เรื่องราวของจักรวาล และ ภพภูมิต่างๆ

Adisorn Kumdiyu 23 กุมภาพันธ์ 2023  ·ปกิณกะธรรม อ่านสนุกๆ ธรรมทาน 🙏🏻

เรื่องราวของจักรวาล และ ภพภูมิต่างๆ 🏔️🌌🌏

ตามหลักพระพุทธศาสนา+วิทยาศาสตร์ (และเรื่องอจินไตย)

ตามหนังสือตำราของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ท่านได้อธิบายถึงแผนที่จักรวาลในหนึ่งจักรวาลว่าประกอบไปด้วย

1.เขาพระสุเมรุ เป็นเขาที่สูง 84,000 โยชน์ กว้าง 84,000 โยชน์

2.ปุพพวิเทหทวีป ทวีปใหญ่ที่อยู่ตรงกับไหล่เขาพระสุเมรุทางด้านทิศตะวันออก กว้าง 2,740,000 โยชน์ มีพื้นเป็นเงิน แสงสีเงินสะท้อนไปยังทวีปซีกนั้น

3.ชมพูทวีป ทวีปใหญ่ที่อยู่ตรงกับไหล่เขาพระสุเมรุทางด้านทิศใต้ กว้าง 2,740,000 โยชน์ มีพื้นเป็นมรกต แสงสีเขียวสะท้อนไปยังทวีปซีกนั้น

4.อปรโคยานทวีป ทวีปใหญ่ที่อยู่ตรงกับไหล่เขาพระสุเมรุทางด้านทิศตะวันตก กว้าง 2,740,000 โยชน์ มีพื้นเป็นแก้วผลึก แสงใสๆ สะท้อนไปยังทวีปซีกนั้น

5.อุตตรกุรุทวีป ทวีปใหญ่ที่อยู่ตรงกับไหล่เขาพระสุเมรุทางด้านทิศเหนือ กว้าง 2,740,000 โยชน์ มีพื้นเป็นทองคำ แสงสีทองสะท้อนไปยังทวีปซีกนั้น

6.ทวีปเล็ก ซึ่งเป็นบริวารของทวีปใหญ่ทั้ง 4 ทวีป โดยทวีปเล็กด้านหนึ่งมี 125 ทวีป เมื่อรวม 4 ด้านของทวีปใหญ่เป็นทวีปเล็กบริวารจำนวน 500 ทวีป แล้วรวมทวีปใหญ่ทั้ง 4 ด้าน ด้านละ 500 ทวีป สรุปทวีปเล็กเป็นบริวารรวมทั้งหมด 2,000 ทวีป

7.ทวีปทั้ง 4 มีสีของต้นไม้ ใบไม้ น้ำในทะเล มหาสมุทร ท้องฟ้า ตามสีของรัตนะที่ไหล่เขาพระสุเมรุสะท้อนแสงมา และมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปเล็กนั้น ก็จะมีความเป็นอยู่ต่างๆ ที่เหมือนกับผู้คนที่อยู่ในทวีปใหญ่

8.ทวีปเล็กบริวารนั้น ใน 1 ทวีป มีความกว้าง 270,000 โยชน์

9.ระยะห่างจากเขาพระสุเมรุไปถึงทวีปเล็กไกลกัน 84,000 โยชน์

10.ตั้งแต่ทวีปเล็กถึงทวีปใหญ่ไกลกัน 84,000 โยชน์ เท่ากันทุกทวีป

11.จักรวาลนี้ วัดตัดกลางเหมือนผ่าลูกมะนาวได้ 700 อสงไขยโยชน์

12.นับเขาพระสุเมรุได้ 700 อสงไขย 4 ด้าน คือ ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านขวา ด้านซ้าย ของเขาพระสุเมรุจักรวาลนี้ได้ 2,800 อสงไขยเขา

13.เขาพระสุเมรุนั้น ตั้งอยู่ตรงกันเรียงแถวยืดยาวออกไป เป็นแนวเดียวกันทั้ง 4 ด้าน ด้านละแนว แนวละ 700 อสงไขยเขา (เอาเขาพระสุเมรุจักรวาลนี้เป็นหลัก)

14.แปลนแผนที่จักรวาลนี้เป็นฉันใด แปลนแผนที่จักรวาลอื่นก็ดี แปลนแผนที่นิพพานก็ดี ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ อบายภพ นรก และโลกันตร์ก็ดี ล้วนมีแปลนแผนที่เป็นแบบเดียวกันหมด ไม่ผิดแปลกจากกันเลย

15.ขอบจักรวาล 1 จักรวาลนั้น มีภูเขาล้อมรอบเป็นขอบเขต และจักรวาล 1 จักรวาลนั้น ตั้งอยู่ใกล้กันบ้าง ไกลกันบ้าง และความว่าง (สุญญตา) ระหว่างจักรวาล 1 จักรวาลนั้น จะมีแต่อากาศที่เป็นหมอกเต็มไปหมด

16.ในจักรวาลแต่ละ 1 จักรวาลนั้น ก็จะมีมนุษย์ สวรรค์ นิพพาน กามภพ รูปภพ อรูปภพ อบายภพ นรก และโลกันตร์ กล่าวคือ มีเหมือนกันทุกประการ

จักรวาลมีสัณฐานกลม มีภูเขาเป็นเขตล้อมรอบ โดยภายในจักรวาลมีนิพพานอยู่ส่วนเบื้องบน เบื้องกลาง คือ ภพสาม สำหรับเบื้องล่าง คือ โลกันตร์ เป็นราก

นิพพานมีลักษณะสัณฐานกลมดังลูกกระสุน โดยรอบนอกก้อนกลมนั้น เป็นอากาศว่างสะอาดและละเอียดบริสุทธิ์ กล่าวคือ ก้อนกลมนั้นลอยอยู่กับอากาศ และมีอากาศที่สะอาดละเอียดรองรับอยู่

ภายในก้อนกลมนั้น เป็นเมืองนิพพาน เป็นที่เสด็จประทับอยู่ของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย ซึ่งมีมากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้งสี่

โดยมหาสมุทรทั้ง 4 นั้น ไม่ใช่มหาสมุทรที่อยู่บนโลก หากแต่เป็นมหาสมุทรทั้ง 4 แห่งจักรวาล อันประจำอยู่ในทวีปใหญ่ทั้ง 4 ได้แก่

๑.ขีรสาคร มหาสมุทรสีเงิน

(ปุพพวิเทหทวีป)

๒.ผลึกสาคร มหาสมุทรสีแก้วผลึก

(อปรโคยานทวีป)

๓.ปิตสาคร มหาสมุทรสีทอง

(อุตตรกุรุทวีป)

๔.นิลสาคร มหาสมุทรสีน้ำเงินแกมเขียว

(ชมพูทวีป)

สำหรับภพสามนั้นมีอรูปภพเป็นที่สุดอยู่เบื้องบน และมีอเวจีเป็นที่สุดอยู่เบื้องล่าง ส่วนโลกันตร์นั้น จะอยู่นอกภพสามตั้งแต่ขอบล่างจักรวาลนี้ออกไป เป็นที่รองรับสัตว์ที่ประกอบกรรมชั่วที่สุด ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิอย่างแรงกล้า แม้แต่อเวจีก็ไม่สามารถจะรองรับไว้ได้ เมื่อตายลงจึงถูกอายตนะโลกันตร์นี้ดึงดูดไป เป็นภพที่อยู่ขอบล่างสุดของจักรวาล กล่าวคือ อยู่ระหว่างล่างที่สุดของจักรวาลทั้งหลาย มีลักษณะที่มืดมิด มองไม่เห็นกัน

สัตว์โลกันตร์พวกนี้เกิดจากการกระทำกรรมหนัก เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วก็ทำผิดระดับหนักๆ เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างแรงกล้า เช่น พวกสัสสตทิฏฐิที่เห็นผิดว่าโลกเที่ยง หรือพวกอุจเฉททิฏฐิที่เห็นผิดว่าโลกสูญ เป็นต้น พอตายจากกายมนุษย์ไปก็มาอยู่ที่นี่ กล่าวได้ว่า กว่าจะได้มาผุดมาเกิดในภพสามนี้อีก ก็ลืมกันได้เลยทีเดียว

อย่างดีก็แค่มาเกิดเป็นสัตว์ชั้นต่ำ สัตว์เซลล์เดียว เช่น พวกไฮดรา อะมีบา พวกเชื้อโรค พวกไวรัสต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเจ้าพวกนี้ส่วนมากมาจากโลกันตร์ทั้งสิ้น และถ้าร้ายกาจไปกว่านั้น ก็จะไปเป็นธาตุธรรมของภาคดำที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับภาคขาว

สำหรับจักรวาลนี้ที่โลกมนุษย์เราตั้งอยู่ในปัจจุบันนี้ชื่อว่ามงคลจักรวาล อันเป็นจักรวาลเดียวที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

ในมงคลจักรวาลนี้ เป็นเสมือนแกนกลาง แล้วก็ยังมีจักรวาลอื่นๆ ที่ล้อมรอบอยู่โดยรอบ เรียกว่าแสนโกฏิจักรวาล แสนโกฏิจักรวาลนี้ก็นับจากศูนย์กลางของมงคลจักรวาล โดยรัศมีออกไปถึงแสนโกฏิจักรวาล นี่ส่วนหนึ่ง แล้วเลยไปอีกเรียกว่าอนันตจักรวาล

สองส่วนนี้มีความแตกต่างกัน คือ มีความแตกต่างกันในข้อที่ว่า เมื่อเกิดกัปวินาศด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในยุคที่เรียกว่าสังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป โลกถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นกามภพขึ้นไปถึงรูปภพชั้นสุภกิณหาภูมิ ก็ล้วนถูกทำลายด้วยกันทั้งแสนโกฏิจักรวาล แต่จะไม่เลยไปถึงอนันตจักรวาล แต่ในเขตแสนโกฏิจักรวาลจะโดนไปด้วยกัน

ซึ่งในแสนโกฏิจักรวาลก็มีสภาวะความเป็นไปของสัตว์โลกที่คล้ายๆ กัน คือ มีครบทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ เหมือนกัน มีมนุษย์ มีเทวดา มีพรหม มีอรูปพรหม เหมือนกัน แต่พระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติเฉพาะที่มงคลจักรวาลนี้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเราทั้งหลายนับว่ามีบุญบารมีพอสมควร ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาในมงคลจักรวาลนี้

จักรวาล 1 จักรวาลนั้น โดยเฉพาะมงคลจักรวาลนี้ มีเขาพระสุเมรุตั้งอยู่เป็นแกนกลาง บนยอดเขาพระสุเมรุเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนครแห่งเทพที่ชื่อนครไตรตรึงษ์ มีท้าวสักกะหรือพระอินทร์เป็นผู้ปกครองทำหน้าที่เป็นเทวราชผู้อภิบาลโลกและพิทักษ์คุณธรรมให้แก่มนุษย์ ที่อยู่ของพระอินทร์เรียกว่าไพชยนต์มหาปราสาท ตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานแท่นบัณฑุกัมพล อันเป็นทิพยอาสน์ และใต้เขาพระสุเมรุลงไปอีกจะเป็นที่อยู่ของอสูร เรียกว่าอสุรกาย โดยอสูรมีอยู่ 3 ประเภท คือ

1.เทวอสุรา ได้แก่ เทวดาอสูร คือ อสูรที่เป็นเทวดา

2.เปตติอสุรา ได้แก่ เปรตอสูร คือ อสูรที่เป็นเปรต

3.นิรยอสุรา ได้แก่ นิรยอสูร คือ อสูรที่เป็นสัตว์นรก

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของทิพย์ ทั้งเขาพระสุเมรุทั้งภพภูมิพวกนี้ล้วนเป็นของทิพย์ คือ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าของมนุษย์ มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนหลัก มีความกว้างยาวลึก 168,000 โยชน์ ตั้งอยู่เป็นแกนกลางจักรวาล แล้วก็จมลงไปในมหาสมุทรสีทันดรที่ล้อมรอบอยู่อีกครึ่งหนึ่ง เหลือ 84,000 โยชน์

มหาสมุทรสีทันดรกินเขตแล้วห่างออกไปอีกครึ่งหนึ่ง คือ 84,000 โยชน์ ก็จะเป็นภูเขาล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง ชื่อ เขายุคันธร แล้วก็มีน้ำล้อมรอบลดหลั่นลงไป แล้วก็มีเทือกเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุ ล้อมเป็นชั้นๆ ไป

ชั้นแรกก็เขายุคันธร ห่างออกจากเขาพระสุเมรุ 84,000 โยชน์ แล้วก็จมลงไปในมหาสมุทรสีทันดรอีกครึ่งหนึ่ง แล้วต่อไป ก็มีมหาสมุทรสีทันดรอีก ก็ล้อมรอบอีกชั้นหนึ่งไปอีกครึ่งหนึ่ง ก็จะมีภูเขาต่อๆ ไป เช่น เขาอิสินธร เขากรวิก เขาสุทัศนะ เขาเนมินธร เขาวินันตกะ และเขาอัสกัณ ไปเจ็ดชั้นรวมเรียกว่าสัตบริภัณฑ์ โดยมีเทพจาตุมหาราชิกาและบริวารสถิตอยู่

ภูเขาที่เป็นเทือกเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุในจักรวาลนั้น จะลดหลั่นกันไปครึ่งหนึ่งกับอีกครึ่งหนึ่ง และในแต่ละเทือกเขานั้น ก็จะจมลงไปในมหาสมุทรสีทันดรอีกครึ่งหนึ่งกับอีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้ว่าแม้แต่ระดับน้ำในมหาสมุทรก็ลดลงในแต่ละส่วนของเทือกเขา

แล้วไปจนถึงเขาอัสกัณสุดท้าย ใกล้กับขอบจักรวาล ตรงนี้เป็นผืนแผ่นดิน ซึ่งมีอยู่โดยรอบ ในส่วนทางด้านทิศใต้ชื่อว่าชมพูทวีป คือ โลกมนุษย์ของเรานี้เอง

แล้วทางด้านทิศตะวันออกเป็นปุพพวิเทหทวีป ทางด้านทิศเหนือเป็นอุตตรกุรุทวีป ทางด้านทิศตะวันตกก็เป็นอปรโคยานทวีป และทวีปทั้ง 4 ก็มีน้ำล้อมรอบ มีทะเลน้ำเค็มเหมือนกันหมด

มนุษย์ที่อยู่ในชมพูทวีปอย่างพวกเรานี้ มีหน้ารูปไข่ ส่วนมนุษย์ในปุพพวิเทหทวีป มีหน้าทรงกลม มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป มีหน้ารูปสี่เหลี่ยม และมนุษย์ในอปรโคยานทวีป มีหน้าครึ่งวงกลม

มนุษย์ชาวชมพูทวีปในยุคพระโคตมพุทธเจ้ามีร่างกายสูงใหญ่ประมาณ 4 ศอก (2 เมตร) ซึ่งสามารถลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ ส่วนอายุขัยของมนุษย์ชาวชมพูทวีปอาจยาวหรือสั้นก็ได้เช่นเดียวกัน เพราะเหตุที่บางครั้ง มนุษย์ชาวชมพูทวีปทั้งหลายบางทีมีศีลธรรม บางทีไม่มี ถ้ามนุษย์ทั้งหลายมีศีลธรรม ย่อมกระทำบุญและปฏิบัติธรรม ยำเกรงผู้อาวุโส บิดามารดา และสมณพราหมณาจารย์ อายุของมนุษย์เหล่านั้นจะยาวขึ้นๆ ส่วนมนุษย์ที่ไม่ได้จำศีล ไม่ได้ทำบุญ ไม่ยำเกรงผู้อาวุโส บิดามารดา สมณพราหมณ์อุปัชฌาย์อาจารย์นั้น อายุของคนเหล่านั้นจะสั้นลงๆ เพราะเหตุดังกล่าว ทำให้อายุขัยของมนุษย์ในชมพูทวีปนี้จึงกำหนดตายตัวไม่ได้

แต่ถ้าจะให้สรุปอายุขัยของมนุษย์ชาวชมพูทวีปอย่างตายตัว ก็ขอกล่าวง่ายๆ ว่า อายุขัยของมนุษย์ในชมพูทวีปสูงสุด คือ 1 อสงไขยปี ต่ำสุด คือ 10 ปี

มนุษย์ในปุพพวิเทหทวีปมีร่างกายสูงใหญ่ประมาณ 9 ศอก (4.5 เมตร) และมีอายุยืนได้ 700 ปี จึงตาย ส่วนมนุษย์ในอปรโคยานทวีปมีร่างกายสูงใหญ่ประมาณ 6 ศอก (3 เมตร) และมีอายุยืนได้ 500 ปี จึงตาย ส่วนมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปมีร่างกายสูงใหญ่ประมาณ 13 ศอก (6.5 เมตร) และมีอายุยืนได้ 1,000 ปีจึงตาย

เมื่อกล่าวโดยรวมแล้วมนุษย์ใน 3 ทวีปข้างต้น (ยกเว้นชมพูทวีป) เฉพาะแต่ละทวีป มีรูปร่าง สัณฐาน หน้าตา อยู่ในลักษณะเดียวกัน ต่างกันที่ขนาด ความได้สัดส่วน และความประณีตสวยงาม

แล้วความสวยงามของผู้คนใน 3 ทวีปนั้น ก็มีความสวยงามไม่แตกต่างกัน เนื่องจากมนุษย์โดยทั่วไป มีคุณธรรมในจิตใจเสมอเหมือนกัน มีเพียงเฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้นที่ผู้คนมีความสวยงามมากน้อยต่างกัน ตามแต่กุศลกรรมที่ตัวเองได้ทำไว้ในอดีต

โดยถ้าว่ากันจริงๆ แล้วนั้น ทวีปทั้ง 4 ในช่วงแรกที่โลกมนุษย์เจริญ หรือในช่วงที่มีมนุษย์ต้นกัปนั้น ไม่ว่ามนุษย์ในทวีปใด ก็ล้วนมีอายุถึง 1 อสงไขยปีทั้งสิ้น เพราะจิตใจของมนุษย์ในสมัยนั้นมีกิเลสเบาบาง ทำให้สิ่งแวดล้อม ดิน ฟ้า อากาศ และอาหารของมนุษย์สมบูรณ์ จึงเป็นเหตุทำให้อายุขัยมนุษย์ยืนยาว

ครั้นต่อมามนุษย์ในทวีปทั้ง 4 มีอกุศลจิตเกิดขึ้น ทำให้สิ่งแวดล้อมต่างๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงผิดปกติไปจากเดิม กล่าวคือ เมื่อหนาวก็หนาวเกิน เมื่อร้อนก็ร้อนเกิน ฝนก็ไม่ตกตามฤดูกาล คุณค่าทางอาหารก็ลดน้อยลง สิ่งเหล่านี้ทำให้อายุขัยของมนุษย์ลดลงตามลำดับ เมื่ออายุขัยลดลงถึง 1,000 ปี มนุษย์ที่อยู่ในอุตตรกุรุทวีปก็คงที่เพียงนั้น ไม่ลดลงอีก เพราะไม่มีกิเลสเพิ่มขึ้นอีก ในทำนองเดียวกัน อายุขัยของมนุษย์ที่อยู่ในปุพพวิเทหทวีปจะคงที่อายุขัยไว้ที่ 700 ปี ส่วนอปรโคยานทวีป อายุขัยของมนุษย์ทวีปนี้จะคงไว้ที่ 500 ปี โดยจะมีเพียงแต่มนุษย์ในชมพูทวีปเท่านั้น ที่อายุขัยจะยังคงลดลงเรื่อยๆ เพราะมีกิเลสแกร่งกล้าไม่สิ้นสุด และจะลดลงจนกระทั่งเหลือ 10 ปี

มนุษย์ในชมพูทวีป มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันมาก บางคนสุขสบาย บางคนลำบาก บางคนปานกลาง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคนแต่ละยุคในชมพูทวีป ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า มนุษย์ในชมพูทวีปนี้มีความแตกต่างกันมากที่สุดก็ว่าได้ในบรรดาเหล่ามนุษย์อีก 3 ทวีป

และมนุษย์โลกที่มีหน้าตาเหมือนแบบเราๆ นี้ เว้นจากอีกสามทวีปนี้ไป ก็ยังมีอีกมาก ดังนี้

ในขอบเขตจักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์และพระอาทิตย์โคจรทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ ประกอบด้วยเขาพระสุเมรุ 1 แห่ง มหาสมุทร 4 แห่ง ทวีป 4 ทวีป คือ ชมพูทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป อปรโคยานทวีป มีสวรรค์ 6 ชั้น รูปพรหม 16 ชั้น และอรูปพรหม 4 ชั้น

อันนี้คือ 1 จักรวาล และโลกธาตุมี 3 ขนาด ได้แก่

1.สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ (โลกธาตุขนาดเล็ก) มี 1,000 จักรวาล

2.ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ (โลกธาตุขนาดกลาง) มี 1,000,000 จักวาล

3.ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ (โลกธาตุขนาดใหญ่) มีแสนโกฏิจักรวาล หรือ 1,000,000,000,000 จักรวาล

ซึ่งโลกธาตุขนาดเล็กจะมีพระอาทิตย์ 1,000 พระจันทร์ 1,000 โลกแบบที่เราอยู่ (ชมพูทวีป) 1,000 เขาพระสุเมรุ 1,000 และทวีปอีก 3 ทวีป คือ อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป อปรโคยานทวีป มีมหาสมุทร 4 แห่ง มีสวรรค์ 6 ชั้น รูปพรหม 16 ชั้น และอรูปพรหม 4 ชั้น ทั้งหมดอย่างละ 1,000

ดังนั้น จักรวาลในทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเทียบกับความหมายของจักรวาลในทางพุทธศาสนาแล้วนั้น ก็เปรียบเทียบกันไม่ได้ อุปมาดั่งจงอยปากยุงที่ไม่สามารถวัดความลึกของมหาสมุทรได้

ส่วนโลกกลมๆ ที่เราอยู่นี้ ที่เดินสองขา มีสองแขน หัวตั้งอยู่บนคอเรียก “คน” หรือ “มนุษย์” ถ้ารูปร่างทำนองนี้คืออยู่ในโลกนี้ แต่ถ้าภูมิจิตต่ำไปกว่านี้ ก็มีโลกอันหนึ่งอยู่ของเขา รวมกันแบบอยู่ในโลกนี้ แต่เป็นอีกโลกหนึ่ง อยู่ในโลกเดียวกัน เช่น ภูมิจิตในระดับสัตว์เดรัจฉานก็อาศัยในโลกนี้ ทั้งในและบนแผ่นดิน ในน้ำ และในอากาศ เช่น หมู หมา กา ไก่ ช้าง ม้า วัว ควาย หลายประเภทไปจนถึงยุงอยู่ในป่า ไส้เดือนอยู่ในดิน นกบินอยู่ในท้องฟ้า ไปจนถึงวาฬที่อยู่ในมหาสมุทร เชื้อโรคจุลินทรีย์อยู่ในน้ำครำน้ำสกปรก และจุลินทรีย์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ นี่โลกของเขาเรียกว่าโลกของสัตว์เดรัจฉาน แต่ว่าภูมิจิตต่ำแตกต่างกันไปนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เปรตก็อาศัยอยู่ในโลกนี้เหมือนกัน แต่ว่าเรามองไม่เห็น เปรตนั้นมีจริงและมีเยอะด้วย ถ้าเข้าถึงธรรมกายแล้วจะได้ดูได้รู้ว่าเปรตเป็นอย่างไร

ซึ่ง “เปรต” (Preta) นี้เป็นเผ่าพันธุ์อมนุษย์ที่พุทธอุตรนิกายจัดให้อยู่ในการปกครองของท้าววิรุฬหก โดยสามารถเรียกในภาษาตะวันตกได้ว่า “อันเดด” (Undead)

พวกเปรตมีหลายประเภท และความเป็นอยู่ของเปรตแต่ละจำพวกก็แตกต่างกันตามอกุศลกรรมที่ตนได้สร้างเอาไว้ โดยบางพวกมีตัวใหญ่โตน่ากลัว บางพวกตัวเล็กเท่ามนุษย์ บางพวกอดข้าวอดน้ำ บางพวกต้องไปหากินเศษอาหารที่ชาวบ้านทิ้งไว้ตามที่โสโครก บางพวกกินเสมหะ นํ้าลาย อุจจาระ ส่วนเปรตบางพวกอาศัยอยู่ตามภูเขา บางพวกถูกขังไว้ก็มี หรือบางพวกหยิบอาวุธเข้าต่อสู้ประหัตประหารกันก็มี เช่น อาวุธิกเปรต เป็นต้น

ส่วนสิ่งมีชีวิตหรือเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่อีกมิติ เช่น “ภูต” (Bhuta) อมนุษย์แห่งธรรมชาติในตำนานตะวันออกอย่างพวกภุมเทวดา อารามเทวดา รุกขเทวดา ติณเทวดา วนเทวดา นทีเทวดา อากาศเทวดา ฯลฯ ก็คือ “แฟรี่” (Fairy) ในตำนานตะวันตก

นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกมากมายหลายเผ่าพันธุ์ที่มีอยู่ในตำนานทั่วทั้งโลก อย่างกุมภัณฑ์ (Kumbhanda) ก็คือ “โอเกอร์” (Ogre)

“รากษส” (Rakshasa) คือ “โทรลล์” (Troll) ส่วน “ยักษ์” (Yaksha) คือ “ไจแอนต์” (Giant) “หุ่นพยนต์” (Vyanta) คือ “โกเลม” (Golem)

“วิทยาธร” (Vidyadhara) คือ “วิซาร์ด” (Wizard) “วิทยาธรี” (Vidyadhari) คือ “วิช” (Witch) และ “นักสิทธิ์” (Siddha) คือ “ซอเซอเรอร์” (Socerer) โดยภาษาจีนเรียกนักสิทธิ์ว่า “เซียน” (仙)

“พมน” (Vamana) คือ “ดวอฟ” (Dwarf) “ม้าพลาหก” (Valahaka) คือ “ม้าเพกาซัส” (Pegasus) “ปีศาจ” (Pishaca) คือ “เดวิล” (Devil)

“ครุฑ” (Garuda) คือ “กริฟฟิน” (Griffin) “นกการเวก” (Karavika) คือ “นกฟีนิกซ์” (Phoenix) ไทยนำมาทำเป็นตราสัญลักษณ์ของธนาคารกรุงไทย

“นาค” (Naga) คือ “ดรากอน” (Dragon) อย่างนันโทปนันท์นาคราชที่เข้าต่อสู้กับพระโมคคัลลานะ สามารถเรียกในภาษาอังกฤษได้ว่า The Dragon King Nandopananda

“มังกร” (Makara) คือ “แคปริคอร์น” (Capricorn) ส่วน “กอร์กอน” (Gorgon) ของตำนานกรีกนั้น ในภาษาพุทธเรียกว่า “มโหราค” (Mahoraga) อย่างเมดูซา (Medusa) นางก็คือ Gorgon หรือ Mahoraga นั่นเอง โดยเรียกอีกแบบตามภาษาอังกฤษปัจจุบันได้ว่า Reptilian

“คนธรรพ์” (Gandharva) คือ “เอลฟ์” (Elf) และ “กินนร” (Kinnara) คือ “ครึ่งคนครึ่งสัตว์” (Half-Human, Half-Beast)

ตรงนี้ หลายคนมักจะรู้จักกินนรในรูปแบบตัวเป็นคนท่อนล่างเป็นนก (ยุโรปเรียกว่า Harpy) แต่ความจริงแล้วกินนรนั้นมีหลายชนิดมาก กล่าวคือ ถ้าสัตว์หิมพานต์ใดมีร่างกายบางส่วนเป็นมนุษย์อันชวนให้เกิดความฉงนใจว่านี่เป็นคนหรือเปล่า เราก็เรียกว่ากินนรทั้งสิ้น โดยบางชนิดก็อาจมีชื่อเรียกแยกย่อยต่างหากออกไปอีก เช่น นรสิงห์ (Narasimha) ที่ยุโรปเรียกว่า “สฟิงซ์” (Sphinx) หรืออย่าง “วานรินทร์” (Vanarinda) ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Monkey King” ภาษาจีนเรียก “孫悟空” (Sūn Wùkōng) ก็เป็นหนึ่งในประเภทกินนรเช่นกัน เป็นต้น

ลิงก์หลักฐานกินนรประเภทมฤค (Satyr) ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกบาลี

https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=27…

สำหรับ “ดาวดึงส์” (Tavatimsa) ก็คือ “โอลิมปัส” (Olympus) ในตำนานกรีก เป็น “แอสการ์ด” (Asgard) ในตำนานนอร์ส และคือ “นิบิรุ” (Nibiru) ในตำนานสุเมเรียน (ไม่ได้เป็นมนุษย์ต่างดาวอะไรทั้งสิ้น เป็นเทพเป็นทิพย์ล้วนๆ)

ในศาสนานอร์ส (Norse) ต้นไม้อิกดราซิล-เขาพระสุเมรุ (Yggdrasil-Sumeru) หรือต้นไม้แกนกลางจักรวาลที่คอยเชื่อมโยงโลก (ภพภูมิ) ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน มีภพภูมิของเหล่าทวยเทพอยู่ 2 วงศ์ด้วยกัน โดยเทพทั้งสองพวกนี้ทำสงครามสู้รบกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ คือ “เอซีร์” (Aesir) กับ “วานีร์” (Vanir)

ซึ่งคำว่า “Aesir” (เอซีร์) มีรากคำเดียวกับ “Asura” (อสูร) ในภาษาบาลี-สันสกฤต

ส่วนคำว่า “Vanir” (วานีร์) ก็มีรากคำเดียวกับ “Deva” (เทพ) ในภาษาบาลี-สันสกฤต

กล่าวคือ เทพทั้งสองวงศ์นี้ Aesir-Vanir และ Deva-Asura มีอำนาจเท่ากันหรือศักดิ์เสมอกัน หรืออธิบายตามหลักพุทธศาสนาของเราแบบง่ายๆ ก็คือ อสูรมีบรรดาศักดิ์และอำนาจทัดเทียมเสมอกับเทพดาวดึงส์นั่นเอง เราจึงมักอ่านเห็นอสูรแห่งเขาตรีกูฏยกกองทัพขึ้นไปทำสงครามกับเทพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่บ่อยๆ ในพระไตรปิฎก

ต่อมา เป็นเรื่องเล่าจากเด็กน้อยผู้ได้ธรรมกายแล้วไปท่องเที่ยวอวกาศ ในเว็บบอร์ด Dhammakaya.org

เรื่องมีอยู่ว่า มีครูคนหนึ่งนึกอยากสอนนักเรียนนั่งสมาธิ ก็สอนพื้นฐานไล่ฐานทั้ง 7 แต่นิมิตให้เห็นเป็นดวงดาวกับน้อง ป.6 คนหนึ่ง ซึ่งน้องเขาฝึกอยู่เดือนเดียวก็เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด (กายที่ 2 ใน 18 กาย) จนสามารถพูดคุยกับกายมนุษย์ละเอียดได้คล่องแคล่ว และไม่นานก็เข้าถึงกายทิพย์ (กายที่ 3 ใน 18 กาย) เมื่อถึงระดับนี้ครูคนนั้นจึงอยากรู้เรื่องราวจักรวาลและมนุษย์ต่างดาว จึงขอให้น้องเขาช่วยตรวจดู เริ่มจากดาวศุกร์ น้องก็เข้าสมาธิไปด้วยกายมนุษย์ละเอียด (กายที่ 2) ปรากฏว่าพื้นดินที่ดาวศุกร์นี้ไม่เสถียร คือ บางแห่งนึกจะยุบก็ยุบเอาดื้อๆ ไม่มีกายหยาบอาศัยอยู่

ต่อมาจึงลองให้มาดาวอังคาร น้องบอกว่าภายนอกของดาวอังคารมีบรรยากาศเบาบางเป็นสีส้ม แต่จะมีจุดหนึ่งสามารถลงไปยังใต้ดินได้ ซึ่งลึกประมาณ 10 กิโลเมตร โดยข้างในเป็นเมืองที่กว้างใหญ่เท่าๆ ทวีปเอเชีย มีความ Hi-Tech มีตึกรามบ้านช่อง มีป้ายโฆษณา มีออฟฟิศ มีห้างสรรพสินค้า แต่หน้าตาชาวดาวอังคารไม่เหมือนเรา คือ ตาโต ปากเล็ก มีสามนิ้ว สูงประมาณ 2-2.3 เมตร มีเครื่องแต่งกายใกล้เคียงกับชาวโลกเรา นักธุรกิจก็มี ทหารก็มี วัยรุ่นจับกลุ่มกินฟาสฟู้ดในห้างก็มี ที่นาวิกโยธิน ฐานยานบินทุกลำจะมีเครื่องยิงรูหนอน เพื่อย่นเวลาการเคลื่อนที่ในอวกาศ

โดยสรุปคือคล้ายโลกเราทุกอย่าง แต่เทคโนโลยีก้าวล้ำกว่าเรา น้องบอกว่าการไปด้วยกายมนุษย์ละเอียดนั้นเห็นอะไรชัดกว่าตามนุษย์หยาบมาก อยากมองอะไรไกลๆ ภาพจะซูมเข้ามาใกล้อัตโนมัติ เมื่ออ่านตัวหนังสือของชาวดาวอังคาร ก็สามารถเข้าใจได้เลยว่าเขาเขียนว่าอะไร ตอนน้องเดินไปในเมืองดาวอังคาร ไม่มีใครมองเห็นน้อง และน้องสามารถเดินทะลุตัวคนและตึกรามบ้านช่องไปได้สบายๆ

ส่วนอุตตรกุรุทวีป อปรโคยานทวีป และปุพพวิเทหทวีป ก็เคยให้น้องตรวจดู น้องก็บอกว่าเป็นกายหยาบเหมือนอย่างมนุษย์โลกเรา หน้าตาก็เหมือนชาวโลกเราแต่โครงหน้าจะเป็นสี่เหลี่ยมคล้ายทักษิณ (อันนี้น้องยกตัวอย่างเอง) หรือครึ่งวงกลม หรือเป็นวงกลมๆ น้องบอกหน้าครึ่งวงกลมดูดีสุด คือคางเขาจะแหลมๆ คล้ายสามเหลี่ยม ส่วนเทคโนโลยีความเป็นอยู่ก็ใกล้เคียงกับโลกเรา แต่จิตใจจะดีกว่าเยอะมาก (จบ)

ในตำนานกัมมาสธัมมะ พระอรรถกถาจารย์แต่โบราณได้เล่าเอาไว้ว่า อดีตกาลนานมาแล้วในยุคสมัยของพระเจ้าจักรพรรดิมันธาตุ ชาวปุพพวิเทหะ ชาวอปรโคยานะ และชาวอุตตรกุรุ รู้กันดีว่า ชมพูทวีปนี้เป็นโลกที่อุดมสมบูรณ์ เป็นสถานที่เกิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ จึงขอพระเจ้าจักรพรรดิมันธาตุมาอยู่อาศัยที่ชมพูทวีป

ผู้ที่ตามมาจากปุพพวิเทหะ อปรโคยานะ และอุตตรกุรุ ไม่รู้จะไปอยู่ที่แห่งใด จึงเข้าไปหาขุนพลแก้วเอ่ยปากขอที่อาศัย ขุนพลแก้วจึงบอกให้คนเหล่านั้นแยกไปอยู่ตามชนบทต่างๆ

ผู้อพยพจากปุพพวิเทหทวีปไปอยู่ในวิเทหรัฐ ผู้อพยพจากอปรโคยานทวีปไปอยู่ในอปรันตชนบท ผู้อพยพจากอุตตรกุรุทวีปไปอยู่ในแคว้นกุรุ

ซึ่งตำนานนี้พระครูวิลาศกาญจนธรรม (เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี ได้เคยมีโยมมาปุจฉาและท่านก็วิสัชนาไปว่า

ถาม : เคยเจอมนุษย์ต่างดาวไหมคะ

ตอบ : ถามว่าเคยเจอมนุษย์ต่างดาวไหม บอกได้ว่าไม่เพียงแต่อาตมาที่เคยเจอเท่านั้น โยมทุกคนก็ต้องเคยเจอมาแล้ว เพียงแต่บางทีไม่รู้ว่าเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว พระพุทธเจ้าของเราก็มีเชื้อสายมนุษย์ต่างดาว

ถาม : อย่างนี้ต้องอธิบายยาวแล้วค่ะ

ตอบ : คือว่าในช่วงที่โลกมีพระเจ้าจักรพรรดิอยู่ โดยธรรมเนียมแล้วต้องปราบได้ในทวีปทั้ง 4 ทวีปทั้ง 4 ก็คือบรรดาดาวต่างๆ นี้เอง เมื่อปราบในทวีปทั้ง 4 ได้แล้ว ก็จะนำเอาประชากรของทวีปนั้นๆ มา เพื่อเป็นการแสดงออกถึงพระราชอำนาจ ท่านก็จะกวาดต้อนคนจำนวนหนึ่งมาไว้ในโลกมนุษย์นี้

พวกอุตตรกุรุทวีปนี้เขาก็จะอยู่ที่กัมมาสะธัมมะนิคมในแคว้นกุรุเคยได้ยินใช่ไหม ต้นกำเนิดของมหาสติปัฏฐานสูตรเลย พวกอปรโคยานทวีปจะอยู่ที่เมืองอมรปุระ พวกปุพพวิเทหทวีปจะอยู่ที่เมืองเทวทหะ เทวทหะนี่เป็นเมืองแม่พระพุทธเจ้าใช่ไหม แปลว่าพระพุทธเจ้าท่านมีเชื้อสายมาจากมนุษย์ต่างดาว เพราะเทวทหะเป็นเมืองแม่ของท่าน มนุษย์ต่างดาวเดินอยู่รอบตัวเลยจ้ะ ไม่ได้รู้เรื่องเลย

ถาม : แล้วมนุษย์ต่างดาวนี่ไม่ใช่แบบหัวโตๆ ตัวเล็กๆ แบบที่ในโทรทัศน์

ตอบ : ถ้าหากว่าคุณใส่หมวกกันน็อกไปให้เขาเห็น เขาจะว่าคุณหัวกลมเหม่งแล้วก็มีลูกตากลมๆ ใหญ่ๆ

เครื่องแต่งกายของเขาจ้ะ เราเองเห็นบางทีก็ว่าไม่ตรงเหมือนกัน ลักษณะหน้าตารูปร่างของเขาคล้ายของเรา ส่วนใหญ่จะสวยกว่าทั้งนั้น ที่เราเห็นนั่นคือชุดท่องอวกาศของเขานี่แหละ

ถาม : แล้วชาวโลกแท้หน้าตาเป็นอย่างไรครับ

ตอบ : ชาวโลกแท้มีเขาจ้ะ …(หัวเราะ)… จำได้ไหมโฆษณาปุ๋ยไข่มุกชาวโลกแท้ต้องมีเขาจ้ะ

ชมพูทวีปของเราหน้าเป็นรูปไข่ แต่เขาบอกว่าเหมือนลูกหว้า หน้าทรงรีๆ

หลวงพ่อเล็กยังกล่าวต่ออีกว่า มีใครรู้จักปุพพวิเทหทวีปบ้าง ชาวปุพพวิเทหทวีปมีใบหน้าเหมือนจันทร์เสี้ยว ก็คือลักษณะคางแหลมๆ จมูกแหลมๆ เหมือนอย่างกับแม่มณีทุกวันนี้ ก็คือถ้าตอนนี้ชาวปุพพวิเทหทวีปท่านมาเที่ยวบ้านเรา (ประเทศไทย) ก็จะสงสัยว่าทำไมเชื้อสายตัวเองมีเยอะแท้

คราวนี้ในเรื่องของมนุษย์ทั้ง 4 ทวีป อยู่ปะปนกันมาตั้งแต่โบราณเลย ในเมื่อ 4 เชื้อสายนี้ปะปนกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ใครอยากรู้ว่าดีเอ็นเอของตัวเองมีเชื้อสายดวงดาวไหน ก็สังเกตคร่าวๆ ดู ถ้าไม่ได้ไปทุบหน้ามาก็พอดูได้ ถ้าไปทุบหน้ามาแล้วก็ดูไม่ออก สมัยนี้พอทุบหน้าแล้วตกแต่งเพิ่มหน่อย ก็ออกมาเป็นเชื้อสายของปุพพวิเทหทวีปไปหมด เพียงแต่ว่าของเขาสวยตามธรรมชาติ ส่วนของเราสวยด้วยมีดหมอ จึงดูหลอกตา ดูอย่างไรก็ดูไม่ดี

หลักธรรมหลายอย่างในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนทั่วๆ ไป แต่ว่าสอนเฉพาะบุคคล สอนเฉพาะสถานที่นั้น อย่างเช่นมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าสอนชาวกัมมาสธัมมะนิคมแคว้นกุรุ (ชาวอุตตรกุรุ) ไม่ได้สอนคนทั่วไป

ชาวกัมมาสธัมมะนิคมแคว้นกุรุนั้น มีความฉลาดมาก สนทนาในเรื่องหลักธรรมกันทั้งวัน ขนาดนกแขกเต้าที่ภิกษุณีเลี้ยงไว้โดนเหยี่ยวโฉบไป นางภิกษุณีกระโดดปรบมือร้องเสียงดัง เหยี่ยวตกใจปล่อยนกแขกเต้าคืนมา นกแขกเต้าถ้าเราไม่รู้จัก โบราณเขาเรียกว่านกแก้วหัวแพร เป็นนกพูดได้ นางภิกษุณีถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง นกแขกเต้าบอกว่า รู้สึกเหมือนร่างกระดูกกำลังจะเอาร่างกระดูกไปกิน นั่นขนาดนกยังทรงอัฏฐิกอสุภกรรมฐานเป็นปกติ แล้วชาวบ้านเขาจะขนาดไหน

เหตุที่ชาวบ้านประกอบไปด้วยความฉลาดขนาดนั้น เพราะว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่คนทั่วๆ ไป ในสมัยที่โลกมีพระเจ้าจักรพรรดิราช จะต้องแสดงพระราชอำนาจด้วยการปราบทวีปทั้ง 4 นั่นคือโลกที่เราอยู่ซึ่งเรียกว่าชมพูทวีปและโลกอื่น เพราะฉะนั้น ในเมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมสอนมนุษย์ต่างดาวที่ฉลาดมาก เทคโนโลยีล้ำหน้าเราไปเป็นแสนๆ ปี ถ้าหากเราไปอ่านมหาสติปัฏฐานสูตรเราก็จะได้แค่บรรพแรกๆ อย่างกายในกาย เช่น อานาปานสติ อิริยาบถ สัมปชัญญะ พอไปถึงเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เราก็ไปกันไม่เป็นแล้ว ความฉลาดไม่พอ หัวสมองมีความจุแรมน้อยไปหน่อย

ในธรรมะแปดหมื่นพระธรรมขันธ์ มีหลายส่วนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเฉพาะ อย่างพระมหาสติปัฏฐาน ท่านก็สอนแต่เฉพาะชาวกุรุ ชาวกุรุมีพื้นฐานมาจากอุตตรกุรุทวีป ซึ่งมาจากต่างดาว พวกเขามีความฉลาดมาก ซึ่งถ้าใครไปศึกษาในมหาสติปัฏฐานหมวดท้ายๆ ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติมาอย่างช่ำชอง จะปฏิบัติได้ยากมาก เรียกได้ว่าเกาะไม่ติดเลย แสดงว่าเราฉลาดสู้มนุษย์ต่างดาวไม่ได้

ในเมื่อเขามีความฉลาดมากพระพุทธเจ้าก็เทศน์ธรรมะที่เหมาะแก่จริต เหมาะแก่อัธยาศัยที่เขามีอยู่ในช่วงนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติมาในระดับที่เข้าใจในจุดนั้น ปฏิบัติไปก็ไม่รู้เรื่อง

ที่พระพุทธเจ้าท่านจำเป็นต้องสอนตั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ ก็เพราะเป็นไปตามจริตของผู้ฟัง ในเมื่อเป็นไปตามจริตของผู้ฟัง ก็แปลว่าถึงจะเหมาะกับบุคคลประเภทหนึ่ง ก็ไม่แน่ว่าจะเหมาะกับบุคคลอีกประเภทหนึ่ง อย่างมหาสติปัฏฐานสูตร อาตมาว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนมนุษย์ต่างดาว คนก็ว่าพระอาจารย์เล็กเพี้ยน

เราจะสังเกตว่าพอกล่าวถึงกายในกาย เราก็ได้อานาปานบรรพ คือลมหายใจเข้าออก กิริยาบถบรรพ สัมปชัญญบรรพ พวกนี้พอแตะถึง แต่พอไปถึงเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม บางคนไปไม่เป็นเลย ก็เพราะท่านสอนเฉพาะชาวกุรุ เราเอาแค่อานาปานบรรพ คือลมหายใจเข้าออกก็พอแล้ว เพราะว่าทุกบรรพหรือว่าทุกตอน แต่ละตอนพระองค์ท่านลงท้ายจุดจบไว้ให้หมดแล้ว ทำจบก็เป็นพระอรหันต์ได้

นอกจากนี้ หลวงพ่อเล็กยังกล่าวถึงเรื่องปฏิทินว่า ถ้าว่ากันตามหลักฐานที่ค้นพบแล้ว ปฏิทินเป็นสิ่งที่ชาวมายาซึ่งเป็นชนเผ่าโบราณในอเมริกากลางคิดค้นขึ้นมาได้ก่อน

พวกชาวมายากับพวกชาวแอซเท็กเป็นอารยธรรมที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา แล้วอยู่ๆ ก็สูญไป จนกระทั่งเขาเชื่อว่าความเจริญต่างๆ เป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวมาแนะนำให้ เพราะว่าหลายอย่างไม่ใช่สิ่งที่ภูมิปัญญาของคนโบราณยุคนั้นจะคิดได้

อย่างเช่น ระบบประปาบนภูเขาที่มาชูปิกชู เมืองบนภูเขาแต่มีระบบประปา แต่คราวนี้วิทยาศาสตร์เขาไม่รู้ว่าต่างดาวมีมนุษย์อยู่เป็นปกติอยู่แล้ว เขาจึงพยายามอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ให้ออกมาในลักษณะที่สามารถจับต้องได้ เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้ ด้วยความที่ว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีมนุษย์ต่างดาว ก็เลยทำให้เขาไม่เชื่อเรื่องนี้

ชาวอินคา ชาวมายา ชาวแอซเท็ก ชาวโรมัน เป็นอารยธรรมที่รุ่งเรืองมากๆ ในที่สุดก็วกเข้าไปหาไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ รุ่งเรืองแล้วก็ดับสลาย

เครดิต : ทุรโยธิน ภีษมะ

แชร์เลย

Comments

comments

Share: