Sri Chai Ya
นักเล่าเรื่องจากภาพ · 29 สิงหาคม เวลา 08:00 น.
ไปดูหน้าวัด ไม่ต้องไปดูไกล…. แรกเริ่มเดิมที ก่อนที่จะมาเป็น..วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร.ในปัจจุบัน สถานที่บริเวณแห่งนี้ในอดีต นอกจากจะเป็นป่ารกชัฏแล้วยังมี”หนองน้ำ” ซึ่งมีเนื้อที่เกือบ2ไร่อยู่ภายในบริเวณนั้นอีกด้วย(ปัจจุบันชาวบ้านรุกป่าทำมาหากินทำให้พื้นที่หนองเหลือน้อยมาก) หนองน้ำที่ว่านี้จะมี”ผักพิพวย”..(ผักพื้นบ้านชนิดหนึ่ง) ขึ้นอยู่เต็มหนองน้ำผักพิพวยนี้ชาวบ้านนิยมเก็บนำไปทำอาหารจิ้มกับน้ำพริก เช่นเดียวกับ ผักบุ้ง ผักกะเฉด….ที่วัดป่าสีดาฯ พอช่วงใกล้ “วันเข้าพรรษา” ก็จะมีลูกศิษย์ลูกหาทางกรุงเทพฯและที่อื่นๆอีกหลายแห่งพากันมาถือศีล8 ทำวัตร สวดมนต์ ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ที่วัด และพอใกล้วันออกพรรษา ก็จะลาศีลเพื่อกลับไปประกอบสัมมาอาชีพที่ภูมิลำเนาเดิมของตน…ในบรรดาศิษย์บวชชีพราหมณ์เหล่านั้น ก็มีศิษย์คนหนึ่งที่ศรัทธาหลวงปู่มากๆ มักขึ้นลง..กรุงเทพฯ…หนองคาย มากราบทำบุญกับหลวงปู่เป็นประจำ เธอชื่อ”หญิงหน่อย”อยู่หมู่บ้านพุดตาน แถวหนองแขม ในปีนั้นเธอก็ขึ้นมาถือศีล8 บวชพราหมณ์ที่วัดเฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เหมือนกัน และก่อนวันออกพรรษาไม่กี่วัน คุณหน่อยแกก็เข้ามากราบลาศีลเพื่อจะกลับกรุงเทพฯ…และในปีนั้นแกนึกอย่างไรไม่ทราบ อยากจะดูบั้งไฟพญานาคมาก เพราะเกิดมาก็ไม่เคยเห็น อยากจะดูให้รู้ให้เห็นเป็นบุญตาสักครั้งหนึ่งในชีวิต จึงกราบเรียนหลวงปู่ไปว่า…วันออกพรรษาก่อนกลับกรุงเทพฯ หนูว่าจะแวะไปริมโขงดู..บั้งไฟพญานาค” บ้างเจ้าค่ะ…หลวงปู่ได้ยินท่านก็พูดเรื่องบั้งไฟพญานาคกับคุณหน่อยและบรรดาลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ในขณะนั้นฟังว่า..”บั้งไฟพญานาคนี้มันเป็นงานของเขา(ประเพณีของพญานาค) เขาจุดบูชาเหมือนมนุษย์ทำนั่นแหละ”….อันนี้คุณหน่อยแกฟังแล้วเข้าใจได้…สักพักหลวงปู่ท่านก็พูดต่อว่า…”ไปดูหน้าวัด(หนองพิพวย) ก็ได้…ไม่ต้องไปดูไกล(ริมโขง)”ส่วนอันหลังนี้ทำเอาคุณหน่อยและลูกศิษย์คนอื่นๆ.พากัน งงเด้ๆ..เล็กน้อย..แต่ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาในองค์หลวงปู่ พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ทำตามที่หลวงปู่ท่านว่า…พอช่วงโพล้เพล้…ใกล้พลบค่ำ ตะวันจะลับแสง…บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายต่างพากันมาสุมหัว..เพื่อส่องดู”บั้งไฟพญานาค”ริมหนองน้ำพิพวยข้างวัดว่าจะขึ้นให้เห็นไหมหนอ(คงจะมีลูกศิษย์บางคนแอบลุ้นอยู่ในใจเป็นแน่)…อีกไม่นานนัก สักหนึ่งทุ่มเศษเห็นจะได้…ก็ปรากฏดวงไฟสีชมพูอมส้มลูกแรกผุดขึ้นจากหนองน้ำ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเฮ้..เฮ้ ดังขึ้นท่ามกลางหมู่ศิษย์เป็นระยะๆ…ผู้เฒ่าผู้แก่บางท่านก็ยกมือสาธุท่วมหัว…ส่วนพวกวัยกลางคนต่างก็ปิติ ตื่นตาตื่นใจ ที่ได้เห็นเป็นบุญตาในคราวนั้น…ดวงไฟที่ปรากฏผุดขึ้นจากหนองน้ำพิพวยปรากฎขึ้นโดยทั่วบริเวณหนอง ขึ้นสูงสัก 5-10 เมตรก็หายวับไป แล้วก็ปรากฏผุดขึ้นมาให้เห็นอีก เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ…จวบจนประมาณสักสี่ทุ่ม ดวงไฟก็หมด ครั้งนั้นคุณหน่อยแกเล่าว่า นับดูประมาณร่วม80 ลูก เห็นจะได้……ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์พิเศษครั้งแรกที่ลูกศิษย์หลายๆคนได้พบเจอสิ่งพิเศษอัศจรรย์ที่ว่านี้ปรากฏหน้าวัดป่าสีดาพระรามลักษณ์ฯ…บริเวณหนองน้ำพิพวย ไม่ใช่ที่ริมโขงเหมือนปกติ…และแล้วลูกศิษย์ทุกคนต่างพากัน…ยกมือกล่าวสาธุการพร้อมกัน..ที่ได้พบได้เห็นสิ่งนี้ เป็นไปตามที่หลวงปู่ได้กล่าวเป็นสัจจวาจาที่ว่า” ไปดูหน้าวัด ไม่ต้องไปดู…แล้วท่านผู้อ่านล่ะคิดเห็นเป็นประการใด…บ้างครับ..