เมื่อเรายังมีชีวิตเป็นอยู่ก็เป็นของเราอยู่

#เมื่อเรายังมีชีวิตเป็นอยู่ก็เป็นของเราอยู่

แต่พอแตกกายทำลายขันธ์เท่านั้น

สมบัติเหล่านั้นไม่ใช่ของเราเสียแล้ว

กลายเป็นของคนอื่นเสียแล้ว ไม่ใช่ของเราจริง ๆ

ในมนุษย์โลกเราผ่านไปผ่านมาเท่านั้นเอง

ไม่ใช่เป็นบ้านเมืองของเรา ไม่เป็นถิ่นทำเลที่เราอยู่ เป็นทำเลที่สร้างบารมี มาบำเพ็ญ ทาน ศีล เนกขัมม์ ปัญญา วิริยะ อธิษฐาน ขันติ สัจจะ เมตตา อุเบกขา เท่านั้น

นี่ข้อสำคัญ รู้จักหลักนี้แล้ว ให้ละสุขอันน้อยเสีย

สุขอันน้อยนั่นคืออะไร?

รูป เสียง กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เราใช้สอยอยู่นี้

เสียงที่ชอบใจ กลิ่นที่ชอบใจ รสที่ชอบใจ สัมผัที่ชอบใจ ติดอยู่ในภามภพ ที่ให้เราซบอยู่ในกามภพนี้ โงศีรษะไม่ขึ้น

ไอ้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั่นแหละเป็นสุขนิดเดียว สุขเล็กน้อยไม่ใช่ คือ รูปที่ชอบใจ เสียงที่ชอบใจ กลิ่นที่ชอบใจ สัมผัสที่ชอบใจ เมื่อละได้แล้ว เรียกว่า จาคะ สละสุขที่ยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั้นได้

ยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั้นเป็นไฉน? เงินทองข้าวของ ญญาณกทรัพย์ อวิญญาณกทรัพย์ เหล่านี้เรียกว่า รูปสมบัติ ที่เรายินดีในรูปสมบัติ นั้นแหละเรียกว่า ยินดีในรูป

เสียงยกย่องสรรเสริญ ยกยอสรรเสริญชมเชยต่าง ๆ เหล่านี้ ที่เป็นโลกธรรมเหล่านี้นั่นแหละ ยินดีในเสียง ถ้าเราไปยินดีติดอยู่ในเสียงสรรเสริญอันนั้นละก็ ทำให้เพลินซบเซาอยู่ในโลก เป็นทุกข์ เป็นสุขกับเขาไม่ได้

กลิ่นหอมเครื่องปรุงต่าง ๆ อันเป็นที่ชื่นเนื้อเจริญใจ นั่นแหละ ยินดีในกลิ่น มัวยินดีในกลิ่นอยู่เถิดจะซบเซาอยู่ในมนุษย์โลก ในกามภพ ดุจคนสลบโงศีรษะไม่ขึ้น

ติดรสเปรี้ยวหวานมันเค็มอยู่นี่แหละ ยินดีในร ถ้าว่ติดอยู่ในรสเช่นนั้นแล้วละก็ หรือติดรสอันใดก็ช่าง ความติดรสอันนั้นแหละ ทำให้โงหัวไม่ขึ้น

ยินดีในความสัมผัส ถูกเนื้อต้องตัว ถ้าเอาใจไปยินดีในสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวเข้าแล้ว เข้าไปอยู่ในเปือกตมทีเดียว โงศีรษะไม่ขึ้นอีกเหมือนกัน

๕ อย่างนี้ให้สัตว์โลกจมอยู่ในวัฎฏะสงสาร ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ติดอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ออกจากวัฎฏะไม่ได้

กรรมวัฎ วิปากวัฎ กิเลสวัฎออกไม่ได้ ออกจากภพ ๓ ไม่ได้

ออกจากกามไม่ได้เพราสละละสิ่งที่ ๕ ไม่ได้

ถ้าสละละสิ่งทั้งห้า อันเป็นสุขน้อยนี้เสียได้แล้ว

เมื่อสละละสิ่งทั้งห้าเสียได้แล้ว จะได้ประสบสุขอันไพบูลย์ ต้องประบสุขอันไพบูลย์แท้ๆ อันไพบูลย์ยิ่ง ๆขึ้นไป

ละของมนุษย์ได้แล้วต้องไปติดอยู่ในชั้นจาตุมหาราชของทิพย์อีก ก็ต้องติดอยู่แบบเดียวกัน

รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็ได้ชื่อว่า ละไม่ได้ เพราะของเป็นทิพย์เสียอีก

ละชั้นจาตุมหาราชก็จะไปติดชั้นดาวดึงส์อีก ชั้นดาวดึงส์ก็ปล่อยเสียอีกละเสียอีก

จะเข้าถึงยามา ดุสิต นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตดี ละได้ทั้งหมดนี้ ใครอุตส่าห์พยายามรักษาศีลมั่นจริง เมื่อสละพวกนี้ได้แล้ว ทำศีลให้มั่นขึ้น ศีลมั่นแล้วเจริญเป็นทางสมาบัติทีเดียว ให้เข้าสู่รูปฌานทั้งสี่ให้ได้ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน จะได้ไปรับสุขยิ่งใหญ่ไพศาลไปกว่านี้

และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเข้าถึงฌานทั้งสี่

แตกกายทำลายขันธ์ ก็ได้ไปบังเกิดในพรหม ๑๖ ชั้น ได้รับความสุขยิ่งขึ้นไปเป็นขั้นๆ

จนกระทั่งถึงขนาดถึงพรหมชั้นที่ ๑๑ หรือ ๑๒-๑๓-๑๔-๑๕-๑๖ ขึ้นไปก็ตามเถอะ แต่ว่าอย่าติดนะ ติดในชั้นพรหมไม่ได้ ละเสียได้เป็นสุข ให้ละสุขในรูปภพนี้เสีย แม้จะได้ไปครองสุขในอรูปภพต่อไปอีก ยึดเอาอะไรไปครองสุขในอรูปภพต่อไป

อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ

อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ

สุขแค่นั้นจะเพียงพอแล้วหรือ?

ถ้าเราต้องการประสบสุขอันไพบูลย์ใหญ่ไพศาลแล้ว ก็ให้ละสุขในอรูปพรหมอีก อย่าติดสุขในอรูปภพนั้น

👉ให้ไปถึงนิพพานทีเดียว เมื่อไปถึงนิพพานแล้ว นั่นแหละจะได้ประสบสุขอันไพบูลย์ และสุขอันนั้นเป็นสุขสำคัญ สุขอื่นสู้ไม่ได้

หลวงปู่สด จนฺทสโร

แชร์เลย

Comments

comments

Share: