ประวัติย่อโดยสังเขป
พระอาจารย์นก ฐิตะธัมโม ปัจจุบันอายุ ๕๗ปี พรรษา ๓๗
เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๐๗ เดือน ๓ ปีมะโรง
เป็นบุตรของนายสุชาติ พงษ์จตุรา และนางซ่อนกลิ่น พงษ์จตุรา
มีบุตรด้วยกันจำนวน ๑๐คน
๒.พระอาจารย์นก พงษ์จตุรา
๓.นายฉัตรชัย พงษ์จตุรา
๔.นางเพ็ญแข พงษ์จตุรา
๕.นายพิเชษฐ์ พงษ์จตุรา
๖.น.ส.บุตรชาดา พงษ์จตุรา
๗.นางศศิธร พงษ์จตุรา
๘.นายประทีป พงษ์จตุรา
๙.นายบำรุง พงษ์จตุรา
๑๐.พระอาจาย์ดวงสมชัย คุณธโร บุตรบุญธรรม(เจ้าอาวาสวัดเขาบังเหยชุมพลสีมาราม)
เหตุจูงใจที่ทำให้อยากบวชเพราะท่านพระอาจารย์นกป่วยเป็นมะเร็งตับในระยะสี่ขั้นสุดท้าย ไม่มียาสามารถรักษาให้หายจากมะเร็งที่เป็นอยู่ได้ จึงคิดที่จะบวชตลอดเวลาในยามที่จิตว่าง บางครั้งต้องไปนอนในวัดร้าง ในป่าช้า ข้างเชิงตะกอนที่เผาศพคนตาย บรรยากาศสงบวิเวก ไม่มีใครมารบกวน ฉุกคิดว่า พ่อแม่พี่น้อง มีแต่รักเราทั้งนั้นแหละ เมื่อตายไปแล้วสุดท้ายก็เอาไปเผาแล้วฝังทิ้งให้อยู่แบบเดียวดาย จึงคิดที่จะเตรียมตัวตายยังไงตัวเราก็ไม่พ้นความตายด้วยโรคมะเร็งตับ เป็นแน่แท้ เลยคิดเอาไว้ในใจว่าต้องบวชให้ได้สักครั้งหนึ่งก่อนตนเองตาย จะเป็น พระเณร หรือ ตาปะขาว ฤาษี ก็ได้ เมื่อจิตสงบกลับคิดได้ว่า อาหารทุกชนิดที่คนเรารับประทานก็เป็นยาทั้งนั้น คนที่เจ็บป่วยที่ไม่สามารถทานอาหารได้สุดท้ายก็ต้องตาย ต่อไปเราต้องทานทุกอย่างที่ทานได้เพื่อให้แข็งแรง แล้วจะได้บวช เมื่อได้บวชแล้วจะฝึกฝนตนเอง เพื่อแสวงหาเส้นทางสว่างที่จะได้ไปสวรรค์ เมื่อตายจากโลกนี้ไป โดยอาศัยศึกษาหลักธรรมคำสอนแนวทางปฏิบัติ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ได้บำเพ็ญโดยการเข้านาคถือศีล๘ ทดสอบความพร้อมของร่างกายและจิตใจตนเอง ว่ามีความสามารถบวชได้ไหม โดยใช้เวลาเป็นปี จนขัดเกลาจิตใจจนได้นิสัย จึงท่องคำขอบรรพชาได้ เพื่อบวชเป็นสามเณร เมื่ออายุ ๑๙ ปี พ.ศ.๒๕๒๖ อุปนิสัย ชอบสงบ ชอบการเดินธุดงค์ ฝึกฝนตนเอง เพราะคิดว่าตนเองต้องตายและจุดประสงค์เพื่อแสวงหาที่ตาย ไกลๆไม่อยากให้ใครรู้ แม้แต่โยมพ่อโยมแม่ พี่น้องของเรา ส่วนซากศพเมื่อตายไปแล้ว บริจาคทานให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยไป หรือให้เป็นปุ๋ยของต้นไม้ จึงหาโอกาสจาริกแสวงบุญปลีกวิเวกหาความสงบภาวนาไปด้วย ตั้งแต่เป็นสามเณร ไปตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ ตามเงื้อมผา ตามป่าช้าต่างๆ เดินไปธุดงค์ภาวนาหลายจังหวัด เช่น ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร อุบลราชธานีเป็นต้น เมื่ออายุครบอุปสมบทแล้วท่านจึงเข้าอุปสมบท เมื่อ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๗ณ.วัดเลียบ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระโพธิญาณมุณี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ พระอนุสาวนาจารย์ พระครูวิมลอุปลารักษ์ เมื่อบวชแล้วได้ไม่นานจึงขออนุญาตครูบาอาจารย์ ไปแสวงหาข้อวัตรปฏิบัติทางภาคเหนือ เพื่อเรียนรู้ศึกษาสมถวิปัสนากรรมฐาน และขอนิสัย
ในสมัยนั้น หลวงปู่แหวน สุจิณโณ มีชื่อเสียงในเรื่องสมถและวิปัสสนา กรรมฐานมาก เป็นพระปฏิบัติ สายธรรมยุติพระป่า เป็นลูกศิษย์ต้นๆของหลวงปู่มั่น ถูริทัตโต พระอาจารย์นก ฐิตธมฺโม มีความเลื่อมใส จึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ พระสายปฏิบัติหลวงปู่แหวน สุจิณโณ พระอริยะสงฆ์แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ท่านได้ไปอยู่เพื่อศึกษา สมถวิปัสนากรรมฐานและปรนนิบัติอุปฐากหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากหลวงปู่ละสังขารมีการพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่แหวน สุจิณโณ แล้ว พระอาจารย์นกได้เดินธุดงค์ปลีกวิเวกหาความสงบ ในสถานที่ต่างๆ เช่น ประเทศพม่า ลาว และตามจังหวัดต่างของประเทศไทย ภาวนามาเรื่อยๆตามป่าเขาและในถ้ำต่างๆ ตามเงื้อมผา ตามป่าช้า ตามป่าดงดิบ มีอยู่วันหนึ่งท่านพระอาจารย์นก ได้นิมิตว่ามีเทวดาลงมาจากฟากฟ้าแล้วยืนลอยอยู่บนนภากาศ ได้สนทนาเรื่องธรรมต่างๆเกือบหนึ่งชั่วโมง และแนะนำให้ท่านไปภาวนาอยู่บนเขาในป่าแห่งหนึ่ง แล้วได้เนรมิตสถานที่ ที่ท่านพระอาจารย์ต้องไปให้ท่านเห็น ให้ท่านดู ซึ่งท่านได้จดจำสถานที่แห่งนั้นได้แล้ว และเทวดาก็ได้ทำนายเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นภายในอนาคตไว้ จากนั้นเทวดาองค์นั้นก็ได้พุ่งขึ้นหายไปบนฟากฟ้า แล้วนิมิตก็ได้หายไป หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์นกก็ได้เดินธุดงค์มาเรื่อยๆจนถึงเขาพังเหยบริเวณบ้านซับมงคล ตำบลโป่งนก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ และเห็นสถานที่ตรงนี้ว่าใช่ตามที่เทวดานิมิตทำให้เห็น และเหมาะสำหรับภาวนาจึงได้ปักกลดเจริญสมถวิปัสสนา กรรมฐาน ซึ่งเป็นบริเวณของวัดในปัจจุบันนี้ ท่านพระอาจารย์นกได้พิจารณาเห็นว่าสถานที่แห่งนี้เป็นมงคลและต่อไปภายภาคหน้า สถานที่บริเวณนี้จะเป็นวัด อาณาบริเวณนี้เป็นป่าธรรมชาติได้ เป็นสถานที่สงบวิเวกเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ใน พ.ศ. ๒๕๓๑ พระอาจารย์นก จึงได้จำพรรษาในป่าแห่งนี้ เป็นกุฏิมุงด้วยหญ้าคาเล็กๆ กว้าง๒.๕๐x๓.๐๐เมตร ที่ชาวบ้านมีจิตศรัทธามาสร้างให้
ท่านพระอาจารย์จึงได้ทบทวนทำสมถวิปัสนากรรมฐาน ทำให้จิตใจสงบ และ ได้มีหลวงปู่ ตาผ้าขาว ฤาษี พรหม ที่เคยเป็นพระอาจารย์ในอดีตชาติ มาสั่งสอนในนิมิตให้ร่ำเรียน วิชาต่างๆ เช่น วิชาเรียกธาตุทั้งสี่ ชี้แนะสั่งสอนให้เข้าใจ เป็นวิชาธาตุอันพิศดารมากๆ และ วิชาโอสถ ทำน้ำมันว่านน้ำมันยา บางครั้งจะมีเทวามาช่วยชี้แนะ ส่วนอักขระเลขยันต์เป็นตัวอักษรพรหม หรือ บางคนก็เรียกว่าอักขระขอมพิศดาร ก็แล้วแต่คนจะเรียก ในเบื้องต้นแรกๆท่านก็อยู่ในป่าในเขาเพียงรูปเดียว บางครั้งก็มีเณร ชีปะขาว มาอยู่ด้วยเป็นครั้งคราว แล้วก็สึกไป พระอาจารย์นกเป็นพระผู้ไม่ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ชอบฝึกภาวนาทำสมาธิ ชอบสันโดษ ไม่ชอบรับกิจนิมนต์ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็จะหลีกเลี่ยง ไม่หวังในลาภ ไม่แสวงหายศฐานบรรดาศักดิ์ ในอดีตเจ้าคณะจังหวัด จะแต่งตั้งยศตำแหน่งให้ท่านท่านก็ไม่รับ แลรองราชเลขาในรัชกาลที่๙ ท่านภาวาส บุญนาค จะนำเสนอขอให้ท่านเป็นเจ้าคุณ พระอาจารย์นก ท่านก็ไม่รับ ท่านกล่าวว่า มอบให้ครูบาอาจารย์ ที่มีหน้าที่ มีความดี ความชอบ ในสายปกครองดีกว่า อาตมาไม่มีความดีความชอบ อะไรเลย อีกประการหนึ่ง เรื่องสิ่งก่อสร้างต่างๆ เกิดจากศรัทธาของญาติโยมและศิษยานุศิษย์ ที่ควบคุมดูแลการก่อสร้าง ทั้งมีความศรัทธาร่วมกันบริจาคทรัพย์ให้ การก่อสร้างจึงเน้นแข็งแรงมั่นคงสวยงาม เพื่อคงไว้ในพระพุทธศาสนา และไม่ต้องมาเป็นภาระในการซ่อมแซมอีกนานจนถึงปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์นก เป็นพระที่ไม่ได้ยึดติดในลาภสักการะ ไม่มีเงินทองเป็นของส่วนตัว เมื่อมีญาติโยมนำถวาย ท่านพระอาจารย์นก ก็มอบยกให้เป็นของกลางสงฆ์ทั้งหมด ท่านพอใจในสิ่งที่มีอยู่ มีในสิ่งที่ท่านพอใจ เมื่อขาดสิ่งใดก็มักจะมีลูกศิษย์นำมาถวาย จึงไม่ได้ขาดเขินเดือดร้อน ไม่จำเป็นต้องแสวงหาเงินทอง และ พระอาจารย์นก ท่านไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาบังเหยชุมพลสีมาราม เพียงแต่เป็นพระลูกวัดผู้อาศัยอยู่เท่านั้น จึงเป็นที่ประจักษ์ในสายตายของเหล่าศิษยานุศิษย์ เมื่อท่านมาเจอสถาที่สับปายะแล้วท่านพระอาจารย์นก ก็พำนับตั้งหลักศึกษาสมถวิปัสนา ฝึกฝนตนเองตั้งแต่นั้นมา ถึงแม้จะไปแอบทำสมาธิภาวนาในสถานที่อื่นบ้าง ท่านก็กลับมาสถานที่ตรงนี้เหมือนเดิม ดังมีคำกล่าวของเหล่าศิษยานุศิษย์ว่า
แม้ขุนเขา เงาไม่สูงพยุงเด่น
ต่ำเตี้ยเห็น เป็นเขาต่ำ ยังล้ำค่า
หากมีเทพ สถิตอยู่ คู่นําพา
ดุจนาวา ลอยประเทือง เลื่องลือไกล
ดั่งสายน้ำ มิล้ำลึก อย่าทึกทัก
เพียงมังกร มาปักหลัก อยู่อาศัย
ความศักดิ์สิทธิ์ ติดห้วงน้ำ ล้ำเลิศไกร
ความยิ่งใหญ่ แห่งมังกร สะท้อนนำ
อันตำแหน่ง แห่งยศฐา บรรดาศักดิ์
ควรตระหนัก มิยั่งยืน อย่าฝืนขำ
ไม่จีรัง มิยั่งยืน อย่าฝืนทำ
ควรจดจำ ทำในใจ ให้มั่นคง
ให้มีหลัก ปักยึดเหนี่ยว เกี่ยวใจจิต
ให้สนิท แนบดวงใจ อย่าใหลหลง
สิ่งรอบข้าง อย่าสนใจ ให้วางลง
หลักมั่นคง ตรงตามธรรม ย่อมนำชัย
เราเป็นดาว ที่พราวแสง แข่งในตน
มิกังวล อาศัยแสง จากแหล่งไหน
ดุจดาวฤกษ์ เบิกนภา เจิดจ้าไกล
ส่องไสว ไกลยิ่งนัก หลายจักรวาล
หากขาดน้ำ ซ้ำอาหาร พาลอยู่ได้
แต่ขาดใฝ่ การบำเพ็ญ ฤาเห็นหน
ขาดภาวนา เพิ่มตบะ สละตน
แม้อยู่ทน เกินร้อยไป ไร้ค่าเอย
ข้อมูลประวัติ จัดทำโดยศิษยานุศิษย์
ประวัติพระอาจารย์นก
พระอาจารย์นก ฐิตะธัมโม แห่งวัดเขาบังเหยชุมพลสีมาราม หมู่บ้านซับมงคล ต.โป่งนก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เป็นพระสายปฏิบัติศิษย์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ พระอริยะสงฆ์ แห่งดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ท่านได้ไปอยู่ปรนนิบัติอุปฐาก หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากหลวงปูละสังขารมีการพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่แหวนแล้ว พระอาจารย์นกได้เดินธุดงค์ปลีกวิเวกหาความสงบภาวนามาเรื่อยๆจนถึงเขาพังเหยบริเวณ บ้านซับมงคล ตำบลโปร่งนก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ เห็นว่าสถานที่ตรงนี้ เหมาะสำหรับภาวนา จึงได้ปักกรด เจริญสมถวิปัสสนา ซึ่งเป็นบริเวณของวัดในปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์นกได้พิจารณาเห็นว่าสถานที่แห่งนี้เป็นมงคล ต่อไปภายภาคหน้าสถานที่บริเวณนี้จะเป็นวัด อาณาบริเวณนี้เป็นป่าธรรมชาติได้ เป็นสถานที่สงบวิเวกเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม “อนึ่งพระเครื่องและวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง ญาติโยมสร้างถวายเพื่อแจกฟรีเป็นทาน ให้เป็นที่ระลึกคนที่มาช่วยใช้กำลังก่อสร้างวัด ให้เป็นที่ระลึกสำหรับญาติโยมที่มีจิตศรัทธาร่วมบุญในวาระต่างๆ แจกให้เป็นที่ระลึกเพื่อให้คนมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้เป็นเครื่องเตือนสติ ละบาป ทำบุญ ละชั่ว ทำดี จนถึงทุกวันนี้
พระอาจารย์นกบอกว่า “วัตถุมงคลแม้ว่าจะขึ้นชื่อว่ามีพุทธคุณสูง แต่ไม่มีวัตถุมงคลชนิดใดในโลกนี้กันตายได้แต่ช่วยเหลือไม่ให้ได้ตายได้ และไม่ได้หมายความว่าวัตถุมงคลชนิดเดียวกันจะช่วยเหลือคนได้ทุกคนเหมือนกัน หากต้องขึ้นอยู่กับความศรัทธาด้วย เมื่อมีศรัทธาปฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อไร้ศรัทธาก็ไร้ปาฏิหาริย์ จึงไม่ควรใช้ชีวิตด้วยความประมาท ไม่ว่าคนดีหรือคนเลวหากมีศรัทธาปาฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นกัน เมื่อทำชั่วแล้วย่อมได้รับผลแห่งกรรมชั่ว เมื่อทำดีย่อมได้รับผลแห่งกรรมดี ทุกคนย่อมหลีกหนีกฏแห่งกรรมไปไม่พ้น ” ทั้งนี้พระอาจารย์นกได้ตอบคำถามที่ว่า“การสร้างวัตถุมงคลเป็นเปลือกของพุทธศาสนาทำให้คนติดและหลงใหลในวัตถุมงคล”ไว้อย่างน่าคิดว่า “ทุกอย่างย่อมมีเปลือก ต้นไม้ก็เช่นกันอยู่ได้เพราะเปลือกที่คอยปกป้องเลี้ยงกระพี้และแก่นให้เจริญเติบโต ศาสนาก็มีเปลือกคือ”ทาน”ที่คอยปกป้องอุ้มชูเลี้ยงกระพี้คือ”ศีล”และศีลคอยปกป้องอุ้มชูเลี้ยงแก่นคือ”ภาวนา คอยปกป้องอุ้มชูเลี้ยงใจกลางแก่นคือ ” ปัญญา ” ถ้าทุกคนในศาสนานี้มุ่งแสวงหาแต่แก่นเพื่อความหลุดพ้นอย่างเดียว โดยไม่รู้จักการให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนาแล้วไซร้ วันนี้พุทธศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร เพราะถ้าทุกคนไม่รู้จักทำบุญให้ทาน ข้าวน้ำอาหาร เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นเปลือกของศาสนา พระภิกษุสามเณรก็จะอยู่ไม่ได้ การสร้างศาสนะสถานอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เกิดจากคนที่มีจิตใจศรัทธาในบุญ สละทรัพย์ให้เป็นทาน ท่านพระอาจารย์นกได้กล่าวทิ้งท้ายไว้อีกว่า การให้ทานด้วยศรัทธา ด้วยการเสียสละ ด้วยการไม่ยึดติด เป็นการละกิเลสในเบื้องต้น ทานเป็นบุญอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ความปิติอิ่มเอิบของทาน เป็นความรู้สึกส่วนหนึ่งของสังขาร มีศรัทธาคล้อยตามบุญสวรรค์ก็บังเกิด เมื่อบุญสวรรค์บังเกิด ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวัฏจักรไม่รู้จบ สิ่งที่เวียนว่ายแปรเปลี่ยนอยู่หาใช่บุญที่ยั่งยืนไม่ การเจริญ สมถ วิปัสสนา จิตที่ผ่องใสแลปัญญานั้นปรากฏตัว การเวียนว่ายตายเกิดของภพชาติย่อมสั้นลง สิ่งนี้ต่างหากคือเส้นทางแห่งบุญที่ยั่งยืน การไม่ ยึดติด ยึดถือ ในรูปนาม ว่าเป็นตัวกูของกู นั่นแลคือบุญที่แท้จริง อย่างไรก็ตามพระอาจารย์นกยังกล่าวว่า สำหรับญาติโยมและลูกศิษย์ที่มีจิตศรัทธาสร้างวัดเขาบังเหย เมื่อ ทาน ศีล ภาวนา บารมีไม่มากพอ ก็ย๊ากที่จะเข้าถึงธรรมในระดับสูงได้ ก็ให้เพียรพยายามสะสมบุญตามกำลังศรัทธาไปก่อน คนที่ทำดีหรือทำชั่วก็ใช่ว่าต้องมีวัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลัง ขึ้นอยู่ว่าคนเหล่านั้นเข้าถึงธรรมมะคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มากน้อยเพียงใด วัตถุมงคลที่ญาติโยมมีศรัทธาสร้างถวายเพื่อให้อาจารย์นกแจกฟรีเพื่อเป็นทาน! ปรากฎว่า “ผู้ที่มีศรัทธารับแจกวัตถุมงคลไปบูชาแล้วล้วนมีประสบการณ์ปาฏิหารย์เล่าขานกันมากมาย”