ในสมัยที่อาตมายังเป็นคฤหัสถ์ ได้ทำงานในตำแหน่ง Research Specialist สำนักข่าวสารอเมริกัน กรุงเทพฯ อาตมาได้เข้าศึกษาและปฏิบัติภาวนาธรรมกับพระเดชพระคุณ พระภาวนาโกศลเถร (วีระ คณุตฺตโม) รองเจ้าอาวาสและอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ องค์ปัจจุบัน ผู้สอนภาวนาตามที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระอุปัชฌาย์ของท่าน (พระภาวนาโกศลเถร) ที่สอนให้ปฏิบัติถึงธรรมกายและพระนิพพาน รวมเรียกว่า “วิชชาธรรมกาย” ตามรอยบาทพระพุทธองค์
อาตมาจึงได้รู้เรื่องกายในกาย ฯลฯ ที่สุดละเอียดต่อไปอีกว่า ในท่ามกลางพระนิพพานธาตุ คือธรรมกายที่ตรัสรู้ (มีขนาดโตใหญ่กว่า 20 วาพระนิพพานขึ้นไป มีรัศมีสว่างยิ่งนัก) ของพระพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้าที่ดับขันธ์เข้าปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ และสถิตยั่งยืนอยู่ในอายตนะนิพพานนั้น ยังมีพระจักรพรรดิ (เหมือนพระทรงเครื่องอยู่ในดวงธรรมที่ใสบริสุทธิ์) สถิตอยู่ด้วย และพระจักรพรรดินี้ ยังมีรัตนะ 7 เป็นบริวาร คือมี จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลัง(คฤหบดี)แก้ว และดวงแก้ว (แก้วมณี) ตรงกลางดวงแก้วหรือแก้วมณี ยังมีแว่นแก้ว-กล้องแก้ว เป็นดวงแก้วที่ใสบริสุทธิ์ และละเอียดยิ่งนัก
พระจักรพรรดินี้สถิตเป็นพระภาคผู้เลี้ยงประจำอยู่ในท่ามกลางพระนิพพานธาตุของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทุกพระองค์ ในอายตนะนิพพาน ไปจนสุดละเอียดถึงอายตนะนิพพานเป็น ของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม (พุทธลักษณะเหมือนพระภิกษุกายเนื้อ มีขนาดโตใหญ่กว่า 20 วาพระนิพพานขึ้นไป และใสบริสุทธิ์ มีรัศมี สว่างยิ่งนัก) แวดล้อมด้วยพระพุทธเจ้ากลางธาตุ ประทับอยู่ซ้าย-ขวา -หน้า-หลัง ของพระพุทธเจ้าต้นธาตุ และมีพระพุทธเจ้ากลางใน กลางธาตุ และปลายธาตุ ประทับอยู่ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง ซึ่งกันและ กันต่อๆ ไปนับไม่ถ้วน
พระจักรพรรดิ ชื่อว่า
“พระภาคผู้เลี้ยง” นั้น
ด้วยว่าทำหน้าที่หล่อเลี้ยงพระนิพพานธาตุของพระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า
ถึงพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมที่เป็นอมตธรรม ตลอดทั้งกลางธาตุ และปลายธาตุทั้งสิ้น
ด้วยนิพพานสมบัติ ให้ได้เสวยวิมุตติสุขเป็นบรมสุข ที่ยั่งยืน ที่ไม่มีความเกิด แก่
เจ็บ และตาย อีก
แล้วยังถ่ายทอดเป็นโลกิยสมบัติ คือ เป็นอรูปพรหม-รูปพรหมสมบัติ
สวรรค์สมบัติ และมนุษย์สมบัติ มาตามสายธาตุธรรมของภาคพระ/ธรรมขาว หรือฝ่ายบุญกุศล ตามระดับบุญบารมีและ
ภูมิธรรมของสัตว์โลกในสุคติภพที่ได้ประกอบบำเพ็ญมาอีกด้วย
เพราะเหตุนั้น ในท่ามกลางของกายในกาย ณ ภายในของ สัตว์โลกในสุคติภพ จากกายสุดหยาบสุดละเอียด ทั้งระดับโลกิยะ ได้แก่ เบญจขันธ์ของมนุษย์-มนุษย์ละเอียด, ทิพย์-ทิพย์ละเอียด, รูปพรหม-รูปพรหมละเอียด, อรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด ถึงระดับโลกุตตระ คือธรรมกายทุกระดับภูมิจิต จึงมีจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงนี้สถิตอยู่ในท่ามกลางกายสุดหยาบสุดละเอียดนี้ทุกกาย และยังมีจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงประจำหมู่ชนที่อยู่ร่วมกันเป็นคณะน้อยใหญ่ทั้งปวง ตั้งแต่ระดับครอบครัว ประเทศชาติ โลก และภพภูมิต่างๆ ได้แก่ กามภพ รูปภพ และ อรูปภพ ถึงพ้นโลกคือพระนิพพาน ตามระดับบุญบารมี อีกทั้งสัตว์โลกในทุคคติภูมิ (เปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน) ถึง อายตนะโลกันต์ที่พ้นโลก พ้นขอบจักรวาลไปเบื้องล่าง
เฉพาะจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงภาคพระ หรือฝ่ายบุญกุศล ที่ให้ผลเป็นสุขสมบัติแก่สัตว์โลกแต่ละบุคคลหรือแต่ละตัวตน และแต่ละหมู่คณะ ที่อยู่ร่วมกันตามระดับบุญกุศลคุณความดี และบารมีที่ได้เคย กระทำสั่งสมมาแล้วแต่อดีต ติดตามให้ผลเป็นวิบาก คือ
“จุลจักรพรรดิ” ให้ผลเป็น “สุขสมบัติ” ที่ไม่สมบูรณ์ คือแร้นแค้น ทำมาหากินฝืดเคือง ไม่พอกินพอใช้ แก่สัตว์โลกที่กระทำกรรมดี มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล เป็นต้น มาน้อย
“มหาจักรพรรดิ” ให้ผลเป็น “สุขสมบัติ” ที่สมบูรณ์แต่พอกิน พอใช้ คือไม่ถึงอุดมสมบูรณ์นัก แก่สัตว์โลกที่กระทำกรรมดี มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล เป็นต้น มามากพอสมควร
“บรมจักรพรรดิ”
ให้ผลเป็น “สุขสมบัติ” ที่อุดมสมบูรณ์บริบูรณ์
เต็มที่ แก่สัตว์โลกที่ได้ประกอบกรรมดี มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนา กุศล เป็นต้น
มามาก
จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงธาตุธรรมภาคพระ (ฝ่ายบุญกุศล หรือ
ธาตุธรรมขาว) ที่มีประจำสัตว์โลก ให้สุขสมบัติเป็นความสุขความเจริญ
ด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหม-อรูปพรหมสมบัติ ถึงนิพพานสมบัติ เช่นไร จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงธาตุธรรมภาคมาร
(ฝ่าย บาปอกุศล หรือธาตุธรรมภาคดำ) ของสัตว์โลกผู้ประพฤติปฏิบัติ หรือกระทำกรรม
ชั่ว หรืออกุศลกรรม ด้วยอำนาจของกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็ย่อมให้ผลตรงกันข้ามกับฝ่ายบุญกุศล
คือกลับให้ผลเป็นความทุกข์เดือดร้อนเช่นนั้น
และสัตว์โลกที่ได้กระทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว จึงย่อมได้รับผล ที่เป็นทั้งความสุขความเจริญ และทั้งความเสื่อม เป็นโทษ เป็นความทุกข์ เดือดร้อน จากจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงทั้งฝ่ายบุญกุศล และทั้งฝ่ายบาปอกุศลที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้ผล ตามความหนักเบาของกรรมดี หรือกรรมชั่วที่ได้กระทำไว้แล้ว ให้ผลตามหน้าที่และกาลเวลาที่เหมาะสม ที่กรรมนั้นๆ จะให้ผลเป็นวิบาก
ในส่วนที่จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงที่ตั้งอยู่ ณ ศูนย์กลางในกาย สุดกายหยาบกายละเอียดของสัตว์โลกทั้งฝ่ายบุญกุศล ฝ่ายบาปอกุศล และฝ่ายกลางๆ (ไม่ดีไม่ชั่ว) ดังที่กล่าวข้างต้นนี้ ยังมี “กายสิทธิ์” ภาคผู้เลี้ยงซึ่งเป็นบริวารของจักรพรรดิ เป็นธาตุธรรมเป็น มีรูปกายคล้ายเทวดา สถิตอยู่กับธาตุธรรมส่วนหยาบ ที่จะให้ผลเป็น “สุขสมบัติ” ได้แก่ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ฯลฯ และ/หรือ เป็น “ทุกข์สมบัติ” แก่ สัตว์โลกตามผล (วิบาก) แห่งกรรมดีหรือกรรมชั่วในส่วนหยาบ คือ สถิตอยู่กับทุกอณูของวัตถุธาตุที่ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เช่น อยู่กับดิน หิน กรวด ทราย โลหะ แร่ธาตุต่างๆ อัญมณี ต้นไม้ และ พืชพันธุ์ต่างๆ เป็นต้น ที่ให้คุณและโทษต่างๆ แก่สัตว์โลกทั้งหลายอีก ด้วยเช่นกัน
ธรรมชาติดังกล่าวนี้ ผู้ปฏิบัติภาวนาวิชชาธรรมกาย ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านสอนศิษยานุศิษย์ให้ปฏิบัติถึงธรรมกาย ถึงพระนิพพาน ตามรอยบาทพระพุทธองค์ เมื่อฝึกเจริญภาวนาได้ถึงธรรมกาย ฝึกเจริญสติปัฏฐาน 4 และฝึกเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูง (มีรายละเอียดในหนังสือ มรรคผลพิสดารเล่มที่ 1-2 และหนังสือการสะสางธาตุธรรม) แล้วก็จะรู้-เห็นได้ ตามสมควรแก่ระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้
มีข้อที่น่าสังเกตว่า
1. “กายสิทธิ์” ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายพระหรือฝ่ายบุญกุศล ที่เป็นพลัง และให้พลังทรัพยากรที่เป็นคุณเป็นสุขสมบัติ ได้แก่ มนุษย์สมบัติ เป็นต้น แก่สัตว์โลก ได้แก่ มนุษย์ผู้ปฏิบัติตนอยู่แต่ในคุณความดี เป็น บุญเป็นกุศลเพิ่มพูนบุญบารมีอยู่เสมอ ย่อมสถิตอยู่กับวัตถุธาตุที่ บริสุทธิ์ และที่เป็นมงคล ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์และที่มีวรรณะ (สี) เป็น มงคล ได้แก่สีขาว สีทอง สีเงิน สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน เป็นต้น รวม ทั้งพันธุ์ไม้ที่เป็นเภสัช และที่เป็นมงคลต่างๆ
อนึ่ง วัตถุธาตุใด ยิ่งประกอบด้วยอณูที่ควบกันอยู่หนาแน่น เพียงใด ก็ยิ่งมีกายสิทธิ์สถิตอยู่มาก (หนาแน่น) เพียงนั้น
เพราะเหตุนั้น จึงไม่แปลกประหลาดอะไร ที่ผู้รู้จะมีวัตถุธาตุ อันเป็นที่สถิตอยู่ของกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายพระ หรือฝ่ายบุญกุศล นี้ไว้ในครอบครอง เพื่อเป็นพลัง และให้พลังเพิ่มพูนทรัพยากรแก่ผู้ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม มุ่งบำเพ็ญบุญกุศล คุณความดีและบุญบารมีสูงๆ และ/หรือ แก่ผู้ได้มาหรือมีอยู่ในครอบครองด้วยกุศลคุณความดี หรือบุญบารมีที่ตนได้เคยสั่งสมมา เช่น หินผลึก (Rock Crystal) หินควอทซ์ (Quartz) อัญมณี (Gem stone) โลหะ ทองคำ เงิน และแม้ธาตุเหล็กไหลต่างๆ ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ข้างต้น
และก็ไม่แปลกประหลาดอะไรที่ประเทศหรือหมู่ชนที่มีวัตถุธาตุ เป็นที่สถิตอยู่ของ “กายสิทธิ์” ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายบุญกุศลที่เป็นพลัง และให้พลังทรัพยากรที่เป็นคุณมาก ก็จะได้รับการหล่อเลี้ยงจากกายสิทธิ์ฝ่ายบุญกุศล เป็นสุขสมบัติมาก อย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีทั้งทรัพยากรเช่นนั้นอยู่มาก และทั้งยังเป็นที่ตั้งสำนักงานกองเงินทุน การเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund – IMF) ที่มีทองคำเป็นทุนสำรองจากประเทศสมาชิกต่างๆ ทั่วโลกมาฝาก และ ฝังอยู่ที่นั่นมาก ประเทศนี้จึงมีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่งและมั่นคง มากแห่งหนึ่งในโลก
ตราบใดที่บุคคลหรือประชาชนของหมู่ชนประเทศนั้นยังปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่มากเพียงไร สุขสมบัตินั้นก็จะให้ผลเป็นความเจริญรุ่งเรือง และสันติสุขอย่างมั่นคงแก่บุคคล หรือหมู่ชนประเทศชาตินั้น ได้มากเพียงนั้น
ส่วนว่า บุคคลใดหรือหมู่ชนประเทศชาติใดที่ประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดี คือที่เป็นความชั่วหรือบาปอกุศลมากๆ วัตถุธาตุอันเป็นที่สถิตอยู่ ของกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายบุญกุศลที่จะให้สุขสมบัติ ก็จะเสื่อมสิ้นหรือ สูญหายไปได้ง่ายๆ อย่างเช่น ผู้ครอบครองเหล็กไหลที่มีคุณและที่มีอานุภาพสูง หรืออย่างเช่นอัญมณีที่ดีๆ และ/หรือ ทองคำ เงิน เป็นต้น มักจะอยู่กับคนชั่วหรือคนทุศีลไม่ได้นาน มักมีอันให้สูญหายหรือสิ้นสูญไปได้โดยง่าย
แต่พระอริยเจ้า หรือผู้มีคุณธรรมสูง และผู้บำเพ็ญบุญบารมีมามาก ท่านไม่จำเป็นต้องแสวงหาและยึดติด (มีอุปาทาน) ด้วยตัณหาและทิฏฐิ ให้เป็นทุกข์ ท่านได้มาหรือมีอยู่ในครอบครอง ก็เพียงสักว่ามี หรือเพียงกระทำไปเพื่อเป็นประโยชน์สุขแก่ส่วนรวม และเพียงมีไว้เพื่อประกอบการบำเพ็ญกุศลคุณความดี เพิ่มพูนบุญบารมีของท่าน เมื่อสมควรเสียสละให้แก่บุคคลหรือคณะบุคคลที่สมควรให้ ท่านก็เสียสละให้ได้โดยง่าย เพราะท่านผู้เป็นพระอริยเจ้าหรือผู้กำลังบำเพ็ญบุญบารมี ย่อมทราบดีว่า ทรัพย์ภายนอกล้วนเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ถ้ายิ่งยึดติดอยู่ด้วยตัณหาและทิฏฐิ ก็ยิ่งเป็นทุกข์ และยิ่งหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ถึงพระนิพพาน ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวงได้ ก็อย่าสงสัยเลย
2. “กายสิทธิ์” ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายมาร หรือฝ่ายบาปอกุศลที่ให้พลัง ทรัพยากรที่เป็นโทษ เป็นทุกข์สมบัติ แก่สัตว์โลกที่ประพฤติปฏิบัติที่ชั่ว ที่เป็นบาปอกุศล ย่อมสถิตอยู่กับวัตถุธาตุที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ หรือที่เป็นอัปมงคล ไม่ว่าจะเป็นดิน หิน โลหะ แร่ธาตุ อัญมณี ที่สกปรก ที่ขุ่นมัว ไม่สะอาด และที่มีวรรณะ (สี) ที่ไม่เป็นมงคลต่างๆ เช่น สีดำสนิท หรือจะเป็นพืชพันธุ์ที่เป็นพิษ และที่เป็นอัปมงคลต่างๆ ได้แก่ หินดำ นิลดำ เพชร/พลอยดำสนิท ธาตุเหล็กไหล เหล็กทรหด หรือ แร่อุกาบาตที่ดำสนิท เป็นต้น ก็ตาม ถ้าผู้มีอยู่ในครอบครองมีความประพฤติปฏิบัติที่ชั่วหยาบหรือทุศีลแล้ว ธาตุกายสิทธิ์ประเภทนี้จะให้ผลเป็นโทษ เป็นความทุกข์เดือดร้อน ที่ร้ายแรงและรวดเร็วมาก
อุปมาดั่งโจรที่มีโจรเป็นเพื่อนคู่หู ที่ย่อมจะพากันไปสู่ความวิบัติฉิบหายเร็ว ฉันใดฉันนั้น แต่ถ้าผู้มีอยู่ในครอบครองเป็นพระอริยเจ้า หรือมีคุณธรรมสูง ก็จะสามารถเปลี่ยนธาตุกายสิทธิ์ฝ่ายมาร ให้เข้าสู่กระแสธรรมเป็นฝ่ายพระได้ หรือผู้มีอาคมขลัง (แก่กล้า) ที่สามารถข่มหรือครอบงำให้เขาอยู่ในอำนาจได้ ก็ได้แต่เพียงชั่วระยะเวลาที่มีอำนาจข่มหรือครอบงำได้ ไม่ยั่งยืนเหมือนพระอริยเจ้าที่ทรงคุณธรรมสูงที่ถาวร และ/หรือที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไปถ่ายเดียว เพราะอาคมก็เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เหมือนกัน
3. “กายสิทธิ์” ที่ให้ผลได้ทั้งคุณและโทษแก่ผู้มีอยู่ในครอบครอง ที่ประพฤติปฏิบัติดีบ้าง ชั่วบ้าง ก็สถิตอยู่กับวัตถุธาตุที่มีลักษณะทั้ง 2 อย่างข้างต้น ปะปนกัน ถ้าได้รับการเจริญภาวนาอธิษฐานจิตจากผู้ทรงศีลทรงธรรม ปรับธาตุธรรมให้เป็นกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายพระ หรือฝ่ายบุญกุศล ที่ให้พลังเป็นพลังทรัพยากรที่ให้คุณ ก็กลับเป็นสุขสมบัติได้ และ/หรือถ้าอยู่กับคนดี มีศีลมีธรรม ประกอบแต่คุณความดียิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ประมาท ก็ให้ผลเป็นสุขสมบัติได้ตามส่วนเหมือนกัน แต่ถ้าอยู่กับคนชั่ว คนทุศีล ก็ให้ผลเป็นโทษเป็นความทุกข์เดือดร้อนได้ อย่างเช่น ประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ น้ำมันมาก แม้จะให้ผลเป็นมนุษย์สมบัติมาก แต่ถ้าบุคคลในชาติเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคนพาลปัญญาโฉดเขลา มีความประพฤติปฏิบัติที่ผิดศีลผิดธรรมมาก ทรัพย์สมบัตินั้นก็จะกลับกลายเป็นเครื่องทำลาย ได้แก่ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ประหัตประหารกันมาก อันให้โทษเป็นความทุกข์เดือดร้อนแก่ทั้งสังคม และประเทศชาติของตน และทั้งของประเทศชาติอื่นได้มาก เป็นทุกข์สมบัติไป ส่วนว่าถ้าบุคคลในชาติประพฤติปฏิบัติดี มีศีลมีธรรมมาก ทรัพยากรนั้นก็จะให้สุขสมบัติมาก เป็นความเจริญและสันติสุขมากตามส่วน
4. วัตถุธาตุกายสิทธิ์ตามธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เป็นธาตุธรรมฝ่ายพระหรือฝ่ายบุญกุศลที่เคยให้สุขสมบัติระดับโลกิยะ (มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ) แต่เดิมถ้านำไปสร้างเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญ เช่น เอาหินผลึก (Rock Crystal) หรือหินควอทซ์ (Quartz) หรืออัญมณีที่ใส บริสุทธิ์ หรือโลหะทองคำ เงิน นาก และแม้ทองแดง ทองเหลือง หรือวัตถุธาตุเหล็กไหลที่บริสุทธิ์ไปทำเป็นพระพุทธปฏิมา (พระพุทธรูป) หรือพระปฏิมาจำลองจักรพรรดิ พระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า หรือพระโพธิสัตว์ ฯลฯ ธาตุกายสิทธิ์ที่สถิตอยู่ ณ ภายในวัตถุธาตุเช่นนั้น จะเข้าสู่กระแสธรรมกลายเป็นพระจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงที่มีพลังอำนาจสูง ให้สุขสมบัติทั้งระดับโลกิยะและโลกุตตระ ชักนำให้ผู้สร้างปูชนียวัตถุนั้นเข้าสู่กระแสธรรม ให้ไม่ตกต่ำไปในทางชั่วได้มาก
ผู้รู้จึงมักนิยมสร้างพระพุทธรูปด้วยวัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ดี เพื่อเป็นอริยทรัพย์ฝากไว้ในพระพุทธศาสนา อันเป็นมหานิสงส์ที่จะติดตามให้ผลเป็นทั้งโลกิยสมบัติ ถึงโลกุตตรสมบัติ แก่ผู้มีจิตศรัทธาสร้างถวายต่อๆ ไปทุกภพทุกชาติ ตราบเท่าเข้าสู่ปรินิพพาน และในส่วนของกายสิทธิ์ที่สถิตอยู่กับปูชนียวัตถุที่สร้างขึ้นด้วยวัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ดี ที่บริสุทธิ์เช่นนั้น ก็จะเข้าสู่กระแสธรรมกลายเป็นพระจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงฝ่ายพระ ทั้งระดับโลกิยะและโลกุตตระ ที่มีพลังอำนาจสูงแก่ผู้เคารพกราบไหว้บูชา ด้วยทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา กับเป็นบุญเป็น กุศลแก่ผู้สร้างถวายนั้นเป็นทับทวี
พระผู้รู้จึงนิยมสร้างพระพุทธรูปบูชาขนาดเล็ก สำหรับให้ใช้บูชาติดตัว หรือขนาดพระบูชาประจำบ้าน ประจำสำนักงาน มอบให้แก่ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาบำเพ็ญกุศลบำรุงวัดหรืออุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ตามสมควรแก่กำลังศรัทธาไว้เป็นที่เคารพบูชา เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ และเป็นสิริมงคลแก่การดำเนินชีวิตไปตามกระแสธรรมสู่ความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุขยิ่งๆ ขึ้นไป
ส่วนวัตถุธาตุกายสิทธิ์ธรรมชาติที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นธาตุธรรมฝ่ายมาร หรือธาตุธรรมดำที่เคยให้ทุกข์สมบัติแก่สัตว์โลกผู้ปฏิบัติชั่ว หยาบ เป็นผู้ทุศีล เช่นหินดำสนิท นิลดำสนิท เพชรพลอยดำสนิท ธาตุ เหล็กไหล แร่เหล็กทรหด หรือแร่อุกาบาตที่ดำสนิทเป็นต้น ถ้าเอาไปสร้างเป็นปูชนียวัตถุ ก็จะกลับมีพลังอำนาจแรงขึ้น
กายสิทธิ์ที่มีธาตุธรรมดำหรือภาคมารอยู่แต่เดิม จะเปลี่ยนสภาพเป็นจักรพรรดิที่มีพลังอำนาจของภาคมารแฝงอยู่ด้วยสูงขึ้น หากผู้มีไว้ในครอบครอง หรือวัดวาอารามที่พระภิกษุผู้มีอำนาจปกครอง และพระลูกวัดไม่มีคุณธรรมดีพอ มีวัตรปฏิบัติที่ย่อหย่อนในพระธรรมวินัยแล้ว จะได้รับผลเป็นทุกข์สมบัติ ให้มีปัญหาความล้มเหลวในกิจการงาน และเป็นความทุกข์เดือดร้อนได้มาก
อย่างเช่น สำนักหรือสถาบันสงฆ์แห่งหนึ่งนำหินดำก้อนใหญ่มาแกะเป็นพระพุทธรูป ถึงขึ้นหุ่นเป็นรูปพระแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จเรียบร้อย อาตมาได้เคยเห็นวางทิ้งไว้กลางแดด กลางฝน เมื่อหลายปีก่อน ก็ปรากฏว่าพระผู้ใหญ่สำนักนั้นมีปัญหาความล้มเหลวในโครงงาน และมีปัญหาอื้อฉาวต่างๆ ไม่หยุดหย่อน และได้เคยทราบว่าได้มีการใช้หินแกรนิตสีดำก้อนใหญ่มาสร้างเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนา นับเนื่องในปูชนียวัตถุที่สำคัญ ณ บริเวณพุทธสถานที่สำคัญของประเทศ ไทยเราเมื่อหลายปีก่อน ก็อดนึกเป็นห่วงวงการพระพุทธศาสนาไม่ได้ว่า จะได้รับผลกระทบกระเทือนจากวัตถุธาตุกายสิทธิ์ภาคมาร หรือธาตุ ธรรมภาคดำ (ฝ่ายบาปอกุศล) ที่มีอำนาจสอดละเอียด คือมีอำนาจ สอดแทรกเข้ามาทำหน้าที่ครอบงำ/ชักนำผู้ปฏิบัติ และทรงธรรมภาคขาวหรือฝ่ายบุญกุศลที่ยังไม่แก่กล้าดีพอ ให้ปฏิบัติตนเป็นอุปสรรค หรือผลร้ายแก่การศึกษาการอบรมธรรมปฏิบัติ และการเผยแพร่พระสัทธรรมที่ถูกต้องสมบูรณ์ให้เป็นผลสำเร็จได้ยาก และมีผลให้การปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัยย่อหย่อน และให้เสื่อมถอยลงได้มากและเร็วยิ่งขึ้น และยังจะให้ผลเกี่ยวเนื่องไปถึงการเศรษฐกิจ และสังคมประเทศชาติให้เสื่อมเสียลงได้มาก
เพราะเหตุนั้น ตามธรรมดาแล้ว ผู้รู้จะไม่นิยมสร้างปูชนียวัตถุด้วยวัตถุธาตุเป็นที่สถิตอยู่ของกายสิทธิ์ภาคมารหรือธาตุธรรมภาคดำเลย เว้นแต่ผู้สร้างจะเป็นพระอริยเจ้าหรือผู้ทรงคุณธรรมสูง ผู้ทรงอำนาจสิทธิที่สามารถเจริญภาวนาชำระธาตุธรรมภาคดำ และได้พลิกธาตุธรรมนั้นให้เป็นธาตุธรรมฝ่ายขาวหรือฝ่ายบุญกุศลที่จะให้สุขสมบัติแต่ส่วนเดียวได้แล้วเท่านั้น มิฉะนั้นแล้ว ผู้มีไว้ในครอบครองที่ไม่มีคุณธรรมสูงพอที่จะควบคุมกายสิทธิ์ภาคมารหรือธาตุธรรมภาคดำให้อยู่ในอำนาจแห่งกระแสธรรมที่จะให้คุณเป็นสุขสมบัติได้แล้ว ภาคมารเขาก็จะทำหน้าที่ของเขาได้เต็มที่ คือชักนำผู้มีไว้ในครอบครองไปสู่ความเสื่อมหรือเป็นโทษ ถึงความทุกข์เดือดร้อนได้ง่าย
จึงขอฝากเรื่องนี้ไว้ให้ท่านได้ศึกษา จากผู้รู้ให้ดีก่อนที่จะไปหลงแสวงหาวัตถุธาตุที่มีกายสิทธิ์ที่เป็นธาตุธรรมภาคมารหรือธรรมดำไว้ในครอบครอง ด้วยหวังว่าจะให้คุณ แต่กลับให้โทษแก่ผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้ง่าย
พระเทพญาณมงคลเสริมชัย
ชยมงฺคโล
หลวงป๋า เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม