หลวงปู่คำสี (ทองทิพย์) รัตนโคตร

หลวงปู่คำสี (ทองทิพย์) รัตนโคตร“บุคคลผู้ที่ดังหรือดังไม่ดี เขาที่ดังไม่ดีไม่เอาแล้ว ขอที่ดีไม่ดัง ถึงไม่ดังก็ตามสักวันหนึ่งก็อาจจะดัง ดังเป็นการดี”
ธรรมสัจจะหลวงพ่อทองทิพย์บุคคลผู้ที่ดัง หรือดังไม่ดี เขาที่ดังไม่ดีไม่เอาแล้ว ขอที่ดีไม่ดัง 
……..ถึงไม่ดังก็ตามสักวันหนึ่งก็อาจจะดัง ดังเป็นการดี ดีด้วยตนหรือดีกับบุคคลอื่นหรือสัตว์อื่น สัตว์จำพวกนั้นๆ จะได้รับความสุขพ้นทุกข์ไปเช่นเราผู้ได้  ……..เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามที่จะทำความดี จะใช้ด้วยความเพียรหรือขันติธรรมจะนำให้เกิดประโยชน์ ……..ก็ขอให้ท่านผู้เป็นเนื้อนาบุญ นักบุญหรือบุคคลผู้มีจิตประสงค์ในมรรคผลหรือประสงค์อยู่ในบุญตั้งมั่นหมั่นทำความดี ……..บุญศัพท์นี้แหละเป็นใหญ่ บุญจะทำให้ความสุขของผู้ประพฤติปฏิบัติได้เป็นบุญแท้จริง บุญเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ ชนะเลิศ เป็นอัศจรรย์อย่างไรหรือชนะเลิศอย่างไร ก็เมื่อไรที่เราถึงผล เราก็จะรู้ได้ในผลบุญนั้น เพราะฉะนั้นก็พวกเราผู้อยู่ในพุทธศาสนา ผู้มีธรรมะ ผู้ยึดมั่นถือมั่นพระรัตนตรัยยึดเอาพระภูวนัยไตรโลกนาถศาสดาจารย์พระองค์นั้นมาเป็นที่พึ่งพาอาศัย คือศรีศากยมุณีโคดมบรมครู ตลอดพระธรรมเป็นตัวแทนของพระองค์เป็นคำสอนของพระองค์แท้จริง ไม่ใช่เป็นคำสอนของใคร ขอคำสอนของพระองค์ที่เป็นคำสอนจริงนั้นที่จะล่วงเข้ามาอยู่ในกายจิตใจของผู้ถึงพระธรรม ที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นผู้เลิศเทอญ    ประวัติหลวงพ่อทองทิพย์……..ถ้าจะถามว่าประวัติของหลวงพ่อทองทิพย์นั้นมีความเป็นมาอย่างไร คงจะตอบได้เลยว่ามันเป็นเรื่องที่เลยรู้ เลยตายเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อก็ว่าได้……..ท่านเป็นพระป่าที่ไม่ได้เข้ามายุ่งในเมืองหลวงเท่าใดนัก อยู่สันโดษปรมัตถ์ ถือเดี่ยวอยู่ในป่า ……..แต่เท่าที่ทราบสอบถามได้จากพยานบุคคล ที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดท่านมาโดยตลอด ก็ประมาณสามชั่วอายุคน……..โยมอุปถากในยุคต้นๆ ที่ละสังขารแตกดับตายไปแล้วก็จะมีเจดีย์บรรจุศพที่หลวงพ่อทองทิพย์สร้างให้……..กลายเป็นถาวรวัตถุและพยานบุคคลอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะคำเล่าขานว่า หลวงพ่อทองทิพย์อยู่อย่างไรก็อยู่เหมือนเดิมอย่างนั้นมาโดยตลอด ……..ไม่แก่ลงไปจากเดิมมากน้อยสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเนื้อหนังมังสาของท่าน ยังดูสดใสไม่ได้แก่วัยไปตามอายุขัยหลายร้อยปีแต่อย่างใด ……..โดยเฉพาะดวงตาของท่านก็ยังสดใส มิได้ฟ่ามัวเหมือนกับคนเฒ่าคนแก่หรือผู้สูงวัยแต่อย่างใด ……..สามารถที่จะใช้สายตาเชื่อมประสานความทรงจำ นำเรื่องแปลกพิสดารมาเล่าให้เราฟังจนเป็นที่เข้าอกเข้าใจ ในพันธะของการจุติเกิด……..หลวงพ่อท่านชอบที่จะเล่าเรื่องราวของอดีตที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของท่านให้เราได้รับฟังอยู่เป็นประจำ ……..ท่านสามารถรู้ประวัติการเกิดของมนุษย์ได้ว่าคนนั้นไปเกิดที่ใด คนนี้ไปเกิดที่ใด ตามวาระกาละเวลาของผู้ที่มาเกิด ……..ที่เป็นบุคคลสำคัญก็ดี ที่เคยช่วยชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ก็ดี ท่านจะรู้ประวัติ วัน ปี เดือนครบถ้วน เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ……..ถ้าใครก็ตามได้ไปพูดไปคุยกับหลวงพ่อทองทิพย์ จะรู้สึกว่ามีจิตใจที่ใสสะอาด สว่าง สงบ เย็นกาย เย็นใจ ……..เพราะฉะนั้นท่านจึงเป็นพระที่สมควรกราบไหว้บูชา สักการะอย่างยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้ ……..เพราะท่านจะสอนให้มวลมนุษย์ชาติสร้างแต่กรรมดี รู้จักบุญกุศลไม่มักมากในกิเลส ถ้าผู้ใดใฝ่ฝันที่จะถึงการหลุดพ้น ท่านก็จะบอก ว่า “ข้ามไฟสามกอง ยิงนกหกตัวก็จบ”……..ไฟสามกองคืออะไร ก็คือไฟโกรธ ไฟโลภ ไฟหลง ก็คือโมหะ โทสะ โลภะนั่นเอง หยุดโกรธซะบ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่หมดให้มันเบาบางลงไป ……..ส่วนความโลภนั้น ถ้ามีสัมมาอาชีพ ทำมาหากินอย่างสุจริต ก็ไม่ถือว่าโลภ ที่ทุกคนจะต้องหากินหาอยู่ตามอัฐภาพ ……..ความหลง ก็อย่าไปหลงอุปกิเลสให้มากมายใฝ่ฝันยศถาบรรดาศักดิ์ มีลาภย่อมเสื่อมลาภ มียศย่อมเสื่อมยศ ไม่สมควรรู้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ……..รู้จักพอ รู้จักหยุด ใฝ่ในคุณธรรม สร้างประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน รู้จักเป็นผู้ให้เป็นผู้รัก รักผู้อื่นเท่ากับรักตัวเรา……..ยิงนกหกตัว คืออะไร ท่านก็สาธยายว่า ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นแหละยิงนกหกตัว ยิงให้มันตาย ตายจากอะไรล่ะ ตายจากกิเลสนั้นเอง……..ท่านเคยเล่าว่า ท่านเคยมาสร้างธาตุพนม เคยไปสร้างที่เวียงจันทน์ นอกจากนั้นแล้ว ท่านยังเคยไปสร้างขั้นราวบันไดที่เชียงใหม่ ให้กับตุ๊เจ้าเสือดาว ……..แล้วท่านยังชอบที่จะเล่าถึงพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในอดีตอยู่เป็นประจำ ……..ท่านเล่าว่าพระเจ้าไชยเชษฐา เคยไปสร้างเมืองเชียงรายและนครเชียงใหม่ ก่อนที่จะถอยล่นลงมาเรื่อยๆ ……..จนถึงนครเชียงรุ้ง หรือเวียงจันทน์ในปัจจุบันนี้ เพราะสภาวะของสงครามบีบบังคับ ให้พระเจ้าไชยเชษฐาต้องถอยล่นลงไปเรื่อยๆ ……..จนในครั้งสุดท้าย พระเจ้าไชยเชษฐาท่านทราบล่วงหน้าว่า ท่านจะต้องพ่ายแพ้สงครามแน่ๆ ……..ท่านจึงนำพระแก้วมรกตหลบหนีจากนครเชียงใหม่เพื่อที่จะนำไปประดิษฐาน ณ นครเวียงจันทน์……..ดูๆ ไปแล้ว หลวงปู่คำสี (ทองทิพย์) รัตนโคตรท่านคงจะมีอดีตที่ผูกพันอย่างลึกซึ้งกับพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช และพระแก้วมรกตเป็นอย่างมาก ……..เพราะท่านสามารถที่จะทราบประวัติทั้งหมด แม้กระทั่งตำนานในครั้งอดีต ซึ่งมิได้ถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ……..หลวงพ่อก็สามารถที่จะทราบได้ และหลวงพ่อทองทิพย์เคยเล่าให้ฟังเมื่อ พ.ศ. 2535 ว่า……..ในอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นกวางทอง บางชาติท่านก็เคยเกิดเป็นกระบองเพชร เพื่อออกไปทำงานให้กับยักษ์ ……..มีครั้งหนึ่งที่ท่านทำงานไม่สำเร็จจึงถูกยักษ์สาปเอาไว้ ณ สถานที่แห่งนี้ถึง 7 ปี ไปไหนไม่ได้ ……..ก่อนตายท่านได้บุคคลาอธิษฐานเสี่ยงบารมีถึงพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ ก่อนที่จะแตกดับธาตุขันธ์……..มาในปัจจุบันชาตินี้ หลวงพ่อทองทิพย์จึงต้องมาสร้างแต่มหากุศลตลอดชาติอย่างยิ่ง ……..โดยเฉพาะการสร้างพระพุทธที่จะมาสำเร็จในอนาคต ซึ่งมีพระนามว่า “พระศรีอริยเมตตรัย” ขนาด 5 นิ้วขึ้นจำนวนถึง 5,000 องค์ ……..แล้วยังสร้างพระศรีอริยเมตตรัย 100,000 องค์ บรรจุเอาไว้ในเจดีย์ของท่านและตามสถานที่สำคัญต่างๆ เพื่อที่จะให้เกิดบุญบารมียิ่งๆ ……..ความปรารถนาอันสูงสุดในชีวิตของท่านที่ท่านอยากจะสร้างมากที่สุด ก็คือการสร้างหัวใจพระศรีทองคำ ……..แล้วนำไปบรรจุเอาไว้ในพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ให้สำเร็จให้จงได้ เพราะถ้าท่าน สามารถที่จะสร้างหัวใจพระศรีทองคำให้สำเร็จได้ ……..ก็จะทำให้ “สายณะธรรม” ที่มีความเกี่ยวข้องผูกพันธ์กับพระโพธิสัตว์ซึ่งเปรียบเสมือนหนึ่ง เรามีดวงจิตที่สามารถล่องลอยไปในสถานที่ต่างๆ ได้ตามที่เราได้อธิษฐานเอาไว้ ……..สิ่งที่เป็นอุปกิเลสของแต่ละบุคคลก็จะลุล่วงไปตามเจตนาของบุคคลนั้นๆ ความเบาสบายก็จะบังเกิดกับพวกเราที่ได้ร่วมสร้างหัวใจพระศรีทองคำ……..จะได้สืบสายณะระหว่างสมเด็จพระพุทธมหาสมณะโคดมกับพระศรีอริยเมตตรัยเพื่อให้พระศาสนาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันหรือเชื่อมชิดติดกัน……..หากใครเคยไปวัดป่าศรีดารามลักษณ์รัตนโคตร จะเห็นเจดีย์โพธิ์อยู่ภายในวัดของหลวงพ่อ ……..ซึ่งเหตุผลที่ท่านได้สร้างเจดีย์โพธิ์ไว้ท่านได้เล่าให้ฟังว่า บุร่ำโบราณนานมาแล้ว ……..สถานที่แห่งนี้เมื่อเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับเทวาลัย ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับฌานบารมี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์……..แล้วยังรวมความไปถึง เทพ-พรหม อริยเทพ อริยพรหม และเหล่าอริยสงฆ์ทั้งหลาย ……..เมื่อท่านได้เสด็จผ่านมาในแถบนี้ จะด้วยกายทิพย์ก็ดีกายธาตุก็ดี ท่านจะต้องมาแวะพัก ณ สถานที่แห่งนี้เสมอ ……..เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นทางผ่านก่อนที่จะข้ามต่อไปยังเวียงจันทน์หรือบางครั้ง พระอริยสงฆ์จากฝั่งลาวเมื่อข้ามมาแล้ว ก็จะมาแวะตั้งหลักพักผ่อน ณ สถานที่แห่งนี้ก่อนจะเดินทางต่อไปยังสถานที่อื่นๆ ต่อๆไป    
……..ช่วงวันเพ็ญกลางเดือน 3 ของทุกๆ ปี ซึ่งถือกันว่าเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนา ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประกาศ “วันปรินิพพาน” ของท่าน……..จึงถือว่า วันนี้เป็นวันสำคัญ สำหรับชาวพุทธที่ได้ถวายตัวเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้า เข้าสู่การฝึกฝนปฏิบัติตั้งมั่นอยู่ในกรอบระเบียบของศีล สมาธิ ……..เพื่อให้เกิดปัญญาฌาน เพราะเหตุฉะนี้เอง หลวงพ่อทองทิพย์ท่านจึงได้นำเอาวันเพ็ญกลางเดือน 3 ของทุกๆ ปี มาเป็นวันสำคัญของท่านด้วย ……..ซึ่งหลวงพ่อถือว่าเป็นวันสำคัญของ “นักสัตย์” ต่างๆ ที่จะได้เป็นอิสระจากการถูกคุมขัง ……..วันนี้จึงกลายเป็นประเพณีในการปล่อยสัตว์ทุกๆ ชนิด เท่าที่จะหามาได้ให้เป็นอิสระ สัตว์น้ำก็จะถูกปล่อยลงสู่ลำน้ำโขง ……..ส่วนพวกช้าง ม้า วัว ควาย หลวงพ่อก็จะมอบให้กับชาวนาผู้ยากไร้ นำไปเลี้ยงเพื่อใช้งานเท่านั้น ห้ามนำไปฆ่าอย่างเด็ดขาด เพื่อให้สรรพสัตว์เหล่านี้รอดพ้นไปจากความตาย     ……..เมื่อมีคนสงสัยถามเรื่องพระศรีอริยเมตตรัยเป็นใครท่านก็มักจะตอบว่า “พระศรีเป็นใครนะหรือ ……..ไอ้ที่เหาะมาได้ก็มิใช่พระศรี ไอ้ที่บินมาได้ก็มิใช่พระศรี ไอ้ที่ขี่ม้ากาบกล้วยแล้วเหาะได้ก็ไม่ใช่พระศรี ไอ้พวกที่สามารถเดินบนปลายเข็มนับหมื่นเล่มได้ก็ไม่ใช่พระศรี ไอ้พวกที่มันยืนบนปลายหอกปลายดาบได้ก็ไม่ใช่พระศรี ไม่ว่าจะเป็นใครจะมีฤทธิ์มีอำนาจมากแค่ไหนก็ไม่ใช่พระศรี…….. “พระศรีเกิดแล้ว” แต่ในขณะนี้นั้นท่านยังไม่รู้ตัวรู้ตนของท่านเลย เพราะท่านเป็นคนธรรมดาสามัญ ซึ่งกำลังสร้างสมบุญบารมีเยี่ยงโพธิสัตว์เท่านั้น”……..หลวงพ่อทองทิพย์ท่านได้มรณภาพลง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2544 ปัจจุบันสังขารของท่านถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดป่าศรีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร หมู่บ้านฝายแตก อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

แชร์เลย

Comments

comments

Share: