คนเราเกิดมาก็มีทำดีบ้างทำชั่วบ้าง บางคนทำดีมากกว่าทำชั่ว บางคนทำชั่วมากกว่าทำดี แต่ละคนก็น่าจะพอมีเรื่องราวดีๆ ที่น่าภาคภูมิใจในชีวิตกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย อาตมาอยากจะเล่าเรื่องของตัวเองเอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เอาไว้เป็นอุทาหรณ์ในการใช้ชีวิต ตอนนี้อาตมาก็มีอายุได้ 65 ปีเต็มแล้วกำลังก้าวย่างเข้าสู่อายุ 66 ปี ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่ การได้เขียนเรื่องของตัวเองด้วยตัวเองย่อมดีกว่าให้คนอื่นเขียน เพราะตัวเราเองย่อมรู้เรื่องของตัวเองได้ดีที่สุด
อาตมาหวังว่าเรื่องที่อาตมาจะเล่าต่อไปนี้จะเป็นกำลังใจให้คนที่ต้องการทำความดีได้มุ่งมั่นทำความดีต่อไป โดยถือเอาเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของอาตมาเป็นตัวอย่าง เริ่มแต่การเกิดมาในโลกใบนี้ของอาตมาก็ไม่เหมือนใคร โยมแม่เล่าว่าก่อนอาตมาจะเกิดโยมแม่ฝันไปว่าได้สร้อยทองเส้นสวยมาใส่ หลังจากนั้นไม่นานก็ตั้งครรภ์ วันที่อาตมาเกิดนั้นโยมแม่ก็บอกว่าอาตมาเป็นเด็กที่คลอดง่ายมาก ไม่ทำให้แม่เจ็บเลย ใครๆ ก็บอกแม่ว่าการคลอดลูกจะต้องเจ็บมาก แต่โยมแม่เล่าว่าตอนคลอดอาตมานั้นเหมือน “ปวดท้องขี้ (ภาษาคนรุ่นเก่า) พอเบ่งก็คลอดออกมาเลย” นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่โยมแม่รักอาตมามาก เพราะคนโบราณเชื่อกันว่าเด็กที่คลอดง่ายแบบนี้เป็นผู้มีบุญมาเกิด
พอเกิดได้วันเดียวคุณแม่และคุณตาก็อุ้มอาตมาไปกราบหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ที่ต้องรีบไปเพราะจะให้หลวงพ่อสดท่านตั้งชื่อให้จะได้ไปแจ้งแก่โรงพยาบาลว่าเด็กมีชื่อว่าอะไร (แจ้งภายใน 7 วัน) เท่ากับว่าอาตมาได้ไปกราบหลวงพ่อสดตั้งแต่เกิด จะมีใครโชคดีเหมือนกับอาตมาบ้าง และเหมือนกับอาตมาได้ไปรายงานตัวกับหลวงพ่อว่า “ได้ลงมาเกิดแล้ว” พออายุได้ไม่กี่ขวบโยมแม่ก็เล่าว่ามีซินแสมาบอกแม่ว่าห้ามตีเด็กคนนี้ แล้วก็ไม่ต้องสอนเพราะเด็กคนนี้เขาจะดีด้วยตัวของเขาเอง อาตมาจึงเติบโตขึ้นมาโดยไม่ถูกตีเลย ผิดกับเด็กสมัยนั้นที่ต้องโตมากับไม้เรียว เพราะคนโบราณชอบตีเด็กเพื่อหวังให้เด็กได้ดี
พออายุได้ 13-14 ปี อาตมาก็เริ่มถือศีล 5 ต่อมาก็เริ่มนั่งสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ อ่านหนังสือเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ของ ท. เลียงพิบูลย์ จนจบทุกเล่มทุกตอน ต่อมาก็เริ่มออกเดินทางไปกราบพระตามที่ต่างๆ โดยพยายามเลือกไปกราบพระที่คนเขาเชื่อกันว่าเป็นพระอรหันต์ ในชีวิตนี้อาตมาจำไม่ได้หมดหรอกว่าได้ไปกราบพระที่ไหนมาบ้าง เพราะไปมาหมดทุกจังหวัด ว่างเป็นต้องไปขึ้นรถทัวร์ออกเดินทางแสวงบุญมาตลอดชีวิต อาตมาได้ไปกราบหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ปั๋งตั้งแต่อาตมาอายุประมาณ 15-16 ปี ได้นั่งห่างจากหลวงปู่แหวนเพียงแค่ 1 เมตรกว่าๆ เพื่อฟังท่านเทศน์อบรมนานร่วม 45 นาที โดยท่านให้พระมาตามอาตมาในขณะที่อาตมากำลังนั่งสมาธิอยู่ในศาลาให้ไปหาหลวงปู่ที่กุฏิ “โยมๆ หลวงปู่แหวนให้ไปหาที่กุฏิ” ทุกวันนี้อาตมาก็ยังจำใบหน้าและแววตาของหลวงปู่ได้ดีไม่มีลืม
อาตมาได้มีโอกาสไปนอนค้างเพื่อปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่สิมวัดถ้ำผาปล่อง ได้รับความเมตตาจากท่านในการปฏิบัติธรรมและท่านยังเมตตาเล่าเรื่องพญานาคที่มาฟ้อนรำถวาย ได้เดินตามหลวงปู่สิมไปที่หลังเขาเพื่อดูบ่อน้ำซับ “ไอ้หนู มาดูตรงนี้ นี่ไงทางขึ้นลงของพวกพญานาค” ท่านคงเอ็นดูอาตมาเพราะเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มที่สนใจธรรมะซึ่งหาได้ยากในสมัยนั้น ทั้งยังมีโอกาสได้นำแอปเปิ้ลไปถวายแก่หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่เมตตารับแอปเปิ้ลของเด็กน้อยด้วยมือของท่านเอง อาตมาซื้อจากที่กรุงเทพแล้วห่ออย่างดีใส่เป้ขึ้นรถทัวร์เพื่อไปถวายท่านเพราะทราบมาว่าท่านชอบฉันแอปเปิ้ล อาตมาจึงซึมซับธรรมะและวิธีปฏิบัติธรรมของพระป่ามาโดยตลอด
พอเข้าจุฬาได้ก็ยังไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรม ได้เข้าไปอยู่ในชมรมพุทธจุฬาเพื่อสวดมนต์และนั่งสมาธิในเวลาเย็นเสมอๆ จนถึงปี 3 ก็ได้ไปรู้จักกับ “หลวงป๋า” ก่อนที่อาตมาจะได้เจอหลวงป๋าเป็นครั้งแรกนั้น อาตมาก็มีนิมิตเห็นหลวงป๋าก่อนราวๆ 2 สัปดาห์ เป็นนิมิตที่ชัดเจนโดยเห็นหลวงป๋าเป็นพระทองคำทั้งองค์ (ศีรษะล้าน) พอไปเจอหลวงป๋าวันแรกก็ตกตะลึงเพราะหน้าตาและรูปร่างเหมือนกับที่อาตมาเห็นในนิมิต 100% แปลกไหมโยมที่คนไม่รู้จักกันแต่พบกันก่อนในฝันแล้วก็ได้เจอกันจริงๆ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกอาตมาก็ไม่เคยจากหลวงป๋าไปไหนอีกเลยนับเวลาร่วม 40 ปี ท่านเปรียบเสมือนพ่อแท้ๆ ของอาตมา จนต่อมาอาตมาก็ได้ไปเป็นลูกเขยของท่านเพราะแต่งงานกับโยมนิดที่เป็นลูกสาวของหลวงป๋า
วันที่อาตมาเจอโยมนิดครั้งแรกที่บ้านหลวงป๋าในซอยโชคชัย 4 นั้น อาตมาก็รู้ทันทีว่าได้เจอเนื้อคู่แล้ว ภายหลังอาตมาได้เล่าเรื่องนี้ให้โยมนิดฟัง โยมนิดกลับบอกว่าเธอรู้มาก่อนอาตมาอีก เพราะวันแรกที่อาตมาไปพบกับหลวงป๋าที่ยูซิสนั้น พอหลวงป๋ากลับมาถึงบ้านก็ไปบอกโยมนิดว่า “ไอ้นิด วันนี้ป๋าเจอเนื้อคู่ของเอ็งแล้ว” สรุปว่าอาตมารู้เป็นคนสุดท้าย
วันแรกที่เจอกับหลวงป๋าท่านก็พูดออกมาทันทีว่า “พวกเธอคือพวกที่หลวงพ่อสดเกณฑ์ลงมาเกิดเพื่อช่วยงานพระศาสนา พวกเธอเป็นแม่ทัพขุนศึกของกองทัพธรรม” วันนั้นอาตมาไปพร้อมกับเพื่อนที่จุฬาอีก 2-3 คน โดยมีพี่ตี้อาจารย์ที่คณะเป็นผู้พาไป หลังจากนั้นไม่นานหลวงป๋าก็พาอาตมาขึ้นไปกราบรายงานตัวกับพระพุทธเจ้าองค์ต้นธาตุต้นธรรมบนพระนิพพาน เพื่อทูลขอพรและรับมอบรัตนเจ็ดติดตัว
เมื่อช่วยงานหลวงป๋าได้ไม่นานอาตมาก็มีนิมิตว่าได้ขึ้นไปรายงานตัวกับหลวงพ่อสดในปราสาททำวิชชาของท่าน โดยในการรายงานตัวต่อหลวงพ่อสดนั้นท่านถามว่าอาตมาว่าชื่ออะไร อาตมาก็ตอบท่านไปว่า “ผมชื่อเสริมชัยครับ” (เสริมชัยคือชื่อของหลวงป๋า) ไม่รู้ว่าอาตมาตอบท่านไปอย่างนั้นได้อย่างไร หลวงพ่อสดท่านก็รับทราบไม่ได้ท้วงติงอะไร ในความฝันนั้นหลวงพ่อสดท่านมีเมตตามาก แววตาไม่ดุเหมือนในรูปถ่าย บรรยากาศภายในปราสาททำวิชชาก็สงบเยือกเย็น ทุกอย่างเป็นแก้วใสไม่มีสีใดๆ เจือปน เป็นบรรยากาศที่ทำให้เกิดความสุขเย็นกายเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก
หลวงปู่เทพโลกอุดรมาโปรด ในการพบกับหลวงปู่ครั้งแรกอาตมาก็ยังไม่ทราบว่าท่านเป็นใครด้วยซ้ำ ทราบแต่ว่าท่านอยู่ในมิติที่ไม่เหมือนในโลกมนุษย์ เป็นดินแดนที่สว่างแต่ไม่แสบตาและไม่มีเงาแดด เป็นที่มีดอกไม้เป็นพุ่มๆ จัดไว้อย่างสวยงาม ท่านยืนสงบนิ่งมีเมตตาสูงมาก ยืนในท่าที่เอามือทั้งสองประกบกันไว้ที่ด้านหน้าเหมือนการยืนเพ่งกรรมฐานของพระป่า ในฝันนั้นท่านสอนให้อาตมาเหาะ แล้วก็พาชมสถานที่แห่งนั้นโดยท่านเหาะยืนประกบอยู่ที่ด้านหลังห่างจากตัวอาตมาพอสมควรไปเที่ยวชมสวนเล่นจนพอใจแล้วจึงตื่น
ต่อมาหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านก็ประทานอาหารมาให้อาตมากิน โดยท่านส่งอาหารมาในอากาศเป็นอาหารหลากหลายชนิดที่เข้าชุดกันอยู่ในถาดกลมๆ ลอยมาเป็นชุดๆ เป็นแถวเรียงเดี่ยวมาให้อาตมาเลือกกิน โดยท่านพูดก้องฟ้ามาด้วยเสียงอันดังกัมปนาทว่า “เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร ให้เจ้าเลือกกินอาหารได้ตามความพอใจ” (ท่านพูดชื่อออกมาแบบนี้ก็ทำให้หมดความสงสัยว่าท่านเป็นใครเลย) พออาตมาเลือกอาหารได้ อาหารถาดนั้นก็ลอยละลิ่วลงมาจากฟ้า อาตมาก็เอามือทั้ง 2 รับถาดนั้นมาทาน
หลวงปู่เทพโลกอุดรมารับไปเป็นลูกศิษย์ของท่าน ในนิมิตนั้นอาตมาได้ไปกราบขอเป็นลูกศิษย์ของท่าน โดยได้แต่งชุดขาวในมือถือดอกไม้ธูปเทียน (ใช้ธูป 7 ดอก) แล้วเข้าไปกราบขอเป็นลูกศิษย์ของท่านที่ภายในโบสถ์ของวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง หลังจากนั้นท่านก็มาบอกว่าตอนนี้อาตมาได้เข้าไปเป็นลูกศิษย์ของท่านเรียบร้อยแล้ว โดยในคณะศิษย์ที่อาตมาอยู่ด้วยนั้นจะมีอยู่ทั้งหมดจำนวน 9 คนด้วยกัน อาตมาจะเป็นลูกศิษย์คนที่ 8 ในกลุ่มนี้
หลวงปู่เทพโลกอุดรประทานข้าวเหนียวดำไพรดำ อาตมามีนิมิตว่ามีเทวดา 2 ท่านมาพาอาตมาไปที่อยู่ของหลวงปู่เทพโลกอุดร เมื่อเข้าไปถึงก็ปรากฏว่าได้มีคนกลุ่มหนึ่งมาถึงก่อนแล้ว ต่างก็นั่งคุกเข่าต่อแถวเรียงหนึ่งกัน อาตมาก็เข้าไปต่อแถวกับเขาด้วย แล้วก็เขยิบเข้าไปกันทีละคน พออาตมาคลานเข้าไปก็พบว่าเบื้องหน้าคือหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านนั่งอยู่บนตอไม้ห้อยขาทั้ง 2 มาที่ข้างหน้า อาตมารู้สึกดีใจมากที่ได้พบท่าน จึงขยับตัวเข้าไปเพื่อที่จะกราบเท้าท่าน แต่ปรากฏว่ามีพลังบางอย่างบังคับให้อาตมาเงยหน้าขึ้น แล้วก็อ้าปาก หลวงปู่ท่านปั้นอะไรดำๆ หยิบมือหนึ่งป้อนเข้าปากอาตมา อาตมาก็กลืนลงไปแบบงงๆ มารู้ภายหลังว่าเป็นข้าวเหนียวดำไพรดำที่หลวงปู่ประทานให้แก่หมู่ลูกศิษย์ของท่านนั่นเอง อาตมาได้รับการประทานข้าวเหนียวดำไพรดำจากหลวงปู่เทพโลกอุดรแบบนี้มา 2-3 ครั้งแล้ว
หลวงปู่เทพโลกอุดรมาเจิมหน้าผากและเป่ากระหม่อมให้ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านอาตมาเองที่โชคชัย 4 (อาตมาอยู่บ้านที่หลวงป๋าเคยอยู่ก่อนออกบวช) โดยวันนั้นมีเพื่อนที่เป็นผู้พิพากษาท่านหนึ่งมาที่บ้าน ท่านเกิดอยากชมบารมีของเกสาของหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านรู้ว่าอาตมามีอยู่จึงมาขอดูสักครั้ง เมื่อดูไปได้เพียงครู่เดียวท่านผู้พิพากษาท่านนี้ก็หัวเราะเสียงดังจนผิดปกติ ท่านแสดงตัวว่าไม่ใช่ผู้พิพากษาคนเดิม แสดงท่าทางยิ้มแย้มพออกพอใจ แล้วท่านก็จับอาตมาให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าท่านแล้วก็เอานิ้วชี้มาเขียนยันต์ที่หน้าผากของอาตมา เมื่อเขียนเสร็จท่านก็เป่ากระหม่อมให้อีก แล้วท่านผู้พิพากษาท่านนั้นก็กลับมาเป็นคนเดิม
หลวงปู่เทพโลกอุดรมาลงยันต์ให้ทั้งตัว วันหนึ่งอาตมาอยากจะลองตรวจพุทธคุณของพระอรหันต์จกบาตรกรุวังหน้า โดยตั้งใจว่าครั้งนี้จะเป็นการตรวจโดยละเอียด จะตรวจพุทธคุณให้ครบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในองค์พระ พออาตมาตรวจพุทธคุณไปจนถึงราวๆ รอบที่ 11 ก็ปรากฏว่าเกิดเหตุอัศจรรย์คือมือที่อาตมากำพระอยู่นั้นมันไม่เคลื่อนไหวไปในรูปแบบเดิม แต่มือขวาที่กำพระอยู่นั้นนิ้วชี้กลับยื่นออกมาแล้วทำการเขียนยันต์ลงไปที่กลางกระหม่อม เขียนไล่ลงมาแบบไม่ยกมือไปที่ดวงตา หู จมูก ปาก ลิ้น (ล้วงมือเข้าไปในปากแล้วเอานิ้วเขียนยันต์ลงบนลิ้น) คอหอย หัวใจ ไหล่ กลางอุ้งมือทั้ง 2 ข้าง ไปที่สะดือ ไปที่ก้น แล้วลากไปเขียนยันต์ที่ใต้ฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้าง กินเวลาทั้งหมดร่วมๆ 20-30 นาที ตอนนั้นอาตมารู้สึกว่านานมาก ไม่คิดไม่ฝันล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ พอหลวงปู่ท่านลงเสร็จอาตมาก็ลงไปนอนหงายแบบหมดสภาพเลย…เหนื่อยมาก
ใส่บาตรหลวงปู่เทพโลกอุดรที่ดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ วันหนึ่งอาตมาไปถึงเชียงใหม่แต่เช้าตั้งใจว่าจะไปกราบพระธาตุดอยสุเทพ พอไปถึงเชิงบันไดขึ้นองค์พระธาตุก็มองเห็นพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งกำลังเดินถือบาตรลงบันไดมา เนื่องจากเป็นเวลาเช้ามากจึงยังไม่มีนักท่องเที่ยวในบริเวณนั้นเลย อาตมาเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปที่ร้านขายอาหารที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อจะซื้ออาหารใส่บาตร ไม่แน่ใจว่าได้ซื้ออะไรบ้างแต่คงจะเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งและผลไม้ เมื่อซื้อเสร็จก็รีบวิ่งขึ้นบันไดเพื่อไปใส่บาตรท่าน ถ้าคนเคยไปพระธาตุดอยสุเทพจะทราบดีว่าบันไดเดินขึ้นพระธาตุนั้นเป็นบันไดที่กว้างขวางและมีระยะทางยาวมาก พอไปถึงท่านก็หยุดเพื่อรับบาตร อาตมาใส่เสร็จก็สังเกตเห็นว่าท่านเป็นพระภิกษุหนุ่มรูปงามผิวขาว พอรับบาตรเสร็จท่านก็เดินลง อาตมาก็เดินขึ้นเพื่อจะไปกราบพระธาตุ ไม่ทราบอย่างไรอาตมาเกิดหันกลับไปมองพระภิกษุรูปนั้น อ้าวท่านหายไปแล้ว ท่านจะหายไปได้อย่างไรก็เพิ่งเดินสวนกันแค่พริบตาเดียว บันไดก็เป็นที่โล่งๆ ไม่มีคนเลย มีแต่อาตมาผู้เดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้น อาตมายืนงงพยายามมองหาพระรูปนั้นแต่ก็หาไม่เจอ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเป็นหลวงปู่เทพโลกอุดรหรอก คิดแต่แปลกใจที่พระท่านหายตัวไปได้อย่างไร ตอนหลังกลับมาคิดทบทวนดู ท่านคงเป็นหลวงปู่เทพโลกอุดรมาโปรดอาตมานั่นเอง
หลวงปู่เทพโลกอุดรมาบอกว่าอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ คืนหนึ่งนิมิตว่าได้ไปกราบหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านได้บอกว่าอาตมานั้นเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง แล้วก่อนมาเกิดนั้นอาตมาก็เป็นมหาเทพองค์หนึ่งของชาวสวรรค์ บนสวรรค์นั้นอาตมาได้รับความเคารพอย่างสูงจนมีเพลงสรรเสริญประจำตัวด้วย หลวงปู่ท่านคงมาบอกเพื่อให้กำลังใจและให้เร่งสร้างบารมี ท่านคงรู้ว่าอาตมามีความคิดว่าไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว อยากไปนิพพานเลยในชาตินี้
หลวงปู่เทพโลกอุดรมาบอกว่าท่านอนุญาตให้อาตมาทำงานในชื่อในนามของท่านได้ ถ้าจะทำอะไรเกี่ยวกับการบุญกุศลในการค้ำชูพระศาสนา ก็สามารถทำในนามของท่านได้ท่านอนุญาต เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาตมาภูมิใจที่สุดในชีวิต เพราะการที่หลวงปู่ท่านมาบอกแบบนี้ก็แสดงว่าท่านไว้ใจและเชื่อในตัวอาตมามาก ท่านจึงประทานสิทธิอำนาจของท่านให้แก่อาตมา นอกจากนั้นท่านยังประทานญาณทัศนะของท่านมาให้แก่อาตมาไว้ใช้อีกด้วย ท่านคงรู้ว่าอาตมายังไม่เก่งท่านก็เลยส่งญาณทัศนะของท่านมาให้แก่อาตมา เดิมอาตมาก็ไม่ทราบจนวันหนึ่งหลวงป๋าท่านพูดขึ้นมาว่า “อู๋ เธอใช้ญาณทัศนะของหลวงปู่เทพโลกอุดรตรวจของให้หลวงป๋าหรือ” ซึ่งก็ตรงกับคำพูดที่หลวงเตี่ยวัดบุดดา (ลูกศิษย์หลวงปู่บุดดา) กล่าวไว้ไม่ผิดเลยว่า อาตมาใช้ญาณทัศนะของหลวงปู่เทพโลกอุดรในการกำหนดจิตตรวจเรื่องราวต่างๆ
หลวงปู่เทพโลกอุดรมาประทานแสงทิพย์รักษาโรคท้องร่วงให้ ท่านมาฉายลำแสงสีทองส่องเป็นลำเข้ามาที่กระหม่อมแล้วค่อยๆ ไล่ไปจนถึงท้อง ทำให้โรคท้องร่วงของอาตมาหายไปได้
ไม่ใช่แต่หลวงปู่เทพโลกอุดรเท่านั้นที่ประทานอาหารมาให้อาตมา หลวงพ่อฤๅษีลิงดำก็เคยเดินถือถาดอาหารมาให้ในนิมิตอีกด้วย ครูบาอาจารย์ที่แวะเวียนมาโปรดอาตมายังมีอีกมากจำได้บ้างไม่ได้บ้าง ที่พอจำได้ก็มีหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ์นำพระและตะกรุดมากมายมาให้ หลวงปู่ดู่วัดสะแกมารับการถวายอาหารเพลจากอาตมา หลวงพ่อคูณมาโปรด 4-5 ครั้ง หลวงปู่พระอรหันต์โบราณที่เมืองแก้วเวหาก็มาโปรดอาตมาในนิมิต ฯลฯ
ขึ้นไปกราบท่านพ่อพระอินทร์ หลังจากที่มีนิมิตว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนำอาหารมาให้ ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือนอาตมาก็ได้มีโอกาสไปฝึกนั่งสมาธิในแบบมโนมยิทธิกับอาจารย์นิดที่เชียงใหม่ เมื่อไปถึงบ้านท่านก็จับให้อาตมานั่งทันที โดยให้กำหนดจิตติดตามพระพุทธเจ้าไป ดูจีวรพริ้วสีเหลืองของท่านไม่ให้คลาดสายตา อาตมาก็ดูตามไปเรื่อยจนจิตวิ่งขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อาจารย์ถามว่าเห็นท่านพระอินทร์ไหม อาตมาก็เห็นเป็นภาพลางๆ เหมือนเงา เห็นท่านพระอินทร์นั่งอยู่บนแท่นห้อยขาลงมาที่พื้น ตอนนั้นอาตมาเกิดจำได้ว่าได้จากท่านพระอินทร์มานานมีความคิดถึงท่านมาก เลยพุ่งตัวเข้าไปกอดขาท่านไว้ ทีนี้เลยยิ่งจำได้ว่าท่านเป็นพ่อของอาตมา อาตมาเป็นลูกของท่าน เท่านั้นแหละความดีใจที่ได้กลับมาพบพ่อและความเสียใจที่จากท่านมานาน ความรู้สึกคิดถึงทั้งดีใจและเสียใจนี้มันตีกันตูมตามในหัวอก จนร้องไห้ฟูมฟายออกมา
น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย น้ำมูกก็ไหลออกมาพร้อมกัน อาตมายิ่งสะกดกลั้นไม่ให้ร้องไห้เพราะอายท่านอาจารย์นิด มันก็ยิ่งระเบิดตูมออกมากลายเป็นร้องไห้โฮๆ เหมือนเด็ก เกิดมาอาตมาก็ไม่เคยร้องไห้หนักขนาดนี้ มือก็ไม่ยอมปล่อยขาของท่านพ่อพระอินทร์ นึกภาพดูแล้วก็น่าขำ จนในที่สุดสมาธิก็แตกไม่สามารถกำหนดจิตต่อไปได้อีก วันนั้นเองอาตมาจึงได้ทราบว่าตัวเองเป็นลูกท่านพ่อพระอินทร์ ต้องลงมาทำงานเพื่อพระศาสนาและจากพ่อที่รักมาอย่างสุดเสียใจ
ในชีวิตได้รับคำชมจากพระ 2 รูป รูปหนึ่งไม่ทราบชื่อ วัดท่านอยู่ซ้ายมือบนถนนทางไปจังหวัดสุพรรณบุรี วันนั้นอาตมาซื้อของสังฆทานอย่างดีแล้วขับรถไปเรื่อยๆ เห็นวัดไหนพอใจก็จะเข้าไปถวายเลย สุ่มเอาตามแต่โชคชะตา เมื่อเข้าไปในวัดเห็นศาลาใหญ่แห่งหนึ่งมีคนนั่งพับเพียบบนพื้นกันเต็มศาลาราวๆ 60-70 คน มีพระชราผอมๆ ท่านหนึ่งยืนเด่นอยู่ในมือถือไมโครโฟนกำลังพูดเรื่องอะไรไม่ทราบ อาตมาเข้าไปเพียงเพื่อต้องการถวายของแก่พระภิกษุเท่านั้น ท่านมองเห็นอาตมาจึงพูดถามขึ้นมาว่ามาทำไม อาตมาจึงค่อยๆ เดินเข้าไปกราบเรียนท่านว่าจะมาถวายของแล้วก็จะกลับออกไปเลย ท่านยืนมองอาตมาครู่หนึ่งแล้วก็รับของ ขณะที่อาตมากำลังเดินกลับออกไปนั้นท่านบอกว่าให้อาตมารอครู่หนึ่ง แล้วอยู่ๆ ท่านก็พูดออกไมโครโฟนว่า “พวกเราอนุโมทนาบุญกับโยมท่านผู้นี้ด้วย เขาเป็นคนดีเป็นผู้มีบุญบารมีมากนะ” พอท่านพูดจบคนในศาลาทั้งหมดก็กล่าวสาธุการกันทั้งศาลา อาตมาเลยเดินออกไปอย่างเขินๆ ที่พระท่านนั้นพูดชมเชยอาตมาทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ต่อมาอีกไม่นานนักอาตมาก็กลับไปที่วัดนั้นอีกครั้งปรากฏว่าท่านละสังขารไปแล้ว ร่างท่านไม่เน่าไม่เปื่อยอยู่ในโลงแก้ว
อีกองค์หนึ่งก็คือหลวงพ่อฉาบวัดศรีสาครจังหวัดสิงห์บุรี พระองค์นี้ท่านเป็นพระอภิญญา อาตมาเข้าไปกราบท่านที่กุฏิ ท่านมองหน้าอาตมาแล้วท่านก็มองออกไปที่นอกหน้าต่างเป็นเวลาค่อนข้างนาน อาตมาก็คิดสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมท่านไม่กล่าวทักทายพูดคุยเหมือนพระทั่วไป สักครู่หนึ่งท่านหันกลับมาพูดกับอาตมาว่า “อาตมามองตรวจออกไปจนสุดสายตา ยังไม่เห็นมีใครมีคุณความดีเท่ากับโยมเลย” ท่านพูดกับอาตมาอย่างนี้ทั้งๆ ที่เป็นการเจอกันเป็นครั้งแรก
เรื่องแปลกๆ ก็มีอีกเช่น ได้ฝนทิพย์จากหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์มาประพรมให้ขณะนอนหลับจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา เห็นเป็นน้ำตกลงมาที่ตัวและพื้นห้อง ได้น้ำทิพย์จากเทพเทวาผู้ดูแลรักษาโบสถ์ของวัดหลวงพ่อสดในขณะนั่งสมาธิที่ชั้นลอยใต้ถุนโบสถ์ มองเห็นเป็นสายฟ้าใสๆ เหมือนน้ำแข็งพุ่งลงมาเข้าไปในปากจนถึงท้อง หลวงปู่สรวงเป่ากระหม่อมให้เป็นเหมือนแท่งน้ำแข็งพุ่งเข้ามาเสียบกลางกระหม่อมพุ่งลงไปถึงท้อง…เย็นวาบไปทั้งตัว ได้เห็นพระเหาะได้ลอยตัวอยู่เหนือพื้น 1 คืบ ล่องลอยไปเหมือนเล่นเสก็ต ได้เห็นพระแปลงตัวจากพระแก่เป็นพระหนุ่ม พระสูงใหญ่หดตัวลงมาเท่าคนธรรมดา พระธรรมดาแปลงกายเป็นพระทองคำ ฯลฯ
เรื่องบางเรื่องอาตมาก็ยังไม่สามารถเล่าออกไปได้ อาตมาอาจจะเล่าตอนที่อาตมาจะตายเพื่อไม่ให้เรื่องสูญหายไป ใครอยากรู้ก็อย่าเพิ่งตายก่อนอาตมานะ และที่อาตมาเล่ามาทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อหวังว่าจะเป็นกำลังใจให้โยมทำคุณความดี สร้างบุญบารมี ทาน ศีล ภาวนา ปัญญา กันให้มากๆ เพราะบุญ-บาปนั้นเป็นเรื่องจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำอะไรฟ้าดินเบื้องบนท่านเห็น ครูบาอาจารย์ท่านเห็น และอาตมาก็ต้องการที่จะสร้างกำลังใจให้แก่โยมที่ได้มาร่วมบุญกับอาตมาและโยมที่มาอุปัฏฐากอาตมา ให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ได้อิ่มเอมใจในบุญที่ได้ทำร่วมกันกับอาตมา