ไปทดลองถ่ายรูปแสงออร่า

ไปทดลองถ่ายรูปแสงออร่า โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 29 กันยายน 2559

เมื่อประมาณปี 2553 ผมได้ไปทดลองถ่ายรูปด้วยแสงออร่าในงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ผู้ที่ปฏิบัติธรรมหลายท่านก็มักจะไปถ่ายรูปด้วยแสงออร่าแบบนี้ เพื่อดูว่าสมาธิที่ตนเองฝึกฝนมานั้นจะก้าวหน้าไปได้มากน้อยแค่ไหน เพราะรูปถ่ายแสงออร่าจะฟ้องออกมาว่าใครมีสมาธิดีหรือไม่ดีอย่างไร

ปกติผมก็ไม่ถ่ายหรอกเพราะเสียดายเงิน เงินของผมส่วนใหญ่ไม่ได้เอาไปใช้เพื่อการเที่ยวเล่น เงินของผมมักใช้ไปเพื่อการทำบุญสร้างบารมี แต่บังเอิญวันนั้นทางร้านเขาประกาศว่าเงินค่าถ่ายรูปแสงออร่าทั้งหมด เขาจะนำไปทำบุญถวายวัด ผมก็เลยได้โอกาสเพราะได้ทำบุญด้วยแล้วก็ได้ถ่ายรูปแสงออร่าเอาไว้ดูด้วย

การจะถ่ายรูปแสงออร่าเราจะต้องถอดสร้อยพระและเอาเครื่องรางของขลังต่างๆ ออกจากตัวให้หมด เพื่อไม่ให้สับสนว่าเป็นแสงออร่าจากคนหรือจากพระเครื่อง ผมเองก็เช่นกันต้องถอดพระออกจากตัวจนหมด เมื่อถ่ายเสร็จอาจารย์ผู้คุมบูธและเป็นวิทยากรอธิบายเรื่องแสงออร่าด้วย ท่านก็เดินนำรูปมาให้ผมแล้วก็ทำหน้าตาตื่นเต้น เขาบอกว่าเขาถ่ายรูปแสงออร่ามามาก เพิ่งจะมาเจอแสงสีม่วงอมชมพูแบบที่ถ่ายให้ผมนี้แหละ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมีอยู่แต่ในตำรา เพราะแสงออร่าของผมไม่เหมือนใครคือเป็นแสงรัศมีสีม่วงอมชมพู หมายถึงความเป็นผู้มีสมาธิและญาณทรรศนะรู้เห็นสิ่งต่างๆ พร้อมกับมีจิตใจเมตตามหาศาลกระจายออกไปทั่ว แสงแบบนี้เขาก็เพิ่งเคยเห็นของจริงจากผมนี่แหละ

เขาเลยถามผมว่าผมเป็นคนนั่งสมาธิจนเก่งแล้วใช่ไหม ผมก็ปฏิเสธไปว่ายังไม่เก่งแต่นั่งมานานแล้ว ที่จริงอาจารย์ท่านนี้เขาไม่ได้สังเกตุในรูปให้ดี เพราะในรูปจะเห็นเป็นคล้ายๆ รูปดาวเป็นแฉกสีขาวคล้ายรูปมงกุฏลอยอยู่เหนือศีรษะของผม เพราะสิ่งนี้แหละก็คือญาณทรรศนะของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ท่านส่งมาคุ้มครองผมจนทุกวันนี้

แต่มงกุฏรูปดาวนี้ก็ยังมีคนเคยเห็นเหมือนกันคือเจ้าน้องชายของผมที่ชื่อคุณไก่ผู้ที่ได้ธรรมกายแล้วนั่นเอง เขาเคยแอบถอดกายมาดูผมที่บ้านแล้วเขาก็แปลกใจจึงโทรกลับมาหาผมโดยพูดว่า “พี่อู๋ครับ แปลกมากเลยผมเห็นมีพระอรหันต์โบราณท่านอยู่บนหัวพี่อู๋ อยู่เหนือขึ้นไปประมาณ 1-2 คืบด้วยครับ”

ผมก็เลยหัวเราะตอบกลับไปว่า “พระที่น้องไก่เห็นนั้นคือญาณของหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านประทานมาให้ผมนานนับ 20 ปีแล้ว คนที่บอกผมคนแรกก็คือท่านอาจารย์รังษีญาณ (ประมาณปี 2543)” และอีกท่านหนึ่งที่ทราบก็คือหลวงป๋า เพราะมีอยู่วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังช่วยหลวงป๋าตรวจของอยู่นั้น หลวงป๋าท่านก็พูดโพร่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “อู๋…นี่เธอใช้ญาณของหลวงปู่เทพโลกอุดรหรือ” ผมก็เลยยิ้มๆ ตอบกลับท่านไปว่า “หลวงป๋าทราบได้อย่างไร ก็ผมยังไม่เก่งนี่ครับ เลยต้องใช้ญาณของหลวงปู่” คือแม้แต่หลวงป๋าผมก็ไม่เคยบอกท่าน ผมอยากให้ท่านรู้และพูดขึ้นมาเองเพื่อที่ว่าผมจะได้มั่นใจว่าเป็นของจริง…

เธอมาจากไหน

จากสมุดบันทึกความทรงจำ: เมื่อ 4 ต.ค. 2543 เวลาประมาณ 04.00 น. ผมฝันว่าได้เดินทางไปกราบหลวงปู่เทพโลกอุดรในที่แห่งหนึ่ง ครั้งนี้ผมได้มีโอกาสกราบที่แทบเท้าของท่านด้วย และที่แปลกกว่าทุกครั้งก็คือครั้งนี้หลวงปู่ท่านได้มีเมตตาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ผมฟัง มีเรื่องหนึ่งท่านได้เล่าว่า “ที่จริงเธอเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งนะ ก่อนลงมาเกิดนั้นเธอเป็นมหาเทพอยู่บนสรวงสวรรค์ เป็นเทพที่เหล่าเทวดาเบื้องบนให้ความเคารพมาก ตัวของเธอนั้นเป็นเทพที่สามารถแยกกายออกมาได้ถึง 4 กาย เหล่าเทพยดาเลยแต่งเพลงเพื่อร้องสรรเสริญคุณความดีของเธอให้เป็นกรณีพิเศษ” เรื่องเพลงสรรเสริญนี้เดิมผมก็ยังแปลกใจว่าบนสวรรค์จะมีด้วยหรือเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน ต่อมาผมได้ไปอ่านเจอประวัติของท่านมหาเทพองค์หนึ่ง ในหนังสือนั้นเขาก็กล่าวว่าเทพองค์นั้นก็มีเพลงสรรเสริญประจำตัวเพื่อให้เหล่าเทวดาร้องสดุดีสรรเสริญคุณธรรมความดีของท่านจริงๆด้วย

นอกจากหลวงปู่ท่านจะเล่าถึงอดีตที่มาของผมแล้ว ครั้งนี้หลวงปู่ท่านยังได้ทำการเปิดสมบัติจักรพรรดิ แล้วประทานป้อนใส่ลงในปากให้ผมอีกด้วย ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ท่านประทานป้อนสมบัติจักรพรรดิให้ผม ซึ่งก่อนหน้านี้เคยแต่ได้รับการป้อนข้าวเหนียวดำไพรดำจากหลวงปู่ท่านมาแล้ว 3-4 ครั้ง

แชร์เลย

Comments

comments

Share: