อิทธิคุณกับบุญฤทธิ์ แห่ง หลวงพ่ออุตตมะ อุตตมรัมโภ และ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ …หลวงพ่ออุตตมะ เป็นพระเถระชาวรามัญ การปฏิบัติธรรมของท่านไม่อาจรู้ได้ว่าสิ้งใดเป็นเป้าหมาย เพียงสรุปกันหมู่ศิษย์ในมาตรฐาน “นิพพาน” นี่แน่นอนบ้างว่าท่าจะรวบรัดตัดตรงให้พ้นทุกข์สิ้นเชิง บ้างว่าท่านสะสมบารมีให้หนาแน่นมั่งคงสู่การบรรลุ “พระโพธิญาน” ด้วยตนเอง จะอย่างไรก็เป็นท่าน ท่านผู้เป็นเกาะ เป็นที่พึ่งให้กับเรา ในดินแดนเขมรต่ำ ย่นเข้ามาคือจังหวัดสุรินทร์ มีเถระผู้เมตตาบารมีสูงรูปหนึ่งชื่อ หลวงปู่หงษ์ เชื่อมือว่าท่านชาญพระเวทย์ และคล่องแคล่วในมนตรานับพันบท เข้าออกฤทธิ์ได้ง่ายดังบุคคลเดินผ่านประตูเปิดท่านเป็นสรณะแก่ชาวสุรินทร์มานานนม เพิ่งปรากฏชื่อลือชาเมื่อ 3-4 ปีนี้เอง ชื่อที่ได้ก็ใช่ท่านคุย หากเพราะสาธุชนผู้พบอัศจรรย์แก่ตาตนเอาไปประกาศป้างๆ อย่างไม่ต้องจ้างโฆษณาทั้งหลวงพ่ออุตตมะและหลวงปู่หงษ์ ต่างอยู่ไกลกันสุดแสน ต่างองค์ต่างมีวิถีชีวิตเป็นของตนเอง ปราศจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือสายวิชาเหมือนกันที่เป็น “พระ” วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2539 หลวงปู่หงษ์รับนิมนต์ คุณอภิรักษ์ จุฬาสินนท์มาประกอบพิธีใหญ่ “ประสะที่” และปลุกเสกวัตถุมงคลที่อู่มีแสง (ยูร) บัสบอดี้ จ.นครปฐม ซึ่งผู้นิมนต์เป็นเจ้าของกิจการวิสัยของผู้มีน้ำใจก็ออกปากชักชวนผู้ชิดชอบเข้าร่วมงานคนไม่มาก บรรยากาศจึงขลังและศักดิ์สิทธิ์ พิธีเสร็จแล้วได้พูดคุยกับหลวงปู่อย่างท่านให้ความกันเองที่สุด ครั้นทุกคนพอใจใจปฏิสันถาร และกราบลา คุณอภิรักษ์จึงปิดประตูห้องพิธีเพื่อพูดธุระส่วนตัว คงมีเพียงผม, คุณสุมิทธิ์, คุณพัชชานันท์ และคนสำคัญคือคุณอภิชาติ จุฬาศินนท์ผู้เป็นพี่ชายคุณอภิชาติหยิบโฉนดที่ดินพร้อมภาพถ่ายอาคารภาณิชย์ถวายหลวงปู่ดู และเล่าว่า ตนได้ซื้อตึกนี้ไว้ด้วยราคาที่ไม่แพง อีกทั้งอยู่กลางเมืองนราธิวาส แต่ราคาแค่นี้ต้องคว้าไว้ก่อน ทว่าตึกนี้มีปัญหาที่ชวนหวั่นวิตกอยู่อย่างคือเจ้าของเก่ามีบุตรสาวที่เป็นคนสวยมากเป็นถึงนางงามประจำท้องถิ่นเป็นที่หมายปองของหนุ่มน้อยใหญ่ทั้งหลายอยู่มาวันหนึ่งสาวเจ้าเกิดเสียสติอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่ป่วยไข้ ไม่มีเหตุให้กระเทือนใจและครอบครัวก็ไม่มีประวัติว่ามีใครเสียจริตมาก่อน อาการป่วยหนักจนถึงขั้นถอดเสื้อผ้าจะออกจากบ้าน ต้องได้ล่ามโซ่เอาไว้กับเสาเรือนไม่นานก็ย้าย และขายถูก คุณอภิชาติคือมือที่สอง ทราบเรื่องแล้วก็สะดุ้งใจ ซื้อแล้วนี่จะทำอย่างไร ทราบว่าวันนี้หลวงปู่มาก็ขอปรึกษาให้ช่วยพิจารณาแก้ไขทีเถิด เล่าพลางขี้ภาพถ่ายและโฉนดที่ดินพลางหลวงปู่นั่งเพ่งมอง ทั้งเงียบฟังอย่างตั้งใจ สักพักก็เอ่ยว่า“ถามอาจารย์ก่อน”ท่านยกมือไหว้ไปด้านข้าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโต๊ะหมู่บูชาแล้วหลุบเปลือกตาสำรวมจิต ความเงียบที่ปกคลุมทำพวกเรากระสับกระส่าย อึดใจหนึ่งท่านก็ลืมตาขึ้นแล้วว่า“ช่วยไม่ได้ อาจารย์ไม่ให้ช่วย”คำตอบทำเอาคุณอภิชาติกระสับกระส่ายหนักเข้าไปอีกละล่ำละลักวอนหลวงปู่พิจารณาใหม่อีกที เผื่อจะมีช่องทาง คุณอภิรักษ์ช่วยพูกอีกแรง ท่านยืนกราน“ช่วยไม่ได้อาจารย์สั่งมาแล้วต้องทำตาม”เห็นสองท่านออดอ้อนผมก็คันปากหลุดพูดออกไปว่า “น่าหลวงปู่ ช่วยพี่เขาหน่อยเถอะครับ หลวงปู่ไปประสะที่ก็ได้หรือลงแผ่นยันต์ไปฝัง ทำน้ำมนต์ไปประพรมก็ยังดี”ใครจะไปรู้ว่าผมจุดชนวนระเบิดเข้าแล้ว ท่านเอ็ดดีงเปรี้ยงขึ้นทันที“เอ๊! บอกว่าช่วยไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้สิ อาจารย์ไม่ให้ยุ่งของมันแรง เป็นอะไรไปจะว่ายังไง”ผมปิดปากสนิทพลอยคนอื่นเงียบตามกัน เมื่อเห้นว่าพวกเราจ๋อยท่านเอ่ยเบาๆว่า “มีอยู่องค์หนึ่งที่ช่วยได้”มีความหวังทันที ทุกคนดีใจเหมือนเรื่องตัว รีบถามใครครับๆ “หลวงปู่ทวด”คำตอบท่านทำเราอึ้งกิมกี่ หลวงปู่ทวดมรณะภาพไปแล้ว 400 กว่าปี จะหาท่านยังไงพบที่อยู่ก็ไม่รู้ เบอร์โทรก็ไม่มี อารามอึ้ง เลยไม่มีใครซักท่านต่อ ท่านเองตอบแล้วก็แล้วเรื่อง หันไปเคี้ยวหมากสบายใจเฉิบศิษย์เลยหันหน้ามาปรึกษากันเอง หลวงปู่หงษ์เรียนไสยเวทย์สายตรงมา 160 อาจารย์ ยังช่วยไม่ได้แสดงว่าของนี้แรงหนักหนา ร้อนถึงหลวงปู่ทวดมหาโพธิสัตว์ให้ช่วย แต่ทำอย่างไรจะบอกท่านได้ ผมคิดอะไรอย่างหนึ่งเลยว่า “ท่านพระอาจารย์นองวัดทรายขาว ชื่อว่าศิษย์ในสายหลวงปู่ทวดเช่นกัน พี่อยู่นราธิวาส ไปขอความช่วยเหลือจากท่านน่าจะดี”คุณอภิชาติรับฟังเงียบๆคุณอภิรักษ์ก็สนับสนุนว่าควรลองดูครั้นพิธีวันนั้นจบลงต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน ข่าวที่เงียบหายนับเดือนกระตุ้นผมให้ติดตามอย่างสอดรู้ถึงขีด ผมโทรถามถึงคุณอภิรักษ์ คุณอภิรักษ์ก็บอกว่าพี่ชายยังไม่ได้ไป ไม่รู้ติดขัดอย่างใด หลายเดือนต่อมา คุณอภิชาติก็โทรทางไกลปรึกษาคุณอภิรักษ์อีก ก็ยังไม่กล้าเข้าอยู่ ไม่กล้าซ่อมแซม ทำอย่างไรดีคุณอภิรักษ์จึงรับปากว่า “เอางี้แล้วกัน วันนี้หลวงพ่ออุตตมะอยู่สำนักฯสายสองพุทธมณฑณ จะลองปรึกษาท่านดู”เย็นวันนั้นคุณอภิรักษ์เข้ากราบหลวงพ่ออุตตมะเล่าเรื่องถวายท่านฟังพร้อมหลักฐาน คือภาพถ่ายตึกต้นเหตุ และโฉนดสำเนา ท่านพิจารณาครู่หนึ่งก็ว่า“เราจะนั่งเทียนดูก่อน”จึงวางภาระคุณไสย์ให้เป็นธุระหลวงพ่อไปอีก 2-3 วันก็ไปเรียนถามความคืบหน้า หลวงพ่อบอกว่า“ใช่ ที่นั่นมีของอยู่เป็นของที่เขาทำเอาไว้นานมากแล้ว คนทำได้ฝังเอาไว้ใต้ดินในบ้าน วันดีคืนดีของนี้จะประทุขึ้นมาข้างบนคนที่ไม่ได้ไหว้พระสวดมนต์ คนที่ไม่มีของป้องกัน คนที่เคราะห์หามยามร้าย ของก็จะเข้าตัว”คุณอภิรักษ์รีบถาม “หลวงพ่อช่วยได้ไหมครับ”ท่านตอบ “ได้ ไปเอาดินในบ้านหลังนั้นมา เราจะสวดถอนให้”คุณอภิรักษ์จึงสั่งคุณอภิชาติให้เอาดินในบ้านมาด่วน จะเป็นตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น เมื่อได้แล้วท่านก็สวดมนต์อธิษฐานตามแบบฉบับของท่าน จากนั้นก็คืนให้แล้วสั่งว่า เอาดินนี้ไปโปรยรอบๆบ้าน ทำเรียบร้อยแล้วให้เข้าอยู่ได้เลย เมื่อทำตามหลวงพ่อบัญชาคุณอภิชาติก็เข้าปรับปรุงตึกเปิดกิจการ จากบัดนั้นจนบัดนี้ร่วม 3 ปีเข้าแล้วยังอยู่ดีมีสุขน่ามหัศจรรย์ในจิตของหลวงพ่ออุตตมะนักหนาเพราะสามารถสวดถอนคุณไสยรุนแรงได้โดย “กำหนด” จากที่ไกลชนิด “ผ่านดาวเทียม” ผมเองเคยสงสัยในแนวทางของหลวงพ่ออุตมะว่าเห็นทีจะบำเพ็ญแบบพระโพธิสัตว์เพื่อมุ่งพุทธภูมิกระมัง ดูจากความเมตตาที่กว้างใหญ่ดังมหาสมุทร ดูจากการสร้างเสนาสนะได้ยิ่งใหญ่สวยงาม ดูจากสาธารณะสงเคราะห์ซึ่งท่านทำไม่หยุดยั้งทั้งในไทย ทั้งในพม่า ผู้ปราถนาพระนิพพานโดยตรงจะไม่ยอมเนินนานช้าเช่นนี้บัดนี้ผมได้คำตอบแล้ว เป็นคำตอบที่ได้จากหลวงปู่หงษ์ชี้ทาง หากหลวงพ่ออุตตมะมิได้บำเพ็ญบารมีในอดีตมาพร้อม ท่านย่อมไม่อาจถอดถอนอะไรได้ด้วยสภาวะเรียบง่ายดังกล่าว แล้วผมก็ประหลาดใจเป็นล้นพ้นกลางปี พ.ศ.2541 ก่อนเข้าพรรษา หลวงปู่หงษ์เดินทางด้วยรถกระบะ จาก จ.สุรินทร์วิ่งตรงไปวัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรีเพื่อนมัสการหลวงพ่ออุตตมะแต่หลวงพ่อไม่อยู่ ท่านลงมากิจนิมนต์ในกรุงเทพฯ และพำนักอยู่สาย 2 หลวงปู่สั่งศิษย์ตีรถมาสำนักฯพุทธมณฑณทันทีแต่มาถึงก็ไม่พบ เพราะหลวงพ่อไปงานนิมนต์ต่างจังหวัดกลับมาอีกทีก็ดึกหลวงปู่จึงสั่งศิษย์หลวงพ่ออุตตมะที่สำนักว่า พรุ่งนี้จะมาใหม่บอกหลวงพ่ออุตตมะด้วยว่าหลวงปู่หงษ์มาหาจากสุรินทร์รุ่งขึ้นหลวงปู่หงษ์เข้ากราบนมัสการหลวงพ่ออุตตมะ เวลาประมาณ 6 โมงเย็น พูดคุยกันอย่างถูกคอครั้นสนทนาจบ หลวงปู่หงษ์ถวายปัจจัยหลวงพ่ออุตตมะ 2,000 บาท ขอประคำ 20 เส้นหลวงพ่อจึงสั่งให้ศิษย์เอาประคำถวายหลวงปู่หงษ์ 100 เส้น และถวายปัจจัยคืนหลวงปู่หงษ์ไปทั้งหมดใครพบหลวงปู่ถามดูได้ ผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้เพื่อยกใคร ข่มใคร ผมถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ และกราบบูชาอย่างสนิทใจ อยู่ทุกวันทั้งสององค์ แต่ผมเห็นคติเตือนใจตนในเหตุการณ์เหล่านี้จึงประทับใจ หลวงปู่หงษ์ไม่มุสา ไม่อวดตน ท่านช่วยได้ก็ว่าได้ ช่วยไม่ได้ก็ว่าไม่ได้ ไม่พูดรักษาหน้าตนเอง หรือทำอะไรส่งเพื่อลาภสักการะแม้น้อยหนึ่ง ผมนับถือน้ำใจท่านตรงนี้ที่สุดการเข้าพบหลวงพ่ออุตตมะเป็นอริยประเพณีอยู่แล้ว เพราะหลวงปู่หงษ์อ่อนพรรษามากกว่าหลวงพ่ออุตตมะถึง 7 พรรษา ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่เป็นธรรมดา แต่ในความเคารพนั้นคงมีพิเศษอยู่บ้าง ท่านจึงตั้งใจมากราบโดยเฉพาะแล้วกลับสุรินทร์ทันที หลวงพ่ออุตตมะก็มีได้พูดคุยข่มขวัญวางท่าแต่อย่างใด ท่านปฏิสันถารกันอย่างน่ารักน่าเคารพที่สุดคนผู้คิดยก คิดทุ่มพระเถระทั้งสองนั่นแหละเป็นผู้เสกสรรเอาตามกิเลศตนทั้งที่ท่านปราศจากอคติต่อกัน ไม่มีข้อบาดหมางด่างพร้อยในจิตใจทั้งทางชื่อเสียง ลาภสักการะ สมณศักดิ์แต่อย่างใด ท่านมีแต่ความเคารพใน “คุณธรรม” ซึ่งกันและกันอย่างน่านิยมบทความ รณธรรม ธาราพันธุ์ …
Posted in พระเกจิอาจารย์, หลวงปู่หงษ์