๑๓ ใช้กายมนุษย์พิเศษ ทำวิชชาสะสางธาตุธรรม ถูกหรือไม่ (นิตยสารธรรมกาย เล่มที่ ๔๕) ถาม : ใช้กายมนุษย์พิเศษ ทำวิชชาสะสางธาตุธรรม ถูกหรือไม่ ?
ตอบ : ถูกแล้ว เพราะกายมนุษย์พิเศษเป็นธาตุล้วนธรรมล้วน ที่ผ่านมาการเจริญภาวนาสะสางธาตุธรรมถึงพระนิพพานธาตุของพระพุทธเจ้าและจักรพรรดิ (ภาคผู้เลี้ยง) ภาคผู้สอด ภาคผู้ส่ง ภาคผู้สั่ง ภาคผู้บังคับ ภาคผู้ปกครอง และถึงพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมดีแล้ว จึงปรากฎเป็นกายมนุษย์พิเศษที่พร้อมด้วยจักรพรรดิรัตนะเจ็ดที่บริสุทธิ์ ที่ภาคมารระเบิดไม่แตก คือ ที่ภาคมารจะทำอวิชชาสอดละเอียดเข้ามาเอิบอาบ ซึมซาบ ฯลฯ เข้ามาระเบิด เข้ามาทำลายอีกมิได้ เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ปฎิบัติภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูง ได้ถึง ได้รู้ ได้เห็น และได้เป็นกายมนุษย์พิเศษนั้นแล้ว จงดับหยาบไปหาละเอียด หยุดในหยุดกลางของหยุดอีกต่อ ๆ ไป จนสุดละเอียด จนตัวเราเองเป็นกายมนุษย์พิเศษ เป็นองค์พระที่ใสบริสุทธิ์ และมีรัศมีสว่างนั้น แล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม ทับทวีบุญศักดิ์สิทธิ์บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ สิทธิเฉียบขาดเอกสารหลักฐานที่เชื่อถือได้ แต่ก็คงจะไม่มีโอกาศดีอย่างนั้นหรอก ตอนนี้อาตมาจึงได้พูดบันทึกวีดีโอเทปไว้แล้ว เฉพาะเรื่องวิปัสสนาที่มีอยู่ในหลักสูตรชั้นนักธรรมเอก เฉพาะส่วนนี้เป็นเทปวีดีโอ ๕ ม้วน เป็นเทปคุสเซท ๑๔ ม้วน ตั้งใจจะแจกให้ท่านที่มีสำนักเรียนหรือเปิดสอนภาวนาก่อนตามกำลังเงินทุนที่มีเจ้าภาพถวายไว้ รับรองว่าถ้าท่านใดตั้งใจฟังให้ดี ศึกษาให้ดี ฟังให้ตลอดแล้ว ก็จะถึงบางอ้อเลย ไม่ไปอื่นหรอก แม้แต่พระมหาเถระผู้ใหญ่ระดับไหน ก็แล้วแต่อาตมาเชื่อมั่น ถ้าใครก็ตามฟังเทปนี้โดยตั้งใจให้ตลอดแล้ว ไม่ไปอื่นหรอก อาตมากล้ารับรอง เว้นแต่คนนั้นแย่เต็มที่ คือคนที่ไม่เอาไหนเลย อาตมาทราบดีว่าหลักฐานเกินไปกว่านี้ ที่ผิดไปจากนี้คงไม่มีเพราะว่าเราได้ศึกษาค้นคว้าจากพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรกถา ดีพอสมควรแล้ว เป็นอันถูกต้องแน่นอน ไม่ผิดหรอก และยังตรงกับผลของการปฎิบัติของพระมหาเถระผู้สุปฎิปันโนทุกสำนักแหละ อย่าสงสัยเลย แล้วใช้กายมนุษยพิเศษนั้นแหละ ทำวิชชาสะสางธาตุธรรมต่อ ๆ ไป จนสุดละเอียด แล้วอธิฐานตั้งวิชชาเป็น ธาตุเป็น-ธรรมเป็น (แผนผังเป็น กายเป็น วิชชาเป็น) ตั้งผังสุขสมบรูณ์บริบูรณ์ (ด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ถึงนพพานสมบัติ) ตลอดธาตุ ตลอดธรรม แล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมทับทวีเข้ามาให้เต็มปราสาททำวิชชาของวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ในสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกายเข้าไว้ แล้วพิศดารกายรอบตัว ทับทวีให้เต็มวัด เต็มประเทศ และเต็มโลก เต็มภพ เต็มจักรวาร เท่าที่สามารถจะทำได้และที่จะเป็นไปได้เข้าไว้ อย่างน้อยให้เต็มวัด และเต็มประเทศเข้าไว้ แล้วตั้งผังสำเร็จในกิจโดยชอบเข้าไว้ด้วย ทุกครั้ง.
๑๔ เมื่อสะสางธาตุธรรม เก็บธาตุธรรมภาคดำ และภาคกลาง ๆ จนใสเหมือนเพชรแล้ว ทำไมยังเห็นอยู่อีก (นิตยสารธรรมกาย เล่มที่ ๔๕) ถาม : ทำไมเมื่อสะสางธาตุธรรม เก็บธาตุธรรมภาคดำและภาคกลาง ๆ จนใสเหมือนเพชรแล้ว ต่อไปยังเห็นธาตุธรรมภาคดำ ภาคกลางอยู่อีก ? ตอบ : เพราะว่า ๑. เรายังละกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งรวมเรียกว่าสังโยชน์ (กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก) ที่ได้เคยสะสมมาแต่อดีตนับภพชาติไม่ถ้วน ยังไม่หมดสิ้นโดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหานต่อเมื่อใดเราได้บำเพ็ญบุญบารมี อุปบารมี ถึงปรมัตถบารมี เต็มส่วน(ตามอธิษฐานบารมีเป็นพระอรหันตสาวก หรือเป็นพระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า หรือเป็นพระอรหันตสัพพัญญพุทธเจ้า หรือถึงต้นธาตุต้นธรรม) ปฏิบัติธรรม ตรัสรู้พระอริยสัจธรรม จนละสังโยชน์ได้ทั้งหมด (๑๐ประการ) โดยเด็ดขาด เป็นพระอรหันตขึณาสพ ตามระดับบุญบารมีที่อฐิษฐาน (บารมี) ไว้แล้ว ทั้งธรรมกายตรัสรู้ ชื่อว่า “พระนิพพานธาตุ” และกายมนุษย์พิเศษของพระอริยเจ้านั้นจึงโตใหญ่เต็มธาตุเต็มธรรม และใสบริสุทธิ์ มีรัศมีสว่างอยู่อย่างนั้น (ไม่มีมัวหมองและไม่กลับเล็กลงอีก) พระนิพพานธาตุ และกายมนุษย์พิเศษนั้นแหละ จะเชื่อมเป็นอันเดียวกัน เป็นอมตธรรม ที่มีสภาพเที่ยง เป็นบรมสุข และเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่ยั่งยืนของพระอริยเจ้านั้น เพราะฉะนั้น จงบำเพ็ญบุญบารมีและปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้นไป จนถึงบรรลุพระนิพพานที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง และที่เป็นบรมสุขนั้นเถิด ๒. เพราะธาตุธรรมของสัตว์โลกเกี่ยวเนื่องถึงกัน เมื่อเราทำวิชชาสะสางธาตุธรรมของเรา ก็เกี่ยวเนื่องถึงธาตุธรรมของสัตว์โลกอื่นๆ ด้วย วิชชาธรรมกายชั้นสูงเป็นวิชชาสะสางธาตุธรรมของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม เพื่อช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์เข้านิพพาน เมื่อเราเข้าถึงแล้ว จึงได้วิชชานี้มาเพ่อสะสางธาตุของเราเองด้วย และเพื่อช่วยสะสาง ธาจุธรรมของสัตว์โลกอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปฏิบัติธรรมในสายธาตุธรรมเดียวกัน คือธาตุธรรมสายขาวหรือฝ่ายพระพุทธศาสนา ซึ่ง พระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า และพระพุทธเจ้า คือธรรมกายนั้นเอง จะได้รับผลก่อน และมากกว่าสายอื่น (คือธาตุธรรมสานกลางๆและธาตุธรรมสายดำ) ซึ่งจะค่อยๆได้รับผล เมื่อผู้เจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงช่วยสะสางธาตุธรรมของสัตว์โลก หมดทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั่วทั้งจักรวาล ตามศักดิ์แห่งบุญบารมี และพลัง คือทั้งจำนวน (ปริมาณ) และระดับภูมิธรรม (คุณภาพ) ของผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกาย และได้ฝึกเจริญสติปัฏฐาน ๔ และวิชชาธรรมกาย ชั้นสูงที่ได้ ผลดี คือที่บริสุทธิ์ และมั่นคงดีแล้ว ที่มีมากขึ้น และแก่กล้าขึ้นตามลำดับ เพราะเหตุนั้น วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ในสถาบันพุทธภาวนาวิชชางธรรมกาย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี จึงมีนโยบายและโครงการที่จะ “สร้างพระในใจตน” และ “ช่วยสร้างพระในใจคน(อื่น) ให้ได้คุณภาพและปริมาณที่ดีให้มากที่สุด เพื่อช่วยตนเองและผู้อื่น โดยมีหลักว่าเท่าที่กำลังสติปัญญาความสามารถ ภูมิธรรมและกำลังทรัพย์ สามารถและที่สามารถจะช่วยผู้อื่นได้ นี่เป็นงานช้าง (งานหนัก) แต่เราทำที่สามารถทำได้ตามกำลังของเรา แต่เราต้องช่วยตนเองและผู้อยู่ในสายธาตุธรรมที่ใกล้ชิดกันเอง คือผู้ปฏิบัติธรรมที่ทำหน้าที่รบ ทำงาน ตรวจงาน เผยแพร่ กองเสบียงก่อน ให้มีกำลังกล้าแข็งพอที่จะขยายความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นที่อยู่ห่างสายธาตุธรรมวิชชาธรรมกาย และนอกพระพุทธศาสนาออกไป เพราะเหตุนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจึงกล่าวว่า “ธรรมกายนั้นแหละ คือที่พึ่งของสัตว์โลก” ใครผู้ใดขัดข้อง คิด และการกระทำการทำลายธรรมปฏิบัติตามที่หลวงพ่อฯ และศิษยานุศิษย์ท่านสอนให้ปฏิบัติถึงธรรมกาย ถึงพระนิพพาน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยมิจฉาทิฏฐิจึงมีผลดุจดังเด็กกำถ่านเพลิง และดุจดังคนโง่ทุบหม้อข้วนตนเองฉันใดฉันนั้น. ๑๕ อานุภาพของจักรพรรณดิ กายสิทธิ์ ภาคผู้เลี้ยง (นิตยสารธรรมกาย เล่มที่ ๔๕) ถาม : ขอให้หลวงพ่อเล่าถึงอานุภาพของจักรพรรณดิ กายสิทธิ์ ภาคผู้เลี้ยง ว่ามีคุณและโทษอย่างไร ครับ? ตอบ : ในสมัยที่อาตมายังเป็นคฤหัสถ์ ได้ทำงานในตำแหน่ง Research Specialist สำนักข่าวสารอเมริกัน กรุงเทพฯ อาตมาได้เข้าศึกษาและปฏิบัติภาวนาธรรมกับพระเดชพระคุณพระภาวนาโกศลเณร (วีระ คณุตฺตโม) รองเจ้าอาวาสและอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ องค์ปัจจุบัน ผู้สอนภาวนาตามที่หลวงพ่อ วัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระอุปัชฌาย์ของท่าน (พระภาวนาโกศลเถร) ที่สอนให้ปฏิบัติถึงธรรมกายและพระนิพพานรวมเรียกว่า “วิชชาธรรมกาย” ตามรอยพระพุทธองค์ อาตมาจึงได้รู้เรื่องกายในกาย ฯลฯ ที่สุดละเอียดต่อไปอีกว่า ในท่ามกลางพระนิพพานธาตุ คือธรรมกายที่ตรัสรู้ (มีขนาดโตใหญ่กว่า ๒๐ วาพระนิพพานขึ้นไป มีรัศมีสว่างยิ่งนัก) ของพระพุทธเจ้า และ พระอรหันตเจ้าที่ดับขันธ์เข้าปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ และ สถิตยั่งยืนอยู่ในอายตนะนิพพานนั้น ยังมีพระจักรพรรดิ (เหมือนพระทรงเครื่องอยู่ในดวงธรรมที่ใสบริสุทธิ์) สถิตอยู่ด้วย และพระจักรพรรดินี้ยังมีรีตนะ ๗ เป็นบริวาร คือมี จักรแก้ว ช่างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลัง (คฤหบดี) แก้ว และดวงแก้วหรือแก้วมณี ตรงกลางดวงแก้วหรือดวงมณียังมีแว่นแก้ว-กล้องแก้ว เป็นดวงแก้วที่บริสุทธิ์และละเอียดยิ่งนัก พระจักรพรรดินิสถิตเป็นพระภาคเลี้ยงประจำอยู่ในท่ามกลางพระนิพพานธาตุของพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทุกพระองค์ ในอายตนะนิพพาน ไปจดสุดละเอียดถึงอายตนะนิพพานเป็น ของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม (พุทธลักษณะเหมือน พระภิกษุกายเนื้อ มีขนาดโตใหญ่กว่า ๒๑ วาพระนิพพานขึ้นไป และใสบริสุทธิ์ มีรัศมีสว่างยิ่งนัก) แวดล้อมด้วยพระพุทธเจ้ากลางธาตุ ประทับด้วยอยู่ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง ซึ่งกันและกันต่อ ๆ ไปนับไม่ถ้วน ปลายธาตุทั้งสิ้น ด้วยนิพพานสมบัติ ให้ได้เสวยวิมุตติสุขเป็นบรมสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ปวด และตาย อีก แล้วยังถ่ายทอดเป็นโลกิยสมบัติ คือ เป็นอรูปพรหม รูปพรหมสมบัติ สวรรค์สมบัติ และมนุษย์สมบัติ มาตามสายธาตุธรรมของภาคพระ/ธรรมขาว หรือฝ่ายบุญกุศล ตามระดับบุญบารมีและภูมิธรรมของสัตว์โลกในสุคติที่ประกอบบำเพ็ญมาอีกด้วย เพราะเหตุนั้น ในท่ามกลางของกายในกาย ณ ภายในของสัตว์โลกสุคติภพ จากกายหยาบสุดละเอียด ทั้งระดับโลกิยะ ได้แก่ เบญจขันธ์ของ มนุษย์-มนุษย์ละเอียด ทิพย์-ทิพย์ละเอียด รูปพรหม-รูปพรหมละเอียด อรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด ถึงระดับโลกุตตระคือธรรมกายทุกระดับภูมิจิต จึงมีจักรพรรดิภาคเลี้ยงนี้สถิตอยู่ในท่ามกลางกายหยาบสุดละเอียดนี้ทุกกาย และยังจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงประจำหมู่ชนที่อยู่ร่วมกันเป็นคณะน้อยใหญ่ทั้งปวง ตั้งแต่ระดับครอบครัว ประเทศชาติ โลก และภูมิภพต่าง ๆ ได้แก่ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ ถึงพ้นโลกคือพระนิพพาน ตามระดับบุญบารมี อีกทั้งสัตว์โลกในทุคคติภูมิ (เปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน) ถึงอายตนะโลกันต์ที่พ้นโลก พ้นขอบจักรวาลไปเบื้องล่าง “พระจักรพรรดิ” ชื่อว่า “พระภาคผู้เลี้ยง” ด้วยว่าทำหน้าที่หล่อเลี้ยงพระนิพพานธาตุของพระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า ถึงพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม…ที่เป็นอมตธรรม ตลอดทั้งกลางธาตุและปลายธาตุทั้งสิ้น
ด้วย “นิพพานสมบัติ” ให้ได้เสวยวิมุตติสุข เป็นบรมสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ และตายอีกแล้วยังถ่ายทอดเป็น “โลกิยสมบัติ” คือ เป็นอรูปพรหม- รูปพรหมสมบัติ สวรรค์สมบัติ และมนุษย์สมบัติ มาตามสายธาตุธรรมของภาคพระ / ธรรมขาว หรือฝ่ายบุญกุศล…ตามระดับบุญบารมี และภูมิธรรมของสัตว์โลกสุคติภพที่ได้ประกอบบำเพ็ญมาอีกด้วย
พระจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงภาคพระ หรือฝ่ายบุญกุศล ที่ให้ผลเป็นสุขสมบัติแก่สัตว์โลกแต่ละบุคคล และแต่ละหมู่คณะที่อยู่ร่วมกันตามระดับบุญกุศลคุณความดี และบารมีที่ได้เคยกระทำสั่งสมมาแล้วแต่อดีต ติดตามให้ผลเป็นวิบากคือ
“จุลจักรพรรดิ” ให้ผลเป็นสุขสมบัติที่ไม่สมบูรณ์ คือ แร้นแค้น ทำมาหากินฝืดเคือง ไม่พอกินพอใช้ แก่สัตว์โลกที่กระทำกรรมดี มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล…มาน้อย
“มหาจักรพรรดิ” ให้ผลเป็นสุขสมบัติที่สมบูรณ์แต่พอกินพอใช้ คือ ไม่ถึงอุดมสมบูรณ์นัก แก่สัตว์โลกที่กระทำกรรมดี มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล…มาพอสมควร
“บรมจักรพรรดิ” ให้ผลเป็นสุขสมบัติที่อุดมสมบูรณ์บริบูรณ์เต็มที่ แก่สัตว์โลกที่ประกอบกรรมดี มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล…มามาก
จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงธาตุธรรมภาคพระ (ฝ่ายบุญกุศล หรือธาตุธรรมขาว) ที่มีประจำสัตว์โลกให้สุขสมบัติ เป็นความสุขความเจริญด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหม-อรูปพรหมสมบัติ ถึงนิพพานสมบัติเช่นไร
จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงธาตุธรรมภาคมาร (ฝ่ายบาปอกุศล หรือธาตุธรรมภาคดำ) ของสัตว์โลกผู้ประพฤติปฏิบัติหรือกระทำกรรมชั่ว หรืออกุศลกรรม ด้วยอำนาจของกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็ย่อมให้ผลตรงกันข้ามกับฝ่ายบุญกุศล คือ กลับให้ผลเป็นความทุกข์เดือดร้อนเช่นนั้น
และสัตว์โลกที่ได้กระทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว จึงย่อมได้รับผลที่เป็นทั้งความสุขความเจริญ และทั้งความเสื่อมเป็นโทษ เป็นความทุกข์เดือดร้อนจากจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงทั้งฝ่ายบุญกุศลและทั้งฝ่ายบาปอกุศล ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้ผล ตามความหนักเบาของกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ได้กระทำไว้แล้ว ให้ผลตามหน้าที่และกาลเวลาที่เหมาะสม ที่กรรมนั้นๆจะให้ผลเป็นวิบาก ในส่วนที่จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยง ที่ตั้งอยู่ ณ ศุนย์กลางในกายสุดหยาบสุดละเอียดของสัตว์โลก ทั้งฝ่ายบุญกุศล ฝ่ายบาปอกุศล และฝ่ายกลางๆ (ไม่ดี ไม่ชั่ว) ดังที่กล่าวข้างต้นนี้
ยังมี “กายสิทธิ์” ภาคผู้เลี้ยง…ซึ่งเป็นบริวารของจักรพรรดิ เป็น “ธาตุธรรมเป็น” มีรูปกายคล้ายเทวดา สถิตอยู่กับธาตุธรรมส่วนหยาบ ที่จะให้ผลเป็น “สุขสมบัติ” ได้แก่ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ฯลฯ และ / หรือเป็น “ทุกข์สมบัติ” แก่สัตว์โลกตามผล (วิบาก) แห่งกรรมดี หรือกรรมชั่วในส่วนหยาบ คือ สถิตอยู่กับทุกอณูของวัตถุธาตุที่ประกอบด้วย ดิน – น้ำ – ไฟ – ลม
เช่นอยู่กับ ดิน หิน กรวด ทราย โลหะ แร่ธาตุต่างๆ อัญมณี ต้นไม้ และพืชพันธุ์ต่างๆ เป็นต้น
ที่ให้คุณและโทษต่างๆ แก่สัตว์โลกทั้งหลายอีกด้วยเช่นกัน
ธรรมชาติดังกล่าวนี้ ผู้ปฏิบัติภาวนาวิชชาธรรมกายตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จฺนทสโร) ท่านสอนศิษยานุศิษย์ให้ปฏิบัติถึงธรรมกายถึงพระนิพพานตามรอยบาทพระพุทธองค์ เมื่อฝึกเจริญภาวนาได้ถึงธรรมกาย ฝึกเจริญสติปัฏฐาน ๔ และฝึกเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงแล้ว ก็จะรู้เห็นได้ ตามสมควรแก่ระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ ๑. “กายสิทธิ์ ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายพระหรือฝ่ายบุญกุศล” ที่เป็นพลังและให้พลังทรัพยากรที่เป็นคุณเป็น “สุขสมบัติ” ได้แก่ มนุษย์สมบัติ ฯลฯ แก่สัตว์โลก ได้แก่มนุษย์ผู้ปฏิบัติตนอยู่แต่ในคุณความดี เป็นบุญเป็นกุศล เพิ่มพูนบุญบารมีอยู่เสมอ ย่อมสถิตอยู่กับ “วัตถุธาตุที่บริสุทธิ์และที่เป็นมงคล” ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ และที่มีวรรณะ (สี) ที่เป็นมงคล ได้แก่ สีขาว สีทอง สีเงิน สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน เป็นต้น รวมทั้งพันธุ์ไม้ที่เป็นเภสัชและที่เป็นมงคลต่างๆ
อนึ่ง วัตถุธาตุใดยิ่งประกอบด้วยอณูที่ควบกันอยู่หนาแน่นเพียงใด ก็ยิ่งมี “กายสิทธิ์” สถิตอยู่มาก (หนาแน่น) เพียงนั้น
เพราะเหตุนั้นจึงไม่แปลกประหลาดอะไร ที่ผู้รู้จะมีวัตถุธาตุอันเป็นที่สถิตอยู่ของ “กายสิทธิ์ ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายพระหรือฝ่ายบุญกุศล” นี้ไว้ในครอบครอง เพื่อเป็นพลังและให้พลังเพิ่มพูนทรัพยากร แก่ผู้ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม มุ่งบำเพ็ญบุญกุศลคุณความดีและบุญบารมีสูงๆ และ / หรือแก่ผู้ได้มาหรือมีอยู่ในครอบครองด้วยกุศลคุณความดี หรือบุญบารมีที่ตนได้เคยสั่งสมมา เช่น หินผลึก (Rock Crystal) หินQuartz อัญมณี (Gem stone) ทองคำ เงิน และแม้ “ธาตุเหล็กไหล” ต่างๆที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น
แต่พระอริยเจ้า หรือ ผู้มีคุณธรรมสูง และผู้บำเพ็ญบุญบารมีมามาก ท่านไม่จำเป็นต้องแสวงหาและยึดติด (มีอุปาทาน) ด้วยตัณหาและทิฏฐิให้เป็นทุกข์ ท่านได้มาหรือมีอยู่ในครอบครองก็เพียงสักว่ามี หรือเพียงกระทำไปเพื่อเป็นประโยชน์สุขแก่ส่วนรวม และเพียงมีไว้เพื่อประกอบการบำเพ็ญกุศลคุณความดี เพิ่มพูนบุญบารมีของท่านเมื่อสมควรเสียสละให้แก่บุคคลหรือคณะบุคคลที่สมควรให้ ท่านก็เสียสละให้โดยง่าย เพราะท่านผู้เป็นพระอริยเจ้า หรือ ผู้กำลังบำเพ็ญบุญบารมี ย่อมทราบดีว่าทรัพย์ภายนอกล้วนเป็น อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ถ้ายิ่งยึดติดอยู่ด้วยตัณหาและทิฏฐิ ก็ยิ่งเป็นทุกข์ และยิ่งหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ถึงพระนิพพานที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวงได้ … ก็อย่าสงสัยเลย
๒. “กายสิทธิ์ ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายมารหรือฝ่ายบาปอกุศล” ที่ให้พลังทรัพยากรที่เป็นโทษ เป็น “ทุกข์สมบัติ” แก่สัตว์โลกที่ประพฤติปฏิบัติที่ชั่ว ที่เป็นบาปอกุศล
ย่อมสถิตอยู่กับ“วัตถุธาตุที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ หรือที่เป็นอัปมงคล” ไม่ว่าจะเป็น ดิน หิน โลหะแร่ธาตุ อัญมณี…ที่สกปรก ขุ่นมัวไม่สะอาด และที่มีวรรณะ (สี) ที่ไม่เป็นมงคลต่างๆ เช่น สีดำสนิท หรือจะเป็นพืชพันธุ์ที่เป็นพิษและที่เป็นอัปมงคลต่างๆ ได้แก่ หินดำ นิลดำ เพชร/ พลอยดำสนิท แร่อุกาบาต ธาตุเหล็กไหลที่ดำสนิท เป็นต้น ถ้าผู้มีอยู่ในครอบครองมีความประพฤติปฏิบัติที่ชั่วหยาบหรือทุศีลแล้ว ธาตุกายสิทธิ์ประเภทนี้จะให้ผลเป็นโทษ เป็นความทุกข์เดือดร้อน…ที่ร้ายแรงและรวดเร็วมาก
๓. “กายสิทธิ์ ที่ให้ผลได้ทั้งคุณและโทษ” แก่ผู้มีอยู่ในครอบครอง ที่ประพฤติปฏิบัติดีบ้าง ชั่วบ้าง ก็สถิตอยู่กับวัตถุธาตุที่มีลักษณะทั้ง ๒ อย่างข้างต้นปะปนกัน
ถ้าได้รับการเจริญภาวนาอธิษฐานจิตจากผู้ทรงศีลทรงธรรม “ปรับธาตุธรรม” ให้เป็นกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายพระหรือฝ่ายบุญกุศล ที่ให้พลังเป็นพลังทรัพยากรที่ให้คุณ ก็กลับเป็นสุขสมบัติได้ และ/หรือถ้าอยู่กับคนดี มีศีลมีธรรม ประกอบแต่คุณความดียิ่งๆขึ้นไป ไม่ประมาท ก็ให้ผลเป็นสุขสมบัติได้ตามส่วนเหมือนกันแต่ถ้าอยู่กับคนชั่ว คนทุศีล ก็ให้ผลเป็นโทษ เป็นความทุกข์เดือดร้อนได้ ๔. วัตถุธาตุกายสิทธิ์ตามธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เป็นธาตุธรรมฝ่ายพระหรือฝ่ายบุญกุศล ที่เคยให้สุขสมบัติระดับโลกิยะ (มนุษย์สมบัติ / สวรรค์สมบัติ) แต่เดิม ถ้านำไปสร้างเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญ เช่น เอาหินผลึก(Rock Crystal) หินQuartz หรือ อัญมณีที่ใสบริสุทธิ์หรือโลหะทองคำ เงิน นาก ฯลฯ หรือ ธาตุเหล็กไหลที่บริสุทธิ์ ไปทำเป็นพระพุทธรูป หรือ พระปฏิมาจำลองจักรพรรดิ พระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า พระโพธิสัตว์ ฯลฯธาตุกายสิทธิ์ที่สถิตอยู่ ณ ภายในวัตถุธาตุเช่นนั้น จะเข้าสู่กระแสธรรมกลายเป็น “พระจักรพรรดิ” ภาคผู้เลี้ยงที่มีพลังอำนาจสูง ให้สุขสมบัติทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ชักนำให้ผู้สร้างปูชนียวัตถุนั้นเข้าสู่กระแสธรรม ให้ไม่ตกต่ำไปในทางชั่วได้มากผู้รู้จึงมักนิยมสร้างพระพุทธรูปด้วย “วัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ดี” เพื่อเป็นอริยทรัพย์ฝากไว้ในพระพุทธศาสนา อันเป็นมหานิสงส์ที่จะติดตามให้ผลเป็นทั้งโลกิยะสมบัติถึงโลกุตตระสมบัติ แก่ผู้มีจิตศรัทธาสร้างถวายต่อๆไปทุกภพทุกชาติตราบเท่าเข้าสู่ปรินิพพาน และในส่วนของกายสิทธิ์ที่สถิตอยู่กับปูชนียวัตถุที่สร้างขึ้นด้วยวัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ดี ที่บริสุทธิ์เช่นนั้น ก็จะเข้าสู่กระแสธรรมกลายเป็น…..“พระจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงฝ่ายพระ” ทั้งระดับโลกิยะและโลกุตตระ ที่มีพลังอำนาจสูง….. แก่ผู้เคารพกราบไหว้บูชา ด้วยทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา กับเป็นบุญเป็นกุศลแก่ผู้สร้างถวายนั้นเป็นทับทวี
พระผู้รู้จึงนิยมสร้างพระพุทธรูปบูชาขนาดเล็ก สำหรับให้บูชาติดตัว หรือขนาดพระบูชาประจำบ้าน มอบให้แก่ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาบำเพ็ญกุศล บำรุงวัด หรืออุปถัมภ์พระพุทธศาสนาตามสมควรแก่กำลังศรัทธา ไว้เป็นที่เคารพบูชา เป็นพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ และเป็นสิริมงคลแก่การดำเนินชีวิตไปตามกระแสธรรม สู่ความเจริญรุ่งเรืองเเละสันติสุขยิ่งๆขึ้นไป
ส่วนวัตถุธาตุกายสิทธิ์ธรรมชาติที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นธาตุธรรมฝ่ายมารหรือธาตุธรรมดำ ที่เคยให้ทุกข์สมบัติแก่สัตว์โลกผู้ปฏิบัติชั่วหยาบ เป็นผู้ทุศีล เช่น หินดำสนิท นิลดำสนิท
เพชรพลอยดำสนิท แร่อุกาบาตที่ดำสนิท ธาตุเหล็กไหลที่ดำสนิท เป็นต้น
ถ้าเอาไปสร้างเป็นปูชนียวัตถุก็จะกลับมีพลังอำนาจแรงขึ้น กายสิทธิ์ที่มีธาตุธรรมดำหรือภาคมารอยู่แต่เดิม จะเปลี่ยนสภาพเป็น “จักรพรรดิที่มีพลังอำนาจของภาคมาร” แฝงอยู่ด้วยสูงขึ้น
หากผู้มีไว้ในครอบครอง หรือ วัดวาอารามที่พระภิกษุผู้มีอำนาจปกครองและพระลูกวัด ไม่มีคุณธรรมดีพอ มีวัตรปฏิบัติที่ย่อหย่อนในพระธรรมวินัยแล้ว จะได้รับผลเป็น “ทุกข์สมบัติ”
ทำให้มีปัญหาความล้มเหลวในกิจการงาน และเป็นความทุกข์เดือดร้อนได้มาก“วัตถุธาตุกายสิทธิ์ภาคมาร หรือ ธาตุธรรมภาคดำ” (ฝ่ายบาปอกุศล) มีอำนาจสอดละเอียด คือ
มีอำนาจสอดแทรกเข้ามาทำหน้าที่ครอบงำ / ชักนำ ผู้ปฏิบัติและทรงธรรมภาคขาวหรือฝ่ายบุญกุศล…ที่ยังไม่แก่กล้าดีพอ ให้ปฏิบัติตนเป็นอุปสรรคหรือผลร้ายแก่การศึกษา การอบรมธรรมปฏิบัติ และการเผยแพร่พระสัทธรรมที่ถูกต้องสมบูรณ์ให้เป็นผลสำเร็จได้ยาก และมีผลให้การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยย่อหย่อน และให้เสื่อมถอยลงได้มากและเร็วยิ่งขึ้น และยังจะให้ผลเกี่ยวเนื่องไปถึงการเศรษฐกิจและสังคมประเทศชาติให้เสื่อมเสียลงได้มาก
เพราะเหตุนั้นตามธรรมดาแล้ว ผู้รู้จะไม่นิยมสร้างปูชนียวัตถุด้วยวัตถุธาตุเป็นที่สถิตอยู่ของ “กายสิทธิ์ภาคมาร หรือธาตุธรรมภาคดำ” เลย เว้นแต่ผู้สร้างจะเป็นพระอริยเจ้า หรือ ผู้ทรงคุณธรรมสูง ผู้ทรงอำนาจสิทธิที่สามารถเจริญภาวนาชำระธาตุธรรมภาคดำและได้พลิกธาตุธรรมนั้น ให้เป็นธาตุธรรมฝ่ายขาวหรือฝ่ายบุญกุศล ที่จะให้สุขสมบัติแต่ส่วนเดียวได้แล้วเท่านั้นมิฉะนั้นแล้วผู้มีไว้ในครอบครอง ที่ไม่มีคุณธรรมสูงพอที่จะควบคุมกายสิทธิ์ภาคมารหรือธาตุธรรมภาคดำ ให้อยู่ในอำนาจแห่งกระแสธรรมที่จะให้คุณเป็นสุขสมบัติได้แล้ว ภาคมารเขาก็จะทำหน้าที่ของเขาได้เต็มที่ คือ ชักนำผู้มีไว้ในครอบครองไปสู่ความเสื่อม หรือเป็นโทษถึงความทุกข์เดือดร้อนได้ง่าย