และที่ภูเขาควายนั้นยังเป็นที่ตั้งของ “ธรรมสภา” (ไม่ใช่เทวสภา) ซึ่งธรรมสภานี้จะอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่อันลึกลับ ใช้เป็นที่ประชุมของพระอภิญญาเพื่องานค้ำชูรักษาพระพุทธศาสนาจึงมีทั้งพระ ที่ยังมีชีวิตอยู่และพระที่ละสังขารไปแล้วอยู่มากมายเชื่อกันว่าพระอภิญญาที่ละสังขารไปแล้วนั้นท่านก็ยังสามารถอธิษฐานร่างกาย ขึ้นมาใหม่ได้ โดยผู้ที่พบเห็นสามารถจับมือพูดคุยได้เหมือนคนธรรมดาทั่วไป จนไม่สามารถแยกออกได้ว่าท่านยังอยู่หรือสิ้นไปแล้ว
หลายท่านยังไม่ทราบว่า หลวงปู่ทองทิพย์นั้นท่านเป็นพระพี่พระน้องกับหลวงปู่ เทพโลกอุดรมาหลายภพหลายชาติ ดังนั้นลูกศิษย์ที่อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่ทองทิพย์ที่วัดหลายท่านจึงได้มีโอกาสพบกับหลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งท่านมักจะแวะมาเยี่ยมเยียนพระน้องชายของท่านอยู่เสมอ ผมได้คุยกับพระท่านหนึ่งที่อุปัฏฐากหลวงปู่ทองทิพย์สมัยที่ท่านนั้นยังเป็นเณร (สามเณรเจ็ดสี) ท่านเล่าว่าเคยได้มีโอกาสบีบนวดและจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ให้แก่หลวงปู่เทพโลกอุดร แต่ตอนนั้นไม่รู้เพราะเห็นแต่เป็นพระหนุ่มผอมๆ เข้ามาเยี่ยมหลวงปู่ แต่เมื่อท่านกลับไปแล้วหลวงปู่ทองทิพย์จึงบอกว่าพระที่เณรบีบนวดรับใช้อยู่นั้น แท้จริงแล้วก็คือหลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งเป็นพระอภิญญาที่หลายๆ คนต่างอยากได้มีโอกาสพบเจอสักครั้งในชีวิต
แม้แต่การที่หลวงปู่ทองทิพย์ได้มาอยู่ที่วัดป่าสีดาฯ นี้ ก็ด้วยเป็นความต้องการของหลวงปู่เทพโลกอุดรที่ต้องการให้หลวงปู่ทองทิพย์ได้ มาอยู่ประจำการเพื่อรักษาพระศาสนาในเขตอีสานเหนือนี้โดยหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นผู้พาหลวงปู่ทองทิพย์เหาะมาจากภูเขาควายด้วยตัวของ ท่านเองทีเดียว เนื่องจากบริเวณวัดป่าสีดาฯ นี้เป็นสถานที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์จะต้องมาบำเพ็ญเพียรซึ่งก็ผ่านมาแล้ว 4 พระองค์ ในอนาคตก็จะเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระศรีอาริย์(สถานที่จริงจะอยู่ลึกลงไปเป็นชั้นๆ ตามกฎที่ว่าเมื่อหมดหนึ่งพุทธันดรแล้วแผ่นดินจะสูงขึ้น 1 โยชน์)
พระโพธิสัตว์ซึ่งจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 และองค์ที่ 10 มาเจอกัน มีเรื่องเล่ากันมาว่าในวันหนึ่งที่หลวงป๋า เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่ทองทิพย์เป็นครั้งแรก เมื่อเข้าไปถึงวัดก็ปรากฏว่าหลวงปู่ทองทิพย์ท่านนั่งรออยู่แล้ว พอหลวงป๋าท่านเข้าไปกราบหลวงปู่ทองทิพย์ก็พูดขึ้นให้ได้ยินทั่วกันว่า “อ้าว พระสุมังคละมาแล้วๆ” ท่านเอ่ยทักทายเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าอย่างนั้น ท่านพูดขึ้นมาเพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านที่นั่งอยู่รอบๆ ทราบว่าพระผู้ที่มานี้ต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 10 ที่มีพระนามว่า“พระสุมังคละพุทธเจ้า” นั่นเอง ทางด้านหลวงป๋าเองก็นับถือหลวงปู่ทองทิพย์มากโดยเมื่อมีเวลาว่างจากการสร้างวัด ท่านก็มักจะแวะมากราบและน้อมถวายพระธาตุกายสิทธิ์แก่หลวงปู่ทองทิพย์เสมอ ครั้งหนึ่งหลวงป๋าท่านเตรียมพระเหล็กไหลองค์หนึ่งใส่ไว้ในย่ามเพื่อเตรียมจะถวายแก่หลวงปู่ทองทิพย์ ส่วนพระเหล็กไหลอีกองค์หนึ่งที่สวยงามกว่านั้นท่านก็ใส่ไว้ในอังสะเพื่อพกติดตัว เมื่อไปถึงหลวงป๋าก็ล้วงเอาพระเหล็กไหลในย่ามเพื่อเตรียมถวาย แต่ปรากฏว่าหลวงปู่ทองทิพย์รีบชิงพูดขึ้นก่อนว่า “อ้าว แล้วองค์ที่อยู่ในอังสะไม่ถวายหรือ” หลวงป๋าท่านตกใจที่หลวงปู่ทองทิพย์รู้เรื่องที่ท่านซ่อนพระเอาไว้ ท่านจึงเอามือล้วงเข้าไปในอังสะเพื่อนำพระออกมาถวาย ส่วนหลวงปู่ทองทิพย์เมื่อรับพระแล้วก็หัวเราะชอบใจมาก (ชอบใจพระ และชอบใจที่รู้ทันหลวงป๋า) หลวงป๋าท่านเคยเล่าให้ผมฟังพร้อมกับหัวเราะชอบใจเช่นกัน
เจ้าของเรือก็วิ่งตามเรือมาจนมาถึงวัดด้วยความแปลกใจว่าทำไมเรือมันถึงวิ่งมาเองได้ เมื่อมาถึงวัดจึงทราบว่าหลวงปู่ทองทิพย์ต้องการใช้เรือเอาไปท่องเที่ยว เจ้าของเรือจึงยอมให้หลวงปู่เอาเรือไปใช้ (ไม่ยอมก็ต้องยอมเพราะเรือมันจะมาหาหลวงปู่) หลวงปู่จึงสั่งให้ลูกศิษย์ยกเรือขึ้นไปไว้บนหลังรถกระบะ แล้วท่านจึงนั่งบ้างนอนบ้างอยู่บนเรือ ลูกศิษย์ก็ขับรถพาหลวงปู่ไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ เป็นครั้งสุดท้าย นี่เป็นเรื่องเล่าที่พิศดารที่สุดเรื่องหนึ่งของหลวงปู่-พระอภิญญา-พระศรีอารย์ ครับ