์ก็จะเกิดเกียรติยศเกียรติคุณอยู่เกษมสุข ด้วยเดชานุภาพบุญสมภารแห่งพระโอรส

อำมาตย์นั้นเมื่อจะปลอบพระราชาให้ชอบพระหฤทัย จึงทูลพรรณนาให้ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าหากว่าพระองค์ปราศจากพระโอรสเสียแล้วไซร้ ชื่อเสียงอันดีก็จะไม่ปรากฏทั่วไป อุปมัยเหมือนแม่น้ำอันปราศจากวารี ก็หาเป็นที่พึ่งแห่งชายหญิงไม่ได้ ถ้าพระองค์ปราศจากพระโอรสเสียแล้ว พระราชอาชญาก็หาปรากฏไม่ อุปมัยเหมือนฝูงช้างอันปราศจากพระยามาตังคกุญชรแล้ว ก็ไม่อาจจะย่ำยีหมู่ปัจจามิตรได้ฉะนั้น ถ้าหากว่าพระองค์ไม่ทำตามดังกราบทูลนี้แล้ว พระนครของพระองค์ก็จักศูนย์สิ้นไป พระองค์ไม่ได้ดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว หรือเสด็จทิวงคตเสียแล้วก็ดี ก็จักหามีใครสืบต่อราชสันตติวงศ์ไม่

อนึ่งข้าแต่พระมหาราช พระสุวรรณสังขราชโอรสเกิดแต่อุระของพระนางจันทาเทวีแท้หาใช่เกิดโดยผู้อื่นไม่ พระองค์จงวินิจฉัยนึกถึงต้นเหตุก่อน เดิมพระองค์หวังจะหาโอรสตั้งพระทัยไว้ว่าถ้าพระโอรสเกิดแต่พระเทวีไซร้ เราจะยกราชสมบัติให้แก่พระโอรสองค์นั้น ครั้นพระราชโอรสไม่เกิดดังพระประสงค์ พระองค์กับพระนางจันทาเทวีทรงสมาหทานศีล ๕ อธิษฐานขอให้ได้พระโอรส พระนางจันทาเทวีบรรทมหลับไปในราตรีทรงพระสุบินว่า พระสุริยะลอยมาตกต้องพระกายาพระนางจันทาเทวีๆ ตื่นบรรทมแล้วจึ่งทูลเล่าพระสุบินให้พระองค์ทรงฟัง พระองค์รับสั่งให้เนมิตกาจารย์พยากรณ์ ๆ ว่าพระนางจันทาเทวีจะได้พระราชโอรสอันประเสริฐเลิศในสากลทวีปดังนี้ พระองค์ยังมาหลงเชื่อว่าพระราชโอรสเป็นกาลกิณีอย่างไรได้

พระเจ้าพรหมหัตทรงสดับดังนั้น เกิดความเยื่อใยในราชโอรสขึ้นมา ทรงปริเทวนายกใหญ่ ครั้นบรรเทาความโศกเสียได้จึ่งตรัสตอบขอบใจอำมาตย์นั้นว่า แน่ะพนาย ท่านมาพูดทักท้วงขึ้นนี้ขอบคุณของท่านนักหนาหาที่เปรียบมิได้ เราจะให้ไปรับโอรสมาให้ครองราชสมบัติในเมืองนี้ตามคำของท่าน ครั้นรุ่งเช้าพระเจ้าพรหมทัต​รับสั่งให้เรียกอำมาตย์ราชปุโรหิต เข้ามาปรึกษาว่า จะให้เสนาบดีผู้ใหญ่ไปเมืองพาราณสี ขอรับเอาราชโอรสกับอัครมเหสี มาให้ครองราชสมบัติ ณ พรหมบุรี อำมาตย์ราชปุโรหิตทั้งปวงยินดีพร้อมกันทุกถ้วนหน้า พระราชาจึ่งให้พนักงานเอาเภรีไปตีประกาศให้ข้าทูลละอองพระบาทและราษฎรให้ทราบทั่วกัน เราจักให้ไปรับราชโอรสมาครองราชสมบัติ ณ เมืองนี้ และว่าให้พนักงานเตรียมจตุรงคเสนาสี่เหล่ากับเครื่องราชาภิเษกไว้ให้เสร็จ กับให้จัดหาเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงพาราณสี มหาชนมีอำมาตย์เป็นต้นมีความโสมนัส พากันจัดจตุรงคเสนาและจัดหาบรรณาการ ที่จะถวายพระราชาไว้เสร็จทุกสิ่งสรรพ

ครั้นถึงวันกำหนดที่จะไปรับราชโอรส พระราชาจึ่งรับสั่งให้หาเนมิตกาจารย์มาคำนวณสุภฤกษ์แล้ว จึ่งรับสั่งให้มหาเสนาบดีเป็นประธานกำกับไป มหาเสนาบดีรับราชดำรัสแล้วก็ให้พวกพลนิกายถือบรรณาการเคลื่อนจากนครไปจนกระทั่งถึงเมืองพาราณสี จึ่งเข้าเฝ้าถวายราชบรรณาการพระเจ้าพาราณสีแล้ว ต่างทำปฏิสันฐารรับตอบซึ่งกันและกันตามประเพณี เมื่อเสร็จการต้อนรับกันแล้วพระเจ้าพาราณสีรับสั่งให้หาพระโพธิสัตว์มา พร้อมกับพระราชชนนีจึ่งรับสั่งถามเสนาบดีว่า ท่านมาครั้งนี้เพื่อประสงค์อะไร มหาราชพระเจ้าพรหมหัตราชบิดาของพระสุวรรณสังขราชกุมาร รับสั่งใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้านำราชบรรณาการมาถวายพระองค์ ประสงค์จะให้ข้าพระพุทธเจ้าขอรับราชกุมารกับทั้งราชมารดาไปจะให้ครองราชสมบัติ ณ พรหมบุรี ขอพระองค์ได้ทรงโปรดประทานให้เถิดพระเจ้าข้า สุวรรณสังขราชกุมารและพระนางจันทาเทวีนี้เป็นกาลกัณณีพระราชาของท่านขับไล่เสียแล้ว เหตุไรจะให้มารับเอาไปอีกเล่า เราให้สองกษัตริย์นี้ไปไม่ได้ เราจักให้ครองราชสมบัติอยู่เมืองเรา มหาเสนาบดีผู้นั้นฉลาดในการทูลตอบจึ่งทูลว่า พระมหาราชถ้าหากพระองค์ไม่ยอมส่งสองกษัตริย์ให้ไปกับข้าพระพุทธเจ้า ๆ จักกลับไปแต่ผู้เดียว ถ้าว่าพระราชบิดามิได้เห็นพระโอรส ก็จักทรงพระกำสรดโศกาลัย พระหฤทัยจักแตกออกเป็นสองภาคทิวงคตไป เมื่อพระราชาของข้าพระพุทธเจ้าทิวงคตไปด้วยความสิเนหาในพระโอรสอย่างนี้ บาปกรรมอันนั้นก็จักติดตามพระองค์ไปในปรโลกเป็นแน่

พระเจ้ากรุงพาราณสีสดับคำเสนาบดีทูลดังนั้น มีพระกรุณาเป็นกำลังต่อพระเจ้าพรหมทัตจึ่งตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นเราจะยอมให้สองกษัตริย์ไปกับท่าน มหาเสนาบดี​มีความโสมนัสจึ่งทูลสองกษัตริย์ว่า สมมติเทวา บัดนี้พระราชบิดาใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้ามาเชิญพระองค์เสด็จไปและจะให้ครองราชสมบัติ ท่านมหาเสนาบดี พระราชบิดาของเรายังทรงพระสำราญนิราศโรคาพาธ และอาณาประชาราษฎรยังบริบูรณ์หรือประการใด สมมติเทวา พระราชบิดาของพระองค์ทรงพระสำราญหาโรคาพาธมิได้ แต่ทรงพระอาลัยระลึกถึงพระองค์ทรงปริเทวนาการเป็นนิจทุกวันมิได้ขาด สองกษัตริย์ทรงฟังดังนั้นก็ทรงรับว่าจะเสด็จไปด้วยเสนาบดี

พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงโสมนัส จึ่งรับสั่งพนักงานให้จัดพาหนะมีช้างม้าเป็นต้นแล้วมอบให้สองกษัตริย์เสด็จ คราวนั้นกษัตริย์สามพระองค์คือพระนางจันทาเทวีและพระสุวรรณสังข์กับพระนางคันธาเทวีจึงพร้อมกันกราบทูลถวายบังคมลาพระเจ้าพาราณสี ๆ ทรงพระอาลัยในสองโอรสนักมิใคร่จักให้จากไป ทรงพิลาปร่ำไรแล้วประทานพรชัยว่า พระโอรสจงเสด็จไปครองราชสมบัติให้เป็นสุขแก่ชาวรัฐวาสี และรักษาขัตติยประเพณีโดยสุจริตเถิด สามกษัตริย์รับพรชัยแล้วถวายบังคม ออกมาบอกลามหาชนมีข้าหลวงชาวอภิรมย์เป็นต้นบรรดาที่มาคอยส่งเสด็จ ครั้นถึงฤกษ์งามตามเนมิตกาจารย์คำนวณถวายแล้ว จึ่งพร้อมกันเสด็จขึ้นประทับ ณ ราชอาสน์ เหล่าเสนามาตย์เหล่าจตุรงคเสนามีมหาเสนาบดีเป็นต้น พร้อมกันแห่นำตามเสด็จเป็นขบวนหน้าและหลัง โดยเสด็จแต่เมืองพาราณสีไปกระทั่งถึงพรหมบุรีรัฐ จึงได้ให้หยุดพวกพลนิกรจัดทำราชนิเวสนาสส์เสด็จประทับอยู่ในที่นั้น

ครั้นแล้วมหาเสนาบดีจึ่งเข้าไปเฝ้ากราบทูลพระเจ้าพรหมทัตว่า พระมหาราช บัดนี้พระราชโอรสของพระองค์เสด็จมาถึงรัฐประเทศนี้แล้วพระเจ้าข้า พระเจ้าพรหมทัตทรงพระโสมนัสดำรัสสั่งให้พนักงานเอาเภรีไปตีประกาศว่า บัดนี้พระสุวรรณสังขกุมารโอรสของเรามาถึงนครรัฐแล้ว เราจักออกไปรับโอรสให้เข้ามาครองราชสมบัติ ณ เมืองนี้ ชาวเมืองพรหมบุรีจึ่งพากันประดับมรรคาซึ่งจะเสด็จมา ด้วยพวงดอกไม้เงินทองและพวงสุคนธมาลา สองฟากมรรคาก็ปักธงและแผ่นผ้ากับทั้งต้นกล้วยและอ้อยลำ ผูกขัดจัดประจำตามระวางเป็นจังหวะแลไสว ครั้นแล้วพระเจ้าพรหมทัตพร้อมด้วยราชบริวารเสด็จออกไปต้อนรับสามกษัตริย์ยังที่ประทับ ณ พลับพลา สามกษัตริย์ทอดพระเนตรพระราชาเสด็จมาถึงพร้อมกันต้อนรับแล้วถวายบังคม

​สี่กษัตริย์คือ พระราชาพรหมทัต พระสุวรรณสังขราช พระนางจันทาเทวี และนางคันธาราชบุตรี มาพร้อมกันแล้วก็ทรงพระกรรแสงไห้ ครั้นระงับความโศกได้แล้วก็ชวนกันเสด็จกลับเข้าพระนครแล้วประทับ ณ มหาปราสาท พระเจ้าพรหมหัตจึงดำรัสสั่งอำมาตย์ให้เอานั้นทเภรีไปตีประกาศให้ชาวประชาราษฎรทราบทั่วกันว่า อำมาตย์และราษฎรทั้งหลายจงมาพร้อมกัน เราจักทำอภิเษกราชกุมารกับนางคันธาเทวีให้ครองราชสมบัติ ณ เมืองนี้ ครั้นมหาชนมีอำมาตย์เป็นต้นมาประชุมพร้อมกันแล้ว เมื่อถึงยามศุภนักษัตรพระเจ้าพรหมทัตจึ่งอภิเษกสองกษัตริย์ และอวยพรชัยให้ขึ้นครองราชสมบัติแทนพระองค์

เมื่อเสร็จการมังคลาภิเษกแล้ว พระนางจันทาเทวีจึ่งกราบทูลพระราชสามีว่า พระมหาราช หม่อมฉันจักขออนุญาตอยู่ผู้เดียวกับราชโอรส พระองค์อย่าทรงอภิเษกหม่อมฉันเลย หม่อมฉันไม่ขอเป็นมเหสีของพระองค์ต่อไปอีกแล้ว พระท้าวนางผู้เจริญ พี่ได้ล่วงเกินผิดไปแล้วหาทันที่จะพิจารณาไม่ พระน้องนางว่าถือโทษโกรธพี่เลย แต่นี้ต่อไปพี่จะไม่ทำโทษสิ่งไรให้เป็นขาด ซึ่งฝ่าพระบาทตรัสประภาษมานี้พระบารมีเป็นที่ยิ่ง ถึงกระนั้นถ้าหากว่าหม่อมฉันตายเสียได้วันนี้ นับว่าดีกว่าอยู่สู้ทนให้คนนินทาว่าเป็นกาลกัณณีต่อไป

พระเจ้าพรหมทัตทรงฟังดังนั้น จึงตรัสถามนางจัมปากเทวีซ้ายว่า สุวรรณสังขราชกุมารและนางจันทาเทวีใครทีโทษและไม่มีโทษ นางจันทาเทวีนี้แหละมีโทษเป็นกาลกัณณี นางจันทาเทวีสดับคำนางจัมปากเทวีทูลดังนั้น ทรงเสียพระทัยยิ่งนักหนา จึ่งทูลว่า พระมหาราช หม่อมฉันหาเป็นกาลกัณณีไม่ ใครเล่าอยากจะเห็นความสัตย์จริงกับหม่อมฉันบ้าง ถ้าหากพระองค์จะทรงเห็นความชั่วร้ายของผู้ใดไซร้ จงรับสั่งให้ผู้นั้นแสดงโทษของตนด้วยวิธีลุยไฟเป็นทิพย์พยาน ณ กาลบัดนี้ พระเจ้าพรหมทัตจึ่งตรัสใช้อำมาตย์ให้ก่อกองไฟขึ้น ณ หน้าพระลาน รับสั่งกับนางจันทาเทวีว่า พระนางน้องจงอธิษฐานสัจจกิริยาแล้วเข้าไปในกองเพลิง ทำให้ปรากฏแก่ตามหาชน พระนางจันทาเทวีสดับโองการตรัสดังนั้น จึงถวายบังคมบาทพระราชสามีแล้ว เมื่อจะประกาศแก่เทวดาจึ่งทำสัจจธิษฐานว่า ข้าแต่เทพดารักษาเศวตฉัตร และเทพดาซึ่งสถิตอยู่ ณ ต้นไม้และหย่อมหญ้า ขอเทพดาทั้งหลายจงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นกาลกัณณีสมจริงของนางจัมปากว่าไซร้ ขอเทวดาทั้งหลายจงอย่ารักษาชีวิตข้าพเจ้าไว้เลย ​ขอให้ข้าพเจ้าตายเสียในขณะลุยไฟ ถ้าหากว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นกาลกัณณีไซร้ ขอให้เทวดารักษาข้าพเจ้าไว้ให้ปราศจากชีวิตอันตราย นางอธิษฐานแล้วก็เข้าไปนั่งในกองไฟ ทันใดนั้นมีดอกบัวทองผุดขึ้นมารองรับพระนางจันทาเทวีไว้ เปลวอัคคีก็มิได้ไหม้สรีรกายา อุปมาเหมือนนั่งอยู่ ณ ปราสาท นั่งตรัสประภาษอยู่กับหมู่อำมาตย์ดูก็เป็นที่น่าประหลาดใจ พระเจ้าพรหมทัตทรงพระโสมนัสตรัสเรียกให้พระนางจันทาเทวีออกมาเสียจากกองอัคคี พระราชเทวีก็ออกมานั่งอยู่ ณ ปัญญัตตาอาสน์โดยผาสุกภาพ ทีนั้นอกุศลเข้าดลใจนางจัมปากเทวีให้นางดีใจอยากจะลุยไฟ จึ่งตั้งสัจจาธิษฐานเหมือนพระนางจันทาเทวี แล้วเข้าไปยังกองอัคคี ๆ ก็เผาผลาญทำกาลตายไปเกิดในอเวจีนรก นางกระทำการลามกเห็นประจักษ์แก่ตามนุษย์ทั้งหลาย นางจันทาเทวีก็พ้นความครหาว่าชั่วร้าย

เตน วุตฺตํ เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ท่านจึ่งได้กล่าวไว้ว่า บุคคลผู้ใดกล่าวคำเท็จไม่จริงด้วยตน และยังคนอื่นให้กล่าวคำเท็จเพื่อจะแกล้งเขาให้ตาย บุคคลผู้นั้นย่อมจะถึงความพินาศและจะไปเสวยมหาทุกขเวทนาในอเวจีนรก ด้วยผลแห่งวจีทุจริตกรรมเหมือนนางจัมปากเทวีฉะนั้น

เมื่อนางจัมปากเทวีทำกาลตายไปแล้ว พระเจ้าพรหมทัตจึ่งตั้งนางจันทาเทวีไว้ในที่อัครมเหสี พระสุวรรณสังขราชกุมารและพระนางจันทาเทวี ได้ครองราชสมบัติ ณ เมืองพรหมบุรีนครเป็นบรมสุขสถาพรยิ่งนัก พระสุวรรณสังขราชาจึ่งทูลเล่าความทุกข์วิโยคถวายพระราชบิดาว่า พระมหาราช เมื่อพระองค์ได้เอาข้าพระพุทธเจ้ากับพระมารดาใส่แพลอยไปในคงคา แพนั้นครั้นถูกลมพัดกล้าก็แตกกระจายไป ข้าพระพุทธเจ้ากับมารดาก็พลัดกัน พระมารดานั้นเกาะไม้ได้ท่อนหนึ่งลอยไปถึงฝั่งน้ำเขตมัททราชธานี พระชนนีขึ้นฝั่งได้เซซังไปรับจ้างทำครัวอยู่กับธนญชัยเศรษฐี พระมหาราช ส่วนข้าพระบาทอาศัยเรือพญานาคนิรมิต แล้วลอยไปพบพระดาบสองค์หนึ่งท่านกรุณาพาส่งข้ามไปฝั่งอื่น ข้าพระพุทธเจ้าลอยเรือเลียบตามฝั่งนั้นมาพบยักขินีตนหนึ่งริมฝั่งนที ยักขินีนั้นพามาเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม ข้าพระพุทธเจ้าหนีจากเมืองยักษ์มาถึงบ้านคนเลี้ยงโคแห่งหนึ่ง จึ่งอาศัยอยู่กับนายคามโภชกรับจ้างเขาเลี้ยงโคเลี้ยงชีพอยู่ที่นั่นนาน ภายหลังจึ่งได้ราชบุตรีพระเจ้าพาราณสีเป็นชายา ต่อเมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เป็นลูกเขยพระเจ้าพาราณสีจึงมีความสุขมาก ข้าพระพุทธเจ้าระลึกถึงพระมารดาขึ้นมา จึ่งเที่ยวติดตามถามหาได้พบพระมารดาที่​เรือนธนฤชัยเศรษฐี จึงรับพระมารดามาเสวยรัชชสุข ณ เมืองพาราณสี อยู่ตราบเท่าพระองค์ส่งมหาเสนาบดีให้ไปรับมา ความวิโยคทุกข์ยากของลูกกับพระมารดาหากเป็นถึงเพียงนี้ นี่หากว่ากุศลหนหลังยังมีจึ่งได้มาประสบพบฝ่าพระบาทราชบิดา

พระเจ้าพรหมทัตจึงตรัสปลอบว่า บิดาหลงเชื่อคำคนอันธพาลทำโทษให้พ่อเป็นนักหนา พระโอรสอดโทษให้บิดาผู้หาวิจารณปัญญามิได้ พระโพธิสัตว์อดโทษให้พระราชบิดาแล้ว แต่นั้นมาพระองค์ได้เสวยสมบัติเป็นอัครราชา ตั้งอยู่ในทสธรรมชักนำประชาชนให้ตั้งอยู่ทสกุศลกรรมบถและศีลห้าเป็นต้น

ทีนี้จะกล่าวถึงปาลกเสนาบดีต่อไปใจความว่า เมื่อสุวรรณสังขราชกุมารเสด็จเข้ามาถึงพรหมบุรี ปาลกเสนาบดีนึกสะดุ้งจิตคิดไปว่า พระสุวรรณสังขราชกุมารได้ผ่านราชสมบัติ ณ เมืองนี้ จักทรงพิโรธทำโทษแก่เรา ๆ จักหนีไปเสีย ณ เมืองอื่น จักพาเอาพลโยธามาจับพระสุวรรณสังขราชกุมารกับพระมารดาฆ่าเสียให้จงได้ ปาลกเสนาบดีคิดเสร็จแล้วก็หนีไปเมืองปัญจาลธานี เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปัญจาคราชทูลด้วยปิสุณาวาทว่า สมมติเทวา บัดนี้พระสุวรรณสังขราชกุมารผ่านราชสมบัติเป็นเอกราชแล้ว จัดเตรียมโยธาไว้มากมาย จักยกมาตีเมืองพระองค์แบ่งสมบัติเมืองนี้อีกข้าพระพุทธเจ้าทราบเกล้าแล้ว จึ่งมาเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบฝ่าพระบาท

พระเจ้าปัญจาตราชทรงฟังดังนั้นสำคัญว่าจริง ทรงพระโกรธาเป็นอันมาก จึ่งรับสั่งอำมาตย์ให้เอาเภรีไปตีประกาศให้พลเมืองมาประชุมพร้อมกัน ณ หน้าพระลานหลวง พระราชาทรงเล่าความทั้งปวงให้มหาชนมีมหาอำมาตย์เป็นต้นฟัง แล้วจัดปาลกเสนาบดีผู้รับอาสาให้คุมเสนาพยุหเป็นทัพหน้ายกไปก่อน จึ่งจัดหาอำมาตย์ของพระองค์เป็นแม่ทัพใหญ่ให้คุมเสนาพยุหยกตามไปภายหลัง แม่ทัพนายกองได้เดินกองทัพไปถึงพรหมบุรีตามลำดับ เสนาเจ็ดอโขเภณีจึงพร้อมกันล้อมเมืองเข้าไว้ถึงเจ็ดชั้น เสียงโยธาโห่สนั่นหวั่นไหวปานประหนึ่งว่าปฐพีและพระนครจะทรุดหักทำลายไป โยธาบางพวกก็พากันร้องว่า พวกเราจงช่วยกันพังกำแพงเมืองเข้าไป โยธาบางพวกก็็พากันร้องว่า พวกเราจงช่วยกันจับพระเจ้าพรหมทัตกับสุวรรณสังขราชาฆ่าเสียให้ได้

คราวนั้นชาวนครพรหมบุรี ได้ฟังเสียงมหาโยธามีหัตถานิกเป็นต้น ก็เกิดขนผองสยองเกล้าปรึกษากันว่า เมื่อปัจจามิตรมาติดเมืองอยู่มากมายนัก บัดนี้พวกเราจักคิดอย่างไรจึ่งจะพ้นภัยได้ พระสุวรรณสังขราชกุมารก็ตกพระหฤทัยกลัวต่อข้าศึก ​จึงนึกถึงนางยักษินีว่า นางยักษินีมารดาเลี้ยงของเราเดี๋ยวนี้ไปเกิดที่ไหน ดำริแล้วจึ่งร่ายทิพมนต์ที่มารดาให้ไว้ ก็ทราบชัดว่านางยักษินีนั้นไปเกิดในชั้นจาตุมหาราชิกเทวโลก พระองค์จึงทรงฉลองพระบาททองเหาะไปสู่สำนักเทวธิดาทำอภิวันทน์แล้วบอกว่า พระแม่เจ้าข้า เดี๋ยวนี้พวกข้าศึกมาล้อมเมืองไว้แน่นหนา ข้าพเจ้าไม่เห็นใครจะเป็นที่พึ่งได้ เห็นอยู่แต่มารดาผู้เดียวจะเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้า พระมารดาเจ้าจงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้ากับทั้งพวกชาวเมืองด้วยเถิด

นางเทวธิดานั้นครั้นสดับทราบความแล้ว ก็ให้มีความเมตตากรุณาต่อพระสุวรรณสังขราชกุมาร จึ่งประทานพระขรรค์ทิพย์ชื่อสิริชัยให้แก่พระสุวรรณสังขราชกุมาร แล้วบอกว่า พ่อจงรับเอาพระขรรค์แก้วแล้วด้วยเทวฤทธิ์ที่มารดาให้นี้ไป ถ้าหากว่าปัจจามิตรมาข่มเหงแย่งราชสมบัติของพ่อไซร้ พ่อจงเหาะขึ้นบนอากาศแล้วเอาพระขรรค์แก้วแกว่งบนศีรษะของพ่อไว้ หมู่ปัจจามิตรจะพ่ายแพ้กลับไปด้วยอำนาจรัตนขรรคาวุธ พ่อราชบุตรจงทำตามมารดาสั่งดังนี้

พระสุวรรณสังขราชกุมารรับเอารัตนขรรคาวุธอันให้สำเร็จความปรารถนาจากเทวธิดาแล้ว ก็อำลากลับมายังสำนักราชบิดามารดา จึ่งพร้อมด้วยพลเสนาเสด็จออกจากพระนครเหาะขึ้นบนอากาศ แล้วแกว่งทิพยรัตนขรรคาวุธตามที่นางเทวธิดาบอกไว้ รัศมีพระขรรค์แก้วก็ลุกโพลงตกลงมาเสียงดังประเปรี้ยงเหมือนเสียงอสนี ประหนึ่งว่าจะทำมหาโยธาข้าศึกให้ตายไปหมดด้วยกัน พวกเสนานับได้เจ็ดอโขเภณี ประหนึ่งว่าจะมีศีรษะแตกออกไป พากันร้องขอชีวิตต่อพระโพธิสัตว์ว่า พระมหาราช ข้าพระบาททั้งหลายจะไม่คิดประทุษร้ายต่อพระองค์ ๆ จงประทานชีวิตให้เถิดพระเจ้าข้า

ฝ่ายปาลกเสนาบดีก็ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้ ด้วยอานุภาพแห่งพระขรรค์แก้วสิริชัยจึงพลัดจากคอช้างตกลงไป ณ ปฐพี วิบากแห่งอกุศล ความอกตัญญูให้ผลปฐพีดลอันหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็เปิดช่องให้ ปาลกเสนาบดีก็จมลงไปไหม้อยู่ในอเวจีนรก

เตน วุตฺตํ เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ท่านได้กล่าวสอนไว้แล้วว่า บุคคลผู้ใดกล่าวมุสาวาทใส่โทษแก่ผู้อื่นก็ดี แก่ญาติเผ่าพันธุ์มิตรสหายก็ดี หรือใส่โทษแก่ครูอาจารย์และท่านผู้มีคุณแก่ตนก็ดี บุคคลผู้นั้นครั้นตายแล้ว ก็จักไปเกิดในอเวจีนรก เหมือนปาลกเสนาบดีฉะนั้น

​พระโพธิสัตว์ทรงพระกรุณาแก่มหาชนเป็นอันมาก จึ่งตรัสว่า พวกมหาโยธาทั้งหลาย พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงเชื่อคำปาลกเสนาบดีคนลามก ให้ยกกองทัพมาทำสงครามกับเราผู้หาความผิดมิได้ และละสัปปุริสธรรมแล้วทำซึ่งอธรรมทางอบาย แต่นี้ไปท่านทั้งหลายจงอย่าทำบาปกรรมเช่นนี้ต่อไปเป็นอันขาด ทรงให้โอวาทต่อไปอีกว่า บุคคลผู้ใดฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ทำปรหารกรรมกล่าวปดเสพย์สุราเมรัย บุคคลผู้นั้นจักถึงความพินาศเหมือนปาลกเสนาบดี อนึ่งฝ่ายกุศลกรรมคือศีลทานธรรมสวนะและเมตตาภาวนากุเลเชฏฐาปจายิกธรรมเหล่านี้มีคุณยิ่งใหญ่ ผู้ใดไม่ประมาทในธรรมที่เราสอนแล้วนี้ ผู้นั้นจุติจากโลกนี้แล้วจักไปเกิดในสวรรค์ด้วยกุศลกรรมอันนั้น ทรงให้โอวาทแล้วก็ส่งพลโยธาให้กลับไปยังปัญจาลนคร ส่วนพระองค์ก็เสด็จคืนเข้าพระราชฐานของพระองค์

ฝ่ายพวกเสนาโยธากลับมาถึงปัญจาลนครแล้ว จึ่งเข้าเฝ้าพระราชากราบบังคมทูลว่า พระมหาราช ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธามีปาสกเสนาบดีเป็นต้นซึ่งพระองค์ส่งไป ได้พร้อมกันเข้าล้อมเมืองไว้ถึงเจ็ดชั้น พระสุวรรณสังขราชกุมารมีบุญญาธิการมากนัก เหาะขึ้นบนอากาศ ทรงแกว่งพระแสงขรรค์แก้ว ณ ท่ามกลางโยธา ด้วยอานุภาพขรรคาวุธเกิดเป็นแสงสว่างตกลงมาดังประเปรี้ยงเพียงดังสายฟ้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมืดหน้ามัวตาหาสติมิได้ถึงปราชัยพ่ายแพ้ แต่ปาลกเสนาบดีพลัดจากคอช้างตกถึงแผ่นดิน ๆ ได้สูบปาลกเสนาบดีผู้อกตัญญูไม่รู้จักคุณเจ้านายของตนไปทั้งเป็น พระสุวรรณสังขราชกุมารเสด็จลงจากอากาศประทานโอวาทแก่ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธา แล้วส่งให้กลับมาเมืองนี้ ขอพระองค์ทรงทราบด้วยประการฉะนี้ พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงฟังดังนั้น ทรงพระเกษมสันต์และสรรเสริญพระสุวรรณสังขราชกุมาร รับสั่งให้จัดเครื่องบรรณาการไปถวายเป็นอเนกประการ

พระสุวรรณสังขกุมาร ทรงทรมานพวกปัจจามิตรเสร็จจึ่งเสด็จเข้าพระนคร ยังราษฎรให้ตั้งอยู่ในราโชวาท ดำรงราชสมบัติโดยชอบธรรม มีพระเดชานุภาพและเกียรติยศปรากฏไปในนานาประเทศ มหาชนมีพระราชาเป็นต้นในนานาประเทศ น้อมนำเครื่องบรรณาการ มาถวายพระสุวรรณสังข์เป็นเนืองนิตย์ มหาชนมีพระราชาเป็นต้น ตั้งอยู่ในราโชวาทแล้วก็ปราศจากภยุปัทวันตรายและพากันทำบุญมีทานเป็นต้น เมื่อสิ้นอายุของตนก็ได้ไปเกิดในเทวโลก ส่วนพระโพธิสัตว์เมื่อก่อสร้างโพธิสมภารอยู่ ได้บำเพ็ญกุศลมีทานศีลเป็นต้น สิ้นพระชนม์แล้วไปอุบัติในเทวสถาน ด้วยประการฉะนี้

สตฺถา อิม ธมฺมเทสน อาหริตฺวา สมเด็จพระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว เมื่อจะให้ภิกษุรู้แจ้งซึ่งกรรมที่พระองค์ทรงทำไว้ในชาติก่อนจึ่งตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราตถาคตยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร เกิดเป็นสุรรรณสังขราชกุมารโอรสพระเจ้าพรหมทัต ได้เสวยทุกขเวทนาสาหัสด้วยอกุศล ๆ ดลบันดาลให้พระเจ้าพรหมทัตราชบิดาเรา หลงเชื่อถ้อยคำปาลกเสนาบดีให้เอาเราใส่แพลอยคงคาเสีย ก็ด้วยอกุศลกรรมที่เราทำไว้ในชาติก่อน พระภิกษุทั้งหลายยังไม่ทราบเรื่องเบื้องบุพพกรรม จึ่งกราบทูลขอให้พระองค์ทรงตรัสอดีตนิทาน พระบรมศาสตาจารย์ทรงนำเรื่องราวซึ่งภพในระหว่างปิดบังไว้ มีความปรากฏต่อไปนี้ว่า

อตีเต ภิกฺขเว ตถาคโต ทุคฺคตกุเล ชาโต ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลล่วงมานานแล้ว พระตถาคตเกิดเป็นทุคตะ บุรุษในตระกูลทุคตะ หาญาติพงศ์พันธุ์มิได้ วันหนึ่งทุคตะบุรุษนั้นลงไปอานน้ำที่ท่านที เห็นรูปเข้าเอามือล้วงลงไปจับปูขึ้นมาได้ จึ่งแงะเอาดินเหนียวมาก้อนหนึ่ง ทำเป็นโพรงแล้วเตาปูนั้นใส่ไว้ในอุโมงค์ วางไว้บนแพปล่อยให้ลอยไปในมหาสมุทร เมื่อปูนั้นลอยไปยังหาทันตายไม่ แพนั้นลอยไปติดอยู่ริมฝั่งสมุทร อุโมงค์ดินนั้นครั้นถูกน้ำเปียกแล้วก็ละลายไป ปูตัวนั้นก็ไต่ขึ้นฝั่งไปได้ ด้วยผลกรรมอันนั้น ตถาคตจึ่งปรากฏอยู่ในหอยสังข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าพรหมหัตเชื่อคำนางจัมปากเทวีและปาลกเสนาบดี จับเราตถาคตใส่แพลอยไปในมหาสมุทรนั้น ด้วยกรรมที่ตถาคตจับปูใส่แพลอยน้ำ ปูตัวนั้นยังหาถึงความตายไม่ กรรมอันนั้นจึงไม่ทำให้เราตถาคตตาย เราตถาคตได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส ดูกรภิกษุบริษัท ข้อซึ่งเราตถาคตยินดีอยู่ในรูปหอยสังข์และรูปเงาะนี้ เป็นกรรมที่ตถาคตจับปูใส่ไว้ในอุโมงค์ดิน ข้อซึ่งหกกษัตริย์ลูกเขยพระเจ้าพาราณสีเห็นรูปเงาะตถาคตแล้วติเตียนนี้ เป็นเวรกรรมที่ตถาคตทำไว้ในชาติก่อน ดังมีอุทาหรณ์ดังนี้ว่า

ภิกฺขเว ปุพฺเพ พาราณสิราชา อโหสิ ความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลปางก่อนตถาคตเกิดเป็นพระราชาพาราณสี พระราชาพาราณสีนั้นประสงค์จะถวายผ้าแก่ภิกษุสงฆ์ ทรงทราบว่าพวกพ่อค้าเขาเอาผ้าเนื้อดี ๆ มาจำหน่ายที่พระนครของพระองค์ จึ่งทรงตรัสใช้ให้อำมาตย์ไปซื้อผ้ามาจากพ่อค้า ผ้าผืนหนึ่งราคาถึงแสนกหาปณะ พระราชาทอดพระเนตรผ้าผืนนั้นแล้วทรงซื้อไว้ ประทานราคาให้เท่าน้ำหนักทองคำหนักหนึ่ ง​พวกพ่อค้าจึ่งปรึกษากันว่าพระราชาพระราชทานให้ราคาเท่าน้ำหนักทองคำหนักหนึ่งนี้หาคู่ควรแก่ราคาผ้าผืนนี้ไม่ พวกเราจักขอให้พระราชาประทานราคาให้สมควรแก่ผ้าผืนนี้ พระราชาทรงทราบความข้อนั้นแล้วก็ทรงกริ้วพวกพ่อค้ามาก พวกพ่อค้าผ้ารู้ว่าพระราชากริ้วก็ไม่อาจขอขึ้นราคาผ้าอีกได้ จึงพากันกลับไปยังเมืองที่อยู่ของตน พระเจ้าพาราณสีนั้นครั้นจุติจากอัตตภาพนั้นแล้ว ได้มาเกิดเป็นสุวรรณสังขกุมารและได้เป็นลูกเขยแห่งพระเจ้าพาราณสี พวกพ่อค้าผ้านั้นครั้นจุติจากอัตตภาพนั้นแล้วได้มาเกิดเป็นหกกษัตริย์ลูกเขยพระเจ้าพาราณสี กษัตริย์นั้นชวนกันประทุษร้ายตถาคต ทูลยุยงให้พระราชาฆ่าตถาคต ด้วยบาปกรรมที่ตถาคตข่มเหงเขาซื้อผ้าลดราคา ด้วยประการฉะนี้

—————————-

สตฺถา อิม ธมฺมเทสน อาหริตฺวา สมเด็จพระบรมศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึ่งประชุมชาดกว่า พญานาคเอาเรือมารับสุวรรณสังขกุมารนั้น กลับชาติมาคือองคุลิมาลเถระ พระดาบสช่วยสุวรรณสังขกุมารไว้ ได้กลับชาติมาคือพระสาริบุตรเถระ นางยักษินีมารดาเลี้ยงสุวรรณสังขกุมารนั้น กลับชาติมาคือนางอุบลวรรณาเถรี ท้าวสักกเทวราชผู้อุปถัมภ์สุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือพระอนุรุทธเถระ มหาเสนาบดีผู้ไปเชิญเสด็จพระนางจันทาเทวีและสุวรรณสังขกุมารให้มาครองราชสมบัติ ณ พรหมบุรีนั้น กลับชาติมาคือพระโมคคัลลานเถระ ธนญชัยเศรษฐีผู้ให้พระนางจันทาเทวีอยู่ด้วยนั้น กลับชาติมาคือพระสีวลีเถระนั้น นางสุวรรณจัมปากเทวีแกล้งใส่โทษแก่พระนางจันทาเทวี กลับชาติมาคือนางจิญจมาณวิกา ปาลกเสนาบดีผู้ผูกอาฆาตต่อสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือภิกษุเทวทัต พระเจ้าพรหมทัตราชบิดาสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือสุทโธทนพุทธบิดา พระนางจันทาเทวี กลับชาติมาคือนางสิริมหามายาพุทธมารดา พระนางคันธาเทวีอัครมเหสีของสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือยโสธราพิมพาเทวี บริษัทซึ่งสวามิภักดิ์ต่อพระโพธิสัตว์ กลับชาติมาคือพุทธบริษัท สุวรรณสังขราชา กลับชาติมาคือเราตถาคต มีพุทธพจน์ให้จบลงประการฉะนี้

จบสุวรรณสังขชาดก

—————————-

  1. ๑. แต่หน้า ๑๐ บรรทัดที่ ๘ ถึงหน้า ๑๑ บรรทัดที่ ๒ เป็นความในจริยาปิฎก
แชร์เลย

Comments

comments

Share: