เรื่องเล่าเขย่าประสาท
https://www.facebook.com/aungkool.anantaburi
ย้อนไปเมื่อผมได้เป็นสารถีขับรถให้หลวงพี่ที่ไปทำภาระกิจงานบุญที่พระพุทธบาทสี่รอย ขากลับจากเชียงใหม่ระยะเวลาเริ่มมืดค่ำเรื่อยๆ ก็มีอันได้พูดคุยสัพเพเหระต่างๆมากขึ้น
และเรื่ิองยอดฮิตที่ได้คุยกันในยามค่ำคืนระหว่างยานพาหนะกำลังแล่นฝ่าความมืดมิดบนถนนยามนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องผีผีเป็นแน่
เรื่องหนึ่งในหลายเรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกสั่นประสาทคนขับอย่างผมที่เริ่มง่วงหาวให้ตื่นตัวเขม็งเกรียวยิ่งขึ้น เริ่มมาจากการเล่าประสบการณ์พระขรรค์พญาเหล็กของหลวงป๋าขนาด ๓ นิ้วของหลวงพี่รูปหนึ่ง
ท่านเล่าว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่แถววัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา พักอยู่ที่กุฏิหลังเก่า วัดหรือสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้อยู่ท่ามกลางป่าแมกไม้อันรกครึ้ม และในคืนนั้นเองหลังจากได้สวดมนต์ทำวัตรเสร็จแล้ว
ความมืดแห่งยามค่ำคืนได้ปกคลุมท้องฟ้า ความง่วงหาวนอนได้เข้ามาคลอบงำ เมื่อได้จำวัตรผ่านไปสักพัก ก็ได้เกิดความฝันอย่างหนึ่งขึ้นมา
ในความรู้สึกนั้นท่านว่า รู้ตัวกำลังฝันว่ากายของตัวเองกำลังลุกจากที่นอน เดินออกจากกระท่อมหรือกุฏิหลังนั้นออกมาด้านนอก
สายตาที่มองออกไปในความมืดนั้น รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบสูงใหญ่หลายต้นปกคลุมพื้นที่ เสียงกิ่งไม้สั่นไหวกระทบกันราวกับกำลังบรรเลงเพลงที่น่าขนหัวลุก และกิ่งไม้ที่แผ่ขยายออกไปก็เหมือนกับมือยักษ์ที่แผ่โอบรอบกันในความมืด
แต่แล้วสายตาก็พลันมาสะดุดอยู่กับต้นไม้ต้นหนึ่ง สูงใหญ่กว่าต้นไม้อื่น ยืนทะมึนแผ่กิ่งก้านท้าความมืดในยามราตรีอยู่ไม่ไกล ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติของต้นไม้ต้นนี้…
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปดูต้นไม้ต้นนี้ใกล้ยิ่งขึ้น เงาสีดำที่ยืนตระหง่านกลับไม่ใช่ต้นไม้ที่ตนเองเข้าใจ
แต่กลับเป็นสิ่งมีชีวิตตนหนึ่ง ตัวสูงใหญ่ สูงกว่าต้นไม้รอบข้าง มือเท้าใหญ่ ใช่แล้ว…ลักษณะแบบนี้เค้าเรียกกันว่า …เ ป ร ต…
ด้วยความตกใจ แม้จะอยู่ในความฝันก็ตาม แต่จิตหวนระลึกขึ้นได้ว่า ที่ในอังสะนั้นตนเองพกพระขรรค์พญาเหล็กเลี่ยมพลาสติกของหลวงป๋าติดตัวไว้
เร็วดั่งความคิด มือก็ได้ล้วงเข้าไปในอังสะ และดึงพระขรรค์ออกมาจากตัวยื่นไปข้างหน้า ทันทีที่ชักพระขรรค์ออกมา สัมภเวสีหรือเปรตตนนั้นได้หวีดร้องขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว แล้วหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
หลวงพี่พลันสะดุ้งตื่นจากความฝันอันชวนขนลุก แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ในมือยังกำพระขรรค์เล่มนั้นอยู่เหมือนเช่นในความฝัน…
และค่ำคืนแห่งการเดินทางนั้น ผมก็ไม่รู้สึกถึงความง่วงหาวแต่อย่างใดเลย ต้องขอบคุณหลวงพี่ที่ทำให้เลือดลมในกายสูบฉีดพลุ่งพล่าน ไม่ต้องเปลืองลิโพซ่ะอย่างนั้น ^^
ว่าแล้วก็ขอเบิ่งพระขรรค์ที่ท่านพกมาสักหน่อย ^^ เล่าเป็นเกร็ดสนุกๆให้อ่านกัน ขออนุญาตหลวงพี่เจ้าของเรื่องด้วยนะครับ ผิดพลาดประการใดกราบขออภัยมา ณ ที่นี้
**โปรดใช้จักรยานในการรับชม